คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : White Rose 04 : บทบรรเลง [Re]
White Rose 04
บทบรรเลง
"ชีวิตของคนเราต่างจากนาฬิกามากนัก ยามเมื่อหยุดเดินแล้วนาฬิกานั้นสามารถซ่อมแซมกลับมาได้ใหม่
ทว่าชีวิตของคนเราหากหยุดเดินเหมือนดั่งนาฬิกาที่ตายแล้วนั้นก็ไม่อาจซ่อมแซมกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป"
TW : Blood (เลือด) , Violence (ความรุนแรง) , Physical abuse (การทำร้าย การใช้ความรุนแรงทางร่างกาย) , Threats of violence (การคุกคามคนอื่นด้วยความรุนแรง) , Mental illness (อาการป่วยทางจิต) , Depression (ตัวละครมีอาการซึมเศร้า) , Character death (มีตัวละครตาย) , Self-Hated (การเกลียดตัวเอง) , Mentioned Cheating (กล่าวถึงการนอกใจ) , Mentioned Adultery (กล่าวถึงการคบชู้) , Manipulation (การโน้มน้าว ล่อลวง ปรับเปลี่ยน และปลูกฝังความคิดบางอย่างให้อีกฝ่ายเพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการ) , Slut shaming (การประณามคนอื่นโดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่ปฏิบัติตามความคาดหวังทางพฤติกรรมทางเพศตามกรอบสังคม ในที่นี้ขอรวมผู้ชายด้วยเพราะไม่รู้ว่ากับผู้ชายสามารถใช้คำนี้ได้หรือเปล่า)
แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก!
เสียงย่ำพื้นหญ้าแหวกแมกไม้ดังขึ้นท่ามกลางความมิดมืดของคืนเดือนมืด
คืนที่เหล่าแวมไพร์อ่อนแอมากที่สุดง่ายต่อการตกเป็นเหยื่อของพวกนักล่า
สองขาหนักอึ้งดั่งตะกั่วแทบไม่สามารถขยับได้ทว่าต้องฝืนสังขารอันบอบช้ำที่เต็มไปด้วยบาดแผลสาหัส
เสื้อผ้าอย่างดีถูกชะโลมไปด้วยเลือดจนกลายเป็นสีคล้ำ
บาดแผลไม่มีทีท่าสมานตัวใกล้เข้าปากเหวความตายไปทุกที
ไม่...ผมจะตายตรงนี้ไม่ได้ ครอบครัวของผมรอผมอยู่...
แสงไฟวูบวาบจากด้านหลังผมเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอันตราย
ผมกัดฟันแน่นกุมบาดแผลตนเองเพราะบาดแผลสาหัสสากรรจ์จากของแสลงที่สามารถปลิดชีวิตแวมไพร์อย่างพวกเราได้อย่างกระสุนเงินนั้นทำให้ผมไม่อาจฝืนใช้พลังเคลื่อนย้ายตนเองได้
หากใช้ผมคงไม่รอดจากพิษบาดแผลแน่และผมจะไม่มีวันยอมตายอย่างเด็ดขาด
คริสต้า ชู เรย์จิ อายาโตะ คานาโตะ ไลโตะ สุบารุ...
ยามผมนึกถึงใบหน้าครอบครัวคนสำคัญของผมทั้งหมดแล้วต่อให้ต้องเสียแขนขาเดินไม่ได้ผมจะต้องกลับไปหาพวกเขาให้จงได้!
"แกหนีไม่รอดหรอก ไอ้ชาติชั่วทริสเมจิส!"
"ไอ้สารเลว! ไอ้ตัวหายนะ!
เพราะแก! ประเทศนี้ล่มจมเพราะแกคนเดียว!!"
"ถ้าไม่มีแกอยู่ซักคนพวกเราคงไม่ต้องทุกข์ทรมานแบบนี้หรอก
ไปตายซะ ไอ้ปีศาจ!!"
กลุ่มคนที่ตามหลังผมมาสบถคำด่าสาปแช่งด้วยเกลียวคลื่นแห่งความเกลียดชังและความอาฆาตแค้นซึ่งคนที่ถูกสาปส่งนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากผมที่กำลังหนีตายโดยที่ผมไม่ได้ทำผิดอะไรเลย
ผมไม่ใช่ทริสเมจิสที่กลุ่มคนเหล่านั้นพูดถึงด้วย
ทุกอย่าง ทุกอย่างคล้ายถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าราวกับล่อล่วงผมให้มาติดกับไม่ปานนั้น
ทริสเมจิสเป็นใครผมไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียวแต่ที่แน่นอนมากที่สุดก็คือคนๆ
นั้นเป็น 'แวมไพร์'
เพราะกระสุนเงินที่ยังคงฝังบนร่างผมคือหลักฐานยืนยันอย่างดีหากเป็นมนุษย์ปกติแค่กระสุนธรรมดาก็เพียงพอที่จะคร่าชีวิตคนๆ
นั้นแล้ว ทว่ากลุ่มคนพวกนั้นยิงผมด้วยกระสุนเงินโดยตามหลักการแล้วมันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องฆ่าคนธรรมดาด้วยโลหะเงินซึ่งสิ่งที่สามารถปลิดชีพแวมไพร์อย่างผมได้นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายเป็นแวมไพร์
คนผู้นั้นอยู่เบื้องหลังทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศนี้ล่มสลายทำให้คนตายเป็นจำนวนมาก
และ...เป็นคนทำให้ 'เธอ' คนนั้นต้องตาย
ถ้าหากคนๆ นั้นมีความแค้นกับผมทำไมไม่ลงมาที่ผมคนเดียว
ทำไมต้องลงที่คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องด้วยโดยเฉพาะเธอคนนั้น
เธอเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีความผิดอะไรเลย...
ดวงตาผมเริ่มปิดจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่เพราะเสียเลือดมากแทบจะทรงตัวไม่อยู่แล้วทัศนียภาพพร่ามัวยามราตรีที่ว่ามืดมนแล้วยามผสมกลิ่นเลือดกับความเหนื่อยล้าจากการเสียเลือดยิ่งมืดมนเข้าไปใหญ่
คล้ายมองเห็นปากทางเข้านรกไม่ปานนั้น
นั่นสิ...ตอนผมมีชีวิตอยู่ในฐานะ 'มนุษย์' ผมได้ทำในสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้นี่นาแล้วตอนนี้ผมก็ไม่สามารถปกป้องครอบครัวของผมได้แม้แต่นิดเดียว
ทำไมคนที่ผมรักและปกป้องทุกคนล้วนพบจุดจบที่ทุกข์ทรมานด้วยนะ
ราวกับว่ามันเป็น ‘คำสาป’
ที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิดอย่างใดอย่างนั้นเลย...
กึก!
ผมเดินเตะอะไรบางอย่างจนกลิ้งจากนั้นมันร่วงหล่นเข้าสู่ความมืดมิดจนมองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงมันอีกเลย
หน้าผา? ดวงตาของผมพร่ามัวจนมองไม่เห็นหน้าผาขนาดนั้นเลยหรือ?
แสดงว่าอาการผมแย่ลงขึ้นเรื่อยๆ ความตายกำลังมาเยือนหาผมอย่างเงียบงันทว่าน่าหวาดหวั่น
หากหัวใจผมเต้นได้คงเต้นสั่นระรัวเหมือนมีคนมาตีกลองอยู่ข้างในเป็นแน่
ผมหันหลังกลับไปอีกทางทว่าสุดท้ายกลุ่มแสงไฟโผล่มาต้อนผมให้จนมุม ทางเลือกมีไม่มากนอกจากโดดหน้าผากับโดนกลุ่มคนพวกนั้นยิงจนพรุนตายคาที่เท่านั้น
ผมไม่อยากตายแต่ผมก็ไม่อยากทำร้ายคนพวกนี้เช่นกัน...
พวกเขาล้วนเป็นคนได้รับผลกระทบจากคนที่ชื่อว่าทริสเมจิสทั้งสิ้นถึงแม้ว่าผมไม่รู้ว่าคนๆ
นั้นเป็นใครก็ตาม ประเทศของพวกเขาเกิดการปฏิวัติใกล้จะล่มสลาย ครอบครัว
คนที่รู้จัก และคนที่รักล้มตายเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นไม่แปลกใจเลยว่าคนเหล่านั้นโศกเศร้าเสียใจจึงลงความโกรธแค้นมาที่คนผู้นั้นทว่าคนผู้นั้นมันไม่ใช่ผม
ผมไม่อยากตายไปพร้อมกับความเกลียดชังที่ตัวผมนั้นไม่ได้ก่อ
ผมมีสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้องอยู่
ระหว่างตัดสินใจกระโดดลงหน้าผาเป็นตายเท่ากันหรือว่าฝ่าฝูงชนที่มีกระสุนเงินเป็นตายเท่ากับอีกเช่นกันทางเลือกล้วนเหมือนกันทั้งสิ้นแต่ก็นะ...
ผมไม่อยากฆ่าใครนอกจากผู้ชายคนนั้นอีกแล้วเพราะฉะนั้นผมเลยเลือกอย่างแรก...
ผมมองหน้าพวกเขาเพราะเลือดไหลเข้าตาทำให้ผมมองกลุ่มคนตรงหน้าไม่เต็มที่จากนั้นสิ่งยิ้มบางให้พวกเขา
อภัยในสิ่งที่พวกเขากระทำต่อผมด้วยความไม่รู้อย่างอ่อนล้าจากนั้นผมเอนตัวโน้มไปข้างหลังร่วงหล่นลงไปยังหน้าผาอันมืดมิดแต่ด้วยดวงตาของแวมไพร์ที่สามารถมองเห็นได้ดีในความมืดมากกว่ามนุษย์ธรรมดาถึงแม้จะบาดเจ็บจนมองไม่ชัดไปบ้างแต่ผมก็ยังรู้ว่าหน้าผานี้มันสูงชันมากแค่ไหน
สายลมปะทะร่างผมทว่าผมไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะขยับตัวแล้วแต่ในขณะเดียวกันผมตั้งคำถามกับตนเองซ้ำไปซ้ำมาด้วยคำถาม
ผมเกิดใหม่ในฐานะ 'มิไฮนซ์' เพื่ออะไรกันแน่...?
ผมหลับตาลงรอรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ด้วยความหนักอึ้ง
โลกของผมก็มืดสนิทลงเหมือนจมลงสู่ใต้ท้องทะเลลึกอันหนาวเย็นไร้ซึ่งแสงสว่างนำทางในความมืดมิด...
ทว่าสิ่งที่แตกต่างคือผมไม่สามารถว่ายน้ำขึ้นมาเพื่อไขว่คว้าแสงสว่างได้อีกต่อไป...
.
.
.
.
.
.
"ท่านเบียคุยะ
จำนวนของที่สั่งส่งมาถึงแล้วขอรับ"
"ช่วยตรวจดูจำนวนให้ดีอย่างละเอียดว่าของที่ได้มานั้นถูกต้องหรือเปล่า?
จำนวนครบไหม? มีตำหนิตรงไหนหรือเปล่า? แล้วก็ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะ"
"ไม่หรอกขอรับ
กระผมเต็มใจช่วยท่านเบียคุยะ"
ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายขอบคุณตามมารยาทปล่อยให้ปีศาจรับใช้กลับไปทำงานของตนเองต่อจากนั้นกลับมานั่งทำงานในห้องของตนเอง
ผมไม่รู้ว่าคาร์ลไฮนซ์นึกครึ้นอะไรถึงจัดงานเลี้ยงเต้นรำภายในปราสาทของตนเองคืนนี้อีกทั้งส่งบัตรเชิญชวนบรรดาแวมไพร์ชั้นสูงมาสนุกสนานรื่นเริงแบบนี้
แต่ก็อย่างว่าผมคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ทางด้านเบียทริกซ์ก็เหมือนเดิมเตรียมตัวพร้อมอย่างดีเพื่อให้สมกับฐานะภรรยาของราชันย์แวมไพร์ส่วนคอร์เดเลียหล่อนหัวเราะอย่างเริงร่าอารมณ์ดีเลือกสรรชุดราตรีของตนเองเพื่อเป็นดาวเด่นที่สุดในงานด้วยตรรกะป่วยๆ
ที่ได้รับอิทธิพลมาจากคาร์ลไฮนซ์อีกที
แต่ก็ดีแล้วล่ะเพราะงานมันยุ่งทำให้ผมไม่ต้องไปเป็นสนามอารมณ์ให้พวกหล่อนนะระบายเล่น
ผมนั่งตรวจสอบรายชื่อแขกที่มางานเลี้ยงเต้นรำที่ได้มาจากปีศาจรับใช้อีกที
เท่าที่ตรวจดูแล้วไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะเหล่าตระกูลเก่าแก่แวมไพร์ล้วนยินดีที่ได้รับบัตรเชิญจากราชันย์แวมไพร์ทั้งสิ้นอีก
ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ก็เชื่อมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างกันทั้งยังโอ้อวดอำนาจและฐานันดรของตนเองอีกด้วย
ก็แหงล่ะ โอ้อวดตามประสาคนรวยไม่ว่ายุคสมัยไหนก็มีกันทั้งนั้นแหละ
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมเลยเอ่ยเชิญคนที่เคาะประตูเข้ามาข้างในได้ประตูไม่ได้ล็อกหลังจากนั้นลูกบิดถูกบิดประตูจึงถูกเปิดออกเผยให้เห็นเด็กชายผมบลอนด์สวมเสื้อนอกสีฟ้าเนื้อดีตามแบบลูกขุนนาง
เขาแอบชำเลืองมองอย่างเลิกลั่กกลัวใครจับได้ก่อนรีบมาในห้องผมอย่างรวดเร็ว
"มีอะไรหรือเปล่าขอรับ นายน้อยชู?"
ผมเอ่ยถามอีกฝ่าย
"คือ...เอ็ดการ์อยากเข้ามาร่วมงานเลี้ยงเพราะอยากรู้ว่าสังคมของชนชั้นสูงเป็นยังไง
ผมตอบตกลงกับเอ็ดการ์ไปแล้ว เบียคุยะช่วยเรื่องเอ็ดการ์หน่อยนะ"
ชูเอ่ยขอร้องผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนด้วยความไม่มั่นใจเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเห็นความเชื่อมั่นในดวงตาว่าผมต้องช่วยอีกฝ่ายเหมือนอย่างเคยแน่นอน
แต่ผมทำลายความหวังของอีกฝ่ายทันที...
"ไม่ได้
ผมไม่อนุญาตให้นายน้อยชูนำเอ็ดการ์มาที่นี่"
ดวงตาสีฟ้าท้องนภาเบิกกว้างสั่นไหวมองผมอย่างไม่เข้าใจเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมโอนอ่อนคอยช่วยเหลือเขาตลอดเวลาแต่มายามนี้ผมกลับไม่ให้ความช่วยเหลือเสียอย่างนั้น
"ทำไมล่ะ...? เบียคุยะคอยช่วยผมตลอดแค่นี้ไม่ได้เหรอ?"
"ผมกำลังช่วยนายน้อยชูและเอ็ดการ์ด้วยความหวังดีอยู่นะขอรับ
นายน้อยอย่าลืมสิว่าเอ็ดการ์เป็นมนุษย์ไม่ใช่แวมไพร์อย่างพวกเราการที่มนุษย์มาอยู่ท่ามกลางแวมไพร์มันอันตรายมาก
ถ้าถูกจับได้เอ็ดการ์ได้กลายเป็นอาหารของแขกในงานเลี้ยงแน่
ผมปฏิเสธเพื่อตัวนายน้อยเองแล้วก็เอ็ดการ์ด้วย"
ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพยายามอธิบายด้วยเหตุผลอย่างใจเย็นแก่แต่ดูเหมือนว่าหลานของผมคนนี้หัวดื้อใช่เล่น
สีหน้าของเขาที่แสดงออกมันเด่นชัดมากเลยทีเดียว
"ตะ แต่ว่าผมสัญญากับเอ็ดการ์ไว้แล้วนะ
เบียคุยะทำเพื่อผมแค่นี้ให้หน่อยก็ไม่ได้เหรอ..."
ชูพูดคล้ายไม่ยอมแพ้ต้องการยืนยันที่จะมาเอ็ดการ์มาที่นี่พร้อมใช้คำพูดและประโยคที่ทำให้ผมดูเหมือนคนใจร้ายเพื่อหวังให้ผมใจอ่อนยอมทำตามที่เขาต้องการ
แต่แน่นอนว่าผมขอปฏิเสธ...
การที่ผมยอมโอนอ่อนผ่อนผันให้ชูในหลายๆ
เรื่องมันไม่ได้แปลว่าผมยอมเขาทุกอย่างเรื่องนั้นผมเคยบอกเขาแล้วแต่ดูเหมือนว่าหลานชายคนนี้จะผมจะลืมที่ผมพูดไปเสียสนิท
แต่จะโทษใครก็ไม่ได้ในเมื่อผมเป็นคนทำให้เขาคิดว่าจะขออะไรก็ได้ตลอดเพราะที่ผ่านมาเขาก็ขอในสิ่งที่ผมสามารถทำให้ได้ตลอดเลยหลงคิดไปว่าผมยอมตามใจเขาทุกอย่าง
ตั้งแต่นี้ต่อไปผมคงต้องทำตัวใจร้ายบ้างเพื่อไม่ให้ชูทำตัวนิสัยเสียอย่างการใช้คำพูดเพื่อทิ่มแทงและโน้มน้าวให้คนใจอ่อนมอบในสิ่งที่ตนต้องการให้กับคนอื่นแล้วล่ะ
"คราวนี้ไม่ได้จริงๆ
ถึงผมจะโอนอ่อนให้นายน้อยชูแต่ใช่ว่าผมจะยอมนายน้อยชูได้ตลอดนะขอรับ เรื่องบางเรื่องแม้แต่นายน้อยชูรวมถึงนายน้อยคนอื่นเองผมไม่สามารถช่วยเหลือได้
และเรื่องคราวนี้เองก็เช่นกันผมไม่อาจช่วยได้จริงๆ"
"ตะ...แต่ว่า? ไหนเบียคุยะเคยบอกว่าจะคอยช่วยเหลือผมไง"
"ผมคอยช่วยนายน้อยอยู่เสมอนะ แต่ว่าช่วยเท่าที่ช่วยได้เพราะตัวผมเองก็มีบางเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายและความสามารถของผมจนไม่สามารถช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่
และขอยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ยอมให้นายน้อยชูพาเอ็ดการ์มาที่ปราสาทเอเดนนี้อย่างเด็ดขาด"
พอสิ้นคำพูด
หยาดน้ำไหลออกมาจากดวงตาสีฟ้างดงามหากคนตรงหน้าเป็นมนุษย์มันคงร้อนผ่าวเปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันมากล้วนเป็นแน่
ผมพยายามเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้เขาคอยปลอบโยนให้เหมือนดังเคยแต่ทว่าผมโดนเด็กชายตรงหน้านี้ปฏิเสธกลับมา
เพี๊ยะ!
"ใจร้าย...เบียคุยะคนโกหก!
อย่ามายุ่งกับผมอีกนะ!!"
หลังจากชูปัดมือมองผมด้วยสายตาตัดพ้อน้อยใจวิ่งออกไปจากห้องของผมอย่างรวดเร็ว
วินาทีที่ถูกปฏิเสธใจผมมันรู้สึกปวดร้าวมากเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดอยู่ในอกให้หัวใจแหลกสลายคามือยามถูกหลานชายปัดมือปฏิเสธ
เพราะผมเลี้ยงดูสั่งสอนเขามาไม่ดีพอใช่ไหมเขาถึงปฏิเสธผมแบบนั้น
ผมพยายามทำใจให้สงบลงมองในแง่ดีว่าเวลาจะทำให้ชูเข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามจะสื่ออย่างแน่นอนว่าผมทำเพื่อเขาและเอ็ดการ์ก่อนกลับไปนั่งทำงานของตนเองอีกรอบ
ตรวจสอบรายชื่อแขกที่มางานเลี้ยงเต้นรำนี้รวมถึงรายการสั่งของอย่างอื่นมาอย่างรู้หน้าที่ตนเอง
...และผมหวังภาวนาอย่างลึกๆ
ว่าชูจะยอมทำตามที่ผมบอกไม่ทำอะไรบ้าๆ อย่างเอาเอ็ดการ์มางานเลี้ยงเต้นรำนี้อย่างเด็ดขาด
.
.
.
.
.
.
สารภาพตามตรงว่าผมเกลียดงานเลี้ยงเต้นรำนี้...
ถึงแม้ว่าผมจะขอบคุณมันเพราะทำให้ผมไม่ต้องเจอกับภรรยาเจ้าปัญหาทั้งสองคนของราชันย์แวมไพร์โดยเฉพาะคอร์เดเลียมักจะมาราวีผมบ่อยๆ
กล่าวหาว่าผมแย่งความรักความสนใจของสามีหล่อนทั้งที่ใจจริงผมอยากเอาความรักของสามีหล่อนประเคนคืนให้เต็มแก่แล้ว
พวกล่อลวงผู้หญิงอย่างคาร์ลไฮนซ์นี่มันมีดีตรงไหนก็ไม่รู้
ส่วนเหตุผลที่ผมเกลียดงานเลี้ยงเต้นรำน่ะหรือ? ก็เพราะว่า...
"ใบหน้าของท่านเบียคุยะช่างงดงามราวกับเทพสร้างสรรค์เหลือเกิน...สมแล้วที่เป็นถึงข้ารับใช้คนสนิทที่ท่านคาร์ลไฮนซ์ภาคภูมิใจมากที่สุด"
"ช่างมีเสน่ห์เหลือร้ายยิ่งนัก
อย่าลืมไปแนะนำตนเองกับเขาคนนั้นนะ แคทเทอรีน"
"ไม่ว่าผ่านไปหลายร้อยปีท่านเบียคุยะยังคงสง่างามเหมือนเดิม
ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเห็นท่านเบียคุยะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว"
"เฮ้อ...น่าอิจฉาท่านคาร์ลไฮนซ์ที่มีข้ารับใช้หน้าตาดีอีกทั้งยังสุภาพนุ่มนวลมากความสามารถอย่างนี้เสียจริงๆ
คนรับใช้บ้านผมยังไม่ถึงครึ่งของเขาด้วยซ้ำ"
"จริงที่สุด ระดับราชันย์แวมไพร์ต้องเลือกสรรข้ารับใช้ที่ดีที่สุดอยู่แล้วล่ะ"
"ว่าแต่...ทุกคนเคยคิดหรือไม่ว่ารูปร่างหน้าตาของท่านเบียคุยะกับท่านคาร์ลไฮนซ์นั้น
'คล้าย' กันไม่มีผิดเพี้ยนเลยแม้แต่นิดเดียว"
ผมเกลียดประโยคนี้มากที่สุด
เหตุผลที่ผมเกลียดงานเลี้ยงเต้นรำนี้ก็เพราะคนส่วนใหญ่มักเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ผมตลอดทุกครั้งถ้าไม่ชมว่ามีหน้าตางดงามหมดจดก็ถูกจับโยงกับคาร์ลไฮนซ์ชื่นชมอำนาจบารมีที่อีกฝ่ายมีกันหมด
เรื่องชมว่าผมรูปงามอย่างนู้นอย่างนี้ผมไม่ค่อยใส่ใจกับมันมากออกจากเบื่อๆ ด้วยซ้ำเพราะได้ยินมาหลายครั้งแล้ว
แต่ว่าเรื่องที่ผมถูกจับโยงกับราชันย์แวมไพร์นั้นมันคนละเรื่อง
ผมเกลียดมัน ผมเกลียดที่ถูกวิจารณ์เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นตลอด...
โดยเฉพาะเรื่องหน้าตาที่หลายคนมักจะสังเกตและเอ่ยออกมาทุกครั้งว่าผมหน้าตาคล้ายกับคาร์ลไฮนซ์มากที่สุดจนอดคิดไม่ได้ว่าเป็นญาติพี่น้องกันหรือเปล่า
ทั้งที่ผมลงทุนพยายามเปลี่ยนทรงผมตนเองไม่ให้ซ้ำกับของเขาไม่ก็ทำผมยุ่งๆ
ไม่ค่อยเป็นระเบียบกระทั่งผมเคยคิดที่จะตัดผมและย้อมสีผมใหม่เลยด้วยซ้ำ
แต่สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็บังคับให้ผมไว้ผมยาวเหมือนกับเขาอีกทั้งไม่ยอมให้ผมย้อมสีผมของตนเองอีกตะหาก...
ถึงแม้คนภายนอกจะรับรู้ว่าผมไม่ได้เป็นญาติพี่น้องหรือมีสายเลือดเดียวกับเขาแค่บังเอิญเกิดมามีใบหน้าคล้ายกันเท่านั้นก็ตาม
แต่มันก็อดนึกรังเกียจตนเองไม่ได้ว่าผมมีสายเลือดใกล้ชิดกับผู้ชายที่ทำลายครอบครัวของผมจนย่อยยับและทำให้พวกเราสองพี่น้องต้องตกนรกทั้งเป็นแบบนี้
นั่นมันแค่ส่วนหนึ่งของความเลวร้ายเท่านั้น
ความเลวร้ายของคาร์ไฮนซ์นั้นมากมายกว่านี้อีกชนิดที่ว่าบรรยายหน้ากระดาษเดียวก็คงไม่พอ...
คิดแล้วมันน่าถอนหายใจออกมาจริงๆ
ถ้าผมหายใจแบบมนุษย์คงถอนหายใจอย่างแรงเลยทีเดียว
เอาเป็นว่าตอนนี้อย่าเพิ่งฟุ้งซ่านคิดถึงชายคนนั้นทำหน้าที่ของตนเองให้เสร็จดีกว่า
ขณะผมกำลังทำหน้าที่เสิร์ฟไวน์ช่วยเหลือคนรับใช้คนอื่นพลันนั้นผมได้กลิ่นไม่พึงประสงค์เข้าอย่างจังแตะปลายจมูกเข้า
กลิ่นที่คุ้นเคยแบบนี้มันอย่าบอกนะว่าเป็น...
"วะ...ว้าว! นี่มันงานเต้นรำของจริงนี่นา"
ยามนัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ของผมหันมองที่มาของกลิ่นและเสียงอันคุ้นเคยทันทีที่ผมเห็นดวงตาผมเบิกกว้างด้วยความตกใจระคนสงสัยทันที
เอ็ดการ์?! ทำไมเอ็ดการ์ถึงมาที่งานเลี้ยงได้ล่ะ
อย่าบอกนะว่าชูเป็นคนพาเอ็ดการ์มาที่นี่ทั้งที่ผมเตือนเขาไปแล้ว!
ให้ตายสิ! หลานผมนี่หัวดื้อไม่ใช่เล่นเหมือนกันไม่รู้ว่าไปได้ความหัวดื้อมาจากใครกันก็ไม่รู้
ผมจัดการส่งถาดแก้วไวน์ให้ปีศาจรับใช้ทำหน้าที่แทน ฉวยโอกาสตอนที่เอ็ดการ์แยกกับชูแล้วใช้พลังเคลื่อนย้ายตนเองมาข้างหลังเขาแบบไม่ทันให้รู้ตัวแล้วก็วางมือตบบ่าเขาจนสะดุ้งโยงค่อยๆ
หันมามองผมที่ตอนนี้กำลัง 'โกรธ'
แบบสุดๆ ด้วยสีหน้าหวาดกลัวไม่กล้าสู้หน้าผม
ยามยิ่งฝ่ายตรงข้ามสบตาผมยิ่งไม่กล้ามองหน้าผมใหญ่เหมือนเด็กเวลาโดนพ่อแม่จับได้ว่าทำความผิดอย่างใดอย่างนั้น
เหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะว่าชูไม่เคยเห็นผม 'โกรธ' เขาอย่างจริงจังมาก่อน
"ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมขอรับว่าที่นี่ไม่เหมาะสมกับมนุษย์อย่างเขาน่ะ
นายน้อยชู" ผมเอ่ยเขาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทว่ามันให้อารมณ์เหมือนเบียทริกซ์ตอนกำลังสั่งสอนเขาไม่มีผิด
ที่แตกต่างก็คือเวลาผมโกรธผม 'น่ากลัว' กว่าเบียทริกซ์เยอะเลยซึ่งผมก็คิดว่าอย่างนั้นล่ะนะ...
"ผม...ขอโทษ
ผมแค่อยากตอบแทนเอ็ดการ์ที่สอนอะไรหลายๆ อย่างให้ผมตอนผมอยู่ข้างนอก"
ชูกล่าวเสียงอ่อยรู้สึกผิดที่ทำอะไรลับหลังผมแบบนี้
ผมเข้าใจว่าเอ็ดการ์เป็นเพื่อนมนุษย์คนสำคัญของเขา
แต่ก็นะ...เรื่องนี้ผมปล่อยวางไม่ได้เด็ดขาด
"โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของเขา?" ผมเลิกคิ้วถามเสียงนิ่ง ชูนิ่งเงียบตามไปด้วยไม่กล้าตอบผมเพราะมันเป็นความจริงที่ว่าเขาไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของเอ็ดการ์เลย
"ฟังนะขอรับ
ผมรู้ว่าเอ็ดการ์เป็นเพื่อนคนสำคัญของนายน้อยชูแต่ว่ามนุษย์ท่ามกลางเหล่าแวมไพร์ก็ไม่ต่างอะไรกับแกะที่อยู่ในดงหมาป่าแล้วนายน้อยชูคิดว่าตนเองสามารถปกป้องเขาได้หรือเปล่า?
ถ้าได้ผมจะถือซะว่าเรื่องราวในครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแต่ถ้าไม่ผมจะส่งเขากลับทันที"
"ผะ...ผม..."
ชูอึกอักเล็กน้อยก่อนที่จะมีเสียงแทรกมาอีกเสียง
"คุณเบียคุยะ!
ไม่ได้เจอกันนานนะตั้งหลายวันเลยแหนะ" เด็กชายมัดผมหางม้าสีน้ำตาลในชุดออกงานของชูตรงมาหาผมพร้อมแก้วน้ำผลไม้ในมือสองแก้วคาดว่าน่าจะเอามาให้ชูมองผมด้วยดวงตากลมโตสีน้ำตาลเป็นประกาย
"โอ้โห! คุณเบียคุยะใส่อะไรแล้วดูดีเป็นบ้าเลย
ผมล่ะอิจฉาคนหน้าตาดีใส่ที่อะไรก็หล่อแบบคุณเบียคุยะจริงๆ"
"ขอบคุณมากขอรับ" ผมส่งยิ้มบางให้อีกฝ่าย
"ก็ต้องขอบคุณชูแหละเพราะชูทำให้ผมได้เปิดโลกใหม่เยอะเลย
ที่นี่คนสวยๆ เพียบเลย ชุดก็อลังการมาก สุดยอดไปเลยล่ะ"
เอ็ดการ์กล่าวอย่างมีความสุขพร้อมยิ้มกว้างตาเป็นประกายระยิบระยับยิ่งกว่าดาบบนท้องฟ้า
พอเห็นแบบนี้แล้วผมไม่กล้าอบรมสั่งสอนชูต่อหน้าเขาจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้นผมต้องตักเตือนเขาก่อนจะจากไป
ผมก้มลงในระดับความสูงใกล้เคียงกับหลานชายคนโตกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่ได้ยินเสียงสองคนหมายตักเตือนผสมความเป็นห่วงอีกฝ่าย
"ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วนายน้อยชูต้องรับผิดชอบเอ็ดการ์ให้ถึงที่สุดนะขอรับถ้ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นให้เรียกผมทันที"
"..." ชูไม่ตอบแต่พยักหน้าเบาๆ
ในเมื่อวางใจได้ในระดับหนึ่งแล้วผมหันหลังให้อีกฝ่ายเดินออกไปจากห้องโถงงานเต้นรำทันที
จะเรียกว่าโดดงานก็คงไม่ผิดนักหรอกเพราะตอนนี้ผมยังไม่หายโกรธชู บางทีการเดินเล่นข้างนอกซักพักหนึ่งอาจจะทำให้อารมณ์เย็นขึ้นมาบ้างเอาเป็นว่าเรื่องของเอ็ดการ์ผมจะไปคุยกับเขาอีกทีหลังงานเลิกแล้ว
ผมเดินออกไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าดวงตาสีฟ้าอันงดงามเหมือนท้องนภานั้นหม่นหมองลง
"เบียคุยะ ผมขอโทษ...ได้โปรดอย่าโกรธผมเลยนะ"
.
.
.
.
.
.
ชั่วชีวิตของเธอนั้นไม่เคยเจอสีขาวที่สวยงามยิ่งกว่าหิมะเท่านี้มาก่อน...
ท่ามกลางหิมะโหมแรงยามค่ำคืนเด็กสาวตัวน้อยในเสื้อคลุมขนสัตว์อย่างดีเดินหลงเข้าไปในป่าหาหนทางกลับไปยังที่ที่เธอจากมานั้นไม่เจอ
ตัวเธอนั้นยังคงอ่อนต่อโลกไม่รู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้นเพราะถูกฟูมฟักดูแลอย่างดีจากบิดาของตนหลังมารดาสิ้นไปแล้ว
แต่เพราะการฟูมฟักเลี้ยงดูที่ดีเกินมิต่างไปจากไข่ในหินทำให้อิสระภาพของเธอนั้นถูกจำกัดเป็นดั่งนกน้อยในกรงที่บินวนเวียนอยู่อย่างนั้น
คล้ายความอุ่นจากเสื้อคลุมขนสัตว์อย่างดีไม่อาจกันความเหน็บหนาวในค่ำคืนแห่งเหมันต์นี้ได้
เด็กสาวตัวน้อยกอดตนเองเพื่อเพิ่มไออุ่นของตนเอง
ดวงตาเริ่มง่วงงุนจะเข้าภวังค์นิทราแต่พยายามฝืนตนเองให้ตื่นอยู่ตลอดเวลาเพราะตัวเธอรู้ดีหากหลับไปแล้วไม่อาจฟื้นคืนจากห้วงนิทราได้อีก
ไม่น่าเลย...เธอไม่น่าหนีออกมาจากบ้านเลย...
เพราะทุ่มเถียงกับบิดาของตนทำให้ตนต้องวิ่งหนีออกมาข้างนอกนี้จนหลงทางเข้าไปในป่าลึกท่ามกลางหิมะโหมกระหน่ำแบบนี้
เธอเพียงแค่ต้องการอิสระออกไปเล่นข้างนอกเหมือนกับเด็กคนอื่นไม่ใช่อยู่แต่ในบ้านพักตากอากาศเวลาออกไปข้างนอกก็ต้องมีคนติดตามดูแลไม่สามารถออกไปวิ่งเล่นได้เหมือนเด็กทั่วไป
เธอเกลียดตนเอง
เธอไม่อยากเป็นเด็กขี้โรคแบบนี้เลยเพราะมันทำให้อิสรภาพของเธอถูกจำกัด
ความงดงามของโลกใบนี้เธอมิอาจสัมผัสกับมันได้ก็เพราะมัน
เด็กสาวหยุดนิ่งด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนแรงตามประสาเด็กอ่อนแอขี้โรค
ยกมือขึ้นอังใบหน้าอันอ่อนเยาว์เป่าลมร้อนจากปากน้อยๆ
ของเธอจนเกิดละอองไอน้ำสีขาวอย่างเห็นได้ชัดสร้างความอบอุ่นเท่าที่มีก่อนออกเดินทางหาที่พักหลบพายุหิมะนี้
ทว่ายังไม่ทันที่เด็กน้อยแสนอ่อนแอคนนี้ก้าวเท้าพญามัจจุราชก็มาเยือนต่อหน้าเธอเข้าเสียแล้ว...
กรรรรรร...!
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลดั่งคาราเมลเฉกเช่นเดียวกับเรือนผมมองข้างหน้าหาแหล่งที่มาของเสียงอันน่าหวาดหวั่น
เด็กสาวในชุดขนสัตว์ตัวน้อยเห็นหมาป่าฝูงหนึ่งอยู่ตรงหน้าเธอแยกเขี้ยวขู่คำรามส่งสัญญาณว่าเธอเป็นเหยื่อของพวกมันและพวกมันพร้อมที่จะฉีกเนื้อเธอเป็นชิ้นๆ
จนเหลือแค่เศษซาก
เธอหวาดกลัวตัวสั่นระริกอยากวิ่งหนีออกไปให้ไกลจากฝูงสัตว์ร้ายเหล่านี้ทว่าความกลัวกลับครอบงำทั้งร่างของเธอ
เธอก้าวขาไม่ออกคล้ายมีอะไรบางอย่างถ่วงน้ำหนักเอาไว้ยากที่จะขยับหนีจากพญามัจจุราชแต่เมื่อคิดอีกทีแล้วต่อให้เธอหนีพวกมันก็มีกันเป็นฝูงยากที่จะรอดจากคมเขี้ยวของมันได้
กลัว กลัว กลัว
ท่านพ่อช่วยลูกด้วย...ลูกสัญญาว่าจะไม่หนีออกจากบ้านอีกแล้ว
เด็กสาวหลับตาภาวนาอย่างสิ้นหวัง เธอรู้ดีว่าสุดท้ายเธอต้องถูกฉีกกระชากกลายเป็นอาหารของหมาป่าแต่เธอไม่อาจทำใจยอมรับได้ว่าเธอนั้นต้องตายท่ามกลางความหนาวเหน็บและไม่มีโอกาสขอโทษท่านพ่อของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
ทว่าในความมืดมิดของคืนพายุหิมะนั้นยังคงมีแสงสว่างหลงเหลืออยู่
"ออกไป..."
เด็กสาวตัวน้อยราวกับต้องมนตร์ทันทียามได้ยินเสียงทุ้มต่ำเรียบนิ่งอันแสนนุ่มนวลทว่าผิดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้
เธอลืมตาขึ้นมาเผยให้เห็นนัยน์ตาสีคาราเมลอันกลมโตของเธอซึ่งตรงหน้านี้ไม่ใช่ฝูงหมาป่าทว่าเป็นเส้นผมสีขาวยาวสยายพลิ้วไหวตามแรงลมแทบจะกลืนไปกับหิมะถึงแม้ว่าพายุหิมะจะซาลงไปบ้างแล้วทว่ายังคงมีลมหนาวอยู่ดี
ฝูงหมาป่าเริ่มหวาดระแวงกับการปรากฏตัวของคนตรงหน้าทว่ายังคงอยู่
เธอไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้มีสีหน้าเช่นไรแต่คาดว่ามันน่าหวาดกลัวยิ่งเสียกว่าหมาป่าทั้งฝูงเป็นแน่
"ออกไป...ถ้าหากพวกเจ้ายังรักชีวิตของตัวเองและครอบครัวของพวกเจ้า
จงออกไปและอย่าได้กลับมาอีก"
วินาทีนั้น หมาป่าตัวหน้าที่คาดว่าเป็นจ่าฝูงนั้นถอยหนีกลับไปเป็นตัวแรกตามด้วยหมาป่าตัวอื่นอีกหลายตัวยามเห็นท่าทีหวาดกลัวสุดจะหยั่งถึงต่อบุรุษตรงหน้านี้
ยามเมื่อหมาป่าจากไปแล้วผู้มีพระคุณตรงหน้าของเด็กสาวนั้นหันกลับมามองเธอด้วยดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์อันงดงามทว่าเป็นความงามที่น่าหวาดหวั่นยามเรืองแสงท่ามกลางความมืดทำให้เธอรู้ว่าผู้มีพระคุณของเธอนั้นไม่ใช่มนุษย์
จากการแต่งตัวชาวคนนี้สวมเสื้อที่บางเบากว่าเธอเสียด้วยซ้ำเหมือนกับว่าหิมะอันหนาวเหน็บนี้ไม่สามารถทำอะไรบุรุษตรงหน้านี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
จะมีหรือ? ที่มนุษย์ธรรมดาทนทานความหนาวเหน็บอันโหดร้ายนี้ได้นอกเสียจาก...
คนผู้นั้นไม่ใช่ 'มนุษย์' ทว่าเป็นปีศาจร้ายนั่นเอง
แต่ว่าถ้าคนตรงหน้านี้เป็นปีศาจร้ายจริงๆ
แล้วทำไมปีศาจร้ายตนนี้ถึงได้อ่อนโยน งดงาม และน่าหลงใหลเช่นนี้...
"เธอ...หลงทางอย่างนั้นหรือ?" เขาถามเธอพยักหน้า
"แล้ว...เธอกลัวผมไหม?" เขาถามอีกครั้งเหมือนรู้ว่าเธอรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว
เด็กสาวนิ่งเงียบ มองหน้าของชายผู้ช่วยชีวิตเธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลกลมโตของเธอคู่นี้จากนั้นส่ายหน้าอย่างช้าๆ
มองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกยินดีปราศจากความหวาดกลัวแล้วยื่นมือให้คนผู้นั้นจับพาตัวเธอออกไปจากสถานที่อันหนาวเหน็บแห่งนี้
คนตรงหน้าระบายยิ้มออกมา ยามพายุหิมะนิ่งสงบไปคล้ายการมาของชายผู้นี้พัดพาสิ่งเลวร้ายออกไป
แสงจันทร์และดาราอาบไล่ร่างผู้มีพระคุณของเธอเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงให้เด่นชัดมากขึ้น
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเด็กหญิงตัวน้อยเบิกกว้างตกตะลึงราวต้องมนตร์
เรือนผมสีขาวยาวสลวยประดุจดั่งเส้นไหมสีขาวอันเลอค่า
ดวงตาสีอัญมณีสดใสเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าอันงดงามเหนือจินตนาการดุจดั่งเจ้าชายที่หลุดออกมาจากเทพนิยายก่อนนอนยามที่บิดาของเธอนั้นเล่าให้ฟังก่อนนอนทุกคืน
เป็นสีสันที่งดงามที่สุดมากกว่าที่เธอเคยพบและเป็นสีสันที่งดงามยิ่งกว่าอะไรบนโลกใบนี้
คนผู้นี้ช่างน่าหลงใหลแค่คำว่างดงามมันยัง...
"ไม่พอ..." เด็กหญิงเผลอหลุดปากออกมาเสี้ยวหนึ่งจนคนข้างตนนั้นสงสัย
กว่าจะรู้สึกตัวแก้มของเด็กสาวนั้นแดงระเรื่อยิ่งกว่ากุหลาบแดงที่เบ่งบานยามฤดูใบไม้ผลิไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาบนโลกที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความรัก
"เป็นอะไรหรือเปล่า?" ชายคนนั้นถามด้วยความสงสัย
"ไม่ ไม่เป็นไรขอบคุณที่ช่วยหนูเอาไว้นะคะ
หนูชื่อ 'อิมิเลีย' แล้วคุณล่ะคะ...?"
"ชื่อของผม...? อย่ารู้ดีกว่าเพราะผมไม่อยากให้คุณจดจำปีศาจร้ายอย่างผม"
ปีศาจร้ายอย่างนั้นหรือ? แต่ว่าปีศาจร้ายที่ว่านี้กำลังกอบกุมมือเธออยู่ถึงแม้จะไร้ซึ่งความอบอุ่นแต่ก็สัมผัสได้ถึงความมั่นคงและปลอดภัยยามที่กอบกุมมืออันเย็นเยียบนี้
เธอเลือกที่จะปฏิเสธ
เธออยากจดจำเขาสลักลึกลงภายในจิตใจของเธอต่อให้เขามีอำนาจลบล้างความทรงจำก็ตามเธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
จนสุดท้ายชายผู้มีพระคุณของเธอนั้นยอมบอกชื่อของตนเองออกมาอย่างง่ายดายเมื่อเจอกับความดื้อดึงอยากที่จะรับมือของเด็กสาว
นางามิตสึ เบียคุยะ...ความลับอันเป็นนิรันดร์ในราตรีสีขาว
เป็นชื่อที่งดงามและไพเพราะยิ่งนัก
เด็กสาวยิ้มเธอยังคงจับมือชายผู้มีพระคุณของเธอเดินออกจากป่าแห่งนี้ท่ามกลางราตรีที่ผ่านพ้นพายุหิมะอันหนาวเหน็บกลับสู่บ้านอันอบอุ่นของเธออีกครั้งถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกเสียดายที่ชายที่อยู่เคียงข้างเธอนั้นหายตัวไปอย่างลึกลับก็ตาม
แต่ไม่เป็นไร...ซักวันหนึ่งยามเธอกลับมาที่นี่อีกครั้งเธอก็จะพบกับชายผู้นั้นเอง
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
กงล้อแห่งโชคชะตาและสายสัมพันธ์ระหว่างเด็กสาวผู้เป็นมนุษย์กับชายผู้เป็นปีศาจร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น
ฤดูกาลเปลี่ยนผันจากฤดูเหมันต์ในวันนั้นกลับเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นจากฤดูอันอบอุ่นกลับกลายเป็นฤดูร้อนแสงอาทิตย์ส่องจนดวงตาแทบพร่ามัวจากฤดูร้อนแปรเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ร่วงพร้อมใบไม้สีแดงที่ร่วงหล่นสมกับชื่อฤดูกาลนี้แล้วก็กลับมาฤดูหนาวอันเย็นเยียบอีกครา
ฤดูกาลทั้งสี่นั้นหมุนเวียนไปอย่างไม่รู้จบทว่ากาลเวลานั้นยังคงเดินก้าวต่อไปข้างหน้ามิอาจย้อนกลับมาได้เฉกเช่นฤดูเหล่านี้
นับจากวันเป็นเดือน...
จากเดือนเป็นปี...
ทุกสรรพสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่งรวมถึงเด็กสาวตัวน้อยที่เติบโตขึ้นทว่าสิ่งที่ยังคงเดิมของเธอคือความบริสุทธิ์ที่อาบย้อมด้วยประกายแห่งรักดั่งเด็กสาววัยแรกแย้มที่ตกอยู่ในห้วงแห่งรัก
ถึงแม้มันฟังดูเพ้อเจ้อสำหรับคนเห็นต่างทว่าสำหรับเด็กสาวนั้นคือความสัตย์จริง
ทุกครั้งยามเธอมีโอกาสมาพักบ้านพักตากอากาศ
อิมิเลียมักจะมองหาปีศาจร้ายที่อ่อนโยนของเธอบริเวณป่าที่เธอเคยหลงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ถึงแม้ว่าจะมีคนติดตามเธอไปด้วยและมากเกินความจำเป็นก็ตามแต่เธอไม่ใคร่ใส่ใจนักเพราะเธอไม่อาจปฏิเสธความรักความเอาใจใส่ของบิดาได้
ดวงตาสีคาราเมลมองกลุ่มต้นไม้เหล่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยแสงจากดวงอาทิตย์ยามหน้าร้อนทำให้เธอแทบจำไม่ได้เลยว่ามันเป็นผืนป่าเดียวกันในยามฤดูเหมันต์อันโหดร้าย
ยามฤดูเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปจริงๆ นั่นแหละ
เธอเดินเล่นอย่างเพลิดเพลินจนลืมเสียสนิทว่าเธอทิ้งห่างจากคนรับใช้ไปมากโขแล้ว
เด็กสาวหันกลับไปอีกทีไม่พบคนรับใช้ของเธอ
อิมิเลียรู้ตัวว่าตนออกมาไกลมากแล้วจึงเตรียมเดินกลับไปและมันคงเป็นอีกวันกับอีกหนึ่งฤดูและก็อีกปีหนึ่งที่เธอไม่ได้เจอกับปีศาจตนนั้น
ขณะเธอกำลังก้าวเท้าเสียงปริศนาดังขึ้นข้างหลังจากเธอ
มันเป็นเสียงเครื่องดนตรีที่ไพเราะสัมผัสได้ถึงความสดใส
ดั่งนิทานคนเป่าปี่แห่งฮาเมลินยามเสียงถูกขับขานเหล่าหนูต่างถูกมนตร์สะกดแล้วกระโจนลงน้ำฆ่าตัวตาย
เหล่าเด็กถูกล่อลวงพรากหายออกไปจากหมู่บ้าน
ทว่าเด็กน้อยที่ควรกลัวกลับเดินเข้าไปหาด้วยบทเพลงอันแสนลึกลับนี้
สุดท้ายปลายทางแห่งเสียงเพลงเป็นชายร่างสูงผมสีขาวยาวดุจดั่งหิมะกำลังพริ้มตาหลับเป่าขลุ่ยดินเผาด้วยท่วงทำนองแห่งความสุขบนต้นไม้สูงยากที่เด็กอย่างเธอปีนขึ้นไปได้
เหมือนต้องมนตร์ปีศาจ...แต่ถ้าหากปีศาจร้ายคือคนตรงหน้าเธอยินยอมศิโรราบต่อการล่อลวงอันแสนอันตรายทว่าน่าหลงใหลนั้น
ดวงตาสีคาราเมลของเธอจับจ้องมองยังร่างของคนที่เรียกตนเองว่าปีศาจร้ายไร้ซึ่งเสียงรบกวนและบทสนทนา
เธอเพียงแค่มองและฟังชื่นชมความงดงามของเสียงดนตรีอย่างเงียบๆ
ปล่อยให้สายลมพัดพาเสียงเพลง
แต่แล้วเสียงแห่งความสุขนั้นหยุดลงทันที
คล้ายอีกฝ่ายรู้การปรากฏตัวของเธอจึงหยุดเล่นเสียดื้อๆ
จ้องมองเธอด้วยใบหน้าอันเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์
จากนั้นเขาลงจากต้นไม้สูงยืนมองเธอหากเป็นมนุษย์ธรรมดาคงบาดเจ็บสาหัสไปนานแล้วแต่กับคนตรงหน้านี้ไม่อาจใช้คำว่ามนุษย์ธรรมดาได้
"เด็กน้อย เธอกำลังบุกรุกอาณาเขตที่มนุษย์อย่างเธอไม่ควรเข้ามา
กลับไปเสีย" ชายผู้มีพระคุณของเธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ดวงหน้าเฉยชาคล้ายตุ๊กตากระเบื้องอันแสนงดงามที่อยู่ในบ้านของเธอไม่ปานนั้น
"เพลงเพราะมากเลยค่ะ
ว่าแต่คุณอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอคะ?" แทนที่จะกลับไปเด็กน้อยอิมิเลียกลับชื่นชมเสียงเพลงและไถ่ถามอีกฝ่ายอย่างไร้เดียงสา
"ถ้าผมอยู่คนเดียวผมคงไม่ไล่เธอกลับไปหรอก
เด็กน้อย"
"หนูแค่อยากเจอคุณ
อยากเจอมากที่สุดเลยค่ะ"
อิมิเลียตอบเสียงหวานดั่งกระดิ่งแววตาสดใสเป็นประกายมองอย่างใสซื่อทว่าจริงใจมากที่สุดสำหรับเด็กน้อยอายุประมาณเท่าเด็กประถมเห็นจะได้
ดวงตาสีคาราเมลเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาสีม่วงอัญมณีแค่วูบหนึ่งก่อนกลับมาเรียบนิ่งเหมือนเดิมคล้ายช่องโหว่บนกำแพงทว่าถูกอุดเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ปีศาจผมขาวคาดการณ์ไว้แล้วว่าเด็กมนุษย์ตัวน้อยคนนี้ดื้อกว่าที่คิดและดื้อคล้ายใครบางคน
หากจะให้กลับก็คงมีแต่ต้องไปด้วยกันเท่านั้น...
ปีศาจร้ายนามเบียคุยะจับมือของเด็กสาวจูงกลับไปยังที่ที่เธอจากมาและตัวเด็กสาวเองก็ยินยอมพร้อมส่งยิ้มสดใสดั่งดวงอาทิตย์ให้แก่ปีศาจของเธอถึงแม้ว่ามันดูเปล่าประโยชน์และอีกฝ่ายเลือกที่จะเมินหนีไม่หันมามองก็ตามที
"หนูทำให้คุณเบียคุยะคิดถึงใครบางคนหรือเปล่า?"
ชายหนุ่มร่างสูงชะงักเล็กน้อยก่อนเดินก้าวไปเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น
"ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจถึงแค่แวบเดียวแต่หนูเห็นความอ่อนโยน
ความเศร้า และความคะนึงหาอยู่ภายในนั้น เพราะแบบนั้นใช่ไหมคุณถึงไม่กล้าลบความทรงจำของหนูทั้งที่ทำได้
หนูคล้ายใครบางคนที่คุณรู้จักหรือเปล่า?"
คำตอบคือ 'ไม่ใช่'
กับ 'ใช่'
ส่วนที่ไม่ใช่คือเขาไม่กล้าลบความทรงจำเพราะเขาไม่มีพลังอำนาจขนาดนั้นนอกจากปรับเปลี่ยนความทรงจำคนอื่นทว่ามันต้องมีสิ่งอ้างอิงที่มีน้ำหนักพอ
ป่าบริเวณนั้นไม่มีมนุษย์ตั้งรกรากและเข้ามาที่แห่งนั้นเพราะสัตว์นักล่าอยู่แถวนั้นเยอะมากจะให้แต่งเรื่องว่ามีนายพรานใจกล้าดั้นด้นมาช่วยเด็กน้อยที่แอบหนีออกมาโดยที่ไม่มีใครรู้เรื่องเลยได้อย่างไร?
ส่วนที่ใช่คือเด็กน้อยคนนี้ทำให้เขานึกถึง 'คริสต้า' น้องสาวคนสำคัญของเขาเอง
"...อย่ามาสนิทกับผมดีกว่า
ใครก็ตามที่อยู่กับผมล้วนจากหายไปทั้งสิ้น"
ชายหนุ่มเม้มปากแน่นจากนั้นเอ่ยตอบเด็กสาว
ใบหน้าที่งดงามพลันหม่นหมองคล้ายอัญมณีหม่นแสงมีตำหนิเป็นใบหน้าที่ไม่ว่าใครแม้แต่เด็กน้อยอิมิเลียอยากปลอบโยนอีกฝ่ายถึงแม้ว่าคนๆ
นั้นจะไม่ใช่มนุษย์ก็ตามที
"แต่หนูเชื่อว่าเขาหรือเธอที่คุณคะนึงหาคนนั้นต้องมีความสุขมากแน่นอนที่ได้อยู่กับคุณ
ต่อให้ตอนนี้มันจะไม่เหมือนเดิมแล้วสักวันหนึ่งความสุขจะต้องมาเยือนแน่นอนถ้าเรามองหามันให้เจอ"
"เป็นเด็กที่ใสซื่อจังนะ...คิดว่าปีศาจร้ายทำลายชีวิตคนที่ตนรักจนย่อยยับอย่างผมน่ะพระเจ้าจะเมตตาอย่างนั้นหรือ?"
ชายผมขาวกล่าวขึ้นไม่หวังคำตอบอันสวยหรูใดๆ
เพราะมันไม่ทำให้สิ่งที่ตนเป็นอยู่นั้นเปลี่ยนไปเลย
ตนนั้นต่อให้ดีแค่ไหนก็เป็นเพียงแค่ปีศาจร้ายที่ทำลายคนที่ตัวเองรักแค่เฉียดใกล้สิ่งที่รักนั้นล้วนหายจากไปเสมอ...
ทว่าเด็กน้อยอิมิเลียนั้นกลับตอบคำถามนั้นอย่างใส่ซื่อบริสุทธิ์
"แน่นอน
พระผู้เป็นเจ้าน่ะไม่มีวันหยุดเมตตาต่อผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยความมุมานะอุตสาหะหรอกค่ะ"
เหมือนมีสัมผัสอันแสนอ่อนโยนสัมผัสหัวใจของปีศาจร้าย เหมือนสายลมในยามเช้าแสนอบอุ่นพัดผ่านเสียจนอยากหยุดอยู่ตรงนั้นให้สายลมคอยปลอบโยนตนเอง
คำตอบที่เขาไม่คาดคิดออกมาจากปากของเด็กสาวตัวน้อยท่าทางฉลาดทว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่มีความเชื่อมั่นและความศรัทธาต่อแสงสว่าง
"ต่อให้เขาหรือเธอนั้นเกลียดคุณแต่คุณก็ยังคงรักเขาหรือเธอคนนั้นต่อไปใช่ไหมคะ?"
ชายหนุ่มไม่ตอบทว่าในใจตอบว่า 'ใช่ รักเสมอมาและจะยังคงรักต่อไป'
"เพราะอย่างนั้นอย่าได้เศร้าใจไปเลย
ยามคุณตระหนักถึงคุณค่าแห่งรักยามนั้นคุณคือมนุษย์
และมนุษย์นั้นคือหลักฐานยืนยันของความรักอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง"
ชายหนุ่มไม่ตอบเด็กน้อยเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีมองหน้าอีกฝ่ายเลิกลั่กพร้อมกล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิดอย่างซื่อๆ
ตามประสาเด็กน้อย "หนูขอโทษนะ ถ้าหนูพูดอะไรผิดไป"
"เด็กน้อย อนาคตเธออย่างเป็นซิสเตอร์ของโบสถ์อย่างนั้นเหรอ?
เทศนาเก่งซะเหลือเกิน" ยามถูกอีกฝ่ายตอบกลับแบบนั้น
เด็กน้อยอิมิเลียหน้าแดงระเรื่อดวงตาสั่นทันทียามถูกหยอกล้อเช่นนั้น
"ปะ เปล่านะคะ!
หนูก็แค่จำคำสอนของซิสเตอร์ที่โรงเรียนเท่านั้นเองค่ะ
ไม่ได้อยากเป็นซิสเตอร์เลยนะคะ! ตะ
แต่ถ้านั่นหมายถึงคำชมหนูก็ยินดีรับไว้ค่ะ" ท่าทีน่าเอ็นดูของเด็กน้อยอิมิเลียผู้ฉลาดเกินวัยทว่ายังคงความบริสุทธิ์ใสซื่อทำให้คนที่มีสีหน้าเรียบนิ่งเมื่อครู่หลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เหมือน...เหมือนกันมาก
เหมือนช่วงเวลาที่พวกเราสองพี่น้องยังคงมีความสุข...
ชายหนุ่มผมขาวพลันนึกถึงวันวานที่พวกเขาสองพี่น้องยังคงมีความสุขซึ่งมันแทบเลือนลางมากแล้วเพราะความสุขนั้นมันหายจากไปนานแล้วอยู่ๆ
ก็มีเด็กน้อยหัวดื้อฉลาดเกินวัยทว่ายังคงใสซื่อตามประสาเด็กมาขุดความทรงจำที่ดีนี้กลับมา
บางที...เขาอยากจะลองดูซักครั้ง การได้อยู่กับเด็กน้อยคนนี้อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้
ถ้าหากพระผู้เป็นเจ้าไม่หยุดเมตตาคนบาปอย่างเขาตามที่เด็กน้อยคนนี้ว่าจริงน่ะนะ...
เบียคุยะหรือนามแท้ว่ามิไฮนซ์นั้นหวังภาวนาอย่างนั้นจูงมือเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มจางเดินตามาทางส่งเด็กน้อยอิมิเลียผู้นี้กลับบ้านอย่างเงียบงัน
หลังจากวันนั้นทุกครั้งยามเด็กสาวมาพักผ่อนที่แห่งนี้
อิมิเลียมักจะเดินเล่นในป่าพบกับปีศาจผมขาวของเธอเสมอบางครั้งเข้าไปเดินเล่นในหมู่บ้านเล็กๆ
แอบคนรับใช้ที่บิดาของเด็กสาวส่งมาเป็นเรื่องสนุกน่าตื่นเต้นสำหรับเด็กน้อย
เธอชอบ เธอชอบช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเบียคุยะ...
เบียคุยะมองเธอต่างจากคนอื่นรวมไปถึงบิดาของตน
ถึงแม้เขาเป็นห่วงเธอแต่ก็ไม่ได้ห่วงเธอเป็นเด็กขี้โรคที่ต้องคอยดูแลเอาอกเอาใจจนเกินเหตุเหมือนนกน้อยในกรงทอง
เบียคุยะปฏิบัติกับเธอเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปให้ออกไปวิ่งเล่นตามที่ใจต้องการ
สัมผัสกับสายลมและอิสระที่เธอไม่เคยได้รับ สอนสิ่งต่างๆ
ที่เธอเปิดโลกใบใหม่ให้กับเธอที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ส่วนเรื่องที่เขาเป็นห่วงนั้น...
คือเรื่องเผ่าพันธุ์ของเขากับเผ่าพันธุ์ของเธอเอง
อิมิเลียมารู้ทีหลังว่าเบียคุยะนั้นเป็นแวมไพร์
ตอนเจอกันครั้งแรกท่ามกลางหิมะตัวเธอนั้นได้เผลอล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของแวมไพร์โดยไม่ได้ตั้งใจทำให้ฝูงหมาป่าที่เฝ้าอยู่เขตนั้นได้กลิ่นเธอจึงออกมาป้องกันอาณาเขตไม่ให้มนุษย์หน้าไหนย่างกรายเข้ามา
เบียคุยะที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเป็นคนแรกจึงออกมาช่วยพาเธอกลับบ้านซ้ำยังสร้างหลักฐานปลอมโกหกแวมไพร์ตนอื่นว่ามนุษย์ที่ล่วงล้ำมานั้นถูกหมาป่าขย้ำตายไปแล้วซึ่งอีกฝ่ายก็ได้ข่มขู่พวกหมาป่าที่ตามล่าเธอว่าถ้าหากปากโป้งเรื่องนี้ล่ะก็หมาป่าทั้งฝูงได้หายไปในพริบตาแน่
ครั้งต่อมาที่เธอเดินตามเสียงโอคาริน่าของอีกฝ่ายเหตุผลที่เบียคุยะไล่เธอกลับไปก็เพราะกำลังจะล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของแวมไพร์ซ้ำสองทว่าตอนนั้นเธอไม่รู้จึงดื้อที่จะอยู่ทำให้ปีศาจผมขาวของเธอต้องเป็นฝ่ายพาเธอออกมาจากที่ตรงนั้นเอง
ถ้าถามว่าเธอกลัวไหม...? อิมิเลียตอบได้ทันทีและหนักแน่นว่าเธอไม่กลัวเพราะเธอนั้นเจอแวมไพร์ดีๆ
อย่างเบียคุยะนั่นเอง ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายบอกว่าแวมไพร์ส่วนใหญ่นั้นมีอารมณ์รุนแรง
บ้าคลั่งได้ทุกเมื่อ
ชอบดูถูกเหยียดหยามมองมนุษย์ต่ำกว่าตนเองเพราะเป็นอาหารก็ตามที
ที่สำคัญแวมไพร์กับมนุษย์เป็นศัตรูกันทางธรรมชาติเพราะแวมไพร์มองมนุษย์เป็นอาหารส่วนมนุษย์มองแวมไพร์เป็นปีศาจร้ายน่าหวาดกลัว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกแวมไพร์ฮันเตอร์ยิ่งเป็นศัตรูกับแวมไพร์ใหญ่เลยถึงแม้แวมไพร์ฮันเตอร์ส่วนใหญ่มีกฎเกณฑ์ไม่อนุญาตให้ฆ่าแวมไพร์ตามใจชอบแต่การที่แวมไพร์ซึ่งถือว่าตนเหนือกว่ามนุษย์
เป็นผู้ล่าอยู่เหนือจุดห่วงโซ่อาหารแล้วอยู่ๆ
ก็มาถูกเหยื่อในห่วงโซ่อาหารระดับล่างฆ่าตายมันเป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้อยู่แล้ว
จะเรียกว่าแวมไพร์แทบทุกตนนั้นล้วนหยิ่งในศักดิ์ศรีตนเองก็ได้...
นอกจากเรื่องนี้แล้วเขายังบอกเธอให้หยุดอ่านทุกเรื่องที่เกี่ยวกับแวมไพร์เพราะมันเป็นเรื่องที่มนุษย์คิดเองเออเองแทบจะไม่จริงเลยซึ่งอันนี้อิมิเลียเห็นด้วย
แวมไพร์ตรงหน้าเธอแทบไม่เหมือนในหนังสือที่เธออุตส่าห์ขุดค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยสักนิดเดียว
แล้ววันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวันเช่นเคยที่อิมิเลียมาหาแวมไพร์ผมขาวของเธอ
“ขอบคุณนะ อิมิเลีย”
"ขอบคุณ? เรื่องอะไรเหรอคะ?" ดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลฉายแววงุนงงเล็กน้อยยามชายหนุ่มที่อยู่ๆ
กล่าวขอบคุณเธอด้วยรอยยิ้มแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยโดยที่เธอไม่รู้ว่าคนตรงหน้าต้องการขอบคุณเรื่องอะไรกันแน่
"เกี่ยวกับคำแนะนำเรื่องของขวัญวันเกิดน่ะ
นายน้อยเรย์จิถูกใจโบว์เนคไทประดับแทนซาไนต์มากเลยนะ
ตอนแรกผมกังวัลว่าเขาจะเอามันไปทิ้งหรือเปล่าแต่พอเห็นเขาใส่มันออกงานผมก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเลย"
ชายหนุ่มกล่าวพร้อมวาดรอยยิ้มอย่างมีความสุขขณะกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องของเด็กสาวซึ่งนับจากการพบกันในป่าปีนี้เด็กสาวอายุ
17 ปีแล้ว
"งั้นเหรอคะ? ดีแล้วล่ะค่ะที่เรย์จิชอบนะคะ"
อิมิเลียอมยิ้มเล็กน้อยพลางจิบชา
"มันเหมือนกับว่าระยะห่างระหว่างเขากับผมใกล้เข้ามาทีละนิดถึงแม้ว่าเขาจะยังคงไม่ชอบผมอยู่เหมือนเดิมก็เถอะแค่เขาไม่เอาของขวัญที่ผมให้ไปทิ้งมันก็ดีเกินพอสำหรับผมแล้วล่ะ"
ยามเห็นเบียคุยะยิ้มอย่างมีความสุขหัวใจของเด็กสาวที่ยังคงอยู่ในห้วงแห่งรักนั้นเอ่อล้นด้วยความสุขเช่นกัน
คนที่เธอรักนั้นยิ้มออกมาจากหัวใจที่เปี่ยมสุขไม่กี่ครั้งเท่านั้นเองเพราะส่วนใหญ่รอยยิ้มของคนที่เธอรักนั้นถ้าไม่ใช่รอยยิ้มที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
ออกมาก็เป็นรอยยิ้มที่โศกเศร้าเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวอ้างว้างบางทีก็แฝงความเหนื่อยล้าออกมาจนอิมิเลียรู้สึกอดเศร้าไปกับมันไม่ได้
ยังมีเรื่องที่เธอไม่รู้เกี่ยวกับคนตรงหน้านี้อีกแต่เธอเชื่อว่าสักวันเบียคุยะจะเปิดใจเอง
และหวังว่าเธอจะยังคงมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้น...วันที่เธอวาดฝันว่าได้ใช่ชีวิตร่วมกันกับปีศาจที่เธอหลงรักถึงมันอาจฟังดูบ้าที่เด็กอายุแค่นี้แต่กลับทำตัวแก่แดดมีความรัก
เธอก็คงคิดว่านั้นถ้าหากเธอไม่รับรู้ว่าอีกฝ่ายเองก็มีใจให้เธอเช่นกัน
ปีศาจร้ายของเธอนั้นหลงรักเธอทว่าพยายามทิ้งระยะห่างผลักไสเธอหยุดอยู่ที่แค่คำว่า
'เพื่อน'
เท่านั้น
อิมิเลียรู้เหตุผลดีว่าทำไมแวมไพร์ผมขาวคนนั้นพยายามผลักไสเธอทั้งที่รักเธอมากกว่านั้น
เขาต้องการให้เธอมีความสุขในฐานะมนุษย์ แต่งงานกับคนที่ดีพร้อมกว่าเขา
มีลูกหลานอยู่ภายในบ้านใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขไม่ใช่มารักเขาแล้วชีวิตเธอสั้นลงมากกว่าเดิมถ้าเป็นแบบนั้นสู้หักห้ามใจตนเองเสียดีกว่า
ถึงแม้เธอเคยขอให้เขาเปลี่ยนเธอเป็นแวมไพร์ก็ตามแต่อีกฝ่ายก็ตอบปฏิเสธทุกครั้งด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้เธอใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถเป็นได้
เบียคุยะนั้นต่างจากแวมไพร์ตนอื่นตรงที่เขามีหัวใจเหมือนมนุษย์มากที่สุดทำให้เหตุผลนี้ถึงถูกยกออกมาได้อย่างง่ายดายนัก
เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับอีกฝ่ายเช่นไรเพราะเหตุผลของอีกฝ่ายมีน้ำหนักมากจนเธอไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้อีกฝ่ายใจอ่อนอีกแล้ว
สิ่งที่เธอทำได้คงมีแต่ภาวนาให้เวลาคอยเยียวยาเท่านั้นเอง...
ทว่าโรคร้ายนั้นไม่เคยปรานีต่อทุกชีวิตบนโลกนี้รวมถึงตัวเธอด้วย
"แค่กๆ แค่ก อ่อก...!"
"อิมิเลีย ลูกพ่อ! ทำใจดีๆ ไว้นะ
พ่อจะตามหมอมาให้"
สองปีต่อมาเด็กสาวอิมิเลียที่เคยน่ารักสดใสหน้ากลับผ่ายผอมอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย
หน้าตาเปล่งปลั่งมีประกายกลับซีดเซียวไม่ต่างจากกระดาษขาว
ทุกครั้งยามที่เธอไอนั้นมีเลือดออกมาเป็นหลักฐานอย่างดีแสดงให้เห็นว่าโรคร้ายกำลังกลืนกินชีวิตของเธอ
"พวกสาวใช้มัวแต่ทำอะไรอยู่รีบมาดูอิมิเลียเร็วเข้าไอเป็นเลือดขนาดนั้นมัวชักช้าอะไรอยู่!
ไซรัสเมื่อไหร่หมอจะมาซักทีอิมิเลียอาการแย่ลงแล้ว?!"
"ผมจะรีบไปตามให้เร็วที่สุดเลยขอรับ
นายท่าน!"
ชายวัยกลางคนมองท่าไม่ดีรีบร้อนสั่งสาวใช้ดูแลลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนเร่งให้พ่อบ้านตามหมอมาโดยเร็วภาวนาให้ลูกสาวของตนนั้นรอดตายถึงแม้ว่าจะต้องอายุสั้นอย่างนั้นก็ขอให้ยืดชีวิตออกไปได้ก็ยังดี
ลูกสาวของตนเป็นสิ่งที่ภรรยาของเขาทิ้งไว้ก่อนตายเขาไม่ยอมเสียเธอไปอย่างง่ายดายอย่างเด็ดขาด
ได้โปรด ใครก็ได้ช่วยอิมิเลียด้วย...จะเป็นภูติผีปีศาจหรืออะไรก็ช่างได้โปรดช่วยอิมิเลียให้หายจากโรคร้ายนี้ที...
"ถ้าอย่างนั้นผมจะบันดาลคำขอของคุณให้เป็นจริงเอง"
เสียงทุ้มปริศนาเอ่ยดังขึ้น
ชายวัยกลางคนหันไปมองเห็นเป็นเพียงแค่ชายร่างสูงที่สวมผ้าคลุมสีดำปิดหน้าเอาไว้อยากที่จะมองออกว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไรทว่าที่รู้อย่างแน่นอนคืออีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ชาย
"แกเป็นใคร! เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?!"
ชายวัยกลางคนนั้นถาม
"ท่านอยากให้ลูกสาวของท่านหายเป็นปกติใช่หรือไม่?"
ชายในชุดผ้าคลุมเอ่ยออกมาไม่สนคำถามที่ชายวัยกลางคนนั้นถามเลยสักนิดเดียวเหมือนมันไม่มีค่าอะไร
"แล้วฉันจะเชื่อ..."
หมับ!
ไม่ทันทีจะกล่าว เด็กสาวคว้ามือของผู้เป็นบิดาของตนไว้ดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลที่แดงก่ำผ่านการร้องไห้มาเยอะมองบิดาของตนเองเอ่ยคำพูดหนึ่งพลันทำหัวใจของผู้เป็นพ่อแทบสลาย
"ท่านพ่อ
พระผู้เป็นเจ้าจะไม่หยุดเมตตาต่อผู้แสวงหาพระองค์ใช่ไหมคะ? ท่านพ่อ...ลูกอยากขอความเมตตาจากพระองค์
พระผู้เป็นเจ้า...ได้โปรดขอให้ลูกได้มีชีวิตต่ออีกสักนิดถึงลูกจะอายุสั้นแต่ขออยู่ต่อแค่สักนิดเดียวก็ยังดี"
หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่จะทนเห็นลูกตนเองตายก่อนตนได้อย่างไรกัน? คนเป็นพ่อแม่ย่อมหวังให้ลูกมีชีวิตที่ดีและยืนยาวอยู่แล้ว
ยิ่งเห็นลูกตนสิ้นหวังกับชีวิตตนเองว่าตนเองนั้นต้องตายทั้งที่อายุยังนั้นแต่กลับพยายามขอให้อยู่ได้นานมากที่สุดเท่าที่จะเท่าได้
ยามลูกวิงวอนร้องขอความเมตตาเช่นนี้หัวใจของผู้เป็นพ่อมันปวดร้าวเจ็บเจียนตายยิ่งกว่าลูกเสียเหลือเกิน
และด้วยความรักของพ่อที่มีต่อลูกสาวสุดที่รักย่อมทำทุกอย่างได้เสมอแม้กระทั่งขายวิญญาณให้ปีศาจเพื่อลูกแล้วเขายินยอมอย่างไม่คิดเสียดาย
"ได้โปรด ช่วยลูกสาวผมด้วย..."
เมื่อได้รับคำวิงวอนรวมไปถึงคำยินยอมแล้ว
ชายลึกลับในชุดผ้าคลุมสีดำเดินเข้ามาใกล้เด็กสาวที่นอนป่วยใกล้ตายอยู่บนเตียง
เขานั่งลงข้างๆ ก้มหน้าลงใกล้กับเด็กสาวจากนั้นเอ่ยกระซิบเสียงนุ่มนวลอันแสนอ่อนโยนมอบความหวังให้แก่เธอว่า...
"สาวน้อย คำวิงวอนของเธอจักเป็นจริง ณ บัดนี้"
นับจากวันนั้นโรคร้ายที่กัดกินชีวิตของเด็กสาวอิมิเลียหายเป็นปลิดทิ้งราวกับปาฏิหาริย์...
ยามชายผู้เป็นบิดาของเด็กสาวใกล้ตายเห็นสีหน้าเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาของลูกสาวตนราวกับอาการป่วยหนักใกล้เฉียดความตายนั้นเป็นเรื่องโกหก
แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างอาบไล้เรือนร่างและใบหน้าของเธอยิ่งขับประกายให้เด็กสาวงดงามมากยิ่งขึ้น
"ท่านพ่อ..."
เด็กสาวเอ่ยส่งยิ้มให้แก่ผู้มาเยือน
"อิมิเลีย ลูกพ่อ..."
น้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่ควรจะไหลออกมาง่ายๆ
บัดนี้เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ชายผู้เป็นบิดานั้นเข้าไปกอดลูกสาวบนเตียงแน่นเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นไม่ใช่ความฝัน
อิมิเลียรอดแล้ว
ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่เมตตาต่อครอบครัวของข้าพระองค์...
เพราะการมาของชายผู้นั้นทำให้โรคร้ายที่บรรดาแพทย์หลายคนต่างพากันส่ายหน้าพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหมดทางเยียวยานั้นหายเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การปรากฏตัวของชายปริศนานี้ทำให้ชายผู้เป็นบิดาของอิมิเลียนั้นเลื่อมใสศรัทธาทันที
อิมิเลียเองก็อดขอบคุณอีกฝ่ายไม่ได้ความจริงแค่คำพูดขอบคุณมันยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำเพราะชายผู้นั้นทำให้ความฝันที่แทบจะไม่มีหวังเลยเริ่มมีแสงริบหรี่ขึ้นมาบ้างแล้ว
ความฝันที่ว่าจะได้พบกับชายที่เธอรักอีกครั้ง...
ในที่สุดก็จะได้พบกับเขาคนนั้นเสียที เพราะอาการป่วยกำเริบหนักมากทำให้เธอไม่อาจไปหาเขาคนนั้นได้อีกจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเธอยังไม่มีโอกาสบอกลาเขาเลย
สิ่งที่เธอเสียใจก่อนใกล้ตายนั้นล้วนมีหลายอย่างด้วยกันเสียจนเหมือนคนโลภ
ทั้งเสียใจที่ตนนั้นเป็นลูกเนรคุณตายก่อนบิดา เสียใจที่ต้องทิ้งให้บิดาจมอยู่กับความเศร้าสลด
เสียใจที่ไม่ได้ตอบแทนความรักความห่วงใยของบิดา
เสียใจที่ไม่ได้มีโอกาสทำในสิ่งที่อยากทำ
และเสียใจ...ที่ไม่ได้มีโอกาสเอื้อนเอ่ยคำว่า 'รัก' แก่ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ...
เด็กสาวผละออกจากบิดายามสาวใช้นำถาดอาหารมาให้และนั่นเป็นครั้งแรกที่ถาดอาหารนั้นไม่มียารสขมที่เธอต้องฝืนทนกินมันตลอดเวลา
อิมิเลียนั้นเพลิดเพลินกับยามเช้าอันแสนสุขนี้มากจนบางทีเธออาจจะลืมอะไรไปบางอย่าง
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายอยู่เสมอ...
.
.
.
.
.
.
น่าเบื่อ...
เด็กสาวถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ
ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ต้องถูกจับแต่งตัวมาร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นสูงแบบนี้แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อตัวเธอเองก็เป็นชนชั้นสูงเหมือนกันและที่สำคัญมันเป็นงานเลี้ยงที่รวมบรรดาผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆ
จะให้ไม่มาก็เหมือนหักหน้าเขา
อิมิเลียในวัยสาวสะพรั่งนั้นล้วนเป็นที่ต้องตาและหมายปองของชายหนุ่มหลายคน
ผมสีน้ำตาลอ่อนดั่งคาราเมลหอมหวานเฉกเช่นเดียวกับดวงตากลมโตมัดรวบทัดดอกกุหลาบสีส้มอมชมพูอ่อนเสริมให้เด็กสาวน่ารักสมวัยมาก
ผิวพรรณละเอียดเนียนขาวละมุนชวนน่าทะนุถนอม ใบหน้าอันอ่อนเยาว์สวยเรียวรับกับจมูกโด่งสวยกำลังดี
ริมฝีปากกระจับฉ่ำวาวด้วยลิปสติกสีพีชเข้ากับสีผิวของเธอ
เพียงเครื่องหน้าที่ถูกแต่งอ่อนๆ
ให้สมกับวัยของเธอนั้นทำให้เด็กสาวงดงามโดดเด่นมากกว่าสาวคนอื่นไปมากกว่าครึ่งแล้วหากยังไม่นับรวมชุดออกงานของเธอแน่นอนว่าเป็นชุดสั่งตัดอย่างดีโดยเฉพาะจากช่างตัดเสื้อที่มีชื่อเสียง
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าตา
การสังสรรค์ งานสังคม
หรืองานจับคู่อะไรทั้งนั้นสิ่งที่เธอสนใจคือระยะเวลาเพียงเท่านั้น
ระยะเวลาที่เธอจากกับแวมไพร์หนุ่มที่เธอรักนั้นมันช่างนานเหลือเกิน
ยามเด็กสาวหายจากโรคร้ายที่กัดกินชีวิตเธอมาได้แล้วหนึ่งปีเต็มเธอร้องขอให้บิดาพาตนไปยังบ้านพักตากอากาศที่นั่นอีกครั้งหนึ่งทว่าบ้านพักของเธอนั้นโดนดินถล่มไปเมื่อสามปีที่แล้วหรือก็คือช่วงเวลาที่โรคร้ายกำเริบหนักจนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้
ทำให้ตัวเธอไม่สามารถกลับไปยังที่แห่งนั้นได้อีกแล้วนอกจากนี้ยังถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปที่นั่นด้วยความกลัวว่าเกิดเหตุการณ์ดินถล่มอีกครั้ง
สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้กลับไปพบกับเขาคนนั้นอีกเช่นเคย...
เธออยากจะเขียนจดหมายติดต่อทว่าอีกฝ่ายปฏิเสธด้วยเหตุผลหลักว่ากลัวถูกจับได้นั่นเอง
เจ้าของบ้านที่เขาทำงานรวมไปถึงภรรยาทั้งสามของเจ้าบ้านนั้นไม่ชอบให้คนในบ้านยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์โดยเฉพาะเจ้าของบ้านยิ่งแล้วใหญ่ถึงแม้เธอขอให้เขาเขียนจดหมายมาหาเธอแต่ก็ปฏิเสธเช่นกันด้วยเหตุผลเดียวกัน
เธอเคยบอกให้เขาแอบมาหาเธอที่คฤหาสน์แต่ก็ถูกปฏิเสธถึงแม้อีกฝ่ายอยากมาหาเธอมากแค่ไหนก็ตาม
เบียคุยะนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไกลมากกว่าหมู่บ้านมนุษย์ใกล้อาณาเขตนี้หากออกไปเจ้าของบ้านจะรู้ทันทีว่าตนฝ่าฝืนคำสั่งส่งที่รออยู่ปลายทางคือ
'บทลงโทษ'
อันแสนโหดร้ายทารุณนั่นเอง
และเธอก็เคยเห็นบาดแผลจากการถูกทารุณถึงแม้จะเพียงน้อยนิดจากที่มองด้วยตาแต่เธอเชื่อว่าข้างในเสื้อผ้าสั่งตัดอย่างดีนั้นซ่อนบาดแผลที่มองไม่เห็นอีกมากมายอย่างแน่นอน
จนบางทีเธออดจินตนาการไม่ได้ว่าถ้าเธอเห็นบาดแผลเหล่านั้นเธอจะตกใจหวาดกลัวมากแค่ไหนกัน
มีชีวิตที่ยืนยาวทว่าไร้ซึ่งอิสระและเจตจำนงเสรี...
ไร้ซึ่งอันตรายคุกคามทว่าต้องทนเจ็บปวดจากบาดแผลนับครั้งไม่ถ้วน...
คนบางคนคิดว่าการมีชีวิตยืนยาวใกล้เคียงกับคำว่าอมตะนั้นเป็นพรจากสวรรค์แต่สำหรับเธอจากที่ประสบพบโดยตรงแล้วมันไม่ต่างอะไรจากคำสาปที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจมานับไม่ถ้วน
อิมิเลียนึกแล้วอดสงสารปีศาจร้ายที่เธอหลงรักมาเป็นสิบปีไม่ได้...
ชายที่เธอคิดว่ามีอิสระเสรีมากที่สุดกลับกลายเป็นชายที่ถูกจองจำมากที่สุด
ถูกจองจำมากกว่าเธอที่เป็นนกน้อยในกรงทองเสียด้วยซ้ำ
จนอดคิดไม่ได้ว่าคนที่สมควรได้รับความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุดคือปีศาจหนุ่มที่เธอรักคนนี้
เธอได้รับความเมตตาแล้วเหตุใดเขาคนนั้นยังไม่ได้รับความเมตตาจากพระองค์เสียทีทั้งที่เขามีศรัทธาแสวงหาพระองค์ไม่แพ้กัน...
แต่เธอก็หวังภาวนาว่าสักวันเขาจะได้รับความเมตตาจากพระองค์
หลุดออกโซ่ตรวนแห่งการจองจำพานพบกับความสุขที่มาเยือนโดยเร็ว
พบกับความสุขที่มากล้นยิ่งกว่าเธอ...
ดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลที่หม่นหมองพลันสะดุดตาเห็นชายในชุดผ้าคลุมสีดำอยู่ข้างล่าง
เสื้อคลุมสีดำคล้ายกับของชายผู้วิเศษที่รักษาโรคร้ายของเธอให้หายเป็นปลิดทิ้งราวกับปาฏิหาริย์ไม่มีผิดเพี้ยน
ยามชายผู้นั้นถูกจับจ้องจึงส่งยิ้มให้แก่เด็กสาวแล้วเดินเข้าไปในสวนเขาวงกต
เขามาทำอะไรที่นี่...?
หากชายผู้วิเศษนั้นมีหูและหางกระต่ายขาวเธอคงเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นไวท์แรบบิทที่ถือนาฬิกาพกพูดซ้ำไปซ้ำมาว่าฉันสายแล้วอย่างแน่นอน
ส่วนเธอก็คงเป็นอลิซขี้สงสัยตามกระต่ายตัวนั้นไปจนถึงหลุมกระต่ายที่ทอดยาวลงไปลึกแทบไม่มีที่สิ้นสุด
และวันนี้เธอก็ขอเป็นสาวน้อยอลิซขี้สงสัยคนนี้สักวันก็แล้วกัน...
อิมิเลียเดินจากระเบียงลงบันไดมายังข้างล่างออกไปข้างนอกผ่านบรรดาแขกต่างๆ
รวมไปถึงบรรดาชายหนุ่มที่ต่างพากันขอเธอเป็นคู่เต้นรำภายในงานเลี้ยงจนกระทั่งหยุดอยู่ที่สวนเขาวงกต
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดั่งคาราเมลแลมองซ้ายขวายามเห็นชายผ้าคลุมสะบัดพลิ้วจึงตามไป
"ท่านผู้วิเศษ รอก่อน!"
เธอเรียกทว่าอีกฝ่ายเมินเฉย
เด็กสาวผู้สมบทบาทเป็นอลิซนั้นตามท่านผู้วิเศษคนนั้นไป เรียกขานเขาทุกครั้งยามพบชายผ้าคลุมทว่าท่านผู้เศษคนนั้นเอาแต่เงียบเดินหนีอยู่ท่าเดียวเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหันกลับมาจนเธอยอมแพ้ตามอีกฝ่ายไปอย่างเดียว
ว่าแต่เขาวงกตของที่นี่มันลึกขนาดนี้เลยหรือ? ที่เธอมองจากข้างบนมันไม่น่าลึกขนาดนี้เลยนี่จะหันกลับไปก็ไม่ได้เพราะมันลึกเกินไปจนเธอจำทางกลับไม่ได้ทั้งหมดแล้วมีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น
เพราะเหม่อลอยจมกับความคิดตนเองยามรู้สึกตัวอีกทีเธอก็ออกมาจากสวนเขาวงกตนั้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว
สิ่งที่เด็กสาวในชุดราตรีนั้นอดแปลกใจไม่ได้คือเธอนั้นออกมาอยู่ในสวนภายในปราสาทขนาดใหญ่ที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลยแม้แต่นิดเดียวยามเธอหันหลังกลับไปปรากฏว่าไม่มีสวนเขาวงกตนั้นเลยราวกับมันไม่เคยมีอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว
"นะ นี่มันอะไรกัน...?" อิมิเลียเอ่ยเสียงสั่น
ลางสังหรณ์ของเธอบอกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้วิเศษที่รักษาอาการป่วยของเธอ
เขาวงกตที่ลึกกว่าปกติ ปราสาทหลังงามตรงหน้าเธอ และเขาวงกตที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
สิ่งที่เกิดขึ้นจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้มันไม่ปกติแล้ว!
ต้องรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด!!
"หืม? มนุษย์หรือ? ทำไมถึงมาที่แห่งนี้ได้กันนะ"
เสียงปริศนาดังจากข้างหลังของเธอพร้อมใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาเด็กสาวสะดุ้งโหยงตกใจหันหลังกลับเป็นชายผมทองหน้าตาดีคนหนึ่งทว่าดวงตานั้นกลับเรืองแสงสีแดงจนน่ากลัว
ดวงตาเรืองแสงที่คล้ายกับของเขาคนนั้นทว่าน่าหวาดหวั่นแบบนี้หรือว่า...แวมไพร์?! เธอหลงเข้ามาในโลกของแวมไพร์เข้าเสียแล้ว
"คะ
คือ...ดิฉันหลงทางมาค่ะถ้าคุณไม่ว่าอะไรดิฉันขอตัวก่อนนะคะ"
เด็กสาวพูดเสียงสั่นพยายามทำใจดีสู้เสือถอยหลังเตรียมตัวหนีทว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่มนุษย์
ชายคนนั้นหายจากตรงหน้าโผล่มายังข้างหลังของเธออย่างรวดเร็วโอบพันธนาการเธอ
"อะไรกัน~ ในเมื่ออุตส่าห์เป็นแขกรับเชิญพิเศษทั้งทีจะให้กลับไปง่ายๆ
แบบนี้ก็น่าเสียดายแย่"
"ปล่อยฉันนะคะ! ช่วยด้วย!
ใครก็ได้ช่วยด้วย!!"
แวมไพร์ตนนั้นไม่ปล่อยซ้ำยังหัวเราะให้กับการดิ้นรนอันน่าสมเพชของมนุษย์ผู้หญิงคนนี้
ถึงแม้ว่าตนไม่รู้ว่ามีมนุษย์มาอยู่ในงานนี้ตั้งสองคนได้อย่างไร
คนแรกเป็นเด็กชายอายุใกล้เคียงกับนายน้อยคนโตของบ้านและเพราะมีนายน้อยคนโตของบ้านอยู่ใกล้ทำให้ตนไม่สามารถเข้าไปขย้ำคอดูดเลือดอีกฝ่ายได้แต่กับผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่
เธอมาคนเดียวแถมกลิ่นอันหอมหวานนี้ค่อยน่าลิ้มลองหน่อย
ถึงแม้ว่ามันจะสู้กลิ่นของคอร์เดเลียสุดที่รักไม่ได้ก็ตาม...
ยามวินาทีชายคนนั้นอ้าปากกว้างหวังจะฝังคมเขี้ยวกัดลงบนเนื้อสีขาวนวลเต็มแรง
เด็กสาวผู้เป็นเหยื่อที่กำลังดิ้นหนีนั้นหลับตาลงด้วยความหวาดกลัวเตรียมตัวรอรับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้นทันทียามเมื่อเห็นว่าตนนั้นไม่มีทางรอดจากเงื้อมมือแวมไพร์ตนนี้
แต่ทว่าความเจ็บปวดมันส่งมาไม่ถึงเธอยามลืมตามองขึ้นอย่างช้าๆ
เด็กสาวเห็นแวมไพร์ผมทองตนนั้นกัดข้อมือของใครบางคนเต็มแรงจนเลือดไหลออกมาจนน่าหวาดกลัว
จากนั้นน้ำเสียงนุ่มนวลอันแสนคุ้นเคยเอ่ยออกมาว่า...
"เป็นอย่างไรบ้าง? เลือดของผมอร่อยมากพอที่จะหยุดการกระทำอันป่าเถื่อนเหมือนคนไร้อารยะกลับมาเป็นผู้ดีมีสกุลเหมือนดังเดิมได้หรือไม่ขอรับ"
"กะ...แก! อีตัวของ...อุก!"
ไม่ทันที่อีกฝ่ายเอื้อยเอ่ยจบประโยคร่างของคนไร้มารยาทถูกกระชากแยกออกจากเด็กสาวผู้เป็นเหยื่ออย่างแรงก่อนถูกจับเหวี่ยงใส่เสาหินยุบไปมากกว่าครึ่งกระอักเลือดล้มลงอย่างน่าสมเพชจนเด็กสาวที่อยู่ข้างหลังยกมือปิดปากกลั้นเสียงร้องแทบไม่ทัน
อ้อ...เกือบลืมไปว่ามีคนไม่ควรจะอยู่ที่นี่โผล่มาด้วยนี่นา...
และเพื่อป้องกันภาพอันหน้าหวาดกลัวเปี่ยมไปด้วยความโหดร้ายทารุณนี้เสื้อนอกสีดำถูกโยนใส่เด็กสาวผู้เป็นเหยื่อเหมือนเป็นการปลอบโยนทางอ้อม
ทว่าแท้จริงแล้วมีจุดประสงค์เพื่อกลบกลิ่นอายมนุษย์และปิดบังการกระทำต่อจากนี้...
ถึงแม้ว่าสำหรับมนุษย์ธรรมดาการกระทำนี้มันดูโหดร้ายรุนแรงเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งพึงได้รับถ้าเป็นคนธรรมดาป่านนี้คงกระดูกหักไปหลายซี่ตายตั้งแต่วินาทีแรกที่โดนกระแทกเสาหินไปนานแล้วทว่าสำหรับแวมไพร์ด้วยกันนั้นมันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว
การกระทำนี้ถือว่าเป็นรุนแรงน้อยมากที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับลักษณะทางกายภาพของมนุษย์กับแวมไพร์
แวมไพร์นั้นแข็งแรงกว่ามนุษย์หลายเท่านักโดนแค่นั้นก็ฟื้นฟูบาดแผลตนเองใหม่ได้
โดยเฉพาะผู้ชายของคอร์เดเลียภรรยาคนแรกของราชันย์แวมไพร์ที่น่ารังเกียจเหล่านี้ความรุนแรงที่ดูโหดร้ายเกินไปสำหรับมนุษย์นั้นยังถือว่ายังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ
ทั้งที่ควรโดนหนักกว่านี้อีกเยอะกับการที่พวกเขาเรียกผมว่าเป็นอีตัวของคาร์ลไฮนซ์
"ว่าแต่คนอื่นแต่กลับไม่ย้อนดูตนเองว่าการกระทำไม่ต่างจากพวกลักกินขโมยกินของคนอื่นไม่เกรงใจเจ้าของบ้านอย่างคุณมีสิทธิ์ว่าการกระทำของผมได้อย่างไรกันขอรับ?
ท่านนิโคลัส"
"กะ...แก!"
ผมย่างก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ไม่รีบเร่งอะไรมากจากนั้นส่งยิ้มละมุนแสร้งเอียงคอเล็กน้อยมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์ประกายออกมาด้วยความซื่อ
ถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทว่าเชือดเฉือนบาดลึกยิ่งโดนมีดคว้านหัวใจออกมาทันที
"...จะว่าไปแล้วใครเป็นคนเชิญคุณมางานเลี้ยงเต้นรำนี้หรือขอรับทั้งที่ผมแน่ใจแล้วว่าไม่ได้เชิญคนกักขฬระชั้นต่ำยิ่งกว่านักเลงขี้เหล้าข้างถนนอย่างคุณมางานเลี้ยง
เป็นแค่ผู้ชายสำส่อนเกาะผู้หญิงกินไปวันๆ แต่ยังหน้าด้านมาอวดเบ่งในงานเลี้ยงของสามีเขาแบบนี้ใจกล้าไม่เบาเหมือนกันนี่ขอรับ"
"แก! เป็นแค่ไอ้หมาตัวเมียร่านราคะอ้าขาให้ท่านผู้นั้น
คิดว่าตัวเองสูงส่งนักหรือ...?!"
ผัวะ!!
วินาทีนั้นรองเท้าหนังสีดำเนื้อดีของผมถูกยัดเข้าไปในปากอย่างรวดเร็วด้วยแรงเตะที่ผิดมนุษย์จนรองเท้าหนังสีดำนนั้นเปื้อนเลือดสีแดงสดหลังจากดึงเท้าออกมาฟันที่ควรจะเรียงสวยอยู่ในปากนั้นหลุดออกมาสิบกว่าซี่แทบจะหมดปากอยู่รอมร่อแล้ว
"ผมอยากจะให้เรื่องมันจบลงที่ว่าคุณดื่มสุราอย่างหนักจนเมามายกระทำการไร้มารยาทต่อสตรีผู้เป็นแขกในปราสาทของราชาแวมไพร์จนถูกข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์สั่งสอนเล็กน้อยก่อนถูกไล่ออกจากงาน
แต่ดูเหมือนว่าคดีจะพลิกไปอีกแบบหนึ่งแล้ว..."
"อะ...อึก อือ..."
อีกฝ่ายเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ได้เพราะฟันหักแทบหมดปากภายในโพรงปากได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเสียจนเวลาพูดเลือดไหลออกมาจากปากทุกครั้งด้วยความเจ็บปวดต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
"เอาเป็นว่าคุณกระทำการข่มเหงหมายย่ำยีสตรีผู้สูงศักดิ์ในปราสาทของราชาแวมไพร์เพียงเท่านั้นไม่พอยังยังดูหมิ่นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ลามปามไปถึงท่านผู้นั้นและครอบครัวของเขา
กล่าวหาว่าท่านคอร์เดเลียเป็นเพียงโสเภณีชั้นต่ำเรียกร้องความสนใจสามีที่ไม่มีวันรักหล่อนเลยแบบนี้ดีไหม?"
ผมกล่าวน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางยิ้มบางออกมาราวกับพ่อพระผู้มาโปรดทว่าในความหมายตรงกันข้าม
ยามเห็นใบหน้าอันอ่อนละมุนทว่าเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันเข้มข้น ชายผมทองผู้ปรามาสผมแสดงสีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดร้องโอดโอยน้ำหูน้ำตาไหลแทบร้องขอชีวิตผมยิ่งกว่าหมูที่กำลังถูกเชือดเสียอีก
ถึงแม้ว่าจิตมุ่งร้ายจะไม่เท่ากับของราชันย์แวมไพร์ผู้ยิ่งใหญ่ก็จริงแต่สำหรับเชื้อพระวงศ์สายเลือดใกล้ชิดอย่างผมมันก็มากพอข่มแวมไพร์ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าได้มากโขเลยทีเดียว
ถ้าให้ยกตัวอย่างก็...
แวมไพร์ที่เคยปรามาสว่าร้ายผมเป็นหมาตัวเมียร่านราคะตรงหน้านี้อย่างไร
ซึ่งอันที่จริงผมก็ไม่ได้กะจะฆ่าเขาอยู่แล้วตั้งแต่แรกอยากจะหยุดแค่เตะกระเด็นแล้วไล่ออกไปจากปราสาทโทษฐานที่ทำร้ายอิมิเลียเด็กน้อยที่ผมเอ็นดูแต่เพราะคนตรงหน้านี้แกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง
เสี้ยนมันก็เลยตำเท้าก็เท่านั้นเอง
ถ้าใครคิดว่าผมชอบทำตัวเป็นพ่อพระมาโปรดอ่อนโยนต่อทุกสรรพสิ่งหรือโกรธแค้นใครไม่เป็นก็ขอให้เลิกคิดเสียเถอะ
เพราะถ้าผมโกรธจนเลยทะลุขีดสุดเมื่อไหร่นั่นแปลว่าจุดจบของคนๆ
นั้นมาถึงแล้วนั่นเอง...
....................................................
Let's Talk with Writer :
สำหรับคนที่งงว่าไทม์ไลน์มันยังไงกันแน่ทำไมถึงโดดข้ามไปแบบนั้น
เรื่องนี้มีคำตอบค่ะ เราจะให้เรื่องเล่ามันคล้ายๆ
ในรูปแบบชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ให้ทุกคนเรียบเรียงขึ้นมาเองโดยการเปิดปมให้คนสงสัยแล้วค่อยเฉลยทีหลัง
ตอนนี้จะเพิ่มความโหดของมิไฮนซ์ว่ามิไฮนซ์สามารถโหดได้ถึงขนาดไหน
ตอนแรกเราไม่อยากใส่บทโหดมากแค่เตะกระเด็นก็พอแต่สุดท้ายเพิ่มความโหดความน่ากลัวให้จนดูเหมือนมิไฮนซ์ไม่ปกติแบบทุกคนในเรื่องสรุปว่าในอดีตอิมิเลียใสที่สุดแล้ว
เราวางให้มิไฮนซ์นั้นเป็นตัวละครสีเทาถึงแม้ว่าจะมีด้านที่ดีต่อพี่น้องซาคามากิหรือคนอื่นๆ
ก็ตามแต่ก็อยากให้มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง ถ้าหากใครคิดว่ามิไฮนซ์โกรธใครไม่เป็นก็คิดผิดแล้วค่ะ
คนที่ไม่เคยโกรธใครเลยในชีวิตมันไม่มีหรอกมิไฮนซ์ก็เช่นเดียวกันค่ะแต่ว่าเราออกแบบให้น้องเป็นคนโกรธคนยากแต่ถ้าโกรธเมื่อไหร่นี่คือหายนะเลยล่ะค่ะแค่รอดมาได้ถึงจะไม่ครบสามสิบสองก็เมตตามากพอแล้ว
กับพี่น้องซาคามากิหรือคนอื่นจะค่อนข้างซอฟต์มากแค่นิ่งเงียบใส่แทบไม่พูดไม่จาก็เท่านั้น
สุดท้ายนี้ก็ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
ความคิดเห็น