คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ความรักของนางงาม
ในระหว่างที่รับประทานอาหารอยู่นั้น อี้ชิงหมิงสังเกตุพบว่าเกือบทุกคนยามรับประทานอาหาร ต่างคอยเหลือบมองไปยังสตรีที่ใบหน้าปกคลุมไปด้วยผ้าแพรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแต่ละคนต่างคาดเดาว่าย่อมต้องเป็น “งามอย่างลึกลับ” เซวียงซู่เซียง บุตรตรีคนรองของเซวียงเวิ่นเทียนเป็นแน่
อย่าว่าแต่ตัวนางเองก็คอยลอบมองเป็นระยะเช่นกัน แต่ไม่ทราบว่าสตรีลึกลับนางนี้ได้รับการฝึกฝนมาแบบใด จึงทำให้สามารถรับประทานอาหารได้โดยมิต้องเปิดผ้าแพร จะมีก็เพียงเกาชวนอวิ๋น ผู้มีโรคสายตาประจำตัว ถังเซียวหยาวที่เอาแต่รับประทานอาหารราวกับผู้ถือศีลกินเจ และลี้เชียนเหลียนปีศาจสุราที่ข้างตัวนางกระมังที่หาได้มีทีท่าใส่ใจแม้แต่น้อย
ราวครึ่งชั่วยามความเคลื่อนไหวบนโต๊ะอาหารจึงค่อยๆ สงบลง บรรดาบ่าวไพร่ของป้อมตระกูลเซวียงต่างทยอยยกจานชามออกไป เหลือไว้เพียงส่วนของผลไม้หอมหวานและสุราร้อนแรง
ราวกับว่าทุกคนในที่นี้ได้ทำการนัดหมายกันไว้ ต่างพากันเงียบกริบคล้ายกับรอว่าเซวียงเวิ่นเทียนต้องการสนทนาเรื่องใดกับพวกตน
เซวียงเวิ่นเทียนเองก็คล้ายกับรอคอยช่วงเวลานี้เช่นกัน จึงลุกขึ้นยืน ยิ้มอย่างสง่าผ่าเผยแสดงบุคลิกอันน่าเกรงขามออกมา กล่าวเสียงกังวานว่า
“วีรบุรุษผู้กล้าก่อเกิดจากวีรชนรุ่นหลัง ดังเช่นคำพังเพยกล่าวไว้คลื่นลูกใหม่ไล่คลื่นลูกเก่า ที่ข้าพเจ้าเชิญพวกท่านมาในครั้งนี้ มิได้หวังเพียงข้าพเจ้าจะได้พบบุตรเขยอันประเสริฐเท่านั้น แต่ยังคาดหวังอีกว่าจะได้พบประมุขป้อมรุ่นที่หกที่มีความเพียบพร้อมบริบูรณ์อีกด้วย”
เหล่าบุรุษเกือบทุกคนต่างพึมพัมออกมาเบาๆ อย่างคาดไม่ถึงว่าเซวียงเวินเทียนผู้นี้จะกล่าวเรื่องการสืบทอดประมุขรุ่นต่อไปอย่างโจ่งแจ้ง
แม้ว่าในบรรดาพวกเขาหลายคนมีความใฝ่ฝันอยากจะได้ตำแหน่งเจ้าป้อมมาครอบครอง แต่ก็ทราบดีว่านั่นเป็นเรื่องที่ยากเข็ญราวกับป่ายปีนหน้าผาอันสูงชันเพื่อขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นฟ้าเลยทีเดียว
เซวียงเวิ่นเทียนเงียบไปครู่หนึ่งจนเสียงพึมพัมค่อยสงบลง จากนั้นจึงกล่าวสืบไปว่า
“แต่พวกท่านไม้ต้องตื่นเต้นดีใจเร็วจนเกินไป” พลางมองไปยังชายฉกรรจ์ทางขวามือที่ไว้หนวดเคราแข็งชันราวขนเม่นด้วยสายตาอันภาคภูมิใจ ก่อนวางมือขวาลงบนไหล่อันกำยำของบุรุษผู้นั้น กล่าวว่า
“เซวียงเฟยจื่อ บุตรชายคนโตของข้าพเจ้าผู้นี้ ทั้งกล้าหาญและเข้มแข็ง บุคลิกภาพคล้ายกับข้าพเจ้าในวัยฉกรรจ์ยิ่งนัก เพียงแต่ว่า วรยุทธ์ของมันกลับเหนือกว่าบิดาของมันในตอนนี้เสียอีก” จากนั้นวางมือซ้ายลงบนไหล่ของชายหนุ่มน่าตาหล่อเหลาทางซ้ายมือ มองด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู กล่าวว่า
“เซวียงเฟยเอี้ยน บุตรชายคนที่สี่ของข้าพเจ้า แม้จะมีบุคลิกภาพเทียบไม่ได้กับพี่ชายมัน วรยุทธ์ก็ยังตามหลังอีกช่วงใหญ่ แต่ยังดีที่มันผู้นี้ฉลาดหลักแหลมเจ้าปัญญายิ่งนัก การตระเตรียมงานคัดเลือกเขยขวัญในครั้งนี้ ก็เป็นมันผู้นี้แหละที่จัดการตระเตรียมเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างไร้ที่ติ” จากนั้นจึงกวาดสายตาไปยังแขกเหรื่อทั้งหลาย กล่าวสืบไปว่า
“ในบรรดาพวกท่าน ไม่แน่ว่าจะมีคนที่ความสามารถสูงล้ำกว่าพวกมันทั้งสองก็เป็นได้”
ทันใดนั้นบุรุษผู้หนึ่งลุกขึ้นยืนประสานมือคาระวะไปยังเซวียงเวิ่นเทียน กล่าวด้วยน้ำเสียงดังกังวานไม่แพ้กันว่า
“ข้าพเจ้าหลงจิ่นอี เดินทางรอนแรมมาจากเมืองหลวง จุดประสงค์ก็เพื่ออยากได้ยลโฉมยี่เสี่ยวเจี๊ยะ เซวียงซู่เวียงสักครา แม้ต้องแพ้พ่ายตายตกในการคัดเลือกครั้งนี้ ก็จะไม่ขอตัดพ้อต่อว่าฟ้าดินว่าไร้ความเป็นธรรมต่อข้าพเจ้า”
เสียงพึมพำดังขึ้นพร้อมกับอีกหลายคนพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยทันทีที่ชายผู้นี้กล่าวจบประโยค หากเจ้าสาวของพวกเขามีใบหน้าเพียงพื้นเพ ใยมิไช่เป็นการเสี่ยงชีวิตโดยไช่เหตุเล่า?
ในสายตาของอี้ชิงหมิง “มังกรราตรี” หลงจิ่นอีผู้นี้ มีใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม รูปร่างสง่างามเข้มแข็ง ยาวกล่าวว่าจาทั้งท่าทางและน้ำเสียงต่างโอหังลำพองอย่างยิ่ง แต่วาจาที่กล่าวออกมากับคล้ายท้อแท้รันทด ทำให้ผู้คนยากจะหักใจกล่าวปฏิเสธได้
ในบันทึกของทางการที่นางทราบ คนผู้นี้มีประวัติความเป็นมาลึกลับอย่างยิ่ง น้อยครั้งที่จะปรากฏกายยามกลางวัน ไปไหนมาไหนยามค่ำคืนคล้ายมังกรเทพยาเห็นหัวไม่เห็นหาง ช่วยเหลือทางการจับกุมคนร้ายและคลี่คลายคดีสำคัญในนครหลวงมาหลายครั้ง ในตอนท้ายของบันทึกได้คาดเดาไว้ว่าคนผู้นี้อาจเป็น ๑ ใน ๓ ยอดองค์รักษ์ข้างกายเจ้าชีวิตองค์ปัจจุบันก็เป็นได้
อี้ชิงหมิงยังลอบสังเกตุอีกว่า ขณะที่หลงจิ่นอีลุกขึ้นกล่าววาจาอยู่นั้น ใบหน้าของเล็กซี่อวงปรากฏรอยยิ้มบางๆ ราวกับรันทดใจขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วหายไป
ไม่ทราบว่าเล็กซี่อวงและหลงจิ่นอี ต่างมาจากนครหลวงทั้งคู่นี้ จะมีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน?
เซวียงเวิ่นเทียนพยักหน้าเบาๆ ยิ้มเล็กน้อยคล้ายกับพอใจในตัวบุรุษผู้นี้ กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเข้าใจในตัวบุรุษเลือดร้อนดั่งเช่นพวกท่านดี เพียงแต่ว่าบุตรีของข้าพเจ้าผู้นี้คงต้องทำให้พวกท่านเปลืองสมองขบคิดสักเล็กน้อยเสียแล้ว” จากนั้นมองไปยังเซวียงซู่เซียง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า
“เซียงยี้ เจ้าบอกเงื่อนไขของเจ้าออกมาเถอะ หากคนเหล่านี้มิได้เห็นใบหน้าของเจ้าในค่ำคืนนี้ การคัดเลือกคู่ครองของเจ้าในครั้งนี้ คงต้องเต็มไปด้วยข้อกังขาเป็นแน่”
เซวียงซู่เซียงลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบนุ่มนวล จนผู้ฟังรู้สึกคันที่หัวใจยากจะเกาว่า
“ข้าพเจ้ามีคำถามเพียงข้อเดียวที่จะถามผู้กล้าทั้งหลายในที่นี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามหากตอบได้ตรงกับใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะเปิดเผยโฉมหน้าของข้าพเจ้าให้ทุกท่านได้ชมกัน”
บุรุษท่าทางเหี้ยมหาญอวดดีผู้หนึ่ง ลุกขึ้นยืนประสานมือ กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเข่อหยวนป่ายแห่งหมู่ตึกวายุ ต้องการเรียนถามคุณหนูรองว่าข้าพเจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคำตอบของข้าพเจ้านั้นจะตรงกับใจของคุณหนูรอง หากท่านเกิดต้องการจะหยอกล้อข้าพเจ้าเล่น ใยมิใช่ปิดบังคำตอบที่ถูกต้องเอาไว้”
อี้ชิงหมิงอดคิดไม่ได้ว่า คนผู้นี้สมควรแล้วที่ได้รับฉายาว่า “ดาบไว” จริงๆ ยามสงบนิ่งไม่นับเป็นอย่างไรได้ แต่ยามเคลื่อนไหวนั้นกลับเต็มไปด้วยทั้งจริงและเท็จ จากคำพูดไม่กี่ประโยค ไม่เพียงแต่เกี้ยวอย่างออกหน้าออกตาเท่านั้น แต่ยังสามารถไล่ต้อนเซวียงซู่เซียงเข้าสู่สภาวะตั้งรับถ่ายเดียวอีกด้วย
เซวียงเฟยเอี้ยนที่นั่งอยู่พลันลุกขึ้น ประสานมือไปรอบๆ ก่อนจะล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนข้างประหม่าว่า
“ข้าพเจ้าได้คิดถึงปัญหาข้อนี้ไว้แล้ว จึงได้ทำการบันทึกคำตอบที่ถูกต้องของซาเจ๊เอาไว้ หากนางกล่าวว่าคำตอบของพวกท่านเป็นคำตอบที่ถูกต้อง พวกท่านย่อมต้องได้ยลโฉมหน้าของนางอย่างไม่มีปัญหา หากแต่นางบอกว่าคำตอบของพวกท่านไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้าผู้นี้ก็จะเป็นผู้ที่เฉลยคำตอบที่ถูกต้องให้พวกท่านทราบเอง”
เข่อหยวนป่ายพยักหน้าอย่างพออกพอใจ กล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้น ขอเชิญซาเสี่ยวเจี๊ยะ (คุณหนูสาม) ตั้งคำถามมาเถอะ ข้าพเจ้าแทบจะรอตอบคำถามมิได้แล้ว”
เซวียงซู่เซียง กล่าวสืบไปว่า
“คำถามของข้าพเจ้า พวกท่านไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้ แต่ข้าพเจ้าเพียงจำกัดไว้เพียงหนึ่งคำตอบจากพวกท่านแต่ละคน”
นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจนราวกับสามารถได้ยินเสียงเข็มตกลงพื้นได้
“ข้าพเจ้าเพียงต้องการให้พวกท่านคาดเดาว่า “ความรัก” ในความรู้สึกของข้าพเจ้ามีความหมายเป็นเช่นไร?”
อี้ชิงหมิงอดขมวดคิ้วไม่ได้กับคำถาม ของเซวียงซู่เซียง
คำถามนี้หากถามว่ายากหรือไม่นั้นตอบได้ว่าไม่ยาก หากถามว่าง่ายหรือไม่นั้นกลับตอบได้ว่าไม่ง่าย
คำถามนี้ของเซวียงซู่เซียงทำเอาเหล่าจอมยุทธ์ผู้กล้าทั้งหลายหัวหมุนไปตามๆ กันจริงๆ
เซวียงซู๋เซียงยังกล่าวอีกว่า
“ข้าพเจ้ากำหนดให้การละเล่นนี้จำกัดเวลาอยู่ที่ครึ่งชั่วยาม (๑ ชั่วโมง) หากไม่มีผู้ใดตอบถูก ก็ขอให้แล้วกันไปเถอะ หากพวกท่านผู้ใดต้องการถอนตัวจากการคัดเลือกครั้งนี้ ข้าพเจ้าก็คงหมดปัญญญาที่จะห้ามเอาไว้ได้”
ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศในงานเลี้ยงอีกครั้ง
ชั่วเวลาสูดลมหายใจเข้าออก ๑๐ คร้ง บุรุษผมยาวถึงกลางหลังผู้หนึ่ง ลุกขึ้นยืนทำลายความเงียบสงบอันอึมครึม กุมหมัดกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเนี่ยชิงฟง ทราบดีว่าตนเองเป็นบุคคลที่ไร้ความสามารถผู้หนึ่ง ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคุณหนูเซวียงมีความคิดเห็นประการใดกับกับคำว่ารัก จึงขอใช้คำว่ารักในความหมายของข้าพเจ้าเป็นการเปรียบเทียบกับคำว่ารักของคุณหนูเซวียงแทน หากแม้นความหมายของทั้งสองคำบังเอิญพ้องต้องกัน ก็ขอให้คุณหนูเซวียงอนุโลมว่าเป็นคำตอบจากข้าพเจ้าก็แล้วกัน”
อี้ชิงหมิงอดนับถือในภูมิปัญญาของคนผู้นี้มิได้ หากให้เขาคาดเดาความคิดของผู้อื่นสะเปะสะปะ เมื่อไม่ถูกต้องก็มีแต่ทำให้เป็นที่ขบขันของผู้อื่นไป แต่หากที่เขากล่าวมาเป็นเพียงความคิดส่วนตัวของเขา แม้คำตอบจะไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่นับว่าเสียหน้าสักเท่าใด
“เท้าท่องลม” เนี่ยชิงฟง เป็นบุรุษอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลี้เชียนเหลียน รูปร่างผอมบาง ใบหน้าเรียวแคบกระเดียดออกไปทางสตรีนั้นดูซีดเซียวไปบ้าง แต่ดวงตาทั้ง ๒ ข้างกลับเจิดจ้าเปล่งประกาย ขณะที่เขายืนอยู่ดูไปคล้ายกับมีสายลมจางๆ พัดอยู่รอบกายจนปลายผมนั้นแกว่งอยู่เบาๆ
เนี่ยชิงฟงแหงนหน้ามองดวงดาราบนฟ้า กล่าวช้าๆ ว่า
“ความรักในความหมายของข้าพเจ้านั้น เป็นเรื่องที่ฟ้าดินกำหนดขึ้นมาโดยไม่อาจฝ่าฝืนได้ หากสวรรค์เบื้องบนได้กำหนดให้ท่านต้องรักกับคนผู้หนึ่งแล้ว แม้ตัวท่านเองไม่ยินยอมก็ทำไม่ได้ ดังคำกล่าวว่าบุพเพสันนิวาสนั้นถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อน”
บุรุษหนุ่มหลายคนพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับคำพูดของเนี่ยชิงฟง
เซวียงซู่เซียงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“คำตอบของท่านเนี่ยน่าฟังยิ่งนัก น่าเสียดายที่ข้าพเจ้ากลับมิใช่คนที่เชื่อในเรื่องบุพเพสันนิวาสว่าติดตามมาตั้งแต่ชาติปางก่อนจริง สมมุติว่ามีคู่รักอยู่คู่หนึ่ง ฝ่ายภรรยาพลันเสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน หลังจากนั้นฝ่ายสามีตบแต่งสตรีอีกนางหนึ่งเป็นภรรยานี่นับว่าเป็นบุเพสันนิวาส ฝ่ายภรรยาก็ได้ไปเกิดใหม่เป็นบุรุษผู้หนึ่งแล้วก็ตบแต่งกับสตรีอีกนางหนึ่งเป็นภรรยาเช่นกันนี่ก็นับว่าเป็นบุพเพสันนิวาส หากเป็นเช่นนี้คำว่าบุพเพสันิวาสไยมิเป็นเป็นเพียงคำพูดลอยที่ใช้เพื่อเกี้ยวให้สตรีหลงรัก หรือไม่ก็เป็นเพียงคำแก้ตัวของบุรุษในการพบรักใหม่ ท่านเนี่ยว่าที่ข้าพเจ้ากล่าวมามีส่วนถูกต้องหรือไม่?”
เนี่ยชิงฟงมีทีท่าจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่กลับเปลี่ยนใจส่ายหน้าพลางยิ้มบางๆ ก่อนทรุดตัวนั่งลงอย่างช้าๆ
บุรุษอีกผู้หนึ่งลุกขึ้นยืนทันที รูปร่างสูงโปร่งในเครื่องแต่งกายอันหรูหรา ขับให้ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายอยู่แล้วนั้นยิ่งหน้าดูขึ้นไปอีก กุมหมัดกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าตู๋กู๋สือซาน กลับมีความเห็นว่าความรักเป็นเรื่องของการแก่งแย่งแข่งขัน หากข้าพเจ้ารักชอบสตรีนางหนึ่ง ข้าพเจ้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้สตรีนางนั้นรักข้าพเจ้าให้ได้ ดั่งเช่นงานคัดเลือกเขยขวัญในครั้งนี้ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขวากหนามใดๆ ก็ตาม ข้าพเจ้าพร้อมที่จะฝ่าฟันเพื่อความรักที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่น”
คำตอบของตู๋กู๋สือซานกลับเป็นแนวทางที่ตรงกันข้ามกับเนี่ยชิงฟงอย่างสิ้นเชิง
อี้ชิงหมิงอดคิดตามไม่ได้ว่ามีสตรีจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบบุรุษประเภทนี้ ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
เซวียงซู่เซียงพยักหน้าเบาๆ ก่อนกล่าวว่า
“คำตอบของคุณชายตู๋กู๋นับว่าสมกับสมญา “กระบี่เทพสายฟ้า” จริงๆ ทั้งรวดเร็วและดุดันจนเกือบทำให้ใจของข้าพเจ้าหวั่นไหวเลยทีเดียว แต่ข้าพเจ้ากลับมีข้อข้องใจจะเรียนถามคุณชายท่าน หากสมมุติว่าสตรีที่ท่านหลงรักนั้นหาได้รักท่านตอบไม่ แม้นว่าท่านจะทำทุกวิถีทางแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้นางเปลี่ยนใจมารักท่านได้ ท่านจะทำเช่นไร?”
คำตอบนี้ของเซวียงซู่เซียงถึงกับทำให้อี้ชิงหมิงลอบเหงื่อตกในใจ หากเซวียงซู่เซียงผู้นี้เป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง กระบวนท่านี้นับว่าทั้งเผ็ดร้อนและแยบคายยากที่จะรับมือจริงๆ
หากตู๋กู๋สือซานตอบคำถามนี้ไปในแนวทางยินดีที่จะตัดใจ ก็จะเป็นการขัดแย้งกับคำตอบแรกของตน แต่ถ้าหากยังฝืนรั้นดื้อดึงอยู่ นั่นก็แสดงว่าตนเป็นพวกชอบกระทำแต่เรื่องที่โง่เขลาไป
ตู๋กู๋สือซานเองก็คงจะมองถึงปัญหาตรงนี้ออก จึงเพียงแต่นั่งลงอย่างเงียบงัน หาได้เอ่ยว่าจาใดออกมาไม่
เหล่าบุรุษผู้กล้าอีกหลายคนต่างขมวดคิ้วขบคิดจนหัวหมุน คำตอบทั้ง ๒ ข้อของเซวียงซู่เซียงทำเอาพวกเขาผวาที่จะแสดงความคิดเห็นออกมา อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเซวียงซู่เซียงผู้นี้มีภูมิปัญญาไม่ธรรมดาจริงๆ
เล็กซี่อวงถอนหายใจเบาๆ ก่อนลุกขึ้นยืน หันกายไปกุมหมัด กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเล็กซี่อวง กลับมองว่าความรักเป็นเรื่องของความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนระหว่างผู้คนกับวัตถุเรื่องราว บุรุษรักสตรี บุพการีรักบุตรธิดา ความรักระหว่างมิตรสหาย บางคนอาจจะรักอาชา บางคนรักชอบดนตรี บางคนล่มหลงในดอกไม้ที่สวยงาม บางคนรักชื่อเสียงลาภยศ หรือแม้แต่คนบางประเภท” พลางปรายตาไปยังลี้เชียนเหลียนอย่างอารมณ์ดี “รักชอบที่จะหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเอง”
คำตอบของเล็กซี่อวงทำเอาหลายๆ คนลอบถอนใจชมเชยอยู่ในใจ ถึงแม้ว่าเล็กซี่อวงจะมีบุคคลิกภาพของบุรุษเจ้าสำราญ แต่คำตอบนี้กลับทำให้ประกายบัณฑิตในตัวเขาเปล่งออกมา
เซวียงซู่เซียงเองก็คล้ายกลับถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนกล่าวว่า
“คำตอบของคุณชายเล็กแม้มิได้ตรงกับใจของข้าพเจ้า แต่กลับช่วยเปิดมุมมมองอีกด้านหนึ่งของความรักให้ซู่เซียงได้เปิดหูเปิดตา ข้าพเจ้าขอคาราวะสุราคุณชายเล็กสักจอกเถิด”
เล็กซี่อวงยกจอกสุราขึ้น กล่าวว่า
“ข้าพเจ้ายินดีน้อมรับด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง”
อี้ชิงหมิงขบคิดตามทันที เล็กซี่อวงผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ หากเปลี่ยนคำตอบของเขาเป็นวรยุทธ์ นับว่ากระบวนท่าคล้ายรุกคล้ายรับของเขานี้เข้าขั้นร้อยเปลียนพันแปลงก็ว่าได้
บุรุษผิวคล้ำ ร่างบึกบึน ท่าทางเหี้ยมหาญลุกขึ้นยืนกุมหมัด กล่าวด้วยน้ำเสียงดังกังวาลจนระคายหูว่า
“ข้าพเจ้าซ่งจิ้น แห่งหมู่บ้านสยบกระบี่ มีความคิดเห็นเกี่ยวกับความรัก คือความหลงใหล ซึ่งกับความหลงใหลนี้คล้ายกับเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดในชีวิตของแต่ละคน ที่จะพยายามไขว่คว้าหรือรักษาเอาไว้ให้ได้” พลางตบดาบใหญ่ที่ข้างกาย “ดั่งเช่นที่ข้าพเจ้าในขณะนี้หลงใหลในวิชาดาบ จึงมุ่งมั่นฝึกปรือและแสวงหาวิถีแห่งดาบ เพื่อให้เข้าถึงแก่นแท้ หากบอกว่าข้าพเจ้าเกิดความรักในดาบของข้าพเจ้า นั่นก็คงจะไม่ผิดสักเท่าใด”
แม้วาจาของซ่งจิ้นจะน่าขบขัน แต่หาได้มีผู้ใดกล้าหัวเราะออกมาไม่ สำหรับผู้ที่ทุ่มเทให้กับมรรคาแห่งยุทธ์แล้ว คำพูดเหล่านั้นของซ่งจิ้นหาได้บิดเบือนไปจากความเป็นจริงไม่
“ดาบไร้พ่าย” ซ่งจิ้น ในสายตาของอี้ชิงหมิงนับว่ามีหน้าตาพื้นเพอย่างยิ่ง แต่เมื่อรวมกับรอยแผลจางๆ จากคมศาสตราที่แก้มด้านซ้าย กลับทำให้คนผู้นี้มีเสน่ห์แห่งความหยาบกร้านที่เข้มข้นยิ่ง
เซวียงซู่เซียงเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายกับกำลังทบทวนคำตอบของซ่งจิ้น แล้วกล่าวว่า
“น่าเสียดายที่สตรีที่ยืนอยู่ตรงนี้คือเซวียงซู่เซียง หากเปลี่ยนเป็นพี่สาวของข้าพเจ้าเซวียงอี้เพิ่งแล้ว คำตอบของคุณชายซ่งคงจะตรงกับคำตอบในใจของนางเป็นแน่” ทันทีที่คำว่า “เซวียงอี้เพิ่ง” หลุดจากปากของเซวียงซู่เซียง อี้ชิงหมิงได้สังเกตเห็นหลายๆ คนในงานต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างกันไป บ้างมีสีหน้าเศร้าสลด บ้างขมวดคิ้วสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในครอบครัวตระกูลเซวียงเองถึงกับมีสีหน้าที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เซวียงเวิ่นเทียนสลายรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าทันที แล้วแปรเปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึก
เซวียงเฟยจื่อคล้ายกับมีสีหน้าทอดถอนใจกับการหายตัวของน้องสาว
เซวียงเฟยเอี้ยนก้มหน้าลงคล้ายกับมีความในใจยากจะเอื้อนเอ่ย
ส่วนดรุณีน้อยนางนั้นคล้ายกับมีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นเล็กน้อย
เซวียงซู่เซียง พลันเอ่ยปากทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนั้นว่า
“เวลาใกล้หมดแล้ว ขอให้คำตอบครั้งต่อไป เป็นคำตอบสุดท้ายของการละเล่นเช่นนี้เถิด”
เหล่าว่าที่เขยขวัญต่างมองหน้ากันไปมา ดูว่าใครจะสามารถรับแรงกดดันจากการตอบครั้งนี้ได้
หากตอบถูก ใช่ว่าจะได้รับการเยินยอสักเท่าใด แต่หากตอบผิดกลับต้องถูกประนามไม่มีชิ้นดีแน่
อี้ชิงหมิงคล้ายได้ยินเสียงวัตถุขนาดเล็กพุ่งผ่านเบื้องหลังของนาง พลันลี้เชียนเหลียนซึ่งตั้งหน้าตั้งตาดื่มสุราอยู่นั้น เกิดสำลักสุราขึ้นมาจนสุราเหล่านั้นกระเซ็นไปยังทิศทางที่เกาชวนอวิ๋นนั่งอยู่
เกาชวนอวิ๋นเองก็คงนึกไม่ถึง จึงยืนพรวด ก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว จึงหลบละอองสุราเหล่านั้นพ้น แต่ก็พบว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนไปเสียแล้ว
เมื่อเกาชวนอวิ๋นมองไปยังลี้เชียนเหลียน ก็พบว่าลี้เชียนเหลียนกำลังยกมือขอโทษขอโพยตนอยู่
เกาชวนอวิ๋นถอยหายใจอย่างหนักหน่วงพลางครุ่นคิดหาวิธีจัดการเผือกเผาลวกมือหัวนี้อย่างไรดี
“สำหรับข้าพเจ้า เกาชวนอวิ๋น ความรักคือปริศนาอย่างหนึ่งที่ต้องไขให้ออก ไม่ว่าข้าพเจ้าจะเป็นผู้มอบหรือผู้รับ ล้วนต้องเกิดปริศนาให้ขบคิดตามมา อย่างเช่นหากข้าพเจ้ารักชอบสตรีนางหนึ่ง เหตุใดข้าพเจ้าจึงรักชอบสตรีนางนี้ หรือหากมีสตรีสักนางเกิดรักชอบข้าพเจ้าขึ้นมา ข้าพเจ้าเองก็คงต้องขบคิดมิใช่น้อย ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น” แล้วทรุดตัวนั่งลงโดยมีเล็กซี่อวงตบบ่าเบาๆ คล้ายกับชมเชยกับคำตอบของเขา
อี้ชิงหมิงอยากรู้จริงๆ ว่าในชีวิตที่ผ่านมาของเกาชวนอวิ๋น มีปริศนามากน้อยเท่าใดที่ต้องขบคิด
เซวียงซู่เซียงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า
“น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคำตอบที่ให้ไว้กับสี่ตี๋ (น้องชายอันดับสี่) ของข้าพเจ้าได้ มิเช่นนั้นคำตอบของคุณชายเกาคงทำให้ทุกคนในที่นี้สามารถยลโฉมของข้าพเจ้าได้”
อี้ชิงหมิงลอบร้องคำ “ร้ายกาจ” ในใจ คำตอบนี้ของเซวียงซู่เซียงทำให้ทุกคนไม่สามารถตำหนิเกาชวนอวิ๋นได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
ไม่แน่ว่าเซวียงซู่เซียงอาจจะเตรียมคำตอบนี้ไว้สำหรับผู้ที่จะต้องตอบเป็นคนสุดท้ายในกรณีที่ไม่มีใครตอบถูกก็เป็นได้
เซวียงซู่เซียงหันไปมองเซวียงเวิ่นเทียน กล่าวสืบไปว่า
“ท่านพ่อ นี่ก็ดึกมากแล้ว ลูกคงต้องขอปลีกตัวไปพักผ่อนก่อน”
เซวียงเวิ่นเทียนยกมือเป็นเชิงอนุญาติ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนกับดรุณีน้อยว่า
“หงส์ยี้ เจ้าไปส่งยี่เจ๊เจ้าเถอะ”
เซวียงกิมหงส์มีสีหน้าไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ลุกตามเซวียงซู่เซียงออกไป
เมื่อเซวียงซู่เซียงก้าวเท้าได้ ๑๐ ก้าว ก็ปรากฏว่ามีน้ำเสียงปนเมามายดังไล่หลังมาว่า
“ข้าพเจ้าคาดเดาว่าความรักของในความหมายของแม่นางเซวียง คงเป็นเพียงการละเล่นชนิดหนึ่งกระมัง?”
เซวียงซู่เซียงหยุดเท้า แล้วหันตัวกลับมากล่าวว่า
“คำถามเมื่อสักครู่ ข้าพเจ้ากำหนดแล้วว่าให้อยู่ในช่วงเวลาครึ่งชั่วยาม ท่านเองคงไม่ได้ใส่ใจในกติกาของข้าพเจ้ากระมัง”
ลี้เชียนเหลียนกลับหัวร่อ ฮา ฮา โดยไม่สนใจสายตาของทุกคนที่มุ่งมาดด้วยความหมายหลายๆ อย่าง
“คำตอบที่ผิดย่อมเป็นคำตอบที่ผิดวันยังค่ำ ใยข้าพเจ้าต้องใส่ใจด้วย แม่นางเองก็เช่นกัน ใยต้องเสียสละเวลาพักผ่อนอันมีค่าเพื่อสนใจวาจาไร้สาระของข้าพเจ้า”
เซวียงซู่เซียงหาได้ต่อปากต่อคำกับลี้เชียนเหลียนไม่ แต่กลับใช้นิ้วมือที่เรียวงามราวลำเทียนเปิดผ้าคลุมหน้าออกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะปิดลงดังเดิมแล้วหมุนตัวเดินจากไป
บังเกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจ ราวกับโลกหล้านั้ไร้สรรพชีวิต จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงทอดถอนใจและคำชมเชยในความงามของเซวียงซู่เซียงดังพึมพัมไปทั่วบริเวณจัดเลี้ยง
เหอหุยจุนก้มตัวกระซิบข้างกายเซวียงเวิ่นเทียน กับเซวียงเฟยเอี้ยน หลังจากนั้นเซวียงเฟยเอี้ยนจึงล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วลุกขึ้นยืนกล่าวด้วยยน้ำเสียงค่อนข้างประหม่าว่า
“ความรักในความหมายของข้าพเจ้าเซวียงซู่เซียง คือการละเล่นประเภทหนึ่ง” จากนั้นผายมือไปยังลี้เชียนเหลียนกล่าวสืบไปว่า
“ผู้ที่ทายถูกคือ กระบี่ไว อี้ชิงหมิง”
ยกเว้นเพียงอี้ชิงหมิงและเกาชวนอวิ๋นแล้ว ว่าที่เขยขวัญทุกคนต่างยกจอกสุรา มองไปยังลี้เชียนเหลียนเป็นจุดเดียวโดยมิได้นัดหมาย แล้วยกจอกขึ้นดื่มแทบจะพร้อมกัน เป็นความหมายกึ่งชมเชยกึ่งยกย่อง
ลี้เชียนเหลียนเองก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มแทนความหมาย “บังเอิญจริงๆ”
ความคิดเห็น