ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราอาถรรพ์ ตอนเขี้ยวอัสนี

    ลำดับตอนที่ #7 : งานเลี้ยงพยัคฆ์มังกร

    • อัปเดตล่าสุด 23 ธ.ค. 48


        ยามพลบค่ำ บ่าวรับใช้ของป้อมตระกูลเซวียง เดินนำหน้าลี้เชียนเหลียน และอี้ชิงหมิงไปยังสถานที่จัดเลี้ยง “ว่าที่เขยขวัญ” ซึ่งทางเจ้าภาพได้ใช้บริเวณหนึ่งของสวนหย่อมภายในป้อมจัดเป็นสถานที่รับประทานอาหารค่ำกลางแจ้ง



        หลังจากที่ทั้งคู่ได้รับการพักผ่อนครู่ใหญ่ อีกทั้งยังได้ผ่านการอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย หวีสางผมเผ้าจนไม่เหลือริ้วรอยของแววอิดโรยจากการเดินทางแล้ว เกรงว่าหากพ่อบ้านสาม ไม่ทราบว่าพวกเขาเป็นมือปราบมาก่อน ตอนนี้คงคิดว่าพวกเขาเป็นกงจื้อกรุ้มกริ่มจากตระกูลอันมั่งคั่งเป็นแน่



        ท่าทีไม่อีนังขังขอบของลี้เชียนเหลียน กับท่าทีสุภาพเคร่งขรึมของอี้ชิงหมิง ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่ขัดตาแก่ผู้พบเห็น



        เมื่อมาถึงบริเวณจัดเลี้ยง ซึ่งรอบๆ นั้น ถูกแขวนด้วยโคมลมคลั่งตาย จนสว่างไสวราวกับกลางวัน ทั้งคู่ก็พบว่าว่าโต๊ะเก้าอี้ทั้ง ๔ ชุด มีอยู่ ๓ ชุดถูกผู้คนนั่งจับจองไว้แล้ว



        พลันอี้ชิงหมิงสะกิดลี้เชียนเหลียนให้มองไปยังโต๊ะตัวที่เหลือ ซึ่งชายหนุ่มหนึ่งใน ๔ คนที่นั่งอยู่ก่อนนั้น กำลังกวักมือชักชวนทั้งคู่อยู่



        อี้ชิงหมิง กล่าวเบาๆ ว่า



        “ผู้แซ่เล็กกำลังเรียกพวกเราอยู่ ท่านต้องระวังตัวให้ดี”



        คนผู้นั้นกลับเป็นเล็กซี่อวงที่ทั้งคู่เคยพบกันแล้วครั้งหนึ่ง



        ลี้เชียนเหลียนพยักหน้า ยิ้มบางๆ กล่าวอย่างร่าเริงว่า



        “ข้าพเจ้าจะระวังตัว แต่ตอนนี้หนอนสุราในท้องข้าพเจ้าปั่นป่วนจะแย่อยู่แล้ว” จากนั้นเดินนำหน้าอี้ชิงหมิงไปยังโต๊ะตัวนั้น ท่ามกลางสายตาของบรรดา “ว่าที่เขยขวัญ” ที่จ้องมองมายังพวกเขาด้วยความคิดที่แตกต่างกันไป



        เมื่อลี้เชียนเหลียนทรุดตัวลงนั่นทางขวามือของเล็กซี่อวง และอี้ชิงหมิงเองก็นั่งลงทางขวามือของเขา เล็กซี่อวงก็รินสุราเต็มจอกตรงหน้าพวกเขา กล่าวว่า



        “จอมยุทธ์อี้อุตส่าห์ให้เกียรติร่วมโต็ะกับผู้น้อง ข้าพเจ้าขอคาระวะต่อพวกท่านหนึ่งจอก” พลางมองไปยังบุรุษอีก ๓ คนที่นั่งร่วมโต๊ะก่อนอยู่แล้ว กล่าวว่า



        “ท่านทั้งหลาย ท่านผู้นี้คือ “กระบี่ไว อี้ชิงหมิง” ทุกท่านคงเคยได้ยินชื่อเสียงของมือปราบอี้มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย” จากนั้นมองไปยังอี้ชิงหมิง มีท่าทีจะกล่าวแนะนำ แต่กลับมีเสียงสอดมาจากด้านตรงข้ามว่า



        “ส่วนอีกท่านเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของจอมยุทธ์อี้ เรียกว่ามือปราบน้อย ไม่ทราบว่าข้าพเจ้ากล่าวผิดไปหรือไม่?”



        อี้ชิงหมิงประสานมือ กล่าวช้าๆ ว่า



        “ขอบคุณจอมยุทธ์เหลียงที่อุตส่าห์จำชื่อเสียงอันน้อยนิดของข้าพเจ้าได้”



        คนผู้นี้กลับเป็น ทวนลมฝน เหลียงหยางเจียง ที่ได้ประมือกับนางมาก่อนหน้านั้น



        เล็กซี่อวงหัวร่อฮาๆ กล่าวว่า



    “ที่แท้ก็คนกันเอง มา..ให้ข้าพเจ้าแนะนำบุคคลที่เหลืออีก สองท่านก็แล้วกัน” พลางมองไปยังชายทางขวามือของเขา “คนผู้นี้เป็นสหายกับข้าพเจ้ามาตั้งแต่เด็ก มีนิสัยค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่บ้าง หวังว่าพวกท่านคงจะไม่ถือสาหาความอะไร” แล้วตบบ่าของชายผู้นี้เบาๆ “ท่านเองก็คงไม่ถือสาหาความอะไรกับคำพูดของข้าพเจ้า ใช่หรือไม่ เกาชวนอวิ๋น”



    อี้ชิงหมิงหูผึ่งขึ้นมาทันที พลางมองไปยังชายผู้นั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ



    “กระบี่ไร้คม” เกาชวนอวิ๋นผู้นี้ เป็นบุรุษผู้มีหน้าตาคมคายผู้หนึ่ง รูปร่างลักษณะบึกบึนเข้มแข็ง ยามสงบให้ความรู้สึกราวกับขุนเขา แต่สามารถคาดเดาได้ว่ายามที่เขาเคลื่อนไหวคงปราดเปรียวราวกับเสือดาวตัวหนึ่ง แต่จุดที่น่าสังเกตุมากที่สุด คือดวงตาที่ปิดสนิททั้ง ๒ ข้างของเขา



    หรือว่าเกาชวนอวิ๋นคือคนตาบอดผู้หนึ่ง?



    เกาชวนอวิ๋นเพียงแค่นเสียงเฮอะในลำคอต่อคำแนะนำที่เล็กซี่อวงมีต่อเขา



    เล็กซี่อวงยิ้มแย้มอย่างสบอารมณ์ แล้วมองไปยังชายที่นั่งทางขวามือของอี้ชิงหมิง กล่าวว่า



    “ที่นั่งอยู่ข้างน้องชายมือปราบ เรียกว่า ถังเชียวหยาว แห่งตระกูลถัง มลทลเสฉวน”



    อี้ชิงหมิงพลันกระหวัดนึกถึงความเป็นมาของชายผู้นี้จากข้อมูลของทางการ ประสานมือกล่าวว่า



    “ที่แท้เป็นหนึ่งในสามอัจฉริยะพิการแห่งตระกูลถัง “ถังใบ้” ถังเซียวหยาวนี่เอง”



    ถังเซียวหยาวยิ้มแย้มจนเห็นฟันเรียงราวกับสายมุกสองสาย อย่างไม่ถือสาหาความในฉายานามของตน



    ตระกูลถังแห่งมลทลเสฉวนได้รับการกล่าวขวัญมานานเกี่ยวกับความสามารถในการใช้อาวุธลับ ภายใน ๑๐ ปีมานี้ถึงกับให้กำเนิดอัจฉริยะในการใช้อาวุธลับถึง ๓ คน เพียงแต่ว่านับเป็นความโชคร้ายในความโชคดีประการหนึ่ง เพราะอัจฉริยะทั้ง ๓ คน ต่างได้รับอุบัติเหตุจากการฝึกฝนวิทยายุทธ์ จนทำให้ร่างกายของแต่ละคนมีลักษณะความพิการแตกต่างกันไป ซึ่งอัจฉริยะทั้ง ๓ คนต่างเรียกว่า “ถังบอด” “ถังหนวก” และ “ถังใบ้” ถังเซียวหยาวผู้นี้



    ในสายตาของอี้ชิงหมิง ถังเซียงหยาวผู้นี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนาง มีใบหน้าค่อนข้างกลม ดวงตาเล็กหยีราวกับเป็นเส้นตรง รูปร่างท้วมเล็กน้อย แต่ผ่ามือทั้ง ๒ ข้างกลับเรียวงามราวกับมือของอิสตรี



    เมื่อนางมองไปยังลี้เชียนเหลียนราวกับมีคำถามในใจ แต่กลับพบว่าตัวเขามีรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากราวกับพบเห็นเรื่องราวที่น่าสนุกสนานประการหนึ่ง ทำให้นางตัดสินใจกลืนคำถามนั้นลงท้องไป



    ลี้เชียนเหลียนรินสุราให้กับตัวเอง จากนั้นรินต่อให้กับเล็กซี่อวง พลางกวาดสายตาไปรอบๆ กล่าวว่า



    “จอมยุทธ์เล็ก ท่านมีความรู้กว้างขวางกว่ามือปราบยากไร้เช่นข้าพเจ้า ท่านทราบหรือไม่ว่าบุคคลที่มาร่วมในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ เป็นยอดคนมาจากสารทิศใดบ้าง”



    แม้ว่าลี้เชียนเหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก แต่อี้ชิงหมิงสามารถสังเกตได้ว่าใบหูหลายๆ คนมีปฏิกิริยากับคำว่า “ยอดคน” ที่เขากล่าวออกมาราวกับว่ากำลังจดจ่อกับคำตอบของเล็กซี่อวง



    เล็กซี่อวงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ตอบคำถามในทันที กลับมองไปยังอี้ชิงหมิง กล่าวว่า



    “ในสายตาของน้องชายที่เพิ่งออกท่องยุทธภพ ท่านพอจะคาดเดาความเป็นมาของผู้กล้าท่านใดออกบ้าง?”



    อี้ชิงหมิงยิ้มแหยๆ กล่าวว่า



    “กล่าวไปน่าละอายนัก ข้าพเจ้ากลับคาดเดาความเป็นมาของคนเหล่านี้ได้เพียงผู้เดียว”



    ลี้เชียนเหลียนยิ้มที่มุมปาก กล่าวว่า



    “เป็นผู้ใดรึศิษย์เรา?”



    อี้ชิงหมิงใคร่ทุบตีลี้เชียนเหลียนสักหลายที แล้วมองไปยังบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่โตีะถัดไป กล่าวว่า



    “กระบี่ไร้ฝัก เซียงว่านหลี่”



    ที่แท้หว่างเอวของบุรุษผู้นี้ สอดกระบี่ไร้ฝัก ยาว ๔ เซียะเล่มหนึ่ง ย่อมเป็นการง่ายที่จะคาดเดาความเป็นมาของเขาได้



    ทันใดนั้นปรากฏเสียงแหบพร่าดังออกมาจากปากของเกาชวนอวิ๋นว่า



    “ท่านอาศัยสายตาคู่หนึ่งในการคาดเดาความเป็นมาของคนผู้หนึ่ง ส่วนตัวข้าพเจ้าเองก็อาศัยใบหูคู่หนึ่ง คาดเดาความเป็นมาของคนอีกผู้หนึ่งเช่นกัน” จากนั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ในเสียงฝีเท้าที่ผ่านมา มีอยู่เสียงหนึ่งคล้ายแตะคล้ายลาก คาดว่าต้องมี “เท้าท่องลม” เนี่ยชิงฟงปะปนอยู่ในโต๊ะตัวใดตัวหนึ่งเป็นแน่”



    อี้ชิงหมิงอดรู้สึกนับถือในโสตประสาทของเกาชวนอวิ๋นไม่ได้



    เล็กซี่อวงถอนหายใจออกมาเบาๆ กล่าวว่า



    “นับว่าเกาน้อย (เสี่ยวเกา) ช่วยไขปัญหาของข้าพเจ้าไปเปลาะหนึ่งแล้ว”



    เหลียงหลาเจียงขมวดคิ้วหนาทึบเข้าด้วยกัน กล่าวว่า



    “วาจาของท่านเล็กหมายความว่าอย่างไร?”



    เกาชวนอวิ๋นพลันสอดคำขึ้นมาว่า



    “มันหมายความว่าความทรงจำของมันส่วนใหญ่ ถูกใช้ไปกับการจดจำชื่อเสียงและใบหน้าของดรุณีน้อยใหญ่ทั่วแผ่นดินกระมัง”



    เล็กซี่อวงหัวร่อฮาๆ อย่างไม่ถือสา กล่าวว่า



    “แม้แต่หนอนในท้องของข้าพเจ้า คงไม่สามารถรู้ใจข้าพเจ้าได้ดีกว่าท่านเป็นแน่” จากนั้นมองไปยังโต๊ะทางขวามือสุด กล่าวสืบไปว่า



    “เหล่าผู้กล้าที่นั่งอยู้ที่โต๊ะตัวนั้น คือ “มังกรราตรี” หลงจิ่นอี “กระบี่เทพสายฟ้า” ตู๋กู๋สือซาน “”ดาบไร้พ่าย” ซ่งจิ้น “ดาบคู่” เอี๊ยบอิ๋นหลง” จากนั้นยกสุราที่ลี้เชียนเหลียนรินไว้ให้ก่อนหน้านั้นขึ้นดื่ม แล้วกล่าวช้าๆ ว่า



    “ส่วนชายที่ผมยาวถึงกลางหลังนั้น คือ “เท้าท่องลม” เนี่ยชิงฟง จริงๆ หากไม่ได้เหล่าเกาช่วยกระตุ้นความทรงจำให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคงยังต้องงมงายถึงคนผู้นี้ไปอีกนาน”



    อี้ชิงหมิงรู้สึกสนุกสนานกับการสังเกตุผู้คนไม่น้อย กล่าวว่า



    “แล้วบุคคลที่นั่งร่วมโต๊ะกับเซียงว่านหลี่เล่า? ข้าพเจ้าคาดว่าท่านคงคาดเดาความเป็นมาของคนเหล่านั้นได้หมดแล้ว”



    เล็กซี่อวงฝืนยิ้ม ส่ายหน้าไปมา กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าเพียงทราบว่าบุรุษผู้ใช้กระบี่อีกผู้หนึ่งคือ “กระบี่เมตตา” น่ำเก็งอู่ ส่วนบุรุษที่ใช้ดาบนั้นคือ “ดาบไว” เข่อหยวนป่าย ส่วนผู้กล้าอีกสองท่านนั้น ข้าพเจ้ายังคงเลอะเลือนงมงายอยู่บ้าง”



    ลี้เชียนเหลียนพลันสอดคำขึ้นมาว่า



    “บุรุษที่แต่งกายราวนักศึกษานั่นคงเป็น “บัณฑิตมีดบิน” ซือเสว่ซาน ส่วนบุรุษอีกคนที่เหลือนั่นคงเป็น “จับเสือมือเปล่า” เฟิงหู่”



    อี้ชิงหมิงเบิ่งตาโตมองไปยังลี้เชียนเหลียน โดยไม่ต้องรอคำถาม ลี้เชียนเหลียนเอนกายไปข้างกายนาง จากนั้นยกมือป้องปาก กระซิบกับนางเบาๆ ว่า



    “ท่านลองสังเกตุดีๆ จะพบว่าชายที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตผู้นั้น มีความเคยชินอันแปลกประหลาดอยู่ประการหนึ่ง คือชอบใช้มือขวาสอดเข้าไปในอกเสื้อบ่อยครั้งคล้ายกับว่ากำลังลูบคลำอะไรบางอย่าง หากมิใช่เจ็บป่วยเป็นโรคภัยที่พิสดาร หรือว่าเกิดอาการคันจากการมิได้อาบน้ำ ย่อมหมายความว่าในอกเสื้อของชายผู้นี้ซ่อนอะไรบางอย่างไว้ เมื่อสักครู่ข้าพเจ้าแอบมองเห็นด้ามมีดเล็กๆ โผล่พ้นอกเสื้อของเขา คาดว่าหากเขาไม่ทำเช่นนี้ อาจจะไม่มีใครคาดเดาฉายานามของเขาได้”



    อี้ชิงหมิงอดกลั้นหัวเราะไม่ได้กับคำวิจารณ์ของลี้เชียนเหลียน อย่าว่าแต่นางยังสังเกตุเห็นบุรุษอีกหลายคนที่ “ไม่ตั้งใจ””ฟังคำสนทนาของพวกนางต่างพากันกลั้นหัวเราะเสียเต็มประดา



    โดยเฉพาะตัวของซือเสว่ซานเอง ถึงกับหยุดมือที่ลูบคลำอยู่ และคล้ายกับว่าใบหูคู่นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมาเล็กน้อย



    ถังเซียวหยาวใช้นิ้วมือขวาที่เรียวงามยาวกับสตรีของเขา เคาะลงบนโต๊ะเบาๆ ๒-๓ ครั้ง เพื่อเรียกความสนใจของลี้เชียนเหลียน เมื่อลี้เชียนเหลียนหันไปมอง ถังเซียวหยาวพลันเปลี่ยนมือทั้ง ๒ ข้าง คล้ายกับกรงเล็บพยัฆค์



    ลี้เชียนเหลียนเข้าใจความหมายโดยนัย ร้องอ้อออกมาก่อนกล่าวเบาๆ กับอี้ชิงหมิง ว่า



    “หากท่านหมายถึงเฟิงหู่ล่ะก็ ยิ่งคาดเดาได้ง่ายกว่าซือเสว่ซานเสียอีก”



    อี้ชิงหมิงมองเห็นเฟิงหู่ที่กำลังยกจากสุราขึ้นดื่ม ถึงกับยกจอกสุราค้างเอาไว้รอคำวิจารณ์จากปากของลี้เชียนเหลียน



    “หากพวกท่านสังเกตุดูให้ดี ตามขอบเสื้อผ้าของคนผู้นี้กลับขลิบด้วยหนังสือดำอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองเท้าคู่นั้นตัดเย็บด้วยหนังเสือดำเช่นกัน หากมิใช่ “จับเสือมือเปล่า” เฟิงหู่แล้ว จะเป็นผู้ใดไปได้”



    อี้ชิงหมิงทางหนึ่งฟังลี้เชียนเหลียนอธิบายทางหนึ่งลอบสังเกตุบุรุษที่เรียกว่าเฟิงหู่ พบว่าบุรุษผู้นี้หลังจากฟังคำวิจารณ์จบแล้ว ขณะยกจอกสุราที่ค้างอยู่ขึ้นดื่ม คล้ายกับว่ามีสีหน้าที่ผิดหวังกับคำตอบของลี้เชียนเหลียน



    เกาชวนอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า



    “นับว่าท่านมีสายตาในการสังเกตุผู้คนที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง”



    แม้แต่เหลียนหลางเจียงเองยังอดนับถือในใจไม่ได้ กล่าวว่า



    “โดยปกติแล้ว ข้าพเจ้ามักจดจำผู้คนจากใบหน้า อาวุธประจำกาย หรือไม่ก็เป็นวิชาที่ใช้สร้างชื่อ แต่กลับไม่เคยจดจำผู้คนจากรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เช่นท่านเลย”



    วาจาเหล่านี้ของเหลียนหลางเจียงอาจจะเป็นคำตอบว่าทำไมเฟิงหู่ถึงมีท่าทีผิดหวังกับคำตอบของลี้เชียนเหลียน



    คงมีผู้กล้าน้อยท่านที่อยากให้ผู้คนจดจำพวกเขาจากรองเท้าที่สวมใส่กระมัง?



    แม้อี้ชิงหมิงจะอดประหลาดใจกับภูมิความรู้ของลี้เชียนเหลียนไม่ได้ แต่นางก็พอจะคาดเดาไว้ว่าลี้เชียนเหลียนเติบโตมากับครอบครัวของพรานป่า ซึ่งหัวใจของอาชีพนี้คือการสังเกตุ สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว ดังนั้นหลังจากที่นางได้ตรึกตรองอย่างถ้วนถี่แล้ว นางจึงไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่ลี้เชียนเหลียนสามารถระบุออกมาได้ว่ารองเท้าที่เฟิงหู่สวมใส่ตัดเย็บมาจากหนังของเสือดำ



    แต่ที่นางรู้สึกทึ่งไปกว่านั้น คือขณะที่ลี้เชียนเหลียนอธิบายข้อสังเกตุของเขาต่อนางด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบซึ่งทำให้ซือเสว่ซานและเฟิงหู่ไม่อาจนำโทสะที่เกิดขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการลงไม้ลงมือได้ เพราะหากทั้งคู่แสดงอาการใดๆ เป็นการตอบโต้ออกมา ก็จะกลายเป็นว่าทั้งคู่ลอบแอบฟังคำสนทนาของพวกนาง ซึ่งยิ่งจะกลายเป็นการเสียบุคลิกภาพของผู้เหี้ยมหาญไป



    อี้ชิงหมิงอดรู้สึกไม่ได้ว่านางกำลังร่วมทางกับสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง!



    แล้วตัวนางที่มีหน้าที่คอยปกป้องคุ้มครองตัวเขาเล่า ใยมิใช่กลายเป็นเขี้ยวเล็บของสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ไป?



    ขณะที่อี้ชิงหมิงกำลังจะพิจารณาบุคคลทั้ง ๑๐ อย่างตั้งอกตั้งใจอีกครั้ง ก็ปรากฏว่ามีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งกำลังย่างเท้าเข้ามายังบริเวณจัดเลี้ยงอย่างเอิกเริก



    ผู้เดินนำขบวนเป็นชายร่างผอมสูง ท่าทางเหี้ยมหาญ อายุราว ๖๐ ปี ผมขาวประปรายทั่วศีรษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา แต่ดวงตาทั้ง ๒ ข้างกลับเป็นประกายเจิดจ้า ที่ข้างกายของเขาขนาบไปด้วยบุรุษ ๒ คน หนึ่งฉกรรจ์ หนึ่งเยาว์วัย



    บุรุษฉกรรจ์ อายุราว ๓๕-๓๖ ปี ใบหน้าสี่เหลี่ยม หนวดเคราชี้ชันราวขนเม่น รูปร่างบึกบึนเข้มแข็ง ท่าทางหยาบกร้าน แต่ดวงตาทั้ง ๒ ข้างทอแววปัญญา



    บุรุษเยาว์วัย อายุราว ๒๒-๒๓ ปี ใบหน้าเรียวยาว หล่อเหลา รูปร่างสะโอดสะองราวกับมิเคยผ่านงานหนักมาก่อน ยามสบสายตาของบรรดาแขกผู้มาร่วมงาน คล้ายกับพยายามหลบเลี่ยงอยู่ก็ไม่ปาน



    ด้านหลังของบุรุษทั้ง ๒ ยังติดตามด้วยสตรีอีก ๒ นาง หนึ่งในนั้นคือดรุณีน้อยที่อี้ชิงหมิงเคยพบหน้าเมื่อยามประมือกับเหลียนหลางเจียง ส่วนสตรีอีกนางหนึ่ง สวมหมวกที่ปิดบังด้วยผ้าแพรเนื้อบางสีขาว เผยให้เห็นเพียงเค้าโครงหน้าอันเลือนลาง



    และที่ด้านหลังของสตรีทั้ง ๒ นาง ยังติดตามด้วยบุรุษอีก ๓ คน หนึ่งชรา สองฉกรรจ์ ซึ่งหนึ่งในสองฉกรรจ์นั้นคือ เหอหุยจุน พ่อบ้านสามของป้อมตระกูลเซวียง



    อี้ชิงหมิงพอจะคาดเดาความเป็นมาของคนกลุ่มนี้ได้แล้ว



    เมื่อคนกลุ่มนี้ย่างเท้ามาถึงโต๊ะจัดเลี้ยงที่เหลืออยู่ แขกเหรื่อทั้ง๑๖ คนที่นั่งอยู่ ต่างแทบจะลุกขึ้นพร้อมกัน พลางประสานมือไปยังชายชราผู้นั้น กล่าวแทบจะพรอ้มกันอีกเช่นกัน กล่าวว่า



    “คาระวะเจ้าป้อม”



    ชายชราผู้นั้นหัวร่อฮาฮา ประสานมือตอบ กล่าวว่า



    “เซวียงเวิ่นเทียน ประมุขป้อมรุ่นที่ห้า ขอขอบคุณทุกท่านที่มาเยือนยังป้อมตระกูลเซวียงของข้าพเจ้าโดยมิได้ขาดตกบกพร่องแม้แต่ผู้เดียว” จากนั้นผายมือกล่าวสืบไปว่า “เชิญทุกท่านตามสบาย” จากนั้นหันไปกล่าวกับเหอหุยจุนเบาๆ ท่ามกลางเสียงขยับเก้าอี้



    เซวียงเวิ่นเทียนพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจกับคำตอบของเหอหุยจุน



    เหอหุยจุนลุกขึ้นยืน ตบมือเสียงดังกังวาน ๒ ครั้ง ก่อนจะกล่าวเสียงไม่ดังนัก แต่ทุกผู้คนในที่นั้นต่างได้ยินอย่างชัดเจนว่า



    “ยกอาหารมาได้”



    ไม่ถึงชั่วอึดใจ อาหารคาวหวานท่าทางโอชะต่างทยอยนำมายักโต๊ะของแขกเหรื่ออย่างไม่ขาดสาย



    เซวียงเวินเทียนกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า



    “เชิญทุกท่านรับประทานอาหารตามอัธยาศัย หลังจากนั้นพวกเราค่อยมาดื่มสุราหารือกันเป็นอย่างไร”



    บรรดาแขกเหรื่อต่างประสานมือและกล่าวขอบคุณ หลังจากนั้นเสียงช้อนตะเกียบชนกันก็เริ่มดังขึ้น



    อี้ชิงหมิงมองอาหารบนโต๊ะอย่างละลานตา จากนั้นมองไปยังเกาชวนอวิ๋น ว่าคนผู้นี้จะมีโสตประสาทในการจำแนกอาหารเหล่านี้ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับโสตประสาทในการรับฟังหรือไม่



    ทันใดนั้นเกาชวนอวิ๋นกลับลืมตาขึ้น จากนั้นใช้ตะเกียบคีบอาหารรับประทานเช่นเดียวกับคนปกติผู้หนึ่ง



    อี้ชิงหมิงเบิกตาทั้ง ๒ ข้าง กล่าวอย่างไม่เชื่อถือว่า



    “ท่านมิได้ตาบอดหรือหรือ?”



    เกาชวนอวิ๋นกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า



    “ผู้ใดว่าข้าพเจ้าตาบอด?”



    “แล้วเหตุใดท่านจึงเอาแต่หลับตาเล่า?”



    “ข้าพเจ้าพอใจจะหลับตา ข้าพเจ้าจึงหลับตา หากข้าพเจ้าพอใจจะลืมตา ข้าพเจ้าย่อมต้องลืมตา”



    อย่าว่าแต่อี้ชิงหมิงที่รู้สึกประหลาดใจ แม้แต่เหลียนหลางเจียงและถังเซียวหยาวเองต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจไม่น้อย



    เล็กซี่อวงหัวร่อฮาฮา กล่าวว่า



    “เกาน้อยผู้นี้มิได้ตาบอดอย่างที่พวกท่านคาดคิด เพียงแต่ว่ามันเป็นโรคเกี่ยวกับสายตามาแต่เยาว์วัย ทำให้ไม่สามารถมองเห็นวัตถุที่อยู่ห่างเกินกว่า สองวาได้อย่างชัดเจน ดังนั้นมันจึเลือกที่จะหลับตามากกว่าลืมตา มิหนำซ้ำยามที่มันหลับตา ยังสามารถเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่วกว่าข้าพเจ้ายามลืมตาเสียอีก”



    เกาชวนอวิ๋นเผยรอยยิ้มบางๆ ที่ยากจะปรากฏบนใบหน้าศิลานั้น กล่าวว่า



    “ท่านควรจะกล่าวว่า ข้าพเจ้ายามหลับตา สามารถเดินเหินได้คล่องแคล่วกว่าท่านยามเมามายจึงจะถูกต้อง”



    อี้ชิงหมิงอดรู้สึกไม่ได้ว่ายามที่เกาชวนอวิ๋นเผยรอยยิ้มนั้น กลับน่ามองมิใช่น้อย พลันรู้สึกได้ว่าลี้เชียน เหลียนใช้ข้อศอกสะกิดนางเบาๆ จึงหันกลับไปมองและพบว่าลี้เชียนเหลียนแอบหลิ่วตาให้กับนาง ราวกับทราบว่านางกำลังคิดอะไรอยู่



    อี้ชิงหมิงรีบคีบน่องห่านน่องใหญ่ใส่ชามของลี้เชียนเหลียน จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารกลบเกลื่อนอาการเขินอาย

    หากท่านลุงของนางทราบว่านางมีความคิดเช่นนี้ ไม่ทราบว่าจะมีความรู้สึกเช่นไร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×