ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราอาถรรพ์ ตอนเขี้ยวอัสนี

    ลำดับตอนที่ #6 : ย่างเท้าเข้าป้อม

    • อัปเดตล่าสุด 12 ธ.ค. 48


    ๘ วันต่อมาที่ประตูทางเข้าป้อมตระกูลเซวียง



        ขณะที่ลี้เชียนเหลียนกำลังรอคนของป้อมตระกูลเซวียงอยู่นั้น เขาอดคิดถึงช่วงเวลา ๘ วันที่ร่วมทางมากับอี้ชิงหมิงไม่ได้



        อี้ชิงหมิงพบข้อบกพร่องอย่างใหญ่หลวงของ “อี้ชิงหมิง” อย่างเขา



        นั่นคือนางพบว่าเขาไม่เคยใช้กระบี่มาก่อนในชีวิตนี้ แม้ตัวเขาเองมิได้บอกออกมาโดยตรง แต่หลังจากที่นางเห็นท่าชักกระบี่ของเขาแล้ว นางจึงทราบในทันทีว่าเขามิได้มีบุคคลิกของมือกระบี่แม้แต่น้อย



        ดังนั้นในช่วงเวลาของการเดินทาง อี้ชิงหมิงจึงได้ถ่ายทอด “หลักการ” ของวิชากระบี่ที่นางค้นพบให้    ลี้เชียนเหลียน



        “ที่ข้าพเจ้ากำลังจะถ่ายทอดให้ท่าน เป็นเพียงหลักการของวิชากระบี่ที่ข้าพเจ้าค้นพบเท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นเช่นเดียวกับมือกระบี่ผู้อื่นหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าไม่อาจจะทราบได้”



        “เหตุใดท่านถึงเรียกว่า “หลักการ”? เหตุใดท่านไม่เรียกว่า “กระบวนท่า”?



        “นั่นเป็นเพราะว่า “ท่ากระบี่” เป็น”ของเป็น” ส่วนหลักการเป็น “ของตาย” ท่ากระบี่ของข้าพเจ้า ย่อมเป็นท่ากระบี่ของอี้ชิงหมิง แต่หลักการกระบี่ของข้าพเจ้า อาจจะทำให้ท่านสามารถคิดท่ากระบี่ของลี้เชียนเหลียนได้”



        ลี้เชียนเหลียนครุ่นคิดทางหนึ่ง อี้ชิงหมิงก็ครุ่นคิดทางหนึ่ง



        “ข้าพเจ้าเพียงอยากให้ท่านหลังจากที่สิ้นสุดภารกิจของท่านแล้ว เพียงนำกระบี่กลับมาคืนด้วยตัวท่านเอง”



        “หากเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้ายินดีรับปากท่าน”



        “ข้าพเจ้าเองก็จะรอท่านกลับมา”



        โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของหวงปี้ กลับทำให้นางครุ่นคิดมาตลอดทางว่ามีความหมายเช่นไร โดยเฉพาะครอบครัวของหวงปี้ หรือแม้กระทั่งลี้เชียนเหลียนเอง ต่างอมยิ้มอย่างมีความนัย เพียงแต่ลี้เชียนเหลียนนอกจากจะอมยิ้มแล้ว ยังมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเจือปนอยู่บ้าง



        เสียงเปิดประตูช้าๆ ทำให้ทั้งคู่ตื่นจากภวังค์



        ชายฉกรรจ์ร่างผอมสูง ผิวขาวซีดราวปลาตาย ท่าทางเปี่ยมอัธยาศัย ยืนประสานมือรออยู่ กล่าวว่า



        “ข้าพเจ้าเหอหุยจุน พ่อบ้านสามของป้อมตระกูลเซวียง น้อมคาระวะ ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองเป็นผู้กล้าจากสารทิศใด”



        ลี้เชียนเหลียนและอี้ชิงหมิงประสานมือตอบ มือซ้ายของลี้เชียนเหลียนล้วงเข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นส่งเทียบสีแดงฉบับหนึ่งให้เหอหุยจุน กล่าวว่า



        “ข้าพเจ้าอี้ชิงหมิง” พลางมองไปยังอี้ชิงหมิง กล่าวว่า



        “ส่วนนี่เป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้าเรียกว่ามือปราบน้อย”



        “ที่แท้เป็นมือปราบนี่เอง นับถือมานาน”



        แม้เหอหุยจุนจะยังยิ้มแย้มแจ่มใส กล่าววาจาต้อนรับพวกเขา แต่อี้ชิงหมิงกลับพบว่าปรากฏแววตาดูถูกเหยียดหยามขึ้นวูบหนึ่ง



        แต่นั่นจะโทษตัวของเหอหุยจุนเองคงไม่ได้ เพราะโดยปกติแล้วมือปราบที่ซื่อสัตย์ มักจะไม่ร่ำรวยพอจะแจกเงินทองของกำนัลให้เขาได้



        อี้ชิงหมิงเพ่งสายตาไปยังเบื้องหลังของเหอหุยจุน กล่าวว่า



        “เรียนถามท่านพ่อบ้าน ไม่ทราบว่าแขกท่านอื่นที่มีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกับอาจารย์ของข้าพเจ้า ต่างมากันครบแล้วหรือไม่”



        เหอหุยจุนหรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องมองนัยตาสีเขียวของอี้ชิงหมิง สลับกับนัยตาสีแดงของลี้เชียนเหลียน กล่าวว่า



        “หากรวมอาจารย์ของท่านเข้าไปแล้ว ก็ครบจำนวนสิบห้าท่านพอดี”



        อี้ชิงหมิงกำลังคิดว่าจะถามดีหรือไม่ว่าเป็นผู้ใดมาบ้าง แต่ลี้เชียนเหลียนกลับตัดบทด้วยการหาวเบาๆ ออกมา



        เหอหุยจุนแม้ยิ้มแย้มแต่ในใจลอบดูถูกพวกเขาทั้ง ๒ ว่าเป็นจอมยุทธบ้านนอกที่หวังมาแสวงโชคที่ป้อมตระกูลเซวียง กล่าวว่า



        “พวกท่านเดินทางมาไกล ดูท่าจะเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ข้าพเจ้าจะให้คนรับใช้นำทางพวกท่านไปยังบริเวณรับรองเพื่อพักผ่อน จากนั้นเมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ ข้าพเจ้าจะให้คนไปเชิญพวกท่านอีกที”



        ลี้เชียนเหลียนยิ้มบางๆ กล่าวว่า



        “เช่นนั้นรบกวนพ่อบ้าน “อันดับสาม” แล้ว”



        อี้ชิงหมิงสังเกตเห็นหางคิ้วด้านขวาของเหอหุยจุนกระตุกเล็กน้อยกับคำว่า “อันดับสาม” ที่ลี้เชียนเหลียนกล่าวเน้นเป็นพิเศษ



        ลี้เชียนเหลียนหันมาหลิ่วตาเล็กน้อยให้อี้ชิงหมิง ก่อนจะส่งบังเหียนม้าให้คนของป้อมตระกูลเซวียง แล้วเดินตามคนนำทางเข้าไปอย่างสบอารมณ์



        ขณะที่ลี้เชียนเหลียนและอี้ชิงหมิงกำลังเดินผ่านลานฝึกซ้อมอาวุธของป้อมตระกูลเซวียงอยู่นั้น ทั้งคู่เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังร่ายรำเพลงทวนอย่างขะมักขะเม่น



        บุรุษผู้นี้แม้ดูหยาบกร้านไปบ้าง แต่ดวงตาพยัคฆ์ภายใต้คิ้วที่ดกหนาคู่นั้นกลับทำให้บุรุษผู้นี้ดูราวกับภูผาที่ไม่มีวันพังทลาย



        ลี้เชียนเหลียนหยุดมองดูครู่หนึ่ง ถามอี้ชิงหมิงว่า



        “ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับเพลงทวนของคนผู้นี้?”



        อี้ชิงหมิงเพ่งความสนใจอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า



    “เรียบง่ายอย่างยิ่ง” จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงแกมชื่นชมว่า



    “แต่ไม่มีกระบวนท่าใดที่ให้ความรู้สึกว่าสิ้นเปลืองแม้แต่น้อย”



    “หากท่านต้องประมือกับคนผู้นี้เล่า?”



    อี้ชิงหมิงขมวดคิ้วอันเรียวงามครุ่นคิดอย่างตั้งอกตั้งใจ หากคนทั่วไปมองมายังนาง ยังคงพบเห็นเพียงบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง กำลังขบคิดราวกับบัณฑิตคงแก่เรียน



    แต่ลี้เชียนเหลียนกลับมองเป็นภาพของอี้ชิงหมิงในสภาพที่เป็นสตรี ซึ่งนอกจากเขาจะชมชอบมองนางยามที่ยิ้มแย้มแล้ว ยามที่นางขมวดคิ้วขบคิด ก็น่ามองไม่แพ้กัน



    ไม่ทันที่อี้ชิงหมิงจะให้คำตอบแก่ลี้เชียนเหลียน ชายหนุ่มผู้นั้นก็หยุดรำเพลงทวน แล้วทะยานร่างราวกับขุนพลสวรรค์ มาหยุดร่างยังเบื้องหน้าของพวกเขา ยิ้มอย่างทระนง มองไปยังอี้ชิงหมิง กล่าวว่า



    “ไม่ทราบว่าน้องชายท่านนี้” จากนั้นมองไปยังลี้เชียนเหลียน กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า



    “มีคำตอบให้พี่ชายท่านนี้ว่าอย่างไร หากต้องประมือกับข้าพเจ้าเหลียงหยางเจียง”



    นับว่าชายผู้นี้มีโสตประสาทมิใช่ย่อยเลยทีเดียว แม้จะร่ายรำเพลงทวนอยู่ แต่ยังสามารถได้ยินคำพูดของพวกเขาที่อยู้ห่างออกไปถึง ๒๐ วาอย่างชัดเจน



    อี้ชิงหมิงยกมือขึ้นประสาน กล่าวว่า



    “ที่แท้ท่านก็คือ “ทวนลมฝน” เหลียงหยางเจียง หนึ่งในห้าขุนพลทวนรุ่นเยาว์นี่เอง นับถือมานาน”



    เหลียงหยางเจียงหันกลับไปมองอี้ชิงหมิงอีกครั้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงอำนาจข่มขู่ว่า



    “ท่านยังไม่ได้ให้คำตอบแก่ข้าพเจ้า”



    ลี้เชียนเหลียนกลับสอดคำขึ้นมาว่า



    “หากพิสูจน์ฝีมือกัน ใยมิใช่ทราบได้อย่างง่ายดายยิ่ง”



    แม้เหลียนหยางเจียงไม่เคยอ่อนข้อให้กลับใคร แต่ก็มิใช่หมายความว่าเขาโง่เขลาจนประมาทในตัวคู่ต่อสู้ พลันฉุกใจประสานมือ กล่าวว่า



    “เรียนถามนามผู้กล้าทั้งสอง”



    เนื่องจากอี้ชิงหมิงร่วมทางกับลี้เชียนเหลียนได้ ๑๐ วัน ทำให้พลอยซึมซับนิสัยรักสนุกของเขาเข้ามาทีละน้อย ประสานมือตอบ พลางมองไปยังลี้เชียนเหลียน กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า



    “อาจารย์ของข้าพเจ้า ยามนั่งไม่เปลี่ยนแซ่ ยามเดินไม่ใปลี่ยนชื่อ เรียกว่า กระบี่ไว อี้ชิงหมิง”



    ลี้เชียนเหลียนพลันยืดอกขึ้นมาเล็กน้อย มองกลับไปยังอี้ชิงหมิง กล่าวว่า



    “ส่วนนั่น ศิษย์อันดับหนึ่งของข้าพเจ้า เรียกว่ามือปราบน้อย”



    ดวงตาของเหลียงหยางเจียงพลันเปล่งประกายเจิดจ้า กล่าวว่า



    “ถ้าเชื่นนั้นข้าพเจ้าขอน้อมรับคำชี้แนะจากท่าน” พลางก้าวถอยหลังไป ๒ ก้าว กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักๆ ว่า



    “เชิญ”



    ลี้เชียนเหลียนกลับส่ายหน้าไปมา ราวกลับทราบว่าเหลียงหยางเจียงจะต้องเอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมา กล่าวว่า



    “นั่นกลับไม่ยุติธรรมนัก”



    เหลียงหยางเจียงส่งเสียงอ้อ แล้วกล่าวว่า



    “ข้าพเจ้ากลับลืมไปว่าพวกท่าทั้งสองพึ่งเดินทางมาถึง หากประมือกับพวกท่านในตอนนี้ ใยมิใช่ใช้สดชื่นซ้ำเติมตรากตรำ”



    ลี้เชียนเหลียนยังคงส่ายหน้าไปมา กล่าวว่า



    “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าพเจ้าบอกว่าไม่ยุติธรรมนั้น กลับหมายความว่าไม่ยุติธรรมต่อตัวท่าน”



    เหลียงหยางเจียงเลิกคิ้วขวาขึ้นสูง กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้ากลับไม่เข้าใจ รบกวนท่านกล่าวให้กระจ่างกว่านี้ได้หรือไม่?”



    แม้แต่อี้ชิงหมิงเองยังอดสนใจไม่ได้ว่าในน้ำเต้าของลี้เชียนเหลียนขายยาอะไร



    ลี้เชียนเหลียนกล่าวช้าๆ ว่า



    “หากท่านเข้าใจว่าข้าพเจ้านั้นตรากตรำจากการทำงาน แสดงว่าท่านคงลืมเลือนไปว่าอาชีพของข้าพเจ้าคือมือปราบ การเดินทางเพื่อตามจับคนร้ายนั้น ย่อมเป็นความเคยชินของข้าพเจ้า”



    ทั้งอี้ชิงหมิงและเหลียงหยางเจียง ต่างพยักหน้าเห็นด้วย ลี้เชียนเหลียนกล่าวสืบไปว่า



    “จอมยุทธเหลียง ข้าพเจ้าถามท่าน ขอให้ท่านบอกต่อข้าพเจ้าตามตรง หากท่านพ่ายแพ้ต่อข้าพเจ้า ท่านจะทำเช่นไร?”



    “หากข้าพเจ้าพ่ายแพ้ต่อท่านจริง ข้าพเจ้ายินดีสะบัดหน้าจากไปทันทีโดยไม่มีคำโต้แย้งใดๆ”



    จากคำตอบนี้ อี้ชิงหมิงอดรู้สึกนับถือในความเป็นลูกผู้ชายของเหลียงหยางเจียงไม่ได้



    ลี้เชียนเหลียนยิ้มละไม กล่าวว่า



    “หากข้าพเจ้าเสมอกับท่านเล่า?”



    เหลียงหยางเจียงขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า



    “นั่นไม่นับเป็นอย่างไรได้”



    อี้ชิงหมิง ราวกับฉุกใจ สอดคำขึ้นมาว่า



    “ผิดแล้ว หากท่านทั้งสองไม่อาจเอาชัยอีกฝ่ายได้ ถึงแม้ไม่ได้รับบาดเจ็บทางกาย แต่จากผลการต่อสู้ครั้งนี้ สามารถลิดรอนความรู้สึกฮึกเหิมของพวกท่านลงได้ไม่มากก็น้อย กลับกลายเป็นนกกระสากับหอยกาบต่อสู้กัน ชาวประมงเป็นผู้ได้ผลประโยชน์ไป”



    เหลียงหยางเจียงงงงันไปวูบ กล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า



    “หากข้าพเจ้าเอาชนะท่านได้เล่า?”



    ลี้เชียนเหลียนหัวร่อฮาๆ กล่าวว่า



    “จอมยุทธเหลียน ข้าพเจ้าขอบอกกับท่านตามตรง ที่ข้าพเจ้ามาครั้งนี้เพียงต้องการยลโฉมแม่นาง  เซวียงเท่านั้น ผลแพ้ชนะหาได้มีความหมายต่อข้าพเจ้าไม่” จากนั้นกล่าวอย่างหนักแน่นว่า



    “หากแต่ท่านต้องการพิสูจน์ฝีมือกับข้าพเจ้าให้ได้ ข้าพเจ้าเองก็ไม่ขัดข้อง”



    เหลียงหยางเจียง อดคิดถึงผลได้ผลเสียในใจไม่ได้ แม้ครั้งนี้เขามิได้ตั้งความหวังไว้สูงนัก แต่หากพ่ายแพ้ทั้งกระดานตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มต้น ใยมิใช่เดินหมากผิดตาเดียว พ่ายแพ้ทั้งกระดาน



    แม้เขาจะนับได้ว่าเป็น ๑ ใน ๕ มือทวนรุ่นเยาว์ แต่คนใช้กระบี่นั้นมีกลาดเกลื่อนยุทธจักร อี้ชิงหมิงแม้จัดอยู่ในอันดับ ๑๐ ของมือกระบี่รุ่นเยาว์ แต่ในบรรดายอดฝีมือทั้ง ๑๐คนนั้น กลับมิเคยปรากฏว่ามีผู้ใดมีโอกาสได้ประมือกันแม้แต่ครั้งเดียว อันดับทั้ง ๑๐ นั้นเป็นเพียงลำดับก่อนหลังที่ผู้คนในยุทธจักรเล่าขานกัน



    มือกระบี่อันดับ ๑๐ ไม่แน่ว่าจะมีฝีมืออยู่ที่อันดับ ๑๐



    ขณะที่เหลียงหยางเจียงครุ่นคิดอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังมาว่า



    “เมื่อไหร่พวกท่านจะต่อยตีกันเสียที ข้าพเจ้ารอจนเบื่อจะแย่อยู่แล้ว” พร้อมกับมีแอปเปิล ผลหนึ่งถูกขว้างมายังที่พวกเขายืนอยู่



    เหลียงหยางเจียงเกิดปฏิภานขึ้นวูบหนึ่ง ทวนในมือพลันเคลื่อนไหวราวอสรพิษร้ายตัวหนึ่ง ฉกปราดไปยังแอปเปิลผลนั้น

    ในขณะเดียวกัน กระบี่ในมือของอี้ชิงหมิงเองก็สะบัดออกจากฝักราวกับประกายสายฟ้าแวบหนึ่ง



    เพียงชั่วพริบตากระบี่คืนสู่ฝัก โดยที่ผลแอปเปิลติดไปกับปลายทวนของเหลียงหยางเจียง



    จากนั้นทั้ง ๓ คนต่างหันไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว



    เดิมทีอี้ชิงหมิง และเหลียงหยางเจียงทราบอยู่ก่อนแล้วว่ามีบุคคลที่ ๔ เข้ามาในรัสมีการรับรู้ของพวกเขา เพียงแต่ทั้งคู่คิดว่านั่นเป็นบ่าวรับใช้ของป้อมตระกูลเซวียง จึงมิได้แบ่งสมาธิไปสนใจมากนัก



    ที่ปรากฏแก่สายตาของพวกเขา ห่างออกไปราว ๑๐ วา เป็นดรุณีน้อยนางหนึ่ง อายุราว ๑๖ - ๑๗ ปี แม้ใบหน้านั้นจะครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง แต่ดวงตาสุกสว่างราวกับดวงดาวคู่นั้น เพียงพอที่จะสั่นไหวจิตใจบุรุษจนงมงาย อย่างน้อย ๘ ใน ๑๐ ของบุรุษ ต้องหลงงมงายเก็บเอาไปฝันแน่นอน



    เหลียงหยางเจียงเองก็หาได้อยู่นอกกฎเกณฑ์นั้นไม่



    ดรุณีนางนั้นเชิดหน้าเล็กน้อย กล่าวเสียงเจื้อยแจ้วว่า



    “ที่แท้ท่านก็มีฝีมืออยู่ท่าสองท่าบ้าง” แล้วสะบัดหน้าน้อยๆ เดินจากไป



    เหลียงหยางเจียงมีแววตาเลื่อนลอยอยู่บ้าง เหม่อมองเงาหลังของดรุณีนางนั้นจนลับสายตา พลันรู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งของลี้เชียนเหลียนยื่นมาตรงหน้าตน



    เหลียงหยางเจียงมองตอบด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ลี้เชียนเหลียนจึงปรายตาไปยังผลแอปเปิลที่ติดอยู่ตรงปรายทวน



    เหลียงหยางเจียงยื่นมือหมายจะถอดแอปเปิลผลนั้นออกจากปลายทวน พลางคิดในใจว่า



    “นี่เป็นแอปเปิลที่แม่นางน้อยนั้นมอบต่อข้าพเจ้า จะเป็นจะตายยังไงข้าพเจ้าก็ไม่แบ่งท่านแน่”



    แต่เมื่อมือของเขาสัมผัสกับผลแอปเปิล ราวกับว่าแรงดึงดูดบางอย่างภายในผลแอปเปิลนั้นพลันสลายทันที



    ผลแอปเปิลที่ปลายทวนถึงกับแยกออกจากกันเป็น ๓ ส่วนตามแนวขวาง มีเพียงส่วนกลางเท่านั้นที่ยังยึดอยู่กับปลายทวน



    เหลียงหยางเจียงลอบตระหนกในใจ แต่ยังส่งแอปเปิลอีก ๒ ส่วนให้กับลี้เชียนเหลียนด้วยสีหน้าท่าทางเป็นปกติ



    ลี้เชียนเหลียนส่งแอปเปิลอีกส่วนหนึ่งให้อี้ชิงหมิง กล่าวว่า



    “แอปเปิลผลนี้ท่าทางจะหวานฉ่ำมิใช่น้อย” แล้วมองไปยังเหลียนหยางเจียง กล่าวว่า



    “หากจอมยุทธเหลียงหมดธุระกับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ากับศิษย์คงต้องขอตัวก่อน” พลางพยักหน้าไปทางอี้ชิงหมิง แล้วเดินแยกตัวออกมา



    อี้ชิงหมิงประสานมือต่อเหลียงหยางเจียง กล่าวว่า



    “ขอบคุณท่านที่ยั้งมือไว้ไมตรี ข้าพเจ้าขอตัว” แล้วเดินตามลี้เชียนเหลียนไป



    เหลียงหยางเจียงมองตามเงาหลังคนทั้ง ๒ พลางกระชับทวนในมือแน่น



    ลี้เชียนเหลียนส่งแอปเปิลเข้าปาก กล่าวพลางเคี้ยวแก้มตุ่ยว่า



    “ท่านคิดว่าฝีมือทวนของเหลียนหยางเจียงเป็นอย่างไรบ้าง?”



    อี้ชิงหมิงเองก็เลียนแบบลี้เชียนเหลียน ส่งแอปเปิลอีกส่วนเข้าปาก เคี้ยวแก้มตุ่ย กล่าวว่า



    “นับว่ามีฝีมือมิใช่ย่อยเลยทีเดียว เดิมทีข้าพเจ้าต้องการแยกแอปเปิลผลนี้ออกเป็นแปดส่วน แต่ทวนของเขากลับรวดเร็วกว่าที่ข้าพเจ้าคาดคิดไว้นัก เกรงว่าภายในร้อยกระบวนท่า ข้าพเจ้าไม่มั่นใจว่าจะเอาชัยเขาได้”



    “หากหลังร้อยกระบวนท่าเล่า? ท่านสามารถเอาชัยเขาได้หรือ?”



    อี้ชิงหมิงส่ายหน้า กล่าวว่า



    “โอกาสชนะแทบจะไม่มี หรือท่านลืมเลือนไปว่าข้าพเจ้าเป็นสตรี หากต้องประมือกับยอดฝีมือระดับเดียวกันเกินร้อยกระบวนท่า เรี่ยวแรงและลมปราณย่อมไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับบุรุษเช่นเพวกท่านได้” จากนั้นน้ำเสียงเปลี่ยนเป็นท้อแท้เล็กน้อย กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าฝึกฝนแทบตาย สุดท้ายกลับมิอาจข้ามด่านแบ่งแยกระหว่างบุรุษสตรีไปได้”



    ลี้เชียนเหลียนยิ้มบางๆ ที่มุมปาก กล่าวว่า



    “แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีทำลายข้อแตกต่างระหว่างบุรุษกับสตรีนี่?”



    อี้ชิงหมิงหันไปมองลี้เชียนเหลียนอย่างทันควัน แม้ไม่ต้องเอ่ยปาก ลี้เชียนเหลียนก็ทราบดีว่าอี้ชิง หมิง ต้องการถามอะไรจากเขา จึงชี้นิ้วไปยังบริเวณหน้าผากของนาง กล่าวว่า



    “ความเฉลียวฉลาดของท่าน คือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ท่านก้าวข้ามขีดจำกัดทางร่างกายของบุรุษและสตรีได้”



    อี้ชิงหมิงแม้จะผิดหวังในคำตอบของลี้เชียนเหลียนอยู่บ้าง แต่ก็มิอาจไม่ยอมรับว่าคำตอบนี้ของเขาทำให้ความคิดต่อสู้ในใจของนางกลับมาอีกครั้ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×