ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราอาถรรพ์ ตอนเขี้ยวอัสนี

    ลำดับตอนที่ #5 : สุสานไร้ชื่อ

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ย. 48


    กิจวัตรประจำวันยามรุ่งอรุณของอี้ชิงหมิงคือการฝึกกระบี่ แม้จะอยู่กลางป่าเขาก็หาได้มีข้อยกเว้นไม่ นางเชื่อว่าผู้ที่สามารถไปถึงจุดสูงสุดในเชิงกระบี่ได้นั้นต้องประกอบไปด้วยสติปัญญา พรสวรรค์ และการฝึกปรือ



        อี้ชิงหมิงเชื่อว่าสติปัญญาของนางยังเป็นรองยอดฝีมืออีกหลายท่าน พรสวรรค์นั้นยิ่งเทียบไม่ได้กับยอดฝีมือรุ่นหลังที่ผุดขึ้นมาอย่างดาดเดื่อ แต่นางเชื่อว่าการฝึกปรือตลอด ๑๕ ปีที่ผ่านมาของนางหาด้อยกว่าผู้ใดไม่



        ตัวกระบี่กระทบกับแสงแดดที่ลอดผ่านเงาไม้ลงมา เมื่อผสานกับท่ากระบี่ของนางเกิดเป็นประกายแลบแปลบปราบราวกับอัสนีกลางพายุ



        แม้ว่าอี้ชิงหมิงจะเรียนวิชายุทธพื้นฐานจากบิดาของนาง อันประกอบด้วยวิชาตัวเบาและการสกัดจุด แต่กับกระบวนท่ากระบี่แล้ว เพียงยึดมั่นในคำสอนของยอดคนแซ่ปาผู้ถ่ายทอดวิชาลมปราณพายุทรายและมอบกระบี่ไร้ฝักเล่มนี้ให้แก่นางเท่านั้น



        “ไม่มีเพลงกระบี่ใดที่เหมาะสมกับตัวเจ้าเท่ากับเพลงกระบี่ที่เจ้าบัญญัติขึ้นด้วยตัวเอง การถ่ายทอดเป็นเพียงหนทางลัดไปสู่การเป็นยอดมือกระบี่ แต่การคิดค้นบัญญัตินั้นเป็นหนทางไปสู่การเป็นสุดยอดมือกระบี่ หากเมื่อเจ้าเติบใหญ่และต้องการเป็นยอดมือกระบี่ ก็จงไปเสาะหายอดมือกระบี่สักคน กราบกรานคนผู้นั้นเป็นอาจารย์เถอะ แต่หากเจ้าต้องการเป็นสุดยอดมือกระบี่ เจ้าต้องหาคำตอบนั้นจากตัวของเจ้าเอง”



        กระบี่ในมืออี้ชิงหมิง กรีดผ่าอากาศนับครั้งไม่ถ้วน บ้างตวัดผ่านราวกับรุ้งยาวจากนั้นแตกออกเป็นบุบผากระบี่นับไม่ถ้วนครอบคลุมตัวนาง ด้วยลมปราณพายุทรายที่นางฝึกปรือมา เมื่อใช้ออกผ่านทางกระบี่บังเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวราวกับภูตเทพคร่ำครวญอย่างโหยหวน



        พลันปรากฏไหสุราไหหนึ่ง พุ่งเข้ายังเบื้องหลังของอี้ชิงหมิง กระบี่ในมือซ้ายของนางราวกับมีดวงตางอกเงยออกมาตวัดผ่ากลับหลังแยกไหสุราออกเป็น ๒ ซีกซ้ายขวาเท่าๆ กันราวกับฟันหยวก ก่อนจะตกกระแทกพ้นแตกออกเป็นส่วนๆ



        อี้ชิงหมิงสอดกระบี่คืนฝักโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง กล่าวว่า



        “ท่านคิดอย่างไรกับเพลงกระบี่ที่ข้าพเจ้าบัญญัติขึ้น”



        ลี้เชียนเหลียนอ้าปากหาว พลางยกแขนทั้ง ๒ ข้างบิดไปมาอย่างเกียจคร้าน กล่าวว่า



        “หากไม่นับเสียงหวีดหวิวที่รบกวนการนอนหลับของข้าพเจ้า อื่นๆ นับว่าใช้ได้”



        อี้ชิงหมิงทำหูทวนลม พลางก้าวเท้าเข้าหาลี้เชียนเหลียน ล้วงหน้ากากหนังมนุษย์ส่งคืน กล่าวว่า



        “หน้ากากของท่านกลับไม่ค่อยทนทานนัก ข้าพเจ้าเพียงร่ายรำกระบี่ไม่ถึงยี่สิบกระบวนท่าน ก็หลุดล่วงลงมาเสียแล้ว”



        ลี้เชียนเหลียนยื่นมือไปรับหน้ากากของอี้ชิงหมิง กล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า



        “นั่นย่อมแน่นนอนอยู่แล้ว น้ำยาพิเศษที่ข้าพเจ้าใช้กับใบหน้าของท่าน แม้ไม่มีผลกับน้ำทั่วไป แต่กลับมีผลต่อเหงื่อเป็นพิเศษ” พลางมองไปยังใบหน้าอันหมดจดของอี้ชิงหมิงที่มีหยาดเหงื่อซึมออกมา กิริยาท่าทางที่นางใช้แขนเสื้อซับหยาดเหงื่อบนใบหน้าของนางนั้นน่ามองมิใช่น้อย



        “ท่านจ้องหน้าข้าพเจ้าด้วยเหตุอันใด”



        ลี้เชียนเหลียนพลันรู้สึกตัวว่าเขาเสียมรรยาทต่ออี้ชิงหมิง จึงหัวร่อฮาๆ กล่าวกลบเกลื่อนว่า



        “ข้าพเจ้ากำลังคิดว่าหากมีหญิงงามอันดับที่สิบเอ็ด “งามอย่างพิสดาร” ข้าพเจ้าคาดว่าท่านต้องได้อย่างแน่นอน”



        อี้ชิงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังมีรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก กล่าวเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ถือสาหาในคำพูดลี้เชียนเหลียนว่า



        “ไปตายของท่านไป เชียนเหลียนจุ้ย” จากนั้นสะบัดหน้าเดินจากไป



        อี้ชิงหมิงจะทราบหรือไม่ว่าประโยคเมื่อสักครู่ของลี้เชียนเหลียนจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้



        หลังจากที่ลี้เชียนเหลียนจัดการ “แปลงโฉม” ให้อี้ชิงหมิงกลับไปเป็น “มือปราบน้อย” ดังเดิมแล้ว ทั้งคู่ก็ควบม้ออกเดินทางอีกครั้ง



        เมื่อถึงยามเที่ยงทั้งคู่ได้แวะไปยังโรงเตี้ยมเล็กๆ เพื่อหยุดรับประทานอาหาร ขณะที่รับประทานอาหาร จู่ๆ ลี้เชียนเหลียนก็กล่าวขึ้นมาว่า



        “มือปราบน้อย ห่างจากนี้ไปประมาณ สามสิบลี้ มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง หากพวกเราจะแวะสักครู่หนึ่ง ท่านคงจะไม่ขัดข้องกระมัง”



        “ท่านต้องการแวะหาสหายของท่าน”



        ลี้เชียนเหลียนพยักหน้า กล่าวช้าๆ ว่า



        “ไม่ผิดไปจากที่ท่านคาดเดามากนัก”



        อี้ชิงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กับคำตอบชวนกำกวมของลี้เชียนเหลียน แต่ยังตอบกลับไปว่า



        “ข้าพเจ้าเองก็ไม่ขัดข้อง หากค่ำนี้พวกเราสามารถหาโรงเตี้ยมที่พักแรมได้ ข้าพเจ้าต้องการนอนเตียงนุ่มๆ สักคืน”



    ลี้เชียนเหลียนอดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าเองก็ต้องการดื่มสุราให้สมใจเช่นกัน”



    เดิมทีนั้นอี้ชิงหมิงเข้าใจว่าสหายของลี้เชียนเหลียนพำนักอยู่ในตัวหมู่บ้าน แต่ปรากฏว่าเขาควบม้านำหน้านางเลี่ยงออกไปทางเนินเขาเล็กๆ ห่างจากหมู่บ้านราว ๕ ลี้



    ที่เนินเขาแห่งนั้นเอง อี้ชิงหมิงจึงได้เข้าใจถึงคำตอบอันกำกวมของลี้เชียนเหลียน



    สหายนั้นใช่อยู่ เพียงแต่สหายผู้นี้นอนสงบอยู่ในสุสานเล็กๆ โดดเดี่ยวไร้ชื่อ



    ลี้เชียนเหลียนยืนสงบนิ่งมองดูสุสานนั้นอย่างเงียบงัน ราวกับว่ามีแต่เขาเพียงผู้เดียวอยู่ ณ ที่แห่งนั้น



    เป็นครั้งแรกที่อี้ชิงหมิงได้เห็นบุคคลิกอีกรูปแบบหนึ่งของลี้เชียนเหลียน คนผู้นี้ยามเคลื่อนไหวราวกับโลกหล้านี้เต็มไปด้วยความสุข เขาสามารถหัวเราะได้กับทุกเรื่องราว แม้กระทั่งจะถูกนางต่อว่า เขาก็ยังสามารถแย้มยิ้มได้



    แต่ยามเมื่อคนผู้นี้ไม่เคลื่อนไหว ราวกับภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง ทั้งดูหนักแน่นและเย็นชา จะมีก็เพียงแววสะท้อนจากดวงตาสีแดงคู่นั้นที่ทำให้ภูเขาน้ำแข็งลูกนี้ดูไม่ไร้หัวใจเสียซะทีเดียว



    อี้ชิงหมิงอดรู้สึกสะทกสะท้อนในบุคลิกเช่นนี้ไม่ได้ กล่าวว่า



    “คนก็ตายแล้ว ไม่มีทางฟื้นคืนขึ้นมาได้ ท่านก็ตัดอกตัดใจเสียบ้างเถอะ”



    ลี้เชียนเหลียนยิ้มบางๆ ที่มุมปากกล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าทราบดีว่าชีวิตของเราเป็นดังความฝันตื่นหนึ่ง เพียงแต่ความฝันของนางออกจะสั้นเกินไปบ้าง”



    อี้ชิงหมิงเมื่อทราบว่าสหายผู้นี้ของลี้เชียนเหลียนเป็นสตรี พลันเฉลียวใจถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ กล่าวว่า



    “นางเป็นคนรักของท่าน”



    ลี้เชียนเหลียนฝืนยิ้ม กล่าวว่า



    “ถูกต้อง นางเป็นคนรักของข้าพเจ้า แม้จะเพียงครึ่งชั่วยาม แต่ก็นับได้ว่านางเป็นคนรักของข้าพเจ้า”



    “ครึ่งชั่วยาม”



    ลี้เชียนเหลียนยกมือทั้งสองขึ้นมองด้วยสายตารันทด กล่าวช้าๆ ว่า



    “นางสิ้นใจต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า ในมือทั้งสองข้างของข้าพเจ้า โดยที่ข้าพเจ้าไม่สามารถช่วยเหลือนางได้แม้แต่น้อย”



    อี้ชิงหมิงมีทีท่าจะกล่าวถามอะไรออกมา แต่ลี้เชียนเหลียนกลับตัดบทกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า



    “หากข้าพเจ้ามีอารมณ์ที่จะเล่าให้ท่านฟัง ถึงตอนนั้นหากท่านไม่ต้องการรับฟังก็ไม่ได้แล้ว”



    ทันใดนั้นมีเสียงร้องแหลมเล็กของสตรีดังแทรกขึ้นมาระหว่างการสนทนาของคนทั้ง ๒



    “เชียนเหลียนจุ้ย ท่านใช่เชียนเหลียนจุ้ยที่น่าตายผู้นั้นใช่หรือไม่”



    เมื่ออี้ชิงหมิงหันไปมองยังต้นเสียง พบว่าเป็นดรุณีน้อยนางหนึ่ง อายุราว ๑๖-๑๗ ปี วิ่งกระหืดกระหอบมุ่งตรงเข้ามา ใบหน้านั้นแม้ปราศจากการแต่งแต้มใดๆ นอกจากแป้งฝุ่นบางๆ แล้ว ความงดงามน่ารักตามธรรมชาติของนางหาได้ลดน้อยลงไปแม้แต่น้อยไม่



    ลี้เชียนเหลียนหันกลับไปมอง จากนั้นยิ้มอย่างเบิกบานกล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าคือเชียนเหลียนจุ้ยที่น่าตายผู้นั้นเอง ท่านคงเป็นเซี่ยวปี้ที่ไม่ยอมเติบโตแล้วกระมัง”



    หวงปี้หยุดลงตรงเบื้องหน้าของทั้งคู่ หอบเล็กน้อยกล่าวว่า



    “หากข้าพเจ้ามิใช่เซี่ยวปี้ผู้นั้น ใครจะเป็นเซี่ยวปี้ได้อีก” พลางมองไปยังอี้ชิงหมิงในคราบมือปราบหนุ่ม พลันใบหน้างามนั้นกลับแดงซ่านขึ้นมา

    ลี้เชียนเหลียนเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ออก จึงหัวร่อฮาๆ กล่าวว่า



    “นี่เป็นสหายต่างวัยของข้าพเจ้าเรียกว่า มือปราบอี้”



    หวงปี้มีทีท่าเขินอาย ประสานมือกล่าวว่า



    “หวงปี้ คาระวะมือปราบอี้” แล้วหันไปยังลี้เชียนเหลียน กล่าวว่า



    “นับตั้งแต่สามปีก่อนที่ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วยังลอบหลบหนีออกไปจากบ้านของข้าพเจ้า ทุกคนในบ้านของข้าพเจ้าต่างเชื่อว่าท่านเสียชีวิตแล้ว” จากนั้นเหลือบมองไปยังอี้ชิงหมิงครู่หนึ่ง กล่าวสืบไปว่า



    “มีแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่เชื่อว่าท่านต้องยังมีชีวิตอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ทุกหลายๆ วันข้าพเจ้าจะแวะมายังหลุมฝังศพของอาซ้อสักครั้ง เพราะข้าพเจ้ามั่นใจว่าหากท่านยังไม่ตาย สักวันจะต้องกลับมายังหลุมฝังศพนี้แน่”



    “แล้วทุกคนที่บ้านของท่านสบายดี”



    หวงปี้ยิ้มแย้มอย่างร่าเริง กล่าวว่า



    “ทุกคนสบายดี แม้แต่บิดาที่ไม่ค่อยพอใจเวลาที่ท่านลอบขโมยดื่มสุราของท่านผู้เฒ่าดื่ม ก็ยังอดบ่นถึงท่านบ่อยๆ ไม่ได้ จะมีก็แต่เฒ่าแซ่เฮ้งที่ป่วยหนักสิ้นใจไปเมื่อครึ่งปีก่อน”



    ลี้เชียนเหลียนพึมพัมออกมาเบาๆ ว่า



    “เฒ่าแซ่เฮ้งเองก็เสียชีวิตไปแล้วรึ”



    “เชียนเหลียนจุ้ย ท่านไม่ต้องกังวลไป ผู้เฒ่าแซ่เฮ้งก่อนสิ้นใจได้ฝากของสิ่งหนึ่งต่อข้าพเจ้าให้มอบต่อท่านกับมือหากท่านกลับมายังหมู่บ้านของเราอีกครั้ง”



    ในใจของอี้ชิงหมิงต่างมีคำถามเกิดขึ้นเป็นระลอกจากการสนทนาของคนทั้ง ๒ นางไม่แน่ใจว่าจะสามารถหาคำตอบของคำถามเหล่านั้นได้หรือไม่



    ลี้เชียนเหลียนมองไปยังอี้ชิงหมิง กล่าวว่า



    “มือปราบอี้ ท่านจะลำบากใจหรือไม่หากค่ำคืนนี้พวกเราจะไปพักอาศัยกลับครอบครับสกุลหวง”



    อี้ชิงหมิงส่ายใบหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ พลางคิดในใจว่านี่อาจจะเป็นหนทางที่ทำให้นางสามารถหาคำตอบจากคำถามในใจของนางได้



    ลี้เชียนเหลียนและอี้ชิงหมิงติดตามหวงปี้ไปยังบ้านของนาง



    ตลอดรายทางหวงปี้ชักชวนอี้ชิงหมิงสนทนาอยู่ตลอดเวลา จนอี้ชิงหมิงคาดเดาได้ว่าดรุณีน้อยนางนี้คิดอย่างไรกับตน



    นางคิดว่าอี้ชิงหมิงเป็นบุรุษจริงๆ



    โดยเฉพาะแววตาที่แฝงรอยขบขันของลี้เชียนเหลียน ยิ่งทำให้นางมีความรู้สึกหัวร่อมิออกร้องไห้มิได้



    จากคำบอกเล่าของหวงปี้ นางรู้จักกับลี้เชียนเหลียนเมื่อ ๘ ปีก่อน ในขณะที่นางมีอายุเพียง ๗ ปี ลี้เชียนเหลียนได้ช่วยเหลือนางซึ่งพลัดตกลงไปในแม่น้ำ และพานางกลับมาส่งยังครอบครัวของนาง



    หลังจากนั้นทุกๆ ปี ลี้เชียนเหลียนจะแวะมาพักกับครอบครัวของนาง ครั้งละ  ๑๐ วัน พร้อมด้วยประสบการณ์แปลงประหลาดมากมายจากการเดินทางของเขา



    ส่วนเฒ่าแซ่เฮ้งนั้น ไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นใครมาจากไหน ทุกคนทราบเพียงว่าแม้เฒ่าแซ่เฮ้งจะมีอายุมากแล้วแต่ยังสามารถตีเหล็กได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น มีด, ขวาน, เสียม, คราด หากมาจากมือของท่านผู้เฒ่าแล้วล้วนแข็งแรงทนทานอย่างยิ่ง



    หมู่บ้านของหวงปี้เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ เพียง ๕๐ กว่าหลังคาเรือนเท่านั้น



    ครอบครัวของนางประกอบด้วย บิดา มารดา พี่ชาย ๒ คน พี่สะใภ้ ๒ คน หลานชาย ๒ คน หลานสาว ๑ คน รวมเป็น ๑๐ คนพอดี



    ที่สำคัญอี้ชิงหมิงพบว่าทุกคนในครอบครัวสกุลหวง ต่างให้การต้อนรับตนและลี้เชียนเหลียนเป็นอย่างดี ราวกับว่าลี้เชียนเหลียนคือสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวที่เดินทางไปต่างแดนแล้วกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดอีกครั้ง



    แต่ที่น่าประหลาดอย่างยิ่ง คือไม่มีผู้ใดที่กล่าวถึงเรื่องคนรักของเขา แม้แต่เรื่องที่เขาหายสาบสูญไป ๓ ปี ก็หาได้มีผู้ใดถามไม่ ราวกับว่าทั้ง ๒ คำถามนี้จะไม่มีวันได้คำตอบเป็นแน่



    ระหว่างมื้อค่ำ ลี้เชียนเหลียนดื่มสุราเข้าไปมิใช่น้อย เล่าเรื่องราวน่าขบขันนับไม่ถ้วน หัวเราะราวกับไม่มีวันหมดสิ้น แต่อี้ชิงหมิงกลับมองออกว่าดวงตาสีแดงเรื่อของลี้เชียนเหลียนนั้นยังคงเคลือบไปด้วยความเศร้าหมองบางๆ นับตั้งแต่จากสุสานคนรักของเขา



    เนื่องจากลี้เชียนเหลียนจัดได้ว่าเป็น “แขกขาประจำ” ของครอบครัวสกุลหวง จึงมีห้องรับรองเล็กๆ ติดกับโรงเก็บฟืน แม้จะไม่สะดวกสะบายมากนัก แต่ก็นับได้ว่าอี้ชิงหมิงได้มีโอกาสนอนเตียงนิ่มๆ สมใจ



    อี้ชิงหมิงทรุดตัวลงนั่นตรงขอบเตียง พลางมองไปยังลี้เชียนเหลียนซึ่งอาศัยมุมหนึ่งของห้องต่างที่นอน กล่าวว่า



    “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”



    ลี้เชียนเหลียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงมึนเมาว่า



    “ข้าพเจ้าเป็นเช่นไร ข้าพเจ้านับเป็นอย่างไรได้” ในน้ำเสียงนั้นแฝงความรู้สึกอึดอัดใจเสียเต็มประดา



    อี้ชิงหมิงกล่าวด้วยน่ำเสียงที่อ่อนโยนว่า



    “ท่านคงจะรักนางมากสินะ”



    ลี้เชียนเหลียนกลับตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า



    “ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”



    อี้ชิงหมิงถึงกับงงงันไปวูบ กล่าวว่า



    “เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า”



    ลี้เชียนเหลียนพลิกกายหันกลับให้อี้ชิงหมิงอย่างเงียบงัน นางจึงได้แต่นอนลง และหลับไหลไปด้วยความสงสัยและเหนื่อยอ่อน



    เช้าวันรุ่งขึ้น ครอบครัวสกุลหวงออกมาส่งลี้เชียนเหลียนและอี้ชิงหมิงอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง



    อี้ชิงหมิงสังเกตเห็นว่าของที่ผู้เฒ่าแซ่เฮ้งฝากให้ลี้เชียนเหลียนนั้นเป็นห่อผ้าห่อหนึ่ง ซึ่งเขาเพียงรับมาโดยไม่เปิดดูแม้แต่น้อย จากนั้นกล่าวว่า

    “เซี่ยวปี้ ในหมู่บ้านแห่งนี้ มีผู้ใดสนใจจะขายกระบี่ให้ข้าพเจ้าสักเล่มหรือไม่”



    อี้ชิงหมิงพลันฉุกใจ นั่นย่อมต้องเป็นพิรุธแน่หาก “กระบี่ไว”อี้ชิงหมิงกลับมิได้พกพากระบี่ออกท่องยุทธภพ



    หวงปี้กลับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ชี้นิ้วไปยังปลายจมูกของนาง กล่าวว่า



    “เป็นข้าพเจ้าเอง”



    ทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของนางเอง ต่างไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าสตรีร่างบอบบางเช่นนางกลับมีกระบี่อยู่ในครอบครองด้วย



    “พวกท่านอย่าได้เข้าใจผิดไป นั่นเป็นเพียงกระบี่เล่มหนึ่งที่เฒ่าแซ่เฮ้งมอบต่อข้าพเจ้าเท่านั้น” พลางหันกายวิ่งกลับเข้าไปในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว



    ไม่นานนักนางวิ่งกลับมาท่าทางหอบเล็กน้อย พลางส่งกระบี่รูปร่างประหลาด ซึ่งดูยาวกว่ากระบี่ทั่วไปราว ๕ นิ้ว ตัวฝักสีดำปราศจากลวดลายใดๆ ทั้งสิ้นให้กับลี้เชียนเหลียน



    ลี้เชียนเหลียนรับกระบี่มาถือไว้ ยิ้มบางๆ ที่มุมปากอย่างพึงพอใจ กล่าวว่า



    “ท่านจะตั้งราคากระบี่เล่มนี้เท่าใด”



    หวงปี้เบ้ปากเล็กน้อย กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าไม่เชื่อหรอกว่าปีศาจสุราเช่นท่านจะมีเงินมากพอจะซื้อกระบี่เล่มนี้”



    ลี้เชียนเหลียนหัวร่อฮาๆ กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าไม่มีเงินมากมายอย่างที่ท่านว่าจริง” พลางมองไปยังอี้ชิงหมิง กล่าวสืบไปว่า



    “แต่มือปราบอี้กลับมีอยู่บ้าง ไม่เชื่อท่านลองตั้งราคาที่ท่านพอใจออกมาเถอะ”



    หวงปี้ก้มหน้าลงหลบเลี่ยงกับดวงตาสีเขียวคู่นั้นของอี้ชิงหมิง กล่าวเบาๆ ราวกับยุงบินว่า



    “ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าไม่ขายแล้ว”



    อี้ชิงหมิง ขมวดคิ้งเรียวงาม กล่าวอย่างเดือดเนื้อร้อนใจแทนลี้เชียนเหลียนว่า



    “นั่นได้อย่างไร ท่านตั้งราคามาเถอะ เท่าไหร่ข้าพเจ้าก็ยินดี”



    หวงปี้ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเงยใบหน้างามที่แดงซ่านนั้น จ้องดวงมองดวงตาของอี้ชิงหมิง กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้ายินดีให้ท่านหยิบยืม เพียงแต่ท่านต้องรับปากข้าพเจ้าเรื่องหนึ่ง”



    อี้ชิงหมิงลอบร้องในใจ “มาแล้ว” ฝืนยิ้ม กล่าวว่า



    “หากข้าพเจ้าสามารถกระทำได้โดยไม่ลำบากใจและไม่เป็นการฝืนธรรมชาติ ข้าพเจ้ายินดีจะปฏิบัติเพื่อท่าน”



    หวงปี้ยิ้มอย่างยินดีจนดวงตาทั้ง ๒ ข้างแทบจะเรียงกันเป็นเส้นเดียว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×