ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราอาถรรพ์ ตอนเขี้ยวอัสนี

    ลำดับตอนที่ #4 : ปริศนายามวิกาล

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ย. 48


    อรุณรุ่งของวันถัดมา บริเวณด้านหน้าของกรมเมือง อี้จงสือออกมาส่งลี้เชียนเหลียนกับอี้ชิงหมิงด้วยตัวเอง



        หลังจากที่ลี้เชียนเหลียนได้ผ่านการอาบน้ำชำระร่างกาย โกนหนวดโกนเครา ผมเผ้าได้รับการหวีสาง ผลัดเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายที่สะอาดตา อี้ชิงหมิงจึงพบว่าหัวขโมยผู้นี้เป็นบุรุษที่น่ามองผู้หนึ่ง ดูไปอายุราว ๓๐ ปี



        แม้แต่ดวงตาสีแดงเรื่อราวดวงตะวันยามพลบค่ำนั้นก็มิได้น่าเกรงกลัวราวกลับปีศาจดั่งที่นางพบเห็นในครั้งแรก

    แต่อี้ชิงหมิงในวันนี้ กระทั่งอี้จงสือเองก็อดหัวร่อไม่ได้เมื่อได้พบเห็นใบหน้าของนาง



    “พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็ได้มีทายาทเป็นบุรุษสมใจแล้ว ลี้เชียนเหลียน นับว่าเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ หากตอนนี้นางไปในฐานะของ “อี้ชิงหมิง” ไม่แน่ว่าเขยขวัญของป้อมตระกูลเซวียงอาจจะเป็นนางก็เป็นได้”



    ลี้เชียนเหลียนมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส กล่าวว่า



    “หากท่านผู้เฒ่าอี้มีความประสงค์เช่นนั้น ตัวข้าพเจ้าเองก็มิขัดข้องแต่ประการใด”



    อี้ชิงหมิงกล่าวเสียงอ่อยแทรกขึ้นมาว่า



    “พวกท่านทั้งสองหยุดหยอกเย้าข้าพเจ้าได้หรือไม่ หากพวกท่านทั้งสองไม่ยอมหยุด ข้าพเจ้าจะถอดหน้ากากใบนี้ออกแล้ว”



    อี้ชิงหมิงในขณะนี้แม้จะเหลือเค้าใบหน้าของสตรีอยู่บ้าง แต่มองไปกลับคลับคล้ายคลับคลายกงจื้อเจ้าสำราญผู้หนึ่ง แม้นางจะแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายที่สามัญยิ่ง แต่หากเปรียบเทียบกับบุรุษโดยทั่วไปแล้ว ยังราวกับเป็นกระเรียนในฝูงไก่



    อี้จงสือหัวร่อต่ออีกเล็กน้อย กล่าวว่า



    “พวกเจ้าทั้งสองออกเดินทางเถอะ เราขออวยพรให้พวกเจ้าทั้งสองปลอดภัยกลับมา” พลางหันไปมองยังลี้เชียนเหลียน กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า



    “จอมยุทธ์ลี้ เราฝากความปลอดภัยของนางไว้กับท่านแล้ว”



    ลี้เชียนเหลียนฝืนยิ้ม กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าต่างหากที่ควรจะฝากความปลอดภัยไว้กับหลานสาวของท่าน”



    หลังจากที่ทั้งคู่ออกมาจากกรมเมืองแล้ว ก็ควบหน้ามุ่งไปยังทิศทางที่ตั้งของป้อมตระกูลเซวียง



    ในวัยเด็กอี้ชิงหมิงมักจะติดตามบิดาของนางเร่ร่อนไปค้าขายยังต่างแดนอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งที่นางพบเห็นสิ่งของหรือสถานที่น่าสนใจ นางมักจะอ้อนวอนให้บิดาของนางหยุดแวะอยู่เสมอ



    ปีนี้นางมีอายุครบ ๒๑ ปี และยังคงสนใจในสิ่งแปลกใหม่รอบๆ ตัวนางเช่นเดียวกับในวัยเด็ก



    ลี้เชียนเหลียนปีนี้มีอายุครบ ๓๐ ปี ท้องฟ้า แผ่นดิน ผืนน้ำ หลังจาก ๓ ปีในที่คุมขังของเขาช่างน่ารื่นรมณ์ยิ่งนัก หากไม่มีอี้ชิงหมิง ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาคงต้องอาศัยผู้คุมในที่คุมขังช่วยฝังกลบยามสิ้นชีวิตเป็นแน่



    ดังนั้น หากนางต้องการหยุดแวะที่ใด เขาย่อมไม่ขัดใจนางอยู่แล้ว



    ลี้เชียนเหลียนกำลังก่อไฟตระเตรียมย่างไก่ป่าที่ล่ามาได้ ในขณะที่อี้ชิงหมิงนั่งมองอย่างสนใจ

    “มือปราบอี้ ข้าพเจ้าพึ่งทราบว่าท่านเองก็มีฝีมือในการล่าสัตว์อยู่บ้าง”



    ลี้เชียนเหลียนหัวร่อฮาๆ กล่าวว่า



    “เซี่ยวปู่ (มือปราบน้อย) หากท่านจะชมข้าพเจ้ายังเร็วเกินไป ลองท่านได้ลิ้มลองฝีมือการย่างไก่ป่าของข้าพเจ้าเสียก่อน เมื่อถึงเวลานั้นท่านจะชมเชยข้าพเจ้าก็ยังไม่สายเกินไป”



    ขณะนี้ทั้งคู่ต่างซักซ้อมคำเรียกหาของอีกฝ่ายให้ติดปาก เพื่อให้ถึงเวลาที่ต้องพบปะคนหมู่มาก จะได้ไม่มีพิรุธแต่อย่างใด

    ไม่นานนักกลิ่นไก่ป่าย่างก็ตลบอบอวนไปทั่วบริเวณนั้น



    “มือปราบอี้ ฝีมือการย่างไก่ของท่านนับว่ายอดเยี่ยมจริงๆ”



    ลี้เชียนเหลียนยกน้ำเต้าสุราที่นำติดตัวมากรอกปากอึกหนึ่ง กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าบอกต่อท่านแล้ว ถึงแม้ค่ำคืนนี้พวกเราจะหาโรงเตี้ยมพักแรมไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็รับรองว่าจะปรุงอาหารรสชาติโอชะไม่แพ้เหลาสุราชั้นหนึ่งให้ท่านได้ลิ้มลองเช่นกัน”



    อี้ชิงหมิงกัดไก่ย่างอีกหนึ่งคำ เคี้ยวพลางครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า



    “หน้ากากใบนี้ของท่านนับว่าทำได้แนบเนียนยิ่งนัก ข้าพเจ้าแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างใบหน้าที่แท้จริงของข้าพเจ้ากับหน้ากากใบนี้ได้ ท่านไปเรียนฝีมือการทำหน้ากากเช่นนี้มาจากที่ใด สามารถบ่งบอกข้าพเจ้าได้หรือไม่”



    ลี้เชียนเหลียนทำหูทวนลม ยกน้ำเต้าสุราขึ้นดื่มช้าๆ  อี้ชิงหมิงจึงกล่าวสืบไปว่า



    “ในบันทึกของทางการ เรื่องราวของท่านกลับมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ไม่ทราบว่าท่านสามารถเล่าเรื่องราวของท่านให้ข้าพเจ้าฟังบ้างได้หรือไม่”



    “ท่านสนใจข้าพเจ้า”



    อี้ชิงหมิงแค่นเสียงเฮอะ กล่าวว่า



    “มือปราบอี้ ท่านอย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าพเจ้าเพียงสงสัยว่าเหตุใดบุคคลที่เคยเป็นโจรราตรีผู้มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง กลับมีเรื่องราวที่สามารถสืบเสาะได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หาได้มีความสนใจอื่นใดเป็นพิเศษไม่ หากท่านไม่อยากเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าก็หาได้สนใจไม่”



    ลี้เชียนเหลียนยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี กล่าวว่า



    “ท่านต้องการทราบอะไรก็ถามข้าพเจ้ามาเถอะ” พลางยกสุราในน้ำเต้าขึ้นดื่ม “หากข้าพเจ้าตอบได้ข้าพเจ้าจะตอบ หากข้าพเจ้าพอใจจะตอบข้าพเจ้าจะตอบ”



    อี้ชิงหมิงอดรู้สึกไม่ได้ว่าเหตุใดลี้เชียนเหลียนจึงคอยตามใจตนยิ่งนัก แต่ก็กล่าวสืบไปว่า



    “ท่านที่แท้จริงมีความเป็นมาว่าอย่างไร”



    “ตระกูลของข้าพเจ้าเป็นเพียงคนป่าคนดอย บิดามีหน้าที่เข้าป่าล่าสัตว์ ส่วนมารดาของข้าพเจ้าเพียงทำหน้าที่ปรนนิบัติบิดาและเลี้ยงดูข้าพเจ้า ข้าพเจ้านี้เป็นคนอาภัพนัก หลังจากกำเนิดมาก็อ่อนแอกว่าคนปกติ โดยเฉพาะขาทั้งสองข้างนั้นของข้าพเจ้าถึงกับลีบเล็กกว่าเด็กทั่วไป เจ็ดปีแรกของข้าพเจ้ากลับนอนอยู่บนเตียงมากกว่าอยู่ภายนอกบ้าน”



    กล่าวจบพลางยกสุราขึ้นดื่ม ฝ่ายอี้ชิงหมิงเองกลับมองไปยังขาทั้ง ๒ ข้างของลี้เชียนเหลียนด้วยความพิศวง



    “เมื่อถึงปีที่แปด มียอดยุทธใจบุญแซ่ฉีท่านหนึ่งผ่านมาละแวกบ้านของข้าพเจ้า มารดาของข้าพเจ้าจึงบากบั่นเดินทางไปขอให้ท่านหาวิธีช่วยเหลือข้าพเจ้า ยอดยุทธท่านนั้นจึงได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาการเดินลมปราณแขนงหนึ่งเพื่อให้ข้าพเจ้าสามารถรักษาอาการพิการของข้าพเจ้าด้วยตัวเอง”



    “เมื่อข้าพเจ้าอายุได้สิบสามปี ข้าพเจ้าก็สามารถวิ่งเล่นเดินเหินได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป พออายุได้สิบแปดปี ข้าพเจ้าก็พบว่าข้าพเจ้าสามารถวิ่งได้เร็วกว่าคนทั่วไป กระโดดได้สูงกว่าคนทั่วไป”



    “จากนั้นสองปีต่อมาเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่กับหมู่บ้านของข้าพเจ้า และจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ข้าพเจ้าสูญเสียบิดารและมารดาของข้าพเจ้าไป”



    “ข้าพเจ้าเสียใจด้วยกับเหตุการณ์ครั้งนั้นของครอบครัวท่าน”



    “ช่างมันเถอะ เรื่องราวก็ผ่านมาเนินนานแล้ว หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามดินแดนต่างๆ”



    ลี้เชียนเหลียนยกสุราขึ้นดื่ม ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า



    “สุดท้ายข้าพเจ้าก็เป็นดังที่ท่านพบเห็นในกรมเมืองนั่นเอง”



    อี้ชิงหมิงอดรู้สึกสะทกสะท้านในเรื่องราวของอี้ชิงหมิงไม่ได้ จึงพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีว่า



    “แล้วดวงตาของท่านเล่า หรือดวงตาของท่านเองก็เป็นเช่นเดียวกับข้าพเจ้า ที่มารดามีเชื้อสายของคนนอกด่าน”



    ลี้เชียนเหลียนแค่นเสียงเฮอะในลำคอ กล่าวว่า



    “ดวงตาของข้าพเจ้ากลับเป็นอาการบอบช้ำที่หลงเหลืออยู่ จากการถูกลอบทำร้ายจนลมปราณแตกซ่าน”



    อี้ชีงหมิงราวกลับมองเห็นว่ามีไฟเย็นปรากฏในแววตาสีแดงคู่นั้นจนรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ กล่าวว่า



    “นับว่าผู้ที่ลงมือต่อท่านช่างอำมหิตนัก”



    “หากครั้งนั้นข้าพเจ้าตัดสินใจจบชีวิตในน้ำมือมัน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องก็เป็นได้”



    “แต่ท่านกลับหนีรอดออกมาได้”



    ลี้เชียนเหลียนยิ้มอย่างเฉื่อยชา กล่าวว่า



    “เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายของข้าพเจ้ากลับไม่เลวอยู่”



    อี้ชิงหมิงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ฉวยโอกาสถามว่า



    “ท่านนอกจากจะเรียกว่า “พันปีหมื่นลี้” แล้ว ยังเป็นโจรราตรีที่ถูกเรียกว่า “สิบหยิบเจ็ด” ไม่ทราบว่าฉายานามของท่านนี้ได้มาอย่างเช่นไร”

    ลี้เชียนเหลียนกรอกสุราลงไปอีกอึกหนึ่ง กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าตอบคำถามของท่านไปมากมายแล้ว เช่นนี้สมควรถึงรอบที่ท่านต้องตอบคำถามของข้าพเจ้าบ้างแล้ว”



    อี้ชิงหมิงยิ้มบางๆ แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า



    “หากข้าพเจ้าตอบได้ ข้าพเจ้าก็จะตอบ หากข้าพเจ้าพอใจจะตอบ ข้าพเจ้าจะตอบ”



    ลี้เชียนเหลียนอดหัวร่อเบาๆ ไม่ได้เมื่อถูกประโยคของตนย้อนกลับมา จากนั้นมองไปยังกระบี่ที่ข้างกายของอี้ชิงหมิงครู่หนึ่ง กล่าวว่า



    “ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใช้กระบี่ผู้หนึ่ง ท่านทราบหรือไม่ว่าในช่วงเวลาสามปีที่ข้าพเจ้าอยู่ในที่คุมขัง มียอดฝีมือกระบี่รุ่นหลังท่านใดบ้างที่ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุด ข้าพเจ้าทราบดีว่าท่านเพิ่งเข้ามาคลุกคลีในยุทธภพได้ไม่นาน แต่ในความคิดของข้าพเจ้า ท่านคงจะมีชื่อของบุคคลเหล่านั้นที่พอคุ้นหูอยู่บ้าง”



    แววตาของอี้ชิงหมิงสะท้อนความไม่พอใจออกมา กล่าวว่า



    “ท่านอย่าได้ดูแคลนเห็นว่าข้าพเจ้าเพิ่งออกคลุกคลีในวงการยุทธภพไป หนึ่งนั้นเพราะข้าพเจ้าออกติดตามบิดาเร่ร่อนตั้งแต่เล็ก ชื่อเสียงและพฤติกรรมดั่งเช่นคนพวกท่าน ข้าพเจ้าย่อมได้ยินมาบ้าง จะยกเว้นก็แต่บุคคลที่มิค่อยมีชื่อเสียงเช่นท่านนี่แหละ ที่จะหลงหูหลงตาของข้าพเจ้า”



    ลี้เชียนเหลียนอดมีรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากไม่ได้ อี้ชิงหมิงกล่าวสืบไปว่า



    “สอง ท่านยิ่งอย่าได้ดูแคลนหน่วยงานของทางราชการไป ถึงทางการจะไม่ยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นในยุทธภพมากนัก แต่เรื่องราวของพวกท่านก็หาใช่จะรอดพ้นหูพ้นตาของคนเหล่านั้นไม่”



    ทันใดนั้นอี้ชิงหมิงก็หยิบกระบี่ข้างกายมาถือไว้ จ้องมองราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย กล่าวว่า



    “ในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา กลับมียอดฝีมือกระบี่รุ่นเยาว์กำเนิดขึ้นมาไม่น้อย แต่หากนับฝีมือและชื่อเสียงที่โดดเด่นนั้นกลับนับได้เก้าคน นั่นคือ กระบี่สะบั้นน้ำใจ มกหุยจือ, กระบี่เทพสายฟ้า ตู๋กู๋สือซาน, กระบี่นางเซียน ซวีจิ้ง, กระบี่ไร้คม เกาชวนอวิ๋น, กระบี่อ่อน ลิ่วแชแช, กระบี่ไร้ฝัก เซียงว่านหลี่, กระบี่ไม้ นักพรตปี้, กระบี่เมตตา น่ำเก็งหลง” จากนั้นมองไปยังลี้เชียนเหลียน กล่าวช้าๆ ว่า



    “และตัวท่านเอง กระบี่ไว อี้ชิงหมิง”



    ลี้เชียนเหลียนเมื่อฟังความนัยในคำพูดของอี้ชิงหมิงออก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า



    “ไม่ทราบว่าจอมยุทธท่านใดต้องการร่วมสนทนากับข้าพเจ้า” พลางยกสุราขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ กล่าวสืบไปว่า



    “ในที่นี้ยังมีไก่ป่าหลงเหลืออีกหนึ่งตัว หากในมือท่านมีสุราติดมาด้วยสักเล็กน้อยมาเป็นของกำนัล ข้าพเจ้ายินดีขอทำตัวเป็นเจ้าบ้านต้อนรับแขกเช่นท่านแน่นอน”



    ห่างออกไปราว ๘ วา  ตรงเบื้องหน้าของทั้งคู่ ปรากฏเสียงเหยียบใบไม้แห้งเบาๆ ดังนำหน้าร่างๆ หนึ่ง ในมือถือไหสุราขนาดย่อมใบหนึ่งเอาไว้

    ชายผู้นี้กล่าวอย่างสง่าผ่าเผยว่า



    “เช่นนี้ข้าพเจ้าคงสามารถเป็นแขกของพวกท่านได้แล้ว จอมยุทธ์อี้ ข้าพเจ้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน วันนี้ได้พบเห็นกับตานับว่าเป็นวาสนายิ่งนัก โปรดรับสุราคาระวะจากผู้น้องด้วย”



    กล่าวจบ คนผู้นี้ถึงกับเหวี่ยงไหสุราในมือขวาไปยังทิศทางที่ลี้เชียนเหลียนนั่งอยู่ทันที



    ไหสุราใบนี้ ลอยไปเป็นเส้นตรงอย่างยิ่ง ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นประคองอยู่ด้านล่างของไห มิหนำซ้ำเส้นเชือกที่ถักอยู่รอบไหเอง ก็หมุนอย่างรวดเร็วราวกับลูกข่างใบใหญ่



    ลี้เชียนเหลียนรีบส่งสายตาไปยังอี้ชิงหมิงเป็นความหมายว่า “ท่านรีบช่วยเหลือข้าพเจ้าโดยเร็ว”



    แต่ก็พบว่าสายตาของอี้ชิงหมิง มองตอบกลับมาเป็นความหมายว่า “จะให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือท่านอย่างไรเล่า”



    พริบตานั้น ลี้เชียนเหลียนเข้าใจโดยทันทีว่า อี้ชิงหมิงมีประสบการณ์ในยุทธภพเพียงครึ่งปี ย่อมไม่สามารถรับมือสถานการณ์คับขันในบางรูปแบบได้



    เมื่อเขามองกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าไหสุราอยู่ห่างจากเขาเพียง ๕ เซียะ



    ลี้เชียนเหลียนลอบร้องในใจ “จบสิ้นแล้ว” พลางยกมือทั้ง ๒ ข้างขึ้นเสมออก



    เมื่อไหสุราอยู่ห่างจากลี้เชียนเหลียนไม่ถึง ๒ เซียะ อี้ชิงหมิงกลับแทงกระบี่ทั้งฝักเข้ากระแทกกับส่วนฐานของไหสุราในทิศทางที่ทวนย้อนกลับกับทิศทางการหมุนที่มีอยู่ก่อน



    หากถามลี้เชียนเหลียนว่า กระบี่ที่ใช้ออกนี้ยอดเยี่ยมหรือไม่ เขาอาจจะตอบว่าไม่นับเป็นอย่างไรได้



    แต่หากถามเขาว่าลมปราณที่ใช้ร่วมกลับกระบี่นี้เป็นอย่างไรบ้าง เขาจะตอบทันทีว่าใช้ได้อย่างพอดีไม่มีที่ติ



    หากอี้ชิงหมิงใช้ลมปราณรุนแรงเกินไป อย่างน้อยทำลายไหสุรา อย่างมากกระแทกทำร้ายลี้เชียนเหลียน



    หากนางใช้ลมปราณอ่อนเกินไป แม้ลี้เชียนเหลียนสามารถรับไหสุราได้ แต่ก็คงมีสภาพทุลักทุเลอย่างยิ่ง



    แต่ไหสุราไหนี้กลับลอยเข้าสู่มือของลี้เชียนเหลียนราวกับมีผู้คนประคองส่งให้ก็ไม่ปาน เมื่อเขามองกลับไปยังอี้ชิงหมิง พบว่าในแววตาของนางมีรอยยิ้มเจือปนอยู่



    ลี้เชียนเหลียนยิ้มที่มุมปากพลางคิดในใจ “อี้ชิงหมิงอันร้ายกาจ”



    เสียงปรบมือดังขึ้นเบาๆ ที่ข้างกายลี้เชียนเหลียน  พร้อมกับมีร่างๆ หนึ่งทรุดกายลงนั่งข้างกายเขา แล้วกล่าวว่า



    “กระบี่ของน้องชายท่านนี้ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ”



    ที่แท้หลังจากชายผู้นั้นเหวี่ยงไหสุราออกจากมือแล้ว ก็ได้ทะยานร่างตามมาติดๆ นับว่าวิชาตัวเบาของคนผู้นี้มิใช่ย่อยเลยทีเดียว



    “ไม่ทราบว่าน้องชายท่านนี้กับจอมยุทธอี้ มีความสัมพันธ์อันใดกัน”



    ลี้เชียนเหลียนกลับชิงตอบว่า



    “คนผู้นี้เป็นศิษย์อันดับหนึ่งของข้าพเจ้า เรียกหาว่า มือปราบน้อย ครั้งนี้ออกติดตามข้าพเจ้าเพื่อหาประสบการณ์เปิดหูเปิดตาในยุทธภพ” พลางหันมาประสานมือต่อชายแปลกหน้ากล่าวสืบไปว่า



    “ไม่ทราบนามอันสูงส่งของพี่ชายท่านนี้เรียกหาว่าอะไร”



    ในสายตาของอี้ชิงหมิง ชายผู้นี้ดูไปอายุราว ๒๗ - ๒๘ ปี เค้าโครงใบหน้าดูสำอาง หล่อเหลา ไว้หนวดเรียวบางเหนือริมฝีปาก ผิวขาวราวกงจื้อผู้สูงศักดิ์ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ตัดเย็บอย่างสามัญยิ่ง แต่สำหรับอี้ชิงหมิงซึ่งมีบิดาเป็นพ่อค้า จึงดูออกว่าฝีมือการตัดเย็บและเนื้อผ้าที่ใช้ล้วนเป็นผลิตภันฑ์ที่ขึ้นชื่อจากนครหลวง



    “ข้าพเจ้าแซ่เล็ก ผู้คนในยุทธภพมักเรียกหาข้าพเจ้าว่า “ผีเสื้อแดง” เล็กซี่อวง”



    ลี้เชียนเหลียน เอื้อมมือไปหยิบไก่ป่าย่างที่เหลือส่งให้เล็กโหยวจึ กล่าวว่า



    “ไก่ป่าย่างแกล้มสุรานับว่าไม่เลวอยู่บ้าง”



    “ข้าพเจ้าก็มีความคิดเช่นเดียวกับท่าน ไม่เช่นนั้นคงไม่ตามกลิ่นหอมยวนใจจนมาถึงที่นี่ได้”



    เล็กซี่อวง กัดไก่ป่าย่างคำหนึ่ง กล่าวว่า



    “เมื่อสักครู่ข้าพเจ้าต้องขออภัยพวกท่านด้วยที่เสียมรรยาทแอบฟังพวกท่านสนทนากัน”



    ลี้เชียนเหลียนกับอี้ชิงหมิงอดใจหายวาบไม่ได้ อิ้ชิงหมิงดัดสุ้มเสียงกลั้นใจกล่าวว่า



    “ไม่ทราบว่าจอมยุทธเล็กสนใจในเรื่องที่พวกเราสนทนาด้วย”



    เล็กซี่อวงรับสุราจากลี้เชียนเหลียน ยกกรอกปากอึกหนึ่ง กล่าวว่า



    “ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นชาวยุทธจักรผู้หนึ่ง ใครบ้างที่จะไม่สนใจในสิบมือกระบี่รุ่นหลัง”



    ลี้เชียนเหลียนกับอี้ชิงหมิงต่างลอบถอนหายใจด้วยความโล่งใจ



    “โดยเฉพาะสหายสนิทของข้าพเจ้าผู้หนึ่งเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”



    อี้ชิงหมิงหูผึ่ง อดสนใจไม่ได้ กล่าวว่า



    “เป็นท่านใดกัน”



    เล็กซี่อวงหัวร่อเบาๆ กล่าวว่า



    “มันเป็นคนที่ไม่น่าคบหาอย่างยิ่งผู้หนึ่ง ใช้กระบี่ที่พิสดารเล่มหนึ่ง แต่มันกลับมีน้ำใจอย่างยิ่งต่อข้าพเจ้าผู้หนึ่ง”



    ลี้เชียนเหลียนยกไหสุรากรอกปากอึกหนึ่ง กล่าวแทรกขึ้นมาว่า



    “เช่นนั้นคงเป็นกระบี่ไร้คม เกาชวนอวิ๋นแล้ว”



    อี้ชิงหมิงถึงกับมีสีหน้าประหลาดใจ เล็กซี่อวงเองก็ไม่แตกต่างเท่าใดนัก รีบถามกลับว่า



    “ท่านเองก็รู้จักคนแช่เกาผู้นั้นเช่นกัน แต่มันกลับมิเคยบอกต่อข้าพเจ้าว่าเคยรู้จักจอมยุทธอี้ท่าน”



    อี้ชิงหมิงลอบเหงื่อตกอยู่หลังหน้ากาก แต่ลี้เชียนเหลียนกลับแก้ตัวได้ราวกับปลาไหลตัวหนึ่ง



    “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ในขณะนั้นข้าพเจ้าเพียงรู้จักจอมยุทธเกาแต่เพียงฝ่ายเดียว เมื่อสามปีก่อนข้าพเจ้ายังไม่สำเร็จวิชายุทธ เป็นเพียงเศษธุลีในยุทธจักร ข้าพเจ้าเพียงแค่เห็นจอมยุทธเกาประมือกับดาบฟันเลื่อยตู้ผิง โดยเฉพาะกระบี่พิสดารเล่มนั้น กับท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใด”



    เล็กซี่อวงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า ยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ กล่าวว่า



    “ที่ท่านกล่าวมา หาได้แปลกปลอมแม้แต่น้อยไม่” จากนั้นมองไปยังอี้ชิงหมิงด้วยสายตาที่สนใจอย่างยิ่ง กล่าวสืบไปว่า



    “มือปราบน้อย ดูท่าทางท่านจะสนใจเรื่องราวของมือกระบี่เป็นพิเศษ”



    อี้ชิงหมิงแค่นยิ้ม แล้วประสานมือไปยังลี้เชียนเหลียน กล่าวว่า



    “เนื่องด้วยข้าพเจ้ามีอาจารย์ที่ใช้กระบี่ได้เลิศล้ำผู้หนึ่ง จึงคาดหวังว่าสักวันชื่อของข้าพเจ้าจะติดอยู่ในสิบอันดับมือกระบี่รุ่นหลังบ้าง”



    ลี้เชียนเหลียนหัวร่อฮาๆ ราวกับพบเรื่องถูกใจประการหนึ่ง กล่าวว่า



    “หากมีอันดับที่สิบเอ็ด ข้าพเจ้าคาดว่าท่านต้องได้มาครอบครองแน่ๆ” พลางมองไปยังเล็กซี่อวง โดยไม่สนใจสายตาที่จ้องมองราวกับต้องการทุบตีของอี้ชิงหมิงกล่าวว่า



    “แล้วไม่ทราบว่าจอมยุทธเล็กท่านสนใจเรื่องใดในยุทธจักรเป็นพิเศษ ดาบ เพลงฝ่ามือ หรือ พลังดรรชนี”



    เล็กซี่อวงส่ายหน้าไปมา กล่าวว่า



    “จอมยุทธอี้ ท่านคาดหวังในตัวผู้น้องมากไปแล้ว ที่ข้าพเจ้าสนใจอย่างยิ่งกลับเป็นเรื่องของสตรี”



    ลี้เชียนเหลียนถึงกับหัวร่อออกมากล่าวว่า



    “ท่านเป็นบุรุษรูปงาม หากไม่สนใจเรื่องราวของสตรี ข้าพเจ้าเกรงว่าไม่มีเรื่องใดให้ท่านสนใจแล้ว” พลางมองไปยังอี้ชิงหมิง กล่าวด้วยเสียงหนักใจว่า



    “คงจะมีแต่ศิษย์คนนี้ของข้าพเจ้ากระมังที่ไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องราวของสตรีในยุทธจักร”



    “จริงรึ น้องชาย”



    อี้ชิงหมิงถึงกับจนปัญญากับปัญหานี้ของเล็กซี่อวง เนื่องจากในบันทึกของทางการกลับมิได้บันทึกเรื่องอันพิเศษของบรรดาสตรีงดงามในยุทธจักรไว้



    หากมีสิถึงจะเป็นเรื่องแปลกของทางการ



    อี้ชิงหมิงจึงได้แต่พยักหน้าเป็นคำตอบ แต่เล็กซี่อวงกลับถอนหายใจยาวกล่าวว่า



    “หากท่านไม่เคยพบกับสตรีที่งดงามมาก่อน ไม่แน่จะนับว่าท่านเป็นคนที่โชคร้ายผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าแม้พบปะสตรีที่งดงามมากมาย แต่ก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นบุรุษที่โชคดีผู้หนึ่ง”



    อี้ชิงหมิงรู้สึกงงงวยเป็นอย่างยิ่ง อดถามไม่ได้ว่า



    “เพราะเหตุอันใดถึงทำให้จอมยุทธเล็ก คิดว่าตัวท่านเองเป็นบุรุษที่อับโชคผู้หนึ่งเล่า”



    เล็กซี่อวงไม่ตอบทันที แต่หันไปถามลี้เชียนเหลียนว่า



    “จอมยุทธอี้ ท่านทราบหรือไม่ว่าสิบอันดับหญิงงามของยุทธภพปัจจุบัน ประกอบด้วยผู้ใดบ้าง”



    ลี้เชียนเหลียนฝืนยิ้ม กล่าวว่า



    “ท่านเล็กก็ทราบดีว่าหญิงงามนั้นก่อเกิดไม่หยุดยั้ง จากเยาว์วัยสู่แรกรุ่น จากงดงามสู่ชรา ที่สำคัญศิษย์เช่นใดอาจารย์เช่นนั้น ข้าพเจ้าขออภัยต่อท่านอย่างยิ่ง เกี่ยวกับเรื่องนี้ความทรงจำของข้าพเจ้ากลับเลือนลางอย่างยิ่ง”



    เล็กซี่อวงหัวร่อ ฮาๆ กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าเคยได้ยินแต่ อาจารย์เช่นไรลูกศิษย์เช่นนั้น แต่กับคำศิษย์เช่นไรอาจารย์เช่นนั้นของท่านกลับถูกใจของข้าพเจ้ายิ่งนัก” จากนั้นยกสุราขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ กล่าวว่า



    “งามอย่างสูงศักดิ์ องค์หญิงจาวเสีย แห่งเชื้อพระวงค์เจ้าชีวิตองค์ปัจจุบัน



    งามอย่างอ่อนหวาน ซ่งอี้เซี่ยน แห่งคฤหาสน์ตระกูลซ่ง



    งามอย่างเริงร่า เข่อป่ายเหลียน แห่งหมู่ตึกวายุ



    งามอย่างนักรบ เซียงโหม่วซื่อ แห่งค่ายพยัคฆ์เหิน



    งามอย่างฉลาดหลักแหลม น่ำเก็งเหวิน แห่งป้อมตระกูลน่ำเก็ง



    งามอย่างลึกลับ เซวียงซู่เซียง แห่งป้อมตระกูลเซวียง



    งามอย่างโหดเหี้ยม ซาจิกะ โอโตมิ จากหมู่เกาะบูรพา



    งามอย่างเย็นชา จุนงวนโฮ จากเกาชาง (เกาหลี)



    งามอย่างเวทนา เล็กอวี้เพิ่ง แห่งคฤหาสน์ตระกูลเล็ก



    งามอย่างบริสุทธิ์ กระบี่นางเซียนซวีจิ้ง”



    ลี้เชียนเหลียน และอี้ชิงหมิงต่างฟังเล็กซี่อวง พรรณนาถึงสตรีแต่ละนางด้วยความเพลิดเพลิน เมื่อเล็กซี่อวงจึกล่าวจบ อี้ชิงหมิงอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ว่า



    “แล้วสตรีนางใดที่ท่านคิดว่างดงามที่สุด”



    เล็กซี่อวงส่ายหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจว่า



    “สตรีทั้งสิบนางต่างมีความงดงามกันคนละแบบ ชึ่งแต่ละแบบนั้นไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้” พลางถอนหายใจยาวๆ กล่าวสืบไปด้วยแววตาที่เลื่อนลอยว่า



    “โดยเฉพาะสตรีทั้งสิบนางนี้ ข้าพเจ้ากลับได้พบเห็นด้วยสายตาตนเองเพียงห้านางเท่านั้น ไม่แน่ว่าหากข้าพเจ้าสามารถได้ยลโฉมสตรีทั้งสิบนาง ข้าพเจ้าอาจจะหาจุดร่วมของสตรีทั้งสิบนางนี้ แล้วบอกต่อท่านได้ว่าในจุดร่วมเดียวกันผู้ใดงดงามที่สุด”



    ลี้เชียนเหลียนสอดคำขึ้นมาว่า



    “แล้วเซวียงหย่งจื้อ ในความเห็นของท่านเล่า”



    อี้ชิงหมิงหันไปมองลี้เชียนเหลียนด้วยความฉงน ในขณะที่เล็กซี่อวงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า



    “หากท่านหมายถึงแม่นางหย่งจื้อที่หายสาบสูญไปเมื่อสามปีก่อนพร้อมกับคำภีร์ลมปราณประจำตระกูล ในตอนนั้นเองนางก็เป็นหนึ่งในสิบสตรีงดงามของช่วงนั้น ซี่งได้รับสมญาว่า “งามอย่างเรียบง่าย””



    อี้ชิงหมิงเลิกคิ้ว ก่อนทวนคำว่า



    “งามอย่างเรียบง่าย เหตุใดถึงมีสมญานามเช่นนี้ด้วย”



    เล็กซี่อวงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย กล่าวว่า



    “ตอนนั้นเองข้าพเจ้าก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับท่าน แต่ข้าพเจ้ากลับมีวาสนาได้พบกับนางครั้งหนึ่ง และในครั้งนั้นข้าพเจ้าจึงพบว่า นางเป็นดั่งสมญานามของนางจริง งดงามอย่างเรียบง่าย แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้พบเห็นหญิงงามในยุคนั้นครบทั้งสิบคนก็จริง แต่หากเปรียบเทียบเฉพาะความงดงามแล้ว นางนับว่ามีความงดงามที่มองเห็นได้ด้วยสายตาน้อยที่สุด แต่ก็ไม่มีนางใดที่ให้ความรู้สึกว่าท่านสามารถพูดคุยกับนางได้ด้วยความสนิทใจมากที่สุดเช่นกัน” พลางถอนหายใจยาวๆ ออกมา กล่าวว่า



    “น่าเสียดายที่ความงามของนางกลับกลายเป็นตำนานไปแล้วจริงๆ” จากนั้นหันไปมองยังลี้เชียนเหลียน กล่าวว่า



    “หรือท่านเองก็ได้พบเห็นนางมาด้วยเช่นกัน”



    ลี้เชียนเหลียนส่ายหน้า กล่าวช้าๆ ว่า



    “ข้าพเจ้าเองก็เพียงได้รับฟังมาบ้างเช่นกัน แต่ที่ดึงดูดความสนใจของข้าพเจ้า คือเหตุใดป้อมตระกูล     เซวียงถึงสามารถให้กำเนิดสตรีที่งดงามได้ถึงสองรุ่น”



    “นับว่าข้าพเจ้ามีวาสนาจริงๆ ที่จะได้พบเห็นสตรีที่งดงามทั้งสองคนจากป้อมตระกูลเซวียง”



    อี้ชิงหมิงอดคิดไม่ได้ว่าเล็กซี่อวงเป็นบุรุษที่งมงายในสตรีจริงๆ



    ลี้เชียนเหลียนรับไหสุราจากเล็กโหยวจึ กล่าวพลางขมวดคิ้วว่า



    “ข้าพเจ้ายังมองไม่ออกว่าท่านเป็นบุรุษผู้อับโชคที่ใด” พลางยกไหสุราขึ้นกรอกปาก แต่กลับพบว่าสุราอึกสุดท้ายถูกเล็กซี่อวงดื่มหมดเกลี้ยงแล้ว พลันเกิดความรู้สึกเสียอารมณ์อย่างยิ่ง



    “น่าเสียดายที่สุราหมดเสียแล้ว แต่ถ้าหากปัญหาของท่านคือการที่ท่านยังเห็นสตรีไม่ครบทั้งสิบนาง นั่นจะไปยากอะไร ตัวท่านยังหนุ่มยังแน่น วรยุทธก็ไม่ต่ำทราม ย่อมต้องมีสักวันที่ท่านสามารถหาจุดร่วมของสตรีทั้งสิบนางได้”



    เล็กซี่อวง ส่ายหน้าไปมาพลางฝืนยิ้มกล่าวว่า



    “มือปราบอี้ ท่านทราบหรือไม่ว่า ปัญหาของข้าพเจ้าคือข้าพเจ้าหาได้มีเวลามากมายดั่งที่ท่านคาดคิดไม่”



    อี้ชิงหมิงมีท่าทีจะกล่าวถาม แต่เล็กซี่อวงชิงตอบเสียก่อนว่า



    “ทางบ้านของข้าพเจ้า ต้องการให้ข้าพเจ้าวิวาห์ภายในต้นปีหน้า ดังนั้นเวลาของข้าพเจ้าตอนนี้กลับมีไม่ถึงครึ่งปีแล้ว พวกท่านคิดว่าภายในเวลาครึ่งปีข้าพเจ้าจะหานางงามทั้งสิบได้ครบหรือ”



    ลี้เชียนเหลียนมีสีหน้าหัวร่อมิออกร้องไห้มิได้ กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าเพียงแต่ได้ยินว่ามีการบังคับขืนใจให้สตรีวิวาห์ออกเรือน แต่กลับพึ่งเคยพบท่านเป็นบุรุษถูกบังคับให้วิวาห์ การวิวาห์คงมิใช่เรื่องเลวร้ายมากกระมัง อีกประการบุรุษผู้หนึ่งมีสามภรรยาสี่นางบำเรอย่อมมิใช่เรื่องแปลกอะไร”



    อี้ชิงหมิงมองลี้เชียนเหลียนด้วยสายตาไม่พอใจ กล่าวว่า



    “หากท่านไม่ต้องการวิวาห์ก็สามารถหลบหนีได้นี่”



    เล็กซี่อวงมีสีหน้าประหลาดใจ กล่าวว่า



    “นับว่าน้องชายเป็นบุคคลแรกที่แนะนำให้ข้าพเจ้าหลบหนี คนทั่วไปมักให้คำแนะนำเช่นเดียวกับมือปราบอี้ ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านถึงให้คำแนะนำเช่นนี้ต่อข้าพเจ้า”



    อี้ชิงหมิงกล่าวช้าๆ ว่า



    “หากข้าพเจ้าต้องวิวาห์กับสตรีสักนาง” พลางได้ยินเสียงลี้เชียนเหลียนกลั้นหัวร่อเบาๆ ในลำคอ



    “ข้าพเจ้าย่อมต้องเลือกวิวาห์กับสตรีที่รักข้าพเจ้าและข้าพเจ้าเองก็รักนางเช่นกัน ที่สำคัญข้าพเจ้ากลับมีความเห็นว่าหากบุรุษผู้หนึ่งมีสตรีเพียงหนึ่งนาง ย่อมสามารถรักสตรีนางนั้นได้อย่างเต็มที่มากกว่ามีสตรีหลายนาง”



    ลี้เชียนเหลียนยิ้มราวกับพบเห็นเรื่องถูกใจประการหนึ่ง กล่าวว่า



    “มือปราบน้อย ข้าพเจ้าพึ่งทราบว่าท่านกลับมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของบุรุษสตรีเช่นนี้”



    “นั่นสืบเนื่องบิดาของข้าพเจ้าเองก็มีเพียงมารดาของข้าพเจ้าตลอดชั่วชีวิตของท่าน”



    ถึงตอนนี้อี้ชิงหมิงอดมีน้ำเสียงเศร้าสร้อยไม่ได้ เล็กซี่อวงถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่ง กล่าวว่า



    “นับว่าบิดามารดาของท่านเป็นคู่สามีภรรยาที่โชคดีคู่หนึ่ง น่าเสียดายที่คำแนะนำของท่านข้าพเจ้าคงรับไว้ได้ด้วยใจ ตัวข้าพเจ้าเองก็มีเหตุจำเป็นบางประการจริงๆ ที่ทำให้ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้”



    “พวกเราสามารถช่วยเหลือท่านได้หรือไม่”



    อี้ชิงหมิงเน้นคำว่า “พวกเรา” เป็นพิเศษพลางมองไปยังลี้เชียนเหลียน



    เล็กซี่อวงแค่นยิ้ม กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าแทบจะไม่มีทางเลือกจริงๆ”



    ลี้เชียนเหลียนขมวดคิ้ว ทวนคำว่า



    “แทบจะ”



    เล็กซี่อวงพยักหน้า ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบเทียบเชิญสีแดงฉบับหนึ่งออกมา กล่าวว่า



    “นี่เรียกว่า ธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัว”



    อี้ชิงหมิงส่งเสียงอ้อออกมา แล้วกล่าวว่า



    “ที่แท้ท่านเองก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมงานคัดเลือกเขยขวัญของป้อมตระกูลเซวียง”



    “ถูกต้องแล้ว จากงานคัดเลือกเขยขวัญครั้งนี้ ข้าพเจ้าย่อมจะได้พบหน้าของเม่นางเซวียงซู่เซียง หนึ่งในห้าหญิงนางที่ข้าพเจ้ายังมิได้พบหน้า และหากสวรรค์เมตตา ไม่แน่ว่าอาจส่งเสริมให้ข้าพเจ้าได้นางเป็นคู่ครองก็เป็นได้”



    ลี้เชียนเหลียนกล่าวขึ้นมาลอยๆ ว่า



    “หากสวรรค์กลั่นแกล้งท่านเล่า”



    เล็กซี่อวงฝืนยิ้ม มองไปยังลี้เชียนเหลียนราวกับว่าเขาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวผู้หนึ่ง กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าเพียงกลับบ้านเกิด วิวาห์กับสตรีที่ทางบ้านจัดหาไว้ให้ก็เท่านั้นเอง” จากนั้นลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเย็นชาว่า



    “จอมยุทธ์อี้ ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหากมีโอกาสได้ประมือกับท่าน ขอให้ท่านอย่าได้ออมมือเป็นอันขาด”



    อี้ชิงหมิงรู้สึกได้ว่าสายตาของเล็กซี่อวงที่จ้องมองไปยังลี้เชียนเหลียน มีประกายเจิดจ้าเข้มแข็งผิดกับแววตาของเขาในครั้งแรก

    ราวกับมีกระแสลมพริ้วไหวออกมาจากร่างกายของเล็กซี่อวง



    “ข้าพเจ้าเห็นทีต้องขอตัวลาพวกท่านแล้ว พบกันใหม่ที่ป้อมตระกูลเซวียง พวกท่านถนอมตัวด้วย” กล่าวจบร่างทะยานพริ้วราวกับใบไม้ถูกลมหอบ หายลับไปในชั่วอึดใจ



    อี้ชิงหมิงเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า



    “คนผู้นี้จากไปจริงๆ แล้ว” พลางมองไปยังลี้เชียนเหลียน



    “ท่านนับว่าเป็นบุคคลที่ชอบแส่หาเรื่องผู้หนึ่งจริงๆ”



    ลี้เชียนเหลียนเหยียดแขนขาอย่างเกียจคร้าน พลางล้มตัวลงนอนกับพื้น กล่าวว่า



    “ข้าพเจ้าง่วงนอนแล้ว ท่านเองก็นอนเถอะ พรุ่งนี้พวกเรายังต้องเดินทางอีกไกล”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×