ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เทียบเชิญปริศนา
บิดาของอี้ชิงหมิงเรียกว่า อี้จงหัว มีอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ ต้องเดินทางรอนแรมออกไปนอกด่านอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งได้พบกับมารดาของอี้ชิงหมิง นาม ฮวาเซียเป๋อ ซึ่งเป็นเชื้อสายของชาวเปอร์เซีย ดังนั้นดวงตาสีเขียวราวกับมรกตของอี้ชิงหมิง จึงได้รับการสืบทอดมาจากมารดาของนางนั่นเอง
    เมื่ออี้ชิงหมิงมีอายุได้ ๕ ปี ขณะติดตามบิดามารดาไปค้าขายยังดินแดนนอกด่าน ได้ถูกกลุ่มโจรปล้นม้าบุกจู่โจม และในครั้งนั้นเอง อี้ชิงหมิงได้รู้จักกับคำว่า “สูญเสีย” เป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อมารดาของนางได้ใช้ชีวิตของนางเข้าปกป้องบุตรีของนางจากโจรกลุ่มนั้น
    ดีที่ว่ามียอดคนนอกด่านแซ่ปาท่านหนึ่งผ่านมาพอดี จึงได้ช่วยเหลืออี้ชิงหมิง และบิดาของนางจนปลอดภัยจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
    นอกจากคำว่า “สูญเสีย” แล้ว อี้ชิงหมิงยังได้รู้จักกับคำว่า “คับแค้น” ในเวลาเดียวกันอีกด้วย นางจึงตัดสินใจกราบยอดคนท่านนั้นเป็นอาจารย์
    ยอดคนท่านนั้นเองก็มองเห็นสัดส่วนปฏิภาณอันยอดเยี่ยมของอี้ชิงหมิงสำหรับการฝึกวรยุทธ์ แต่ท่านเองก็ไม่ต้องการให้อี้ชิงหมิงจมอยู่กับคำว่า “สูญเสีย” และ “คับแค้น” จนเกินไป ท่านจึงตัดสินใจถ่ายทอดเพียงเคล็ดวิชาลมปราณที่เพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้ เรียกว่า “วิชาปราณพายุทราย” พร้อมกับมอบกระบี่ไร้โกร่งเล่มหนึ่งให้อี้ชิงหมิง
    ยอดคนท่านนั้นใช้เวลา ๑๐ วัน ก็ถ่ายทอดใจความสำคัญของเคล็ดวิชาปราณพายุทรายทั้งหมดให้กับอี้ชิงหมิง และได้จากไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนที่ ๑๐ นั่นเอง
    ต้องทราบก่อนว่า “วิชาปราณพายุทราย” เป็นวิชาลมปราณพิสดารแขนงหนึ่ง ต่อให้ผู้ฝึกเป็นอัจฉริยะเพียงใด วิชาปราณนี้ก็จะไม่เปล่งอนุภาพออกมาจนกว่าจะมีการสะสมลมปราณไว้ยังจุดสำคัญของร่างกายได้ในระดับหนึ่ง หากผู้ฝึกมิได้เป็นอัจฉริยะ แต่มีความตั้งใจอย่างยิ่ง และเริ่มฝึกตั้งแต่มีอายุได้ ๕ ปี อนุภาพของลมปราณนี้จะเปล่งออกมาเมื่อผู้ฝึกมีอายุได้ ๓๕ ปี
    ดังนั้นอัจฉริยะอย่างอี้ชิงหมิงจึงสำเร็จวิชาปราณพายุทรายเมื่อนางอายุได้ ๒๐ ปี
    ในช่วงเวลา ๑๕ ปีที่ปราศจากลมปราณ นอกจากอี้ชิงหมิงจะเรียนรู้การดำรงชีวิตแบบบุคคลธรรมดาสามัญแล้ว  นางยังเรียนรู้การฝึก “ท่ากระบี่”
    หากหมกมุ่นอยู่กับคำว่า “สูญเสีย” ย่อมไม่สามารถสร้างสรรท่ากระบี่ที่แยบคายได้
    หากหมกมุ่นอยู่กับคำว่า “คับแค้น” ท่ากระบี่ย่อมเต็มไปด้วยช่องโหว่
    ๑๕ ปีมานี้ของอี้ชิงหมิง เพียงมุ่งอยู่ที่คำว่า “ไว” เพียงคำเดียว
    ปีนี้นางมีอายุ ๒๑ ปี
    เมื่ออี้ชิงหมิงกลับมายังกรมการเมือง ก็เป็นยามสายของอีกวันหนึ่ง ภายในห้องของนางพบว่ามีบุคคลผู้หนึ่งนั่งคอยรอการกลับมาของนางอยู่
    อี้ชิงหมิงฝืนยิ้ม กล่าวว่า
    “ท่านลุง ชิงหมิงกลับมาแล้ว”
    ชายร่างผอม อายุราว ๕๐ ปี มองอี้ชิงหมิงด้วยสายตาเป็นเชิงตำหนิ จากนั้นถอนหายใจส่ายหน้าไปมา กล่าวว่า
    “หากพี่ชายที่เสียชีวิตไปของเรา ทราบว่าเราปล่อยให้บุตรีของเขาเที่ยวออกไปปราบโจรจับผู้ร้ายอยู่ทุกวี่วัน เจ้าคิดว่าบิดาของเจ้าจะไม่ตำหนิเราหรือ”
    “แต่ชิงหมิงเองก็กลับมาได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง ท่านลุงเองก็ทราบดี”
    ชายกลางคนส่ายหน้าไปมา กล่าวว่า
    “เป็นเราคิดผิดจริงๆ ที่แต่งตั้งให้เจ้าทำงานในกรมเมือง เราเพียงแต่หวังว่าตำแหน่งเสมียนเล็กๆ จะทำให้เจ้าไม่เบื่อหน่ายจนเกินไปก่อนที่เจ้าจะเดินทางไปพำนักกับอาหญิงของเจ้าที่นครหลวง แต่เจ้ากลับเลือกที่จะจับคนร้ายมากกว่าที่จะนั่งขีดเขียนหนังสืออยู่ที่กรมเมือง”
    อี้ชิงหมิง ก้มหน้าราวกับสำนึกผิด กล่าวเสียงเบาว่า
    “ชิงหมิงสำนึกผิดแล้ว ขอท่านลุงอภัยให้ชิงหมิงด้วย
    ชายกลางคนหัวร่อออกมา กล่าวว่า
    “เจ้าก็กล่าววาจาเช่นเดียวกันนี้กับเรา ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราจับได้ว่าเจ้าแต่งตัวเป็นมือปราบออกจับโจร    บุษผาเลี่ยงซีเจี๋ย นับจากวันนั้นจนวันนี้ เรายังมองไม่ออกว่าเจ้ามีความสำนึกผิดกับเรื่องที่เจ้ากระทำลงไป”
    อี้ชิงหมิงเงยหน้า ยิ้มแย้มออกมากล่าวว่า
    “เพราะท่านลุงคือ “มือปราบหน้าเหล็ก” อี้จงสือ ผู้หนึ่งที่ห่วงใยในความสงบของชาวเมือง จึงยอมให้มือปราบกำมะลอเช่นข้าพเจ้า ลอบออกไปปราบโจรจับผู้ร้ายยามที่ท่านต้องการพักผ่อน”
    อี้จงสือทอดถอนหายใจอีกครั้งกล่าวว่า
    “แต่เจ้าทราบหรือไม่ว่าชื่อกระบี่ไวอี้ชิงหมิงนั้นในตอนนี้ออกจะโด่งดังเกินไปแล้ว”
    อี้ชิงหมิงกลับกล่าวอย่างปลอดโปร่งว่า
    “แต่ชิงหมิงกลับยิ่งหวังให้ชื่อเสียงของกระบี่ไวยิ่งโด่งดังยิ่งดี หากคำสามคำ อี้ชิงหมิง ของข้าพเจ้าสามารถทำให้โจรผู้ร้ายเกรงกลัวจนไม่กล้าก่อกรรมทำเข็ญต่อราษฎรผู้บริสุทธิ์ นั่นน่าจะนับเป็นเรื่องที่ดีได้ หรือท่านลุงไม่เห็นด้วยกับชิงหมิง”
    “เราเองก็ไม่มั่นใจว่าจะไม่เห็นด้วยกับเจ้า เจ้าตัดสินใจเอาเองก็แล้วกันว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่”
    อี้จงสือล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นส่งเทียบสีแดงฉบับหนึ่งให้อี้ชิงหมิง กล่าวว่า
    “มีเทียบเชิญส่งถึงท่านจาก “ป้อมตระกูลเซวียง””
    อี้ชิงหมิงยื่นมือไปรับเทียบจากอี้จงสือ กล่าวว่า
    “ครั้งนี้ท่านลุงพอจะทราบหรือไม่ว่าป้อมตระกูลเซวียงจะเชิญชิงหมิงไปคลี่คลายคดีอะไร”
    “ไม่มีคดีอะไรทั้งนั้น ป้อมตระกูลเซวียงเพียงต้องการเชิญเจ้าไปเป็นเขยขวัญเท่านั้นเอง!”
    อี้ชิงหมิงตกใจจนเทียบในมือแทบจะหล่นจากมือ กล่างอย่างร้อนรนว่า
    “ท่านลุงล้อเล่นชิงหมิงแล้ว ท่านลุงก็น่าจะทราบดีว่าชิงหมิงไม่อาจเป็นเขยขวัญบ้านใดได้”
    อี้จงสือหัวร่อ กล่าวหน้าตายว่า
    “เจ้าทราบ เราทราบ แต่ผู้อื่นกลับไม่ทราบ ไม่ทราบว่ามือปราบอี้เจ้าจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร”
    อี้ชิงหมิงขมวดหัวคิ้วอันเรียวงามของนาง ขบคิดครู่หนึ่งกล่าวว่า
    “ชิงหมิงมีคำตอบให้ท่านลุงสามข้อ” พลางวางท่าทางราวกับนักศึกษาคงแก่เรียนผู้หนึ่ง กล่าวสืบไปว่า
    “หนึ่งชิงหมิงแจ้งกลับไปว่าชิงหมิงอายุยังน้อยเกินกว่าจะวิวาห์ได้”
    อี้จงสือสอดคำขึ้นมาว่า
    “เจ้าอายุยี่สิบเอ็ดปีพอดี ไม่เยาว์เกินไป ไม่ชราเกินไป ไม่วิวาห์ตอนนี้จะวิวาห์เมื่อใด เหตุผลข้อนี้ของเจ้าฟังไม่ขึ้น”
    อี้ชิงหมิงไม่ร้อนรน กล่าวว่า
    “สอง หน้าที่การงานของชิงหมิง ต้องเสี่ยงชีวิตเลียคมดาบกระบี่ทุกเช้าค่ำ ย่อมไม่ดีแน่หากภรรยาของข้าพเจ้าจะต้องกลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว”
    “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป หากเจ้าวิวาห์เข้าป้อมตระกูลเซวียงแล้ว ก็ไม่ต้องออกไปทำงานเสี่ยงภัยอีก สามารถใช้ชีวิตเยาว์ของเจ้าอย่างสุขสบายจนแก่เฒ่า แต่หากเจ้ายังดื้อรั้นจะเป็นมือปราบต่อไป เพียงให้กำเนิดทายาทสักสองสามคน ถึงเจ้าจะไม่อยู่ภรรยาเจ้าย่อมไม่อยู่อย่างเดียวดาย”
    อี้ชิงหมิงชะงักเล็กน้อย แต่ยังกล่าวสืบไปว่า
    “อย่างนั้นชิงหมิงได้แต่แจ้งกลับไปว่า ชิงหมิงแต่งงานแล้ว มีบุตรธิดาสองคน และชิงหมิงผู้นี้รักภรรยาเป็นอย่างยิ่ง” จากนั้นยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย กล่าวสืบไปว่า
    “จนไม่คิดมีภรรยาเพิ่มแม้แต่นางเดียว”
    อี้จงสืออดหัวเราะชอบใจในคำตอบของอี้ชิงหมิงไม่ได้ จากนั้นกล่าวหน้าตายว่า
    “แต่เราแจ้งกลับไปแล้วว่าเจ้ายังไม่ได้แต่งงานกับผู้ใด”
    อี้ชิงหมิงมีสีหน้าหัวร่อมิออกร้องให้มิได้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า
    “อย่างนั้นชิงหมิงไม่ไปเสียก็สิ้นเรื่อง”
    อี้จงสือส่ายหน้าช้าๆ กล่าวว่า
    “แต่งานนี้เจ้าต้องไป”
    อี้ชิงหมิงพลันก้มหน้าลง กล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจว่า
    “ท่านลุงก็ทราบดีว่าชิงหมิงเป็นอิสตรี จะให้ไปเป็นเขยขวัญของป้อมตระกูลเซวียงได้อย่างไร หากท่านจะส่งข้าพเจ้าไปก็เท่ากับส่งข้าพเจ้าไปอับอายขายหน้าแล้ว หากท่านลุงไม่เอ็นดูข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็ยินดีจะเดินทางไปพำนักกับท่านอาหญิงที่นครหลวง”
    อี้จงสือหัวร่อฮา ฮา กล่าวว่า
    “อี้ชิงหมิง เจ้าออกจะลำพองไปแล้ว เทียบเชิญนั่นไม่ได้มีเพียงเจ้าเท่านั้นหรอกที่ได้รับ เท่าที่เราสืบทราบมา ยังมีบุคคลที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกเขยขวัญของป้อมตระกูลเซวียงได้อีกสิบสี่คน เจ้าคิดว่าจะสามารถผ่านด่านทั้งสิบสี่คนได้หรือ”
    อี้ชิงหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งใจ กล่าวว่า
    “เมื่อเป็นเช่นนั้น มิสู้ชิงหมิงชิงถอนตัวสละสิทธิ์มิดีกว่าหรือ หากต้องไปต่อสู้กับคน สิบสี่ คนเพื่อที่จะต้องแพ้ให้กลับใครสักคนหนึ่ง”
    อี้จงสือกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
    “ที่เราจำเป็นต้องส่งเจ้าไปยังป้อมตระกูลเซวียง ที่แท้จริงนั้นยังมีสาเหตุที่สำคัญสองประการ”
    “ประการแรก ป้อมตระกูลเซวียงปิดตัวเองมานานนับตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน มีข่าวลือว่าบุตรตรีคนรองของประมุขป้อมคนปัจจุบัน เซวียงเวิ่นเทียนได้ลอบหนีออกไปกับคนผู้หนึ่งพร้อมด้วยคัมภีร์ “ปราณเทพอัสนี” ยอดวิชาประจำตระกูลที่นอกจากประมุขป้อมรุ่นที่หนึ่งแล้วยังไม่มีผู้ใดฝึกสำเร็จมาก่อน หลังจากนั้นประมุขป้อมตระกูลเซวียงก็มิได้เปิดประตูป้อมต้อนรับผู้ใดอีก ซึ่งนั่นความจริงเป็นเรื่องภายในของป้อมตระกูลเซวียง เพียงแต่เราอยากให้เจ้า ลองใช้ความสามารถของเจ้าประเมินดูว่าภายในป้อมมีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
    “ผิดปกติ ท่านลุงคิดว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติ”
    อี้จงสือยิ้มอย่างอารมณ์ดี กล่าวว่า
    “นั่นเป็นปัญหาของเจ้า มิใช่ปัญหาของเรา”
    “แล้วเหตุผลประการที่สองเล่า”
    อี้จงสือหัวร่อฮา ฮา กล่าวว่า
    “ประการที่สอง เจ้าอาจจะได้พบกับบุรุษหนุ่มที่หล่อเหลางามสง่า เป็นที่ต้องตาต้องใจของเจ้า ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะเลิกปลอมตัวเป็นบุรุษ ตบแต่งออกเรือน ให้กำเนิดทารกที่อ้วนพี ให้เราได้มีโอกาสอุ้มเล่นสักหลายคน”
    อี้ชิงหมิงใบหน้าแดงวูบ กล่าวเสียงเบาราวกับยุงบินว่า
    “ท่านลุงล้อเล่นกับชิงหมิงอีกแล้ว ในเทียบเขียนไว้วันที่สิบห้าค่ำเดือนแปด ก็หมายความว่าข้าพเจ้ามีเวลาอีกสิบวัน เช่นนั้นข้าพเจ้าต้องเร่งออกเดินทางแต่โดยเร็วแล้ว”
    อี้จงสือกล่าวเสริมว่า
    “ถูกต้องแล้ว อ้อ เราลืมบอกไปว่า เราอยากให้เจ้าร่วมทางไปกับคนผู้หนึ่ง”
    อี้ชิงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า
    “เป็นผู้ใดกัน”
    “ก่อนอื่นเราต้องบอกกับเจ้าก่อนว่า ฐานะที่เจ้าจะใช้เดินทางครั้งนี้ เจ้าจะเป็นเพียง “เซี่ยวปู้” (มือปราบน้อย) ผู้หนึ่งเท่านั้น”
    “ที่ท่านลุงกระทำเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าท่านลุงมีเหตุผลบางประการที่จะปกปิดฐานะที่แท้จริงของข้าพเจ้า”
    อี้จงสือพยักหน้า กล่าวว่า
    “ขณะที่คนทั่วไปเพียงรู้จักชื่อของเจ้า ฉายานามของเจ้า แต่ไม่อาจรู้จักใบหน้าของเจ้าได้ หากวันใดใบหน้าของเจ้าเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป วันนั้นถือเป็นวันที่ความปลอดภัยในชีวิตของเจ้าสิ้นสุดลง”
    “ชิงหมิงขอบคุณในความหวังดีของท่านลุง ไม่ทราบว่าผู้ใดจะปลอมตัวเป็นชิงหมิง หรือท่านลุงจะให้มือปราบในกรมเมืองนี้ปลอมตัวเป็นชิงหมิง”
    อี้จงสือส่ายหน้าช้าๆ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า
    “นักโทษในที่ขุมขังห้องสุดท้าย “ลี้เชียนเหลียน” (พันปีแซ่ลี้)
    อี้ชิงหมิงขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า
    “ลี้เชียนเหลียน ชื่อของคนผู้นี้กลับคุ้นหูของข้าพเจ้าอยู่บ้าง แต่เดิมคนผู้นี้เรียกว่า “พันปีหมื่นลี้” มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างคลุมเคลือ ชอบเดินทางแต่เพียงลำพัง ในรายงานของกรมเมืองบันทึกไว้ว่า คนผู้นี้สมควรเป็นบุคคลเดียวกันกับโจรราตรี “สิบหยิบเจ็ด” ที่โด่งดังตั้งแต่ห้าปีก่อน ในบันทึกยังระบุอีกว่าคนผู้นี้เสียชีวิตตั้งแต่สามปีก่อน เหตุใดคนผู้นี้กลับมีชีวิตอยู่ มิหนำซ้ำยังเป็นนักโทษของกรมเมืองเราได้”
    “เรื่องนี้เป็นเหตุการที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนที่เจ้าจะมาอยู่ที่นี่ คนผู้นี้พาร่างที่บอบช้ำทั้งภายในและภายนอกมายังกรมเมืองแห่งนี้ โดยแจ้งว่าตัวมันคือโจรราตรีสิบหยิบเจ็ด มีเจตนาที่จะขอมอบตัวกับทางการ พร้อมกับบอกถึงที่ซ่อนของสมบัติที่มันได้ขโมยไป เมื่อพวกเราไปเสาะหาตามคำบอกเล่าของมัน ปรากฏว่าทรัพย์สินทุกอย่างที่เจ้าทรัพย์ได้แจ้งไว้ต่อทางการล้วนอยู่ครบ มิได้ขาดหายไปแม้แต่ชิ้นเดียว มิหนำซ้ำทางเรายังพบทรัพย์สินอีกจำนวนหนึ่งไม่ทราบที่มาที่ไป ดังนั้นพวกเราจึงได้นำทรัพย์สินส่วนเกินเหล่านั้น แจกจ่ายให้กับราษฎรที่ประสบภัยธรรมชาติทุกปี”
    “ที่แท้เงินทองที่ท่านลุงใช้ซื้อสิ่งของแจกจ่ายให้ราษฎรที่ประสบภัยตั้งแต่สามปีก่อน มาจากคนผู้นั้นนั่นเอง”
    อี้จงสือฝืนยิ้ม กล่าวว่า
    “จะว่าไปก็น่าละอายนัก เราเป็นมือปราบ แต่ทำตัวราวกับเป็นโจรคุณธรรม”
    อี้ชิงหมิง หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า
    “ชิงหมิงกลับเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง หากท่านลุงส่งมอบทรัพย์สินเหล่านั้นไปยังส่วนกลาง ไม่แนว่าคนเหล่านั้นจะส่งคืนแก่ราษฎรยามเดือดร้อน เพียงแต่ไม่ทราบว่าทรัพย์สินเหล่านั้นยังเหลืออีกเท่าใดที่ท่านลุงจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนแจกจ่ายให้แก่ราษฎรต่อไป”
    อี้จงสือหัวร่อเบาๆ กับคำหยอกเย้าของอี้ชิงหมิง แล้วกล่าวหน้าตายว่า
    “หากเราไม่มือเติบจนเกินไป เกรงว่าภายในยี่สิบปีนี้ ทรัพย์สินเหล่านั้นคงจะพ้นมือของเราไปจนหมดสิ้น”
    อี้ชิงหมิงแลบลิ้นออกมาด้วยความตระหนก กล่าวว่า
    “นับว่าเป็นจำนวนมหาศาลจริงๆ แล้วท่านลุงจัดการกับคนผู้นั้นเช่นไร”
    “เราเมื่อเห็นว่าของกลางต่างอยู่ครบ จึงคิดคุมขังมันสักสามเดือนเพื่อให้มันสำนึกผิด แต่จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสามปีกับหกเดือนแล้วที่มันยังอยู่อย่างสุขสบายอยู่ในห้องขัง”
    อี้ชิงหมิงอดหัวร่อเบาๆ ไม่ได้ กล่าวว่า
    “แม้แต่ท่านลุงจะออกแรงขับไล่มัน มันก็ยังไม่ยอมออกไปอีกหรือ”
    อี้จงสือมีสีหน้าหัวร่อมิออกร้องไห้มิได้ กล่าวว่า
    “ถูกต้อง มิหนำซ้ำมันยังบอกอีกว่า ทรัพย์สินส่วนเกินที่มันมอบให้กับทางการ นับว่าเพียงพอที่จะเป็นค่า ห้องพัก และ ค่าอาหารของมัน ขอเพียงอาหารไม่น้อยเกินไป รสชาติไม่เลวร้ายเกินไป วันหนึ่งเพียงสองมื้อ สุราวันละสิบชั่ง เพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อมันแล้ว”
    อี้ชิงหมิงมีสีหน้าราวกับกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ กล่าวว่า
    “นับว่าคนผู้นี้มิได้เรียกร้องมากเกินไปจริงๆ”
    อี้จงสือฝืนยิ้ม กล่าวว่า
    “ยิ่งไปกว่านั้นทุกช่วงเทศกาล เรายังมอบอาหารพิเศษต่อมัน ก่อนที่เจ้าจะมาก่อกวนสร้างเรื่องปวดหัวให้กับเรา ยามที่เรารู้สึกเงียบเหงาไปบ้าง เรายังเข้าไปดื่มสุราเป็นเพื่อนมัน”
    “แล้วเหตุใดท่านลุงไม่จับมันโยนออกไปเล่า ให้เงินติดตัวมันไปสักเล็กน้อย ก็น่าจะยุติธรรมต่อมันแล้ว”
    อี้จงสือส่ายหน้า กล่าวว่า
    “เราไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น”
    อี้ชิงหมิงขมวดคิ้วกล่าวว่า
    “หากเป็นเช่นนั้น ใยท่านลุงคิดว่าคนผู้นี้จะยอมร่วมทางไปชิงหมิง”
    อี้จงสือหัวร่อฮา ฮา กล่าวว่า
    “เราไม่มีความสามารถ แต่ไม่เชื่อว่าท่านจะไร้ความสามารถเช่นเรา”
    “หากข้าพเจ้าทำมิได้เล่า”
    อี้จงสือยิ้มที่มุมปากอย่างปลอดโปร่ง กล่าวว่า
    “เราก็จะไปส่งเจ้ายังที่พำนักของอาหญิงเจ้าที่นครหลวงด้วยตัวเราเอง”
    อี้ชิงหมิงมีสีหน้าราวกับรับประทานผลมะนาวเข้าไปทั้งลูกเลยทีเดียว
    เมื่ออี้ชิงหมิงมีอายุได้ ๕ ปี ขณะติดตามบิดามารดาไปค้าขายยังดินแดนนอกด่าน ได้ถูกกลุ่มโจรปล้นม้าบุกจู่โจม และในครั้งนั้นเอง อี้ชิงหมิงได้รู้จักกับคำว่า “สูญเสีย” เป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อมารดาของนางได้ใช้ชีวิตของนางเข้าปกป้องบุตรีของนางจากโจรกลุ่มนั้น
    ดีที่ว่ามียอดคนนอกด่านแซ่ปาท่านหนึ่งผ่านมาพอดี จึงได้ช่วยเหลืออี้ชิงหมิง และบิดาของนางจนปลอดภัยจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
    นอกจากคำว่า “สูญเสีย” แล้ว อี้ชิงหมิงยังได้รู้จักกับคำว่า “คับแค้น” ในเวลาเดียวกันอีกด้วย นางจึงตัดสินใจกราบยอดคนท่านนั้นเป็นอาจารย์
    ยอดคนท่านนั้นเองก็มองเห็นสัดส่วนปฏิภาณอันยอดเยี่ยมของอี้ชิงหมิงสำหรับการฝึกวรยุทธ์ แต่ท่านเองก็ไม่ต้องการให้อี้ชิงหมิงจมอยู่กับคำว่า “สูญเสีย” และ “คับแค้น” จนเกินไป ท่านจึงตัดสินใจถ่ายทอดเพียงเคล็ดวิชาลมปราณที่เพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้ เรียกว่า “วิชาปราณพายุทราย” พร้อมกับมอบกระบี่ไร้โกร่งเล่มหนึ่งให้อี้ชิงหมิง
    ยอดคนท่านนั้นใช้เวลา ๑๐ วัน ก็ถ่ายทอดใจความสำคัญของเคล็ดวิชาปราณพายุทรายทั้งหมดให้กับอี้ชิงหมิง และได้จากไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนที่ ๑๐ นั่นเอง
    ต้องทราบก่อนว่า “วิชาปราณพายุทราย” เป็นวิชาลมปราณพิสดารแขนงหนึ่ง ต่อให้ผู้ฝึกเป็นอัจฉริยะเพียงใด วิชาปราณนี้ก็จะไม่เปล่งอนุภาพออกมาจนกว่าจะมีการสะสมลมปราณไว้ยังจุดสำคัญของร่างกายได้ในระดับหนึ่ง หากผู้ฝึกมิได้เป็นอัจฉริยะ แต่มีความตั้งใจอย่างยิ่ง และเริ่มฝึกตั้งแต่มีอายุได้ ๕ ปี อนุภาพของลมปราณนี้จะเปล่งออกมาเมื่อผู้ฝึกมีอายุได้ ๓๕ ปี
    ดังนั้นอัจฉริยะอย่างอี้ชิงหมิงจึงสำเร็จวิชาปราณพายุทรายเมื่อนางอายุได้ ๒๐ ปี
    ในช่วงเวลา ๑๕ ปีที่ปราศจากลมปราณ นอกจากอี้ชิงหมิงจะเรียนรู้การดำรงชีวิตแบบบุคคลธรรมดาสามัญแล้ว  นางยังเรียนรู้การฝึก “ท่ากระบี่”
    หากหมกมุ่นอยู่กับคำว่า “สูญเสีย” ย่อมไม่สามารถสร้างสรรท่ากระบี่ที่แยบคายได้
    หากหมกมุ่นอยู่กับคำว่า “คับแค้น” ท่ากระบี่ย่อมเต็มไปด้วยช่องโหว่
    ๑๕ ปีมานี้ของอี้ชิงหมิง เพียงมุ่งอยู่ที่คำว่า “ไว” เพียงคำเดียว
    ปีนี้นางมีอายุ ๒๑ ปี
    เมื่ออี้ชิงหมิงกลับมายังกรมการเมือง ก็เป็นยามสายของอีกวันหนึ่ง ภายในห้องของนางพบว่ามีบุคคลผู้หนึ่งนั่งคอยรอการกลับมาของนางอยู่
    อี้ชิงหมิงฝืนยิ้ม กล่าวว่า
    “ท่านลุง ชิงหมิงกลับมาแล้ว”
    ชายร่างผอม อายุราว ๕๐ ปี มองอี้ชิงหมิงด้วยสายตาเป็นเชิงตำหนิ จากนั้นถอนหายใจส่ายหน้าไปมา กล่าวว่า
    “หากพี่ชายที่เสียชีวิตไปของเรา ทราบว่าเราปล่อยให้บุตรีของเขาเที่ยวออกไปปราบโจรจับผู้ร้ายอยู่ทุกวี่วัน เจ้าคิดว่าบิดาของเจ้าจะไม่ตำหนิเราหรือ”
    “แต่ชิงหมิงเองก็กลับมาได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง ท่านลุงเองก็ทราบดี”
    ชายกลางคนส่ายหน้าไปมา กล่าวว่า
    “เป็นเราคิดผิดจริงๆ ที่แต่งตั้งให้เจ้าทำงานในกรมเมือง เราเพียงแต่หวังว่าตำแหน่งเสมียนเล็กๆ จะทำให้เจ้าไม่เบื่อหน่ายจนเกินไปก่อนที่เจ้าจะเดินทางไปพำนักกับอาหญิงของเจ้าที่นครหลวง แต่เจ้ากลับเลือกที่จะจับคนร้ายมากกว่าที่จะนั่งขีดเขียนหนังสืออยู่ที่กรมเมือง”
    อี้ชิงหมิง ก้มหน้าราวกับสำนึกผิด กล่าวเสียงเบาว่า
    “ชิงหมิงสำนึกผิดแล้ว ขอท่านลุงอภัยให้ชิงหมิงด้วย
    ชายกลางคนหัวร่อออกมา กล่าวว่า
    “เจ้าก็กล่าววาจาเช่นเดียวกันนี้กับเรา ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราจับได้ว่าเจ้าแต่งตัวเป็นมือปราบออกจับโจร    บุษผาเลี่ยงซีเจี๋ย นับจากวันนั้นจนวันนี้ เรายังมองไม่ออกว่าเจ้ามีความสำนึกผิดกับเรื่องที่เจ้ากระทำลงไป”
    อี้ชิงหมิงเงยหน้า ยิ้มแย้มออกมากล่าวว่า
    “เพราะท่านลุงคือ “มือปราบหน้าเหล็ก” อี้จงสือ ผู้หนึ่งที่ห่วงใยในความสงบของชาวเมือง จึงยอมให้มือปราบกำมะลอเช่นข้าพเจ้า ลอบออกไปปราบโจรจับผู้ร้ายยามที่ท่านต้องการพักผ่อน”
    อี้จงสือทอดถอนหายใจอีกครั้งกล่าวว่า
    “แต่เจ้าทราบหรือไม่ว่าชื่อกระบี่ไวอี้ชิงหมิงนั้นในตอนนี้ออกจะโด่งดังเกินไปแล้ว”
    อี้ชิงหมิงกลับกล่าวอย่างปลอดโปร่งว่า
    “แต่ชิงหมิงกลับยิ่งหวังให้ชื่อเสียงของกระบี่ไวยิ่งโด่งดังยิ่งดี หากคำสามคำ อี้ชิงหมิง ของข้าพเจ้าสามารถทำให้โจรผู้ร้ายเกรงกลัวจนไม่กล้าก่อกรรมทำเข็ญต่อราษฎรผู้บริสุทธิ์ นั่นน่าจะนับเป็นเรื่องที่ดีได้ หรือท่านลุงไม่เห็นด้วยกับชิงหมิง”
    “เราเองก็ไม่มั่นใจว่าจะไม่เห็นด้วยกับเจ้า เจ้าตัดสินใจเอาเองก็แล้วกันว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่”
    อี้จงสือล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นส่งเทียบสีแดงฉบับหนึ่งให้อี้ชิงหมิง กล่าวว่า
    “มีเทียบเชิญส่งถึงท่านจาก “ป้อมตระกูลเซวียง””
    อี้ชิงหมิงยื่นมือไปรับเทียบจากอี้จงสือ กล่าวว่า
    “ครั้งนี้ท่านลุงพอจะทราบหรือไม่ว่าป้อมตระกูลเซวียงจะเชิญชิงหมิงไปคลี่คลายคดีอะไร”
    “ไม่มีคดีอะไรทั้งนั้น ป้อมตระกูลเซวียงเพียงต้องการเชิญเจ้าไปเป็นเขยขวัญเท่านั้นเอง!”
    อี้ชิงหมิงตกใจจนเทียบในมือแทบจะหล่นจากมือ กล่างอย่างร้อนรนว่า
    “ท่านลุงล้อเล่นชิงหมิงแล้ว ท่านลุงก็น่าจะทราบดีว่าชิงหมิงไม่อาจเป็นเขยขวัญบ้านใดได้”
    อี้จงสือหัวร่อ กล่าวหน้าตายว่า
    “เจ้าทราบ เราทราบ แต่ผู้อื่นกลับไม่ทราบ ไม่ทราบว่ามือปราบอี้เจ้าจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร”
    อี้ชิงหมิงขมวดหัวคิ้วอันเรียวงามของนาง ขบคิดครู่หนึ่งกล่าวว่า
    “ชิงหมิงมีคำตอบให้ท่านลุงสามข้อ” พลางวางท่าทางราวกับนักศึกษาคงแก่เรียนผู้หนึ่ง กล่าวสืบไปว่า
    “หนึ่งชิงหมิงแจ้งกลับไปว่าชิงหมิงอายุยังน้อยเกินกว่าจะวิวาห์ได้”
    อี้จงสือสอดคำขึ้นมาว่า
    “เจ้าอายุยี่สิบเอ็ดปีพอดี ไม่เยาว์เกินไป ไม่ชราเกินไป ไม่วิวาห์ตอนนี้จะวิวาห์เมื่อใด เหตุผลข้อนี้ของเจ้าฟังไม่ขึ้น”
    อี้ชิงหมิงไม่ร้อนรน กล่าวว่า
    “สอง หน้าที่การงานของชิงหมิง ต้องเสี่ยงชีวิตเลียคมดาบกระบี่ทุกเช้าค่ำ ย่อมไม่ดีแน่หากภรรยาของข้าพเจ้าจะต้องกลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว”
    “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป หากเจ้าวิวาห์เข้าป้อมตระกูลเซวียงแล้ว ก็ไม่ต้องออกไปทำงานเสี่ยงภัยอีก สามารถใช้ชีวิตเยาว์ของเจ้าอย่างสุขสบายจนแก่เฒ่า แต่หากเจ้ายังดื้อรั้นจะเป็นมือปราบต่อไป เพียงให้กำเนิดทายาทสักสองสามคน ถึงเจ้าจะไม่อยู่ภรรยาเจ้าย่อมไม่อยู่อย่างเดียวดาย”
    อี้ชิงหมิงชะงักเล็กน้อย แต่ยังกล่าวสืบไปว่า
    “อย่างนั้นชิงหมิงได้แต่แจ้งกลับไปว่า ชิงหมิงแต่งงานแล้ว มีบุตรธิดาสองคน และชิงหมิงผู้นี้รักภรรยาเป็นอย่างยิ่ง” จากนั้นยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย กล่าวสืบไปว่า
    “จนไม่คิดมีภรรยาเพิ่มแม้แต่นางเดียว”
    อี้จงสืออดหัวเราะชอบใจในคำตอบของอี้ชิงหมิงไม่ได้ จากนั้นกล่าวหน้าตายว่า
    “แต่เราแจ้งกลับไปแล้วว่าเจ้ายังไม่ได้แต่งงานกับผู้ใด”
    อี้ชิงหมิงมีสีหน้าหัวร่อมิออกร้องให้มิได้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า
    “อย่างนั้นชิงหมิงไม่ไปเสียก็สิ้นเรื่อง”
    อี้จงสือส่ายหน้าช้าๆ กล่าวว่า
    “แต่งานนี้เจ้าต้องไป”
    อี้ชิงหมิงพลันก้มหน้าลง กล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจว่า
    “ท่านลุงก็ทราบดีว่าชิงหมิงเป็นอิสตรี จะให้ไปเป็นเขยขวัญของป้อมตระกูลเซวียงได้อย่างไร หากท่านจะส่งข้าพเจ้าไปก็เท่ากับส่งข้าพเจ้าไปอับอายขายหน้าแล้ว หากท่านลุงไม่เอ็นดูข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็ยินดีจะเดินทางไปพำนักกับท่านอาหญิงที่นครหลวง”
    อี้จงสือหัวร่อฮา ฮา กล่าวว่า
    “อี้ชิงหมิง เจ้าออกจะลำพองไปแล้ว เทียบเชิญนั่นไม่ได้มีเพียงเจ้าเท่านั้นหรอกที่ได้รับ เท่าที่เราสืบทราบมา ยังมีบุคคลที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกเขยขวัญของป้อมตระกูลเซวียงได้อีกสิบสี่คน เจ้าคิดว่าจะสามารถผ่านด่านทั้งสิบสี่คนได้หรือ”
    อี้ชิงหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งใจ กล่าวว่า
    “เมื่อเป็นเช่นนั้น มิสู้ชิงหมิงชิงถอนตัวสละสิทธิ์มิดีกว่าหรือ หากต้องไปต่อสู้กับคน สิบสี่ คนเพื่อที่จะต้องแพ้ให้กลับใครสักคนหนึ่ง”
    อี้จงสือกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
    “ที่เราจำเป็นต้องส่งเจ้าไปยังป้อมตระกูลเซวียง ที่แท้จริงนั้นยังมีสาเหตุที่สำคัญสองประการ”
    “ประการแรก ป้อมตระกูลเซวียงปิดตัวเองมานานนับตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน มีข่าวลือว่าบุตรตรีคนรองของประมุขป้อมคนปัจจุบัน เซวียงเวิ่นเทียนได้ลอบหนีออกไปกับคนผู้หนึ่งพร้อมด้วยคัมภีร์ “ปราณเทพอัสนี” ยอดวิชาประจำตระกูลที่นอกจากประมุขป้อมรุ่นที่หนึ่งแล้วยังไม่มีผู้ใดฝึกสำเร็จมาก่อน หลังจากนั้นประมุขป้อมตระกูลเซวียงก็มิได้เปิดประตูป้อมต้อนรับผู้ใดอีก ซึ่งนั่นความจริงเป็นเรื่องภายในของป้อมตระกูลเซวียง เพียงแต่เราอยากให้เจ้า ลองใช้ความสามารถของเจ้าประเมินดูว่าภายในป้อมมีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
    “ผิดปกติ ท่านลุงคิดว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติ”
    อี้จงสือยิ้มอย่างอารมณ์ดี กล่าวว่า
    “นั่นเป็นปัญหาของเจ้า มิใช่ปัญหาของเรา”
    “แล้วเหตุผลประการที่สองเล่า”
    อี้จงสือหัวร่อฮา ฮา กล่าวว่า
    “ประการที่สอง เจ้าอาจจะได้พบกับบุรุษหนุ่มที่หล่อเหลางามสง่า เป็นที่ต้องตาต้องใจของเจ้า ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะเลิกปลอมตัวเป็นบุรุษ ตบแต่งออกเรือน ให้กำเนิดทารกที่อ้วนพี ให้เราได้มีโอกาสอุ้มเล่นสักหลายคน”
    อี้ชิงหมิงใบหน้าแดงวูบ กล่าวเสียงเบาราวกับยุงบินว่า
    “ท่านลุงล้อเล่นกับชิงหมิงอีกแล้ว ในเทียบเขียนไว้วันที่สิบห้าค่ำเดือนแปด ก็หมายความว่าข้าพเจ้ามีเวลาอีกสิบวัน เช่นนั้นข้าพเจ้าต้องเร่งออกเดินทางแต่โดยเร็วแล้ว”
    อี้จงสือกล่าวเสริมว่า
    “ถูกต้องแล้ว อ้อ เราลืมบอกไปว่า เราอยากให้เจ้าร่วมทางไปกับคนผู้หนึ่ง”
    อี้ชิงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า
    “เป็นผู้ใดกัน”
    “ก่อนอื่นเราต้องบอกกับเจ้าก่อนว่า ฐานะที่เจ้าจะใช้เดินทางครั้งนี้ เจ้าจะเป็นเพียง “เซี่ยวปู้” (มือปราบน้อย) ผู้หนึ่งเท่านั้น”
    “ที่ท่านลุงกระทำเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าท่านลุงมีเหตุผลบางประการที่จะปกปิดฐานะที่แท้จริงของข้าพเจ้า”
    อี้จงสือพยักหน้า กล่าวว่า
    “ขณะที่คนทั่วไปเพียงรู้จักชื่อของเจ้า ฉายานามของเจ้า แต่ไม่อาจรู้จักใบหน้าของเจ้าได้ หากวันใดใบหน้าของเจ้าเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป วันนั้นถือเป็นวันที่ความปลอดภัยในชีวิตของเจ้าสิ้นสุดลง”
    “ชิงหมิงขอบคุณในความหวังดีของท่านลุง ไม่ทราบว่าผู้ใดจะปลอมตัวเป็นชิงหมิง หรือท่านลุงจะให้มือปราบในกรมเมืองนี้ปลอมตัวเป็นชิงหมิง”
    อี้จงสือส่ายหน้าช้าๆ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า
    “นักโทษในที่ขุมขังห้องสุดท้าย “ลี้เชียนเหลียน” (พันปีแซ่ลี้)
    อี้ชิงหมิงขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า
    “ลี้เชียนเหลียน ชื่อของคนผู้นี้กลับคุ้นหูของข้าพเจ้าอยู่บ้าง แต่เดิมคนผู้นี้เรียกว่า “พันปีหมื่นลี้” มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างคลุมเคลือ ชอบเดินทางแต่เพียงลำพัง ในรายงานของกรมเมืองบันทึกไว้ว่า คนผู้นี้สมควรเป็นบุคคลเดียวกันกับโจรราตรี “สิบหยิบเจ็ด” ที่โด่งดังตั้งแต่ห้าปีก่อน ในบันทึกยังระบุอีกว่าคนผู้นี้เสียชีวิตตั้งแต่สามปีก่อน เหตุใดคนผู้นี้กลับมีชีวิตอยู่ มิหนำซ้ำยังเป็นนักโทษของกรมเมืองเราได้”
    “เรื่องนี้เป็นเหตุการที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนที่เจ้าจะมาอยู่ที่นี่ คนผู้นี้พาร่างที่บอบช้ำทั้งภายในและภายนอกมายังกรมเมืองแห่งนี้ โดยแจ้งว่าตัวมันคือโจรราตรีสิบหยิบเจ็ด มีเจตนาที่จะขอมอบตัวกับทางการ พร้อมกับบอกถึงที่ซ่อนของสมบัติที่มันได้ขโมยไป เมื่อพวกเราไปเสาะหาตามคำบอกเล่าของมัน ปรากฏว่าทรัพย์สินทุกอย่างที่เจ้าทรัพย์ได้แจ้งไว้ต่อทางการล้วนอยู่ครบ มิได้ขาดหายไปแม้แต่ชิ้นเดียว มิหนำซ้ำทางเรายังพบทรัพย์สินอีกจำนวนหนึ่งไม่ทราบที่มาที่ไป ดังนั้นพวกเราจึงได้นำทรัพย์สินส่วนเกินเหล่านั้น แจกจ่ายให้กับราษฎรที่ประสบภัยธรรมชาติทุกปี”
    “ที่แท้เงินทองที่ท่านลุงใช้ซื้อสิ่งของแจกจ่ายให้ราษฎรที่ประสบภัยตั้งแต่สามปีก่อน มาจากคนผู้นั้นนั่นเอง”
    อี้จงสือฝืนยิ้ม กล่าวว่า
    “จะว่าไปก็น่าละอายนัก เราเป็นมือปราบ แต่ทำตัวราวกับเป็นโจรคุณธรรม”
    อี้ชิงหมิง หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า
    “ชิงหมิงกลับเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง หากท่านลุงส่งมอบทรัพย์สินเหล่านั้นไปยังส่วนกลาง ไม่แนว่าคนเหล่านั้นจะส่งคืนแก่ราษฎรยามเดือดร้อน เพียงแต่ไม่ทราบว่าทรัพย์สินเหล่านั้นยังเหลืออีกเท่าใดที่ท่านลุงจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนแจกจ่ายให้แก่ราษฎรต่อไป”
    อี้จงสือหัวร่อเบาๆ กับคำหยอกเย้าของอี้ชิงหมิง แล้วกล่าวหน้าตายว่า
    “หากเราไม่มือเติบจนเกินไป เกรงว่าภายในยี่สิบปีนี้ ทรัพย์สินเหล่านั้นคงจะพ้นมือของเราไปจนหมดสิ้น”
    อี้ชิงหมิงแลบลิ้นออกมาด้วยความตระหนก กล่าวว่า
    “นับว่าเป็นจำนวนมหาศาลจริงๆ แล้วท่านลุงจัดการกับคนผู้นั้นเช่นไร”
    “เราเมื่อเห็นว่าของกลางต่างอยู่ครบ จึงคิดคุมขังมันสักสามเดือนเพื่อให้มันสำนึกผิด แต่จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสามปีกับหกเดือนแล้วที่มันยังอยู่อย่างสุขสบายอยู่ในห้องขัง”
    อี้ชิงหมิงอดหัวร่อเบาๆ ไม่ได้ กล่าวว่า
    “แม้แต่ท่านลุงจะออกแรงขับไล่มัน มันก็ยังไม่ยอมออกไปอีกหรือ”
    อี้จงสือมีสีหน้าหัวร่อมิออกร้องไห้มิได้ กล่าวว่า
    “ถูกต้อง มิหนำซ้ำมันยังบอกอีกว่า ทรัพย์สินส่วนเกินที่มันมอบให้กับทางการ นับว่าเพียงพอที่จะเป็นค่า ห้องพัก และ ค่าอาหารของมัน ขอเพียงอาหารไม่น้อยเกินไป รสชาติไม่เลวร้ายเกินไป วันหนึ่งเพียงสองมื้อ สุราวันละสิบชั่ง เพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อมันแล้ว”
    อี้ชิงหมิงมีสีหน้าราวกับกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ กล่าวว่า
    “นับว่าคนผู้นี้มิได้เรียกร้องมากเกินไปจริงๆ”
    อี้จงสือฝืนยิ้ม กล่าวว่า
    “ยิ่งไปกว่านั้นทุกช่วงเทศกาล เรายังมอบอาหารพิเศษต่อมัน ก่อนที่เจ้าจะมาก่อกวนสร้างเรื่องปวดหัวให้กับเรา ยามที่เรารู้สึกเงียบเหงาไปบ้าง เรายังเข้าไปดื่มสุราเป็นเพื่อนมัน”
    “แล้วเหตุใดท่านลุงไม่จับมันโยนออกไปเล่า ให้เงินติดตัวมันไปสักเล็กน้อย ก็น่าจะยุติธรรมต่อมันแล้ว”
    อี้จงสือส่ายหน้า กล่าวว่า
    “เราไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น”
    อี้ชิงหมิงขมวดคิ้วกล่าวว่า
    “หากเป็นเช่นนั้น ใยท่านลุงคิดว่าคนผู้นี้จะยอมร่วมทางไปชิงหมิง”
    อี้จงสือหัวร่อฮา ฮา กล่าวว่า
    “เราไม่มีความสามารถ แต่ไม่เชื่อว่าท่านจะไร้ความสามารถเช่นเรา”
    “หากข้าพเจ้าทำมิได้เล่า”
    อี้จงสือยิ้มที่มุมปากอย่างปลอดโปร่ง กล่าวว่า
    “เราก็จะไปส่งเจ้ายังที่พำนักของอาหญิงเจ้าที่นครหลวงด้วยตัวเราเอง”
    อี้ชิงหมิงมีสีหน้าราวกับรับประทานผลมะนาวเข้าไปทั้งลูกเลยทีเดียว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น