ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : มือปราบจำแลง
วิกาลดึกสงัดในป่าละเมาะแถบชานเมือง ชายฉกรรจ์ท่าทางเหี้ยมหาญ นั่งล้อมรอบกองไฟ ดื่มสุรา ย่างเนื้อกันอย่างครื้นเครง หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมาว่า
    “ในที่นี้นับว่าน้องสี่ ท่านมีความดีความชอบมากที่สุด ไม่เช่นนั้นสุรามื้อนี้ ไยสามารถดื่มได้อย่างสมใจ”
    “พี่รองท่านกล่าวหนักไปแล้ว แม้ข้าพเจ้าเป็นคนสืบทราบมาได้ว่าเฒ่าหลู่แอบซ่อนเงินไว้จำนวนหนึ่งก็จริง แต่ถ้าไม่ได้ฝีมือการเค้นความลับของพี่สาม ไม่แน่ว่าสุรามื้อนี้จะได้ดื่มเร็วเช่นนี้”
    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้องสี่ ท่านไปหัดเลียนแบบวิชาประจบสอพลอของน้องห้าตั้งแต่เมื่อใด น้องห้าท่านต้องระวังตัวไว้ให้มาก หากท่านไม่หมั่นฝึกปรือฝีปากของท่านไว้ ข้าพเจ้าเกรงว่าไม่เกินปีหน้า ตำแหน่งสอพลออันดับหนึ่งของท่านต้องถูกปลิดปลงลงแน่”
    เสียงหัวร่อของชายทั้ง ๕ ดังประสานไปทั่วบริเวณนั้น
    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า สมใจ สมใจ ข้าพเจ้าได้เป็นพี่น้องกับพวกท่าน ไม่แน่ว่าหากผลงานของพวกเรายิ่งมายิ่งโด่งดัง อาจได้ขึ้นทำเนียบของผู้เหี้ยมหาญแห่งยุทธภพบ้างก็เป็นได้”
    “ถ้าเป็นดังที่พี่ใหญ่ท่านกล่าวมาจริง ข้าพเจ้าขอรับรองว่าตำแหน่งสอพลออันดับหนึ่งของข้าพเจ้า ไม่มีวันยกให้พี่สี่เป็นแน่”
    เสียงหัวร่อของชายทั้ง ๕ ยิ่งมายิ่งครื้มอกครื้มใจขึ้นเรื่อยๆ
    “ว่าแต่พี่ใหญ่พวกเราเองก็ร่วมปล้นกันมาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่มีชื่อเรียกขานสักที พวกท่านมีความเห็นเช่นไรหากข้าพเจ้าจะเสนอชื่อขึ้นมาสักชื่อหนึ่ง”
    “ข้าพเจ้าเองก็เห็นด้วยกับพี่รอง เพียงแต่การศึกษาของข้าพเจ้านั้นไม่อาจเทียบกับพี่รองท่านได้ ไม่ทราบว่านามอันสูงส่งที่ท่านคิดไว้เรียกหาว่าอะไร ผู้น้องล้างหูเตรียมรับฟังอยู่”
    ชายทั้ง ๔ อดหัวร่อด้วยความชอบอกชอบใจไม่ได้
    “ “มอบทรัพย์สินแต่โดยดี” พวกท่านมีความเห็นกับชื่อนี้อย่างไร”
    ชายทั้ง ๔ คนมีสีหน้าครุ่นคิด บ้างเอามือกุมขมับ บ้างหัวคิ้วขมวดกันยุ่งเหยิง บ้างใช้มือลูบหนวดเคราไปมา
    “น้องรอง ท่านอธิบายมาเถอะ ข้าพเจ้าครุ่นคิดจนปวดศรีษะไปหมดแล้ว ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่า “มอบทรัพย์สินแต่โดยดี” ของท่านจะฟังดูน่าเกรงขามเทียบเท่ากับสมญานามของผู้กล้าหาญท่านอื่นที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมา”
    “นั้นสิพี่รอง ข้าพเจ้าเองก็เห็นด้วยกับพี่ใหญ่”
    แม้แต่ชายอีก ๒ คนที่เหลือก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
    “ย่อมได้ หากพวกท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเเฉลย ข้าพเจ้าขอถามพวกท่านคนละหนึ่งคำถามได้หรือไม่”
    ชายทั้ง ๔ คนพยักหน้าเป็นคำตอบ
    “พี่ใหญ่ ถ้าเจ้าทรัพย์ต่อสู้ขัดขืนขึ้นมา ท่านจะทำเช่นไร”
    “ข้าพเจ้าย่อมต้องฆ่ามัน คนตายไม่อาจต่อสู้ขัดขืนคนเป็นได้”
    “ถูกแล้ว น้องสาม ถ้าเจ้าทรัพย์ของท่านไม่ยอมปริปากบอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติแก่ท่าน ท่านจะทำเช่นไร”
    “นั้นง่ายมาก ขั้นตอนแรกข้าพเจ้าจะซ้อมมันซักสองสามหมัดก่อน หากมันยังดื้อด้านข้าพเจ้าจะถอดเล็บมันออกมาทีละเล็บ หากมันยังทนได้ข้าพเจ้าจะลอกแผ่นหนังมันออกมาสักผืน จากนั้นใช้น้ำเกลือราดบาดแผลมัน แต่จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า เพียงดึงเล็บเท้าที่สองออกมา คร้านมันจะบอกถึงที่ซ่อนของบรรพบุรุษมันออกมา”
    “นั่นก็ถูกอีก น้องสี่ถ้าเป็นท่านล่ะ ท่านจะทำยังไงถึงจะเรียกทรัพย์สินอย่างเจ้าทรัพย์ได้”
    “หากเป็นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจับตัวบุตรหลานที่มันรักที่สุดเอาไว้ จากนั้นข้าพเจ้าจะตั้งราคาที่ข้าพเจ้าพอใจจะขาย ถ้ามันชักช้า มันจะได้เห็นใบหูของคนในมือข้าพเจ้าข้างหนึ่ง หลังจากนั้นข้าพเจ้าจะโก่งราคาขึ้นไปอีก ถ้ามันยังต่อรองกับข้าพเจ้าอีก มือข้างหนึ่งจะเป็นชิ้นส่วนชิ้นต่อไปที่ข้าพเจ้าจะจัดส่งไปให้มัน”
    “แล้วท่านล่ะ น้องห้า”
    “นั่นคงเป็นเรื่องยากของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้มีฝีมือสูงส่งดังเช่นพี่ใหญ่ ไม่ได้ชำนาญเรื่องเล่นกับไฟดั่งเช่นพี่รอง ไม่ได้ใจแข็งดั่งเช่นพี่สาม ยิ่งเกลียดเสียงเด็กร้องไห้ยิ่งกว่าอะไร ข้าพเจ้าเพียงชมชอบสตรี ขอเพียงไม่แก่เกินไป ไม่เด็กเกินไป ข้าพเจ้าไม่เกี่ยง เพียงข้าพเจ้าจ้องมองบุตรีของมัน ภรรยาของมัน ภรรยาน้อยของมัน เกรงว่าไม่ถึงอึดใจมันต้องมอบทรัพย์สินออกมาแต่โดยดีแน่”
    ชายทั้ง ๔ อุทานออกมาพร้อมกันทันทีว่า
    “มอบทรัพย์สินแต่โดยดี”
    “ถูกต้อง! ตอนนี้พวกท่านคงเข้าใจความหมายในชื่อที่ข้าพเจ้าตั้งแล้วกระมัง”
    ชายทั้ง ๕ คนหัวเราะออกมาอย่างพออกพอใจ
    “ข้าพเจ้ากลับมีชื่อที่ดีกว่านั้นให้พวกท่าน ไม่ทราบว่าพวกท่านสนใจรับฟังหรือไม่”
    ชายทั้ง ๕ คนหยุดหัวเราะทันที พลางหันไปมองยังต้นเสียงด้วยความตื่นตระหนก
    ห่างออกไป ๔ วา ปรากฏไว้ด้วยบุคคลในเครื่องแต่งกายที่พวกมันรู้จักเป็นอย่างดี
    มือปราบ!
    แต่ที่พวกมันตื่นตระหนกนั้น จริงๆ แล้วสาเหตุมาจากการที่มือปราบผู้นี้สามารถลอบเข้ามาใกล้พวกมันโดยไม่รู้สึกตัว ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่ต่อการที่จะคาดเดาฝีมือของฝ่ายตรงข้ามได้ว่าสูงส่งเพียงใด
    ทั้ง ๕ คนกระชับด้ามดาบในมือแน่น ลอบเกร็งพลังเตรียมต่อสู้กับมือปราบผู้นี้
    “ไม่ทราบว่าท่านมือปราบที่นับถือเตรียมมอบสมญานามอันใดให้พวกเรา”
    แม้แสงจากกองไฟไม่อาจทำให้เห็นใบหน้าของมือปราบผู้นี้ได้อย่างชัดเจน แต่จากเค้าหน้าอันเลือนลางนั้นยังพอคาดเดาได้ว่าใบหน้าหมดจดนั้นกำลังเผยอรอยยิ้มที่มุมปาก
    มือปราบผู้นี้ชี้กระบองสั้น ยาว 4 เซียะ สีดำสนิทไปยังชายทั้ง ๕ ทีละคน
    “สมแล้วกับที่ท่านมีนาม “ไฟไหม้ไม่ลนลาน”  อู่เล่ายี่ (คนที่สอง แซ่อู่) ส่วนท่าน “ฆ่าไม่ละเว้น”    จุยเล่าตั่ว (พี่ใหญ่แซ่จุย), “ไร้ปราณี” ฉือเล่าซา ( คนที่สามแซ่ฉือ), “ไม่ต่อรอง” สีเล่าสี่ (คนที่สี่แซ่สี) สุดท้ายท่าน “ราคะเทียมฟ้า” เมิ่งเล่าโหงว (คนที่ห้าแซ่เมิ่ง) ฉายาของพวกท่านแต่ละคนช่างมีความเป็นมาอันยิ่งใหญ่นัก ไม่ทราบว่านาม “มอบตัวต่อทางการแต่โดยดี” ของข้าพเจ้าพอจะเป็นที่ถูกใจของพวกท่านหรือไม่”
    ฉือเล่าซาหัวร่อฮา ฮา กล่าวว่า
    “ฉายานามนี้ถูกใจข้าพเจ้ายิ่งนัก หากแต่กระดูกนิ้วมือของท่านถูกทุบให้แหลกสักสองสามนิ้ว ข้าพเจ้าต้องการจะทราบว่าวาจาโอหังเหล่านี้ของท่านจะยังมีความสามารถกล่าวออกมาอีกหรือไม่”
    มือปราบผู้นี้ค่อยๆ สืบเท้าเข้ามาหาพวกมันทั้ง ๕ ทีละก้าว จนกระทั่งพวกมันสามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้อย่างชัดเจน
    เมิ่งเล่าโหงวหัวร่อออกมาเป็นคนแรก กล่าวว่า
    “ที่แท้ทางการถึงกลับกลายเป็นตะเกียงขาดน้ำมันไปได้ กลับใช้ให้อิสตรีอันบอบบางนางหนึ่งมาเป็นมือปราบ ไม่ทราบว่าท่านจะมาปราบข้าพเจ้า หรือว่าข้าพเจ้าจะเป็นคนปราบท่านดี”
    มือปราบผู้นี้กลับเป็นสตรีนางหนึ่งปลอมตัวมาจริงๆ
    สีเล่าสี่กล่าวเสริมว่า
    “น้องห้าท่านดูสิ มือปราบนางนี้หน้าตาสะสวยคมคาย เสียอย่างเดียวข้าพเจ้าไม่มั่นใจว่านางจะเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพวกเราหรือไม่  พวกท่านดูสิ ดวงตาสีเขียวคู่นั้น บางทีนางอาจจะเป็นปีศาจจิ้งจอกออกมาล่าเหยื่อก็เป็นได้”
    อู่เล่ายี่หัวเราะฮิฮะ กล่าวว่า
    “ไม่แน่ว่าพอพวกเราเปลื้องผ้านางออก น้องห้าท่านอาจจะเปลี่ยนความคิดก็เป็นได้”
    ทั้ง ๕ คนต่างหัวร่อประสานเสียงอย่างชั่วช้าลามก
    พวกมันทั้ง ๕ กำลังรอโอกาสอันเหมาะสม หากการยั่วยุโทสะของพวกมันบังเกิดผล มือปราบนางนี้จะต้องพ่ายแพ้ในฝีมือของพวกมันเป็นแน่ กับคู่มือเช่นนี้พวกมันย่อมไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
    แต่มือปราบนางนี้เพียงใช้สายตาจับจ้องอย่างเย็นชา กล่าวว่า
    “ข้าพเจ้าขอเตือนพวกท่านเป็นครั้งสุดท้าย ดาบกระบี่ไร้ดวงตา หากต้องประมือกันยากนักที่จะยั้งมือไว้ไมตรี”
    ที่แท้กระบองสั้นสีดำสนิทในมือนางกลับเป็นกระบี่ไร้โกร่งเล่มหนึ่ง
    จุ้ยเล่าตั่าตวาดออกมาว่า
    “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูว่าผู้ใดไร้ไมตรีกว่ากัน ไม่ท่าน ก็เป็นข้าพเจ้า”
    ไม่ทันรอให้มือปราบนางนี้ชักกระบี่ สีเล่าสี่ กับเมิ่งเหล่าโหงวต่างแยกย้ายกันออกจู่โจมซ้ายขวาด้วยเคล็ด หนึ่ง “เขี่ย” หนึ่ง “ตวัด” ประสานกันราวแหฟ้าตาข่ายดิน
    พวกมันคาดว่าด้วยวรยุทธ์ของสตรีนางนี้จะต้องหลบดาบคู่ของพวกมันได้อย่างแน่นอน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ดาบของพี่น้องพวกมันอีก ๓ เล่ม จะเข้าร่วมประสานจู่โจม ไม่ให้นางได้มีเวลาตั้งตัว
    พวกมันแม้ไม่อาจชนะ แต่ไม่แน่ว่าจะต้องพ่ายแพ้เช่นกัน
    แต่สิ่งที่พวกมันคาดคิดไว้กลับเกิดข้อผิดพลาดขึ้น
    หนึ่ง สตรีนางนี้มิได้หลบ
    สอง มันประเมินฝีมือของสตรีนางนี้ต่ำทรามเกินไป
    แสงจากกองไฟสะท้อนกับตัวกระบี่ราวกับสายฟ้าแลบกลางสายฝน กรีดผ่านไปยังร่างของพวกมันทั้งสอง
    พวกมันร้องออกมาอย่างโหยหวน พร้อมกับทรุดตัวลงไปนอนกองกับพื้น ดาบตกอยู่ข้างลำตัว
    สีเล่าสี่ใบหูขาด ๒ ข้าง ร้องครวญครางไปมา ส่วนเมิ่งเล่าโหงวมีเลือดไหลซึมออกมาจากบริเวณใต้ท้องน้อย คาดว่าประสบเคราะห์กรรมหวาดเสียวยิ่งกว่า
    แต่สิ่งที่พวกมันทั้งคู่มีเหมือนกัน คือมือขวาทั้ง ๒ ข้างต่างขาดเสมอข้อมือ
    มิหนำซ้ำมือทั้งสองข้างนั้นยังกำด้ามดาบแน่นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของดาบ!
    เหล่าพี่น้องที่เหลืออยู่ของพวกมันทั้ง ๒ ต่างจ้องมองทั้งคู่จน ๒ ตาเหลือกค้าง พวกมันย่อมไม่เคยพบเห็นกระบี่ที่ฉับไวเช่นนี้มาก่อน
    “หากพวกท่านทั้งสามจะยินยอมติดตามข้าพเจ้ากลับไปยังกรมเมืองแต่โดยดี ข้าพเจ้ารับรองว่ากระบี่ของข้าพเจ้าจะไม่ออกจากฝักเป็นครั้งที่สอง”
    พวกมันทั้ง ๓ ต่างกุมด้ามดาบแน่นกว่าเดิมจนชุ่มไปด้วยเหงื่อ อย่าว่าแต่ตอนชักกระบี่เลย แม้แต่ตอนที่สอดกระบี่คืนฝัก พวกมันยังไม่อาจมองตามทัน
    อู่เล่ายี่กล่าวเสียงสั่นว่า
    “ข้าพเจ้านึกออกแล้ว ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา มีข่าวลือว่ามีดาวมือปราบดวงหนึ่งถือกำเนิดในแถบละแวกนี้ ไม่ว่าคดีใหญ่น้อยแค่ไหนล้วนถูกมันคลี่คลายจัดการได้อย่างหมดจด ที่แท้มือปราบผู้นั้นกลับเป็นท่านนี่เอง เพียงแต่ข้าพเจ้าคล้ายกลับลืมเลือนชื่อของท่านไปบ้าง”
    “นับว่าหูตาของท่านไม่ขาดตกบกพร่องจริงๆ สำหรับชื่อเสียงเรียงนามของข้าพเจ้านั้นไม่ต้องรบกวนท่านจดจำหรอก เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกท่านตัดสินใจมอบตัวต่อทางการแต่โดยดีหรือไม่”
    ฉีเล่าซายิ้มแย้มกล่าวอย่างนอบน้อมถ่อมตนว่า
    “หากพวกเรายอมติดตามท่านมือปราบกลับไปยังกรมการเมืองแต่โดยดี ไม่ทราบว่าความผิดของบุคคลดั่งเช่นพวกเรา ทางการจะมีการจัดการเช่นไร”
    “นั่นย่อมต้องขึ้นกับความหนักเบาที่พวกท่านได้ก่อไว้ แต่พวกท่านไม่ต้องกังวลไป ทางการต้องให้ความเป็นธรรมต่อครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกพวกท่านเข่นฆ่าแน่นอน”
    จุ้ยเล่าตั่าคำรามอย่างบ้าคลั่งเมื่อนึกถึงความผิดที่ตนได้ก่อไว้
    “ท่านบีบบังคับผู้คนมากเกินไปแล้ว”
    ดาบในมือของจุ้ยเล่าตั่าถูกใช้ออกด้วยเคล็ด “ฟาดฟัน” ราวกับพายุคลั่งพัดพาเข้าสู่มือปราบนางนั้น อู่เล่ายี่ กับฉือเล่าซาเองต่างไม่รอช้า หนึ่งใช้ออกด้วยเคล็ด “แทง” หนึ่งใช้ออกด้วยเคล็ด “ปาด” ร่วมประสานก่อเกิดเป็นค่ายกลดาบแขนงหนึ่ง
    หากสีเล่าสี่ กับเมิ่งเล่าโหงวสามารถเข้าร่วมประสานด้วยเคล็ด “ตวัด” และ “เขี่ย” ของพวกมัน ค่ายกลดาบชุดนี้สามารถปิดบังจุดด้อย ส่งเสริมจุดแข็ง ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่าอนุภาพที่แท้จริงของค่ายกลดาบชุดนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าใด
    น่าเสียดายที่สีเล่าสี่ และเมิ่งเล่าโหงว ชั่วชีวิตนี้อย่าได้หวังว่าจะก่อกรรมทำเข็ญได้อีก
    กระบี่ไร้โกร่งในมือขวาของมือปราบนางนี้ถูกชักออกมาอีกครั้ง
    มือปราบนางนี้ถนัดมือซ้าย?
    เสียงติงตังของดาบกระบี่กระทบกันดังไปทั่วบรเวณนั้น
    เหล่าชายฉกรรจ์ทั้ง ๓ มีความรู้สึกว่ามันกำลังรับมือกับมือปราบ ๓ คนหาใช่เป็นมือปราบคนเดียวไม่
    ค่ายกลดาบของพวกมันจะสามารถเปล่งอนุภาพได้ก็ต่อเมื่อมีการตั้งรับสลับการรุกไล่
    แต่พวกมันในตอนนี้ได้แต่เพียงตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียว
    ประกายบุบผากระบี่จากหนึ่งแตกออกเป็น ๓ จากสามแตกออกเป็น ๙ จาก ๙ แตกออกเป็น ๒๗ ทุกกระบี่ที่รุกไล่พวกมันราวกับสายฝนโหมกระหน่ำ มิหนำซ้ำทุกครั้งที่ตัวกระบี่กระทบกับตัวดาบ จะมีลมปรานละเอียดเล็กราวกับเข็มนับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงมาตามตัวดาบจนพวกมันรู้สึกปวดแปลบง่ามมือเป็นอย่างยิ่ง
    มือปราบนางนี้กู่ร้องเสียงแหลมเล็กคราหนึ่ง กระบี่ก็ทิ่มทะลวงผ่านปราการดาบของชายทั้ง ๓ คน ตัดเอ็นข้อมือที่ถือดาบของพวกมันทั้ง ๓ ข้าง จนเสียงดาบตกกระทบพื้นแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน
    ฉือเล่าซาแม้ดาบหลุดจากมือ ยังสามารถทนข่มความเจ็บปวด มือซ้ายถูกใช้ออกด้วยกระบวนท่ากรงเล็บหมายหักกระดูกของมือปราบหญิง
    จุ้ยเล่าตั่าเองก็ไม่ลนลาน กลิ้งตัวไปตามพื้นพร้อมกับใช้มือซ้ายที่เหลือคว้าดาบที่พื้นฟันเลียดไปตามสภาวะการกลิ้งตัว หมายตัดขาอีกข้างของมือปราบหญิง
    ส่วนอู่เล่ายี่เพียงถอยไปด้านหลังหมายหลบหนีออกไปจากสภาพการต่อสู้อันเสียเปรียบครั้งนี้
    มือปราบหญิงเองก็ไม่ชักช้า กระโดดหมุนตัว ศรีษะอยู่ล่างเท้าอยู่บนพร้อมกับฟันกระบี่ออกราวกับสายฟ้ากรีดนภา
    นิ้วมือทั้ง ๕ ของฉือเล่าซาถูกฟันขาด เหลือไว้เพียงฝ่ามือที่ว่างเปล่า ส่วนจุ้ยเล่าตั่าเองก็ไม่ได้โชคดีไปกว่าพี่น้องของมันสักเท่าไหร่ เพราะมือข้างนั้นของมันเองก็ถูกตัดเสมอข้อศอก
    เมื่อเท้าของมือปราบนางนี้สัมผัสกับพื้นอีกครั้ง นางก็พุ่งตัวทะยานตามติดอู่เล่ายี่ท่ามกลางเสียงร้องสุดโหยหวนของพวกโจรทั้ง ๔ที่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น
    อู่เล่ายี่เพียงขยับเท้าได้ ๒ ก้าว ก็ปรากฏว่ามีกระบี่เล่มหนึ่งเปล่งประกายเย็นเยียบจ่ออยู่กับคอหอยของตน
    “ท่านหยุดเท้าให้กับข้าพเจ้าได้หรือไม่ วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทำร้ายผู้คนไปไม่น้อย หากพวกท่านไม่บีบบังคับข้าพเจ้ามากเกินไป พวกท่านอาจไม่ต้องทรมาณเช่นนี้ ท่านยังไม่ได้ให้คำตอบข้าพเจ้า”
    อู่เหล่าเอ้อได้แต่พยักหน้า แล้วโพล่งออกมาว่า
    “ข้าพเจ้านึกออกแล้ว ท่านเรียกว่า “ไคว่เจี้ยน” (กระบี่ไว) อี้ชิงหมิง (ใสกระจ่างแซ่อี้)”
    อี้ชิงหมิงเพียงมองอู่เล่ายี่ด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก กล่าวว่า
    “ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม มือปราบท่านอื่นที่ติดตามพวกท่านอยู่ในละแวกนี้ จะนำพวกท่านกลับไปรับโทษทัณฑ์ยังกรมเมืองเอง พวกท่านจงใช้เวลาที่เหลืออยู่สำนึกเสียใจกับสิ่งที่พวกท่านได้ก่อขึ้นเถอะ”
    อี้ชิงหมิงสอดกระบี่คืนฝัก หันกายทะยานออกไปราวกับนกราตรีตัวใหญ่ โดยกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
    “หากพวกท่านยังคิดหลบหนีอีก ครั้งหน้าข้าพเจ้าจำเป็นต้องตัดขาของพวกท่านออก ดูสิว่าพวกท่านยังจะมีความสามารถในการหลบหนีต่อไปหรือไม่”
    วาจาไม่ทันจบประโยคคนก็หายลับไปกับราตรีอันมืดมิด
    “ในที่นี้นับว่าน้องสี่ ท่านมีความดีความชอบมากที่สุด ไม่เช่นนั้นสุรามื้อนี้ ไยสามารถดื่มได้อย่างสมใจ”
    “พี่รองท่านกล่าวหนักไปแล้ว แม้ข้าพเจ้าเป็นคนสืบทราบมาได้ว่าเฒ่าหลู่แอบซ่อนเงินไว้จำนวนหนึ่งก็จริง แต่ถ้าไม่ได้ฝีมือการเค้นความลับของพี่สาม ไม่แน่ว่าสุรามื้อนี้จะได้ดื่มเร็วเช่นนี้”
    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้องสี่ ท่านไปหัดเลียนแบบวิชาประจบสอพลอของน้องห้าตั้งแต่เมื่อใด น้องห้าท่านต้องระวังตัวไว้ให้มาก หากท่านไม่หมั่นฝึกปรือฝีปากของท่านไว้ ข้าพเจ้าเกรงว่าไม่เกินปีหน้า ตำแหน่งสอพลออันดับหนึ่งของท่านต้องถูกปลิดปลงลงแน่”
    เสียงหัวร่อของชายทั้ง ๕ ดังประสานไปทั่วบริเวณนั้น
    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า สมใจ สมใจ ข้าพเจ้าได้เป็นพี่น้องกับพวกท่าน ไม่แน่ว่าหากผลงานของพวกเรายิ่งมายิ่งโด่งดัง อาจได้ขึ้นทำเนียบของผู้เหี้ยมหาญแห่งยุทธภพบ้างก็เป็นได้”
    “ถ้าเป็นดังที่พี่ใหญ่ท่านกล่าวมาจริง ข้าพเจ้าขอรับรองว่าตำแหน่งสอพลออันดับหนึ่งของข้าพเจ้า ไม่มีวันยกให้พี่สี่เป็นแน่”
    เสียงหัวร่อของชายทั้ง ๕ ยิ่งมายิ่งครื้มอกครื้มใจขึ้นเรื่อยๆ
    “ว่าแต่พี่ใหญ่พวกเราเองก็ร่วมปล้นกันมาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่มีชื่อเรียกขานสักที พวกท่านมีความเห็นเช่นไรหากข้าพเจ้าจะเสนอชื่อขึ้นมาสักชื่อหนึ่ง”
    “ข้าพเจ้าเองก็เห็นด้วยกับพี่รอง เพียงแต่การศึกษาของข้าพเจ้านั้นไม่อาจเทียบกับพี่รองท่านได้ ไม่ทราบว่านามอันสูงส่งที่ท่านคิดไว้เรียกหาว่าอะไร ผู้น้องล้างหูเตรียมรับฟังอยู่”
    ชายทั้ง ๔ อดหัวร่อด้วยความชอบอกชอบใจไม่ได้
    “ “มอบทรัพย์สินแต่โดยดี” พวกท่านมีความเห็นกับชื่อนี้อย่างไร”
    ชายทั้ง ๔ คนมีสีหน้าครุ่นคิด บ้างเอามือกุมขมับ บ้างหัวคิ้วขมวดกันยุ่งเหยิง บ้างใช้มือลูบหนวดเคราไปมา
    “น้องรอง ท่านอธิบายมาเถอะ ข้าพเจ้าครุ่นคิดจนปวดศรีษะไปหมดแล้ว ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่า “มอบทรัพย์สินแต่โดยดี” ของท่านจะฟังดูน่าเกรงขามเทียบเท่ากับสมญานามของผู้กล้าหาญท่านอื่นที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมา”
    “นั้นสิพี่รอง ข้าพเจ้าเองก็เห็นด้วยกับพี่ใหญ่”
    แม้แต่ชายอีก ๒ คนที่เหลือก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
    “ย่อมได้ หากพวกท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเเฉลย ข้าพเจ้าขอถามพวกท่านคนละหนึ่งคำถามได้หรือไม่”
    ชายทั้ง ๔ คนพยักหน้าเป็นคำตอบ
    “พี่ใหญ่ ถ้าเจ้าทรัพย์ต่อสู้ขัดขืนขึ้นมา ท่านจะทำเช่นไร”
    “ข้าพเจ้าย่อมต้องฆ่ามัน คนตายไม่อาจต่อสู้ขัดขืนคนเป็นได้”
    “ถูกแล้ว น้องสาม ถ้าเจ้าทรัพย์ของท่านไม่ยอมปริปากบอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติแก่ท่าน ท่านจะทำเช่นไร”
    “นั้นง่ายมาก ขั้นตอนแรกข้าพเจ้าจะซ้อมมันซักสองสามหมัดก่อน หากมันยังดื้อด้านข้าพเจ้าจะถอดเล็บมันออกมาทีละเล็บ หากมันยังทนได้ข้าพเจ้าจะลอกแผ่นหนังมันออกมาสักผืน จากนั้นใช้น้ำเกลือราดบาดแผลมัน แต่จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า เพียงดึงเล็บเท้าที่สองออกมา คร้านมันจะบอกถึงที่ซ่อนของบรรพบุรุษมันออกมา”
    “นั่นก็ถูกอีก น้องสี่ถ้าเป็นท่านล่ะ ท่านจะทำยังไงถึงจะเรียกทรัพย์สินอย่างเจ้าทรัพย์ได้”
    “หากเป็นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจับตัวบุตรหลานที่มันรักที่สุดเอาไว้ จากนั้นข้าพเจ้าจะตั้งราคาที่ข้าพเจ้าพอใจจะขาย ถ้ามันชักช้า มันจะได้เห็นใบหูของคนในมือข้าพเจ้าข้างหนึ่ง หลังจากนั้นข้าพเจ้าจะโก่งราคาขึ้นไปอีก ถ้ามันยังต่อรองกับข้าพเจ้าอีก มือข้างหนึ่งจะเป็นชิ้นส่วนชิ้นต่อไปที่ข้าพเจ้าจะจัดส่งไปให้มัน”
    “แล้วท่านล่ะ น้องห้า”
    “นั่นคงเป็นเรื่องยากของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้มีฝีมือสูงส่งดังเช่นพี่ใหญ่ ไม่ได้ชำนาญเรื่องเล่นกับไฟดั่งเช่นพี่รอง ไม่ได้ใจแข็งดั่งเช่นพี่สาม ยิ่งเกลียดเสียงเด็กร้องไห้ยิ่งกว่าอะไร ข้าพเจ้าเพียงชมชอบสตรี ขอเพียงไม่แก่เกินไป ไม่เด็กเกินไป ข้าพเจ้าไม่เกี่ยง เพียงข้าพเจ้าจ้องมองบุตรีของมัน ภรรยาของมัน ภรรยาน้อยของมัน เกรงว่าไม่ถึงอึดใจมันต้องมอบทรัพย์สินออกมาแต่โดยดีแน่”
    ชายทั้ง ๔ อุทานออกมาพร้อมกันทันทีว่า
    “มอบทรัพย์สินแต่โดยดี”
    “ถูกต้อง! ตอนนี้พวกท่านคงเข้าใจความหมายในชื่อที่ข้าพเจ้าตั้งแล้วกระมัง”
    ชายทั้ง ๕ คนหัวเราะออกมาอย่างพออกพอใจ
    “ข้าพเจ้ากลับมีชื่อที่ดีกว่านั้นให้พวกท่าน ไม่ทราบว่าพวกท่านสนใจรับฟังหรือไม่”
    ชายทั้ง ๕ คนหยุดหัวเราะทันที พลางหันไปมองยังต้นเสียงด้วยความตื่นตระหนก
    ห่างออกไป ๔ วา ปรากฏไว้ด้วยบุคคลในเครื่องแต่งกายที่พวกมันรู้จักเป็นอย่างดี
    มือปราบ!
    แต่ที่พวกมันตื่นตระหนกนั้น จริงๆ แล้วสาเหตุมาจากการที่มือปราบผู้นี้สามารถลอบเข้ามาใกล้พวกมันโดยไม่รู้สึกตัว ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่ต่อการที่จะคาดเดาฝีมือของฝ่ายตรงข้ามได้ว่าสูงส่งเพียงใด
    ทั้ง ๕ คนกระชับด้ามดาบในมือแน่น ลอบเกร็งพลังเตรียมต่อสู้กับมือปราบผู้นี้
    “ไม่ทราบว่าท่านมือปราบที่นับถือเตรียมมอบสมญานามอันใดให้พวกเรา”
    แม้แสงจากกองไฟไม่อาจทำให้เห็นใบหน้าของมือปราบผู้นี้ได้อย่างชัดเจน แต่จากเค้าหน้าอันเลือนลางนั้นยังพอคาดเดาได้ว่าใบหน้าหมดจดนั้นกำลังเผยอรอยยิ้มที่มุมปาก
    มือปราบผู้นี้ชี้กระบองสั้น ยาว 4 เซียะ สีดำสนิทไปยังชายทั้ง ๕ ทีละคน
    “สมแล้วกับที่ท่านมีนาม “ไฟไหม้ไม่ลนลาน”  อู่เล่ายี่ (คนที่สอง แซ่อู่) ส่วนท่าน “ฆ่าไม่ละเว้น”    จุยเล่าตั่ว (พี่ใหญ่แซ่จุย), “ไร้ปราณี” ฉือเล่าซา ( คนที่สามแซ่ฉือ), “ไม่ต่อรอง” สีเล่าสี่ (คนที่สี่แซ่สี) สุดท้ายท่าน “ราคะเทียมฟ้า” เมิ่งเล่าโหงว (คนที่ห้าแซ่เมิ่ง) ฉายาของพวกท่านแต่ละคนช่างมีความเป็นมาอันยิ่งใหญ่นัก ไม่ทราบว่านาม “มอบตัวต่อทางการแต่โดยดี” ของข้าพเจ้าพอจะเป็นที่ถูกใจของพวกท่านหรือไม่”
    ฉือเล่าซาหัวร่อฮา ฮา กล่าวว่า
    “ฉายานามนี้ถูกใจข้าพเจ้ายิ่งนัก หากแต่กระดูกนิ้วมือของท่านถูกทุบให้แหลกสักสองสามนิ้ว ข้าพเจ้าต้องการจะทราบว่าวาจาโอหังเหล่านี้ของท่านจะยังมีความสามารถกล่าวออกมาอีกหรือไม่”
    มือปราบผู้นี้ค่อยๆ สืบเท้าเข้ามาหาพวกมันทั้ง ๕ ทีละก้าว จนกระทั่งพวกมันสามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้อย่างชัดเจน
    เมิ่งเล่าโหงวหัวร่อออกมาเป็นคนแรก กล่าวว่า
    “ที่แท้ทางการถึงกลับกลายเป็นตะเกียงขาดน้ำมันไปได้ กลับใช้ให้อิสตรีอันบอบบางนางหนึ่งมาเป็นมือปราบ ไม่ทราบว่าท่านจะมาปราบข้าพเจ้า หรือว่าข้าพเจ้าจะเป็นคนปราบท่านดี”
    มือปราบผู้นี้กลับเป็นสตรีนางหนึ่งปลอมตัวมาจริงๆ
    สีเล่าสี่กล่าวเสริมว่า
    “น้องห้าท่านดูสิ มือปราบนางนี้หน้าตาสะสวยคมคาย เสียอย่างเดียวข้าพเจ้าไม่มั่นใจว่านางจะเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพวกเราหรือไม่  พวกท่านดูสิ ดวงตาสีเขียวคู่นั้น บางทีนางอาจจะเป็นปีศาจจิ้งจอกออกมาล่าเหยื่อก็เป็นได้”
    อู่เล่ายี่หัวเราะฮิฮะ กล่าวว่า
    “ไม่แน่ว่าพอพวกเราเปลื้องผ้านางออก น้องห้าท่านอาจจะเปลี่ยนความคิดก็เป็นได้”
    ทั้ง ๕ คนต่างหัวร่อประสานเสียงอย่างชั่วช้าลามก
    พวกมันทั้ง ๕ กำลังรอโอกาสอันเหมาะสม หากการยั่วยุโทสะของพวกมันบังเกิดผล มือปราบนางนี้จะต้องพ่ายแพ้ในฝีมือของพวกมันเป็นแน่ กับคู่มือเช่นนี้พวกมันย่อมไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
    แต่มือปราบนางนี้เพียงใช้สายตาจับจ้องอย่างเย็นชา กล่าวว่า
    “ข้าพเจ้าขอเตือนพวกท่านเป็นครั้งสุดท้าย ดาบกระบี่ไร้ดวงตา หากต้องประมือกันยากนักที่จะยั้งมือไว้ไมตรี”
    ที่แท้กระบองสั้นสีดำสนิทในมือนางกลับเป็นกระบี่ไร้โกร่งเล่มหนึ่ง
    จุ้ยเล่าตั่าตวาดออกมาว่า
    “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูว่าผู้ใดไร้ไมตรีกว่ากัน ไม่ท่าน ก็เป็นข้าพเจ้า”
    ไม่ทันรอให้มือปราบนางนี้ชักกระบี่ สีเล่าสี่ กับเมิ่งเหล่าโหงวต่างแยกย้ายกันออกจู่โจมซ้ายขวาด้วยเคล็ด หนึ่ง “เขี่ย” หนึ่ง “ตวัด” ประสานกันราวแหฟ้าตาข่ายดิน
    พวกมันคาดว่าด้วยวรยุทธ์ของสตรีนางนี้จะต้องหลบดาบคู่ของพวกมันได้อย่างแน่นอน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ดาบของพี่น้องพวกมันอีก ๓ เล่ม จะเข้าร่วมประสานจู่โจม ไม่ให้นางได้มีเวลาตั้งตัว
    พวกมันแม้ไม่อาจชนะ แต่ไม่แน่ว่าจะต้องพ่ายแพ้เช่นกัน
    แต่สิ่งที่พวกมันคาดคิดไว้กลับเกิดข้อผิดพลาดขึ้น
    หนึ่ง สตรีนางนี้มิได้หลบ
    สอง มันประเมินฝีมือของสตรีนางนี้ต่ำทรามเกินไป
    แสงจากกองไฟสะท้อนกับตัวกระบี่ราวกับสายฟ้าแลบกลางสายฝน กรีดผ่านไปยังร่างของพวกมันทั้งสอง
    พวกมันร้องออกมาอย่างโหยหวน พร้อมกับทรุดตัวลงไปนอนกองกับพื้น ดาบตกอยู่ข้างลำตัว
    สีเล่าสี่ใบหูขาด ๒ ข้าง ร้องครวญครางไปมา ส่วนเมิ่งเล่าโหงวมีเลือดไหลซึมออกมาจากบริเวณใต้ท้องน้อย คาดว่าประสบเคราะห์กรรมหวาดเสียวยิ่งกว่า
    แต่สิ่งที่พวกมันทั้งคู่มีเหมือนกัน คือมือขวาทั้ง ๒ ข้างต่างขาดเสมอข้อมือ
    มิหนำซ้ำมือทั้งสองข้างนั้นยังกำด้ามดาบแน่นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของดาบ!
    เหล่าพี่น้องที่เหลืออยู่ของพวกมันทั้ง ๒ ต่างจ้องมองทั้งคู่จน ๒ ตาเหลือกค้าง พวกมันย่อมไม่เคยพบเห็นกระบี่ที่ฉับไวเช่นนี้มาก่อน
    “หากพวกท่านทั้งสามจะยินยอมติดตามข้าพเจ้ากลับไปยังกรมเมืองแต่โดยดี ข้าพเจ้ารับรองว่ากระบี่ของข้าพเจ้าจะไม่ออกจากฝักเป็นครั้งที่สอง”
    พวกมันทั้ง ๓ ต่างกุมด้ามดาบแน่นกว่าเดิมจนชุ่มไปด้วยเหงื่อ อย่าว่าแต่ตอนชักกระบี่เลย แม้แต่ตอนที่สอดกระบี่คืนฝัก พวกมันยังไม่อาจมองตามทัน
    อู่เล่ายี่กล่าวเสียงสั่นว่า
    “ข้าพเจ้านึกออกแล้ว ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา มีข่าวลือว่ามีดาวมือปราบดวงหนึ่งถือกำเนิดในแถบละแวกนี้ ไม่ว่าคดีใหญ่น้อยแค่ไหนล้วนถูกมันคลี่คลายจัดการได้อย่างหมดจด ที่แท้มือปราบผู้นั้นกลับเป็นท่านนี่เอง เพียงแต่ข้าพเจ้าคล้ายกลับลืมเลือนชื่อของท่านไปบ้าง”
    “นับว่าหูตาของท่านไม่ขาดตกบกพร่องจริงๆ สำหรับชื่อเสียงเรียงนามของข้าพเจ้านั้นไม่ต้องรบกวนท่านจดจำหรอก เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกท่านตัดสินใจมอบตัวต่อทางการแต่โดยดีหรือไม่”
    ฉีเล่าซายิ้มแย้มกล่าวอย่างนอบน้อมถ่อมตนว่า
    “หากพวกเรายอมติดตามท่านมือปราบกลับไปยังกรมการเมืองแต่โดยดี ไม่ทราบว่าความผิดของบุคคลดั่งเช่นพวกเรา ทางการจะมีการจัดการเช่นไร”
    “นั่นย่อมต้องขึ้นกับความหนักเบาที่พวกท่านได้ก่อไว้ แต่พวกท่านไม่ต้องกังวลไป ทางการต้องให้ความเป็นธรรมต่อครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกพวกท่านเข่นฆ่าแน่นอน”
    จุ้ยเล่าตั่าคำรามอย่างบ้าคลั่งเมื่อนึกถึงความผิดที่ตนได้ก่อไว้
    “ท่านบีบบังคับผู้คนมากเกินไปแล้ว”
    ดาบในมือของจุ้ยเล่าตั่าถูกใช้ออกด้วยเคล็ด “ฟาดฟัน” ราวกับพายุคลั่งพัดพาเข้าสู่มือปราบนางนั้น อู่เล่ายี่ กับฉือเล่าซาเองต่างไม่รอช้า หนึ่งใช้ออกด้วยเคล็ด “แทง” หนึ่งใช้ออกด้วยเคล็ด “ปาด” ร่วมประสานก่อเกิดเป็นค่ายกลดาบแขนงหนึ่ง
    หากสีเล่าสี่ กับเมิ่งเล่าโหงวสามารถเข้าร่วมประสานด้วยเคล็ด “ตวัด” และ “เขี่ย” ของพวกมัน ค่ายกลดาบชุดนี้สามารถปิดบังจุดด้อย ส่งเสริมจุดแข็ง ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่าอนุภาพที่แท้จริงของค่ายกลดาบชุดนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าใด
    น่าเสียดายที่สีเล่าสี่ และเมิ่งเล่าโหงว ชั่วชีวิตนี้อย่าได้หวังว่าจะก่อกรรมทำเข็ญได้อีก
    กระบี่ไร้โกร่งในมือขวาของมือปราบนางนี้ถูกชักออกมาอีกครั้ง
    มือปราบนางนี้ถนัดมือซ้าย?
    เสียงติงตังของดาบกระบี่กระทบกันดังไปทั่วบรเวณนั้น
    เหล่าชายฉกรรจ์ทั้ง ๓ มีความรู้สึกว่ามันกำลังรับมือกับมือปราบ ๓ คนหาใช่เป็นมือปราบคนเดียวไม่
    ค่ายกลดาบของพวกมันจะสามารถเปล่งอนุภาพได้ก็ต่อเมื่อมีการตั้งรับสลับการรุกไล่
    แต่พวกมันในตอนนี้ได้แต่เพียงตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียว
    ประกายบุบผากระบี่จากหนึ่งแตกออกเป็น ๓ จากสามแตกออกเป็น ๙ จาก ๙ แตกออกเป็น ๒๗ ทุกกระบี่ที่รุกไล่พวกมันราวกับสายฝนโหมกระหน่ำ มิหนำซ้ำทุกครั้งที่ตัวกระบี่กระทบกับตัวดาบ จะมีลมปรานละเอียดเล็กราวกับเข็มนับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงมาตามตัวดาบจนพวกมันรู้สึกปวดแปลบง่ามมือเป็นอย่างยิ่ง
    มือปราบนางนี้กู่ร้องเสียงแหลมเล็กคราหนึ่ง กระบี่ก็ทิ่มทะลวงผ่านปราการดาบของชายทั้ง ๓ คน ตัดเอ็นข้อมือที่ถือดาบของพวกมันทั้ง ๓ ข้าง จนเสียงดาบตกกระทบพื้นแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน
    ฉือเล่าซาแม้ดาบหลุดจากมือ ยังสามารถทนข่มความเจ็บปวด มือซ้ายถูกใช้ออกด้วยกระบวนท่ากรงเล็บหมายหักกระดูกของมือปราบหญิง
    จุ้ยเล่าตั่าเองก็ไม่ลนลาน กลิ้งตัวไปตามพื้นพร้อมกับใช้มือซ้ายที่เหลือคว้าดาบที่พื้นฟันเลียดไปตามสภาวะการกลิ้งตัว หมายตัดขาอีกข้างของมือปราบหญิง
    ส่วนอู่เล่ายี่เพียงถอยไปด้านหลังหมายหลบหนีออกไปจากสภาพการต่อสู้อันเสียเปรียบครั้งนี้
    มือปราบหญิงเองก็ไม่ชักช้า กระโดดหมุนตัว ศรีษะอยู่ล่างเท้าอยู่บนพร้อมกับฟันกระบี่ออกราวกับสายฟ้ากรีดนภา
    นิ้วมือทั้ง ๕ ของฉือเล่าซาถูกฟันขาด เหลือไว้เพียงฝ่ามือที่ว่างเปล่า ส่วนจุ้ยเล่าตั่าเองก็ไม่ได้โชคดีไปกว่าพี่น้องของมันสักเท่าไหร่ เพราะมือข้างนั้นของมันเองก็ถูกตัดเสมอข้อศอก
    เมื่อเท้าของมือปราบนางนี้สัมผัสกับพื้นอีกครั้ง นางก็พุ่งตัวทะยานตามติดอู่เล่ายี่ท่ามกลางเสียงร้องสุดโหยหวนของพวกโจรทั้ง ๔ที่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น
    อู่เล่ายี่เพียงขยับเท้าได้ ๒ ก้าว ก็ปรากฏว่ามีกระบี่เล่มหนึ่งเปล่งประกายเย็นเยียบจ่ออยู่กับคอหอยของตน
    “ท่านหยุดเท้าให้กับข้าพเจ้าได้หรือไม่ วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทำร้ายผู้คนไปไม่น้อย หากพวกท่านไม่บีบบังคับข้าพเจ้ามากเกินไป พวกท่านอาจไม่ต้องทรมาณเช่นนี้ ท่านยังไม่ได้ให้คำตอบข้าพเจ้า”
    อู่เหล่าเอ้อได้แต่พยักหน้า แล้วโพล่งออกมาว่า
    “ข้าพเจ้านึกออกแล้ว ท่านเรียกว่า “ไคว่เจี้ยน” (กระบี่ไว) อี้ชิงหมิง (ใสกระจ่างแซ่อี้)”
    อี้ชิงหมิงเพียงมองอู่เล่ายี่ด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก กล่าวว่า
    “ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม มือปราบท่านอื่นที่ติดตามพวกท่านอยู่ในละแวกนี้ จะนำพวกท่านกลับไปรับโทษทัณฑ์ยังกรมเมืองเอง พวกท่านจงใช้เวลาที่เหลืออยู่สำนึกเสียใจกับสิ่งที่พวกท่านได้ก่อขึ้นเถอะ”
    อี้ชิงหมิงสอดกระบี่คืนฝัก หันกายทะยานออกไปราวกับนกราตรีตัวใหญ่ โดยกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
    “หากพวกท่านยังคิดหลบหนีอีก ครั้งหน้าข้าพเจ้าจำเป็นต้องตัดขาของพวกท่านออก ดูสิว่าพวกท่านยังจะมีความสามารถในการหลบหนีต่อไปหรือไม่”
    วาจาไม่ทันจบประโยคคนก็หายลับไปกับราตรีอันมืดมิด
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น