ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราอาถรรพ์ ตอนเขี้ยวอัสนี

    ลำดับตอนที่ #1 : มือปราบจำแลง

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 48


    วิกาลดึกสงัดในป่าละเมาะแถบชานเมือง ชายฉกรรจ์ท่าทางเหี้ยมหาญ นั่งล้อมรอบกองไฟ ดื่มสุรา ย่างเนื้อกันอย่างครื้นเครง หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมาว่า



        “ในที่นี้นับว่าน้องสี่ ท่านมีความดีความชอบมากที่สุด ไม่เช่นนั้นสุรามื้อนี้ ไยสามารถดื่มได้อย่างสมใจ”



        “พี่รองท่านกล่าวหนักไปแล้ว แม้ข้าพเจ้าเป็นคนสืบทราบมาได้ว่าเฒ่าหลู่แอบซ่อนเงินไว้จำนวนหนึ่งก็จริง แต่ถ้าไม่ได้ฝีมือการเค้นความลับของพี่สาม ไม่แน่ว่าสุรามื้อนี้จะได้ดื่มเร็วเช่นนี้”



        “ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้องสี่ ท่านไปหัดเลียนแบบวิชาประจบสอพลอของน้องห้าตั้งแต่เมื่อใด น้องห้าท่านต้องระวังตัวไว้ให้มาก หากท่านไม่หมั่นฝึกปรือฝีปากของท่านไว้ ข้าพเจ้าเกรงว่าไม่เกินปีหน้า ตำแหน่งสอพลออันดับหนึ่งของท่านต้องถูกปลิดปลงลงแน่”



        เสียงหัวร่อของชายทั้ง ๕ ดังประสานไปทั่วบริเวณนั้น



        “ฮ่า ฮ่า ฮ่า สมใจ สมใจ ข้าพเจ้าได้เป็นพี่น้องกับพวกท่าน ไม่แน่ว่าหากผลงานของพวกเรายิ่งมายิ่งโด่งดัง อาจได้ขึ้นทำเนียบของผู้เหี้ยมหาญแห่งยุทธภพบ้างก็เป็นได้”



        “ถ้าเป็นดังที่พี่ใหญ่ท่านกล่าวมาจริง ข้าพเจ้าขอรับรองว่าตำแหน่งสอพลออันดับหนึ่งของข้าพเจ้า ไม่มีวันยกให้พี่สี่เป็นแน่”



        เสียงหัวร่อของชายทั้ง ๕ ยิ่งมายิ่งครื้มอกครื้มใจขึ้นเรื่อยๆ



        “ว่าแต่พี่ใหญ่พวกเราเองก็ร่วมปล้นกันมาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่มีชื่อเรียกขานสักที พวกท่านมีความเห็นเช่นไรหากข้าพเจ้าจะเสนอชื่อขึ้นมาสักชื่อหนึ่ง”



        “ข้าพเจ้าเองก็เห็นด้วยกับพี่รอง เพียงแต่การศึกษาของข้าพเจ้านั้นไม่อาจเทียบกับพี่รองท่านได้ ไม่ทราบว่านามอันสูงส่งที่ท่านคิดไว้เรียกหาว่าอะไร ผู้น้องล้างหูเตรียมรับฟังอยู่”



        ชายทั้ง ๔ อดหัวร่อด้วยความชอบอกชอบใจไม่ได้



        “ “มอบทรัพย์สินแต่โดยดี” พวกท่านมีความเห็นกับชื่อนี้อย่างไร”



        ชายทั้ง ๔ คนมีสีหน้าครุ่นคิด บ้างเอามือกุมขมับ บ้างหัวคิ้วขมวดกันยุ่งเหยิง บ้างใช้มือลูบหนวดเคราไปมา



        “น้องรอง ท่านอธิบายมาเถอะ ข้าพเจ้าครุ่นคิดจนปวดศรีษะไปหมดแล้ว ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่า “มอบทรัพย์สินแต่โดยดี” ของท่านจะฟังดูน่าเกรงขามเทียบเท่ากับสมญานามของผู้กล้าหาญท่านอื่นที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมา”



        “นั้นสิพี่รอง ข้าพเจ้าเองก็เห็นด้วยกับพี่ใหญ่”



        แม้แต่ชายอีก ๒ คนที่เหลือก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย



        “ย่อมได้ หากพวกท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเเฉลย ข้าพเจ้าขอถามพวกท่านคนละหนึ่งคำถามได้หรือไม่”



        ชายทั้ง ๔ คนพยักหน้าเป็นคำตอบ



        “พี่ใหญ่ ถ้าเจ้าทรัพย์ต่อสู้ขัดขืนขึ้นมา ท่านจะทำเช่นไร”



        “ข้าพเจ้าย่อมต้องฆ่ามัน คนตายไม่อาจต่อสู้ขัดขืนคนเป็นได้”



        “ถูกแล้ว น้องสาม ถ้าเจ้าทรัพย์ของท่านไม่ยอมปริปากบอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติแก่ท่าน ท่านจะทำเช่นไร”



        “นั้นง่ายมาก ขั้นตอนแรกข้าพเจ้าจะซ้อมมันซักสองสามหมัดก่อน หากมันยังดื้อด้านข้าพเจ้าจะถอดเล็บมันออกมาทีละเล็บ หากมันยังทนได้ข้าพเจ้าจะลอกแผ่นหนังมันออกมาสักผืน จากนั้นใช้น้ำเกลือราดบาดแผลมัน แต่จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า เพียงดึงเล็บเท้าที่สองออกมา คร้านมันจะบอกถึงที่ซ่อนของบรรพบุรุษมันออกมา”



        “นั่นก็ถูกอีก น้องสี่ถ้าเป็นท่านล่ะ ท่านจะทำยังไงถึงจะเรียกทรัพย์สินอย่างเจ้าทรัพย์ได้”



        “หากเป็นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจับตัวบุตรหลานที่มันรักที่สุดเอาไว้ จากนั้นข้าพเจ้าจะตั้งราคาที่ข้าพเจ้าพอใจจะขาย ถ้ามันชักช้า มันจะได้เห็นใบหูของคนในมือข้าพเจ้าข้างหนึ่ง หลังจากนั้นข้าพเจ้าจะโก่งราคาขึ้นไปอีก ถ้ามันยังต่อรองกับข้าพเจ้าอีก มือข้างหนึ่งจะเป็นชิ้นส่วนชิ้นต่อไปที่ข้าพเจ้าจะจัดส่งไปให้มัน”



        “แล้วท่านล่ะ น้องห้า”



        “นั่นคงเป็นเรื่องยากของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้มีฝีมือสูงส่งดังเช่นพี่ใหญ่ ไม่ได้ชำนาญเรื่องเล่นกับไฟดั่งเช่นพี่รอง ไม่ได้ใจแข็งดั่งเช่นพี่สาม ยิ่งเกลียดเสียงเด็กร้องไห้ยิ่งกว่าอะไร ข้าพเจ้าเพียงชมชอบสตรี ขอเพียงไม่แก่เกินไป ไม่เด็กเกินไป ข้าพเจ้าไม่เกี่ยง เพียงข้าพเจ้าจ้องมองบุตรีของมัน ภรรยาของมัน ภรรยาน้อยของมัน เกรงว่าไม่ถึงอึดใจมันต้องมอบทรัพย์สินออกมาแต่โดยดีแน่”



        ชายทั้ง ๔ อุทานออกมาพร้อมกันทันทีว่า



        “มอบทรัพย์สินแต่โดยดี”



        “ถูกต้อง! ตอนนี้พวกท่านคงเข้าใจความหมายในชื่อที่ข้าพเจ้าตั้งแล้วกระมัง”



        ชายทั้ง ๕ คนหัวเราะออกมาอย่างพออกพอใจ



        “ข้าพเจ้ากลับมีชื่อที่ดีกว่านั้นให้พวกท่าน ไม่ทราบว่าพวกท่านสนใจรับฟังหรือไม่”



        ชายทั้ง ๕ คนหยุดหัวเราะทันที พลางหันไปมองยังต้นเสียงด้วยความตื่นตระหนก



        ห่างออกไป ๔ วา ปรากฏไว้ด้วยบุคคลในเครื่องแต่งกายที่พวกมันรู้จักเป็นอย่างดี



        มือปราบ!



        แต่ที่พวกมันตื่นตระหนกนั้น จริงๆ แล้วสาเหตุมาจากการที่มือปราบผู้นี้สามารถลอบเข้ามาใกล้พวกมันโดยไม่รู้สึกตัว ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่ต่อการที่จะคาดเดาฝีมือของฝ่ายตรงข้ามได้ว่าสูงส่งเพียงใด



        ทั้ง ๕ คนกระชับด้ามดาบในมือแน่น ลอบเกร็งพลังเตรียมต่อสู้กับมือปราบผู้นี้



        “ไม่ทราบว่าท่านมือปราบที่นับถือเตรียมมอบสมญานามอันใดให้พวกเรา”



        แม้แสงจากกองไฟไม่อาจทำให้เห็นใบหน้าของมือปราบผู้นี้ได้อย่างชัดเจน แต่จากเค้าหน้าอันเลือนลางนั้นยังพอคาดเดาได้ว่าใบหน้าหมดจดนั้นกำลังเผยอรอยยิ้มที่มุมปาก



        มือปราบผู้นี้ชี้กระบองสั้น ยาว 4 เซียะ สีดำสนิทไปยังชายทั้ง ๕ ทีละคน



        “สมแล้วกับที่ท่านมีนาม “ไฟไหม้ไม่ลนลาน”  อู่เล่ายี่ (คนที่สอง แซ่อู่) ส่วนท่าน “ฆ่าไม่ละเว้น”     จุยเล่าตั่ว (พี่ใหญ่แซ่จุย), “ไร้ปราณี” ฉือเล่าซา ( คนที่สามแซ่ฉือ), “ไม่ต่อรอง” สีเล่าสี่ (คนที่สี่แซ่สี) สุดท้ายท่าน “ราคะเทียมฟ้า” เมิ่งเล่าโหงว (คนที่ห้าแซ่เมิ่ง) ฉายาของพวกท่านแต่ละคนช่างมีความเป็นมาอันยิ่งใหญ่นัก ไม่ทราบว่านาม “มอบตัวต่อทางการแต่โดยดี” ของข้าพเจ้าพอจะเป็นที่ถูกใจของพวกท่านหรือไม่”



        ฉือเล่าซาหัวร่อฮา ฮา กล่าวว่า



        “ฉายานามนี้ถูกใจข้าพเจ้ายิ่งนัก หากแต่กระดูกนิ้วมือของท่านถูกทุบให้แหลกสักสองสามนิ้ว ข้าพเจ้าต้องการจะทราบว่าวาจาโอหังเหล่านี้ของท่านจะยังมีความสามารถกล่าวออกมาอีกหรือไม่”



        มือปราบผู้นี้ค่อยๆ สืบเท้าเข้ามาหาพวกมันทั้ง ๕ ทีละก้าว จนกระทั่งพวกมันสามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้อย่างชัดเจน



        เมิ่งเล่าโหงวหัวร่อออกมาเป็นคนแรก กล่าวว่า



        “ที่แท้ทางการถึงกลับกลายเป็นตะเกียงขาดน้ำมันไปได้ กลับใช้ให้อิสตรีอันบอบบางนางหนึ่งมาเป็นมือปราบ ไม่ทราบว่าท่านจะมาปราบข้าพเจ้า หรือว่าข้าพเจ้าจะเป็นคนปราบท่านดี”



        มือปราบผู้นี้กลับเป็นสตรีนางหนึ่งปลอมตัวมาจริงๆ



        สีเล่าสี่กล่าวเสริมว่า



        “น้องห้าท่านดูสิ มือปราบนางนี้หน้าตาสะสวยคมคาย เสียอย่างเดียวข้าพเจ้าไม่มั่นใจว่านางจะเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพวกเราหรือไม่  พวกท่านดูสิ ดวงตาสีเขียวคู่นั้น บางทีนางอาจจะเป็นปีศาจจิ้งจอกออกมาล่าเหยื่อก็เป็นได้”



        อู่เล่ายี่หัวเราะฮิฮะ กล่าวว่า



        “ไม่แน่ว่าพอพวกเราเปลื้องผ้านางออก น้องห้าท่านอาจจะเปลี่ยนความคิดก็เป็นได้”



        ทั้ง ๕ คนต่างหัวร่อประสานเสียงอย่างชั่วช้าลามก



        พวกมันทั้ง ๕ กำลังรอโอกาสอันเหมาะสม หากการยั่วยุโทสะของพวกมันบังเกิดผล มือปราบนางนี้จะต้องพ่ายแพ้ในฝีมือของพวกมันเป็นแน่ กับคู่มือเช่นนี้พวกมันย่อมไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย



        แต่มือปราบนางนี้เพียงใช้สายตาจับจ้องอย่างเย็นชา กล่าวว่า



        “ข้าพเจ้าขอเตือนพวกท่านเป็นครั้งสุดท้าย ดาบกระบี่ไร้ดวงตา หากต้องประมือกันยากนักที่จะยั้งมือไว้ไมตรี”



        ที่แท้กระบองสั้นสีดำสนิทในมือนางกลับเป็นกระบี่ไร้โกร่งเล่มหนึ่ง



        จุ้ยเล่าตั่าตวาดออกมาว่า



        “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูว่าผู้ใดไร้ไมตรีกว่ากัน ไม่ท่าน ก็เป็นข้าพเจ้า”



        ไม่ทันรอให้มือปราบนางนี้ชักกระบี่ สีเล่าสี่ กับเมิ่งเหล่าโหงวต่างแยกย้ายกันออกจู่โจมซ้ายขวาด้วยเคล็ด หนึ่ง “เขี่ย” หนึ่ง “ตวัด” ประสานกันราวแหฟ้าตาข่ายดิน



        พวกมันคาดว่าด้วยวรยุทธ์ของสตรีนางนี้จะต้องหลบดาบคู่ของพวกมันได้อย่างแน่นอน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ดาบของพี่น้องพวกมันอีก ๓ เล่ม จะเข้าร่วมประสานจู่โจม ไม่ให้นางได้มีเวลาตั้งตัว



        พวกมันแม้ไม่อาจชนะ แต่ไม่แน่ว่าจะต้องพ่ายแพ้เช่นกัน



        แต่สิ่งที่พวกมันคาดคิดไว้กลับเกิดข้อผิดพลาดขึ้น



        หนึ่ง สตรีนางนี้มิได้หลบ



        สอง มันประเมินฝีมือของสตรีนางนี้ต่ำทรามเกินไป



        แสงจากกองไฟสะท้อนกับตัวกระบี่ราวกับสายฟ้าแลบกลางสายฝน กรีดผ่านไปยังร่างของพวกมันทั้งสอง



        พวกมันร้องออกมาอย่างโหยหวน พร้อมกับทรุดตัวลงไปนอนกองกับพื้น ดาบตกอยู่ข้างลำตัว



        สีเล่าสี่ใบหูขาด ๒ ข้าง ร้องครวญครางไปมา ส่วนเมิ่งเล่าโหงวมีเลือดไหลซึมออกมาจากบริเวณใต้ท้องน้อย คาดว่าประสบเคราะห์กรรมหวาดเสียวยิ่งกว่า



        แต่สิ่งที่พวกมันทั้งคู่มีเหมือนกัน คือมือขวาทั้ง ๒ ข้างต่างขาดเสมอข้อมือ



        มิหนำซ้ำมือทั้งสองข้างนั้นยังกำด้ามดาบแน่นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของดาบ!



        เหล่าพี่น้องที่เหลืออยู่ของพวกมันทั้ง ๒ ต่างจ้องมองทั้งคู่จน ๒ ตาเหลือกค้าง พวกมันย่อมไม่เคยพบเห็นกระบี่ที่ฉับไวเช่นนี้มาก่อน



        “หากพวกท่านทั้งสามจะยินยอมติดตามข้าพเจ้ากลับไปยังกรมเมืองแต่โดยดี ข้าพเจ้ารับรองว่ากระบี่ของข้าพเจ้าจะไม่ออกจากฝักเป็นครั้งที่สอง”



        พวกมันทั้ง ๓ ต่างกุมด้ามดาบแน่นกว่าเดิมจนชุ่มไปด้วยเหงื่อ อย่าว่าแต่ตอนชักกระบี่เลย แม้แต่ตอนที่สอดกระบี่คืนฝัก พวกมันยังไม่อาจมองตามทัน



        อู่เล่ายี่กล่าวเสียงสั่นว่า



        “ข้าพเจ้านึกออกแล้ว ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา มีข่าวลือว่ามีดาวมือปราบดวงหนึ่งถือกำเนิดในแถบละแวกนี้ ไม่ว่าคดีใหญ่น้อยแค่ไหนล้วนถูกมันคลี่คลายจัดการได้อย่างหมดจด ที่แท้มือปราบผู้นั้นกลับเป็นท่านนี่เอง เพียงแต่ข้าพเจ้าคล้ายกลับลืมเลือนชื่อของท่านไปบ้าง”



        “นับว่าหูตาของท่านไม่ขาดตกบกพร่องจริงๆ สำหรับชื่อเสียงเรียงนามของข้าพเจ้านั้นไม่ต้องรบกวนท่านจดจำหรอก เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกท่านตัดสินใจมอบตัวต่อทางการแต่โดยดีหรือไม่”



        ฉีเล่าซายิ้มแย้มกล่าวอย่างนอบน้อมถ่อมตนว่า



        “หากพวกเรายอมติดตามท่านมือปราบกลับไปยังกรมการเมืองแต่โดยดี ไม่ทราบว่าความผิดของบุคคลดั่งเช่นพวกเรา ทางการจะมีการจัดการเช่นไร”



        “นั่นย่อมต้องขึ้นกับความหนักเบาที่พวกท่านได้ก่อไว้ แต่พวกท่านไม่ต้องกังวลไป ทางการต้องให้ความเป็นธรรมต่อครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกพวกท่านเข่นฆ่าแน่นอน”



        จุ้ยเล่าตั่าคำรามอย่างบ้าคลั่งเมื่อนึกถึงความผิดที่ตนได้ก่อไว้



        “ท่านบีบบังคับผู้คนมากเกินไปแล้ว”



        ดาบในมือของจุ้ยเล่าตั่าถูกใช้ออกด้วยเคล็ด “ฟาดฟัน” ราวกับพายุคลั่งพัดพาเข้าสู่มือปราบนางนั้น อู่เล่ายี่ กับฉือเล่าซาเองต่างไม่รอช้า หนึ่งใช้ออกด้วยเคล็ด “แทง” หนึ่งใช้ออกด้วยเคล็ด “ปาด” ร่วมประสานก่อเกิดเป็นค่ายกลดาบแขนงหนึ่ง



        หากสีเล่าสี่ กับเมิ่งเล่าโหงวสามารถเข้าร่วมประสานด้วยเคล็ด “ตวัด” และ “เขี่ย” ของพวกมัน ค่ายกลดาบชุดนี้สามารถปิดบังจุดด้อย ส่งเสริมจุดแข็ง ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่าอนุภาพที่แท้จริงของค่ายกลดาบชุดนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าใด



        น่าเสียดายที่สีเล่าสี่ และเมิ่งเล่าโหงว ชั่วชีวิตนี้อย่าได้หวังว่าจะก่อกรรมทำเข็ญได้อีก



        กระบี่ไร้โกร่งในมือขวาของมือปราบนางนี้ถูกชักออกมาอีกครั้ง



        มือปราบนางนี้ถนัดมือซ้าย?



        เสียงติงตังของดาบกระบี่กระทบกันดังไปทั่วบรเวณนั้น



        เหล่าชายฉกรรจ์ทั้ง ๓ มีความรู้สึกว่ามันกำลังรับมือกับมือปราบ ๓ คนหาใช่เป็นมือปราบคนเดียวไม่



        ค่ายกลดาบของพวกมันจะสามารถเปล่งอนุภาพได้ก็ต่อเมื่อมีการตั้งรับสลับการรุกไล่



        แต่พวกมันในตอนนี้ได้แต่เพียงตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียว



        ประกายบุบผากระบี่จากหนึ่งแตกออกเป็น ๓ จากสามแตกออกเป็น ๙ จาก ๙ แตกออกเป็น ๒๗ ทุกกระบี่ที่รุกไล่พวกมันราวกับสายฝนโหมกระหน่ำ มิหนำซ้ำทุกครั้งที่ตัวกระบี่กระทบกับตัวดาบ จะมีลมปรานละเอียดเล็กราวกับเข็มนับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงมาตามตัวดาบจนพวกมันรู้สึกปวดแปลบง่ามมือเป็นอย่างยิ่ง



        มือปราบนางนี้กู่ร้องเสียงแหลมเล็กคราหนึ่ง กระบี่ก็ทิ่มทะลวงผ่านปราการดาบของชายทั้ง ๓ คน ตัดเอ็นข้อมือที่ถือดาบของพวกมันทั้ง ๓ ข้าง จนเสียงดาบตกกระทบพื้นแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน



        ฉือเล่าซาแม้ดาบหลุดจากมือ ยังสามารถทนข่มความเจ็บปวด มือซ้ายถูกใช้ออกด้วยกระบวนท่ากรงเล็บหมายหักกระดูกของมือปราบหญิง



        จุ้ยเล่าตั่าเองก็ไม่ลนลาน กลิ้งตัวไปตามพื้นพร้อมกับใช้มือซ้ายที่เหลือคว้าดาบที่พื้นฟันเลียดไปตามสภาวะการกลิ้งตัว หมายตัดขาอีกข้างของมือปราบหญิง



        ส่วนอู่เล่ายี่เพียงถอยไปด้านหลังหมายหลบหนีออกไปจากสภาพการต่อสู้อันเสียเปรียบครั้งนี้



        มือปราบหญิงเองก็ไม่ชักช้า กระโดดหมุนตัว ศรีษะอยู่ล่างเท้าอยู่บนพร้อมกับฟันกระบี่ออกราวกับสายฟ้ากรีดนภา



        นิ้วมือทั้ง ๕ ของฉือเล่าซาถูกฟันขาด เหลือไว้เพียงฝ่ามือที่ว่างเปล่า ส่วนจุ้ยเล่าตั่าเองก็ไม่ได้โชคดีไปกว่าพี่น้องของมันสักเท่าไหร่ เพราะมือข้างนั้นของมันเองก็ถูกตัดเสมอข้อศอก



        เมื่อเท้าของมือปราบนางนี้สัมผัสกับพื้นอีกครั้ง นางก็พุ่งตัวทะยานตามติดอู่เล่ายี่ท่ามกลางเสียงร้องสุดโหยหวนของพวกโจรทั้ง ๔ที่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น



        อู่เล่ายี่เพียงขยับเท้าได้ ๒ ก้าว ก็ปรากฏว่ามีกระบี่เล่มหนึ่งเปล่งประกายเย็นเยียบจ่ออยู่กับคอหอยของตน



        “ท่านหยุดเท้าให้กับข้าพเจ้าได้หรือไม่ วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทำร้ายผู้คนไปไม่น้อย หากพวกท่านไม่บีบบังคับข้าพเจ้ามากเกินไป พวกท่านอาจไม่ต้องทรมาณเช่นนี้ ท่านยังไม่ได้ให้คำตอบข้าพเจ้า”



        อู่เหล่าเอ้อได้แต่พยักหน้า แล้วโพล่งออกมาว่า



        “ข้าพเจ้านึกออกแล้ว ท่านเรียกว่า “ไคว่เจี้ยน” (กระบี่ไว) อี้ชิงหมิง (ใสกระจ่างแซ่อี้)”



        อี้ชิงหมิงเพียงมองอู่เล่ายี่ด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก กล่าวว่า



        “ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม มือปราบท่านอื่นที่ติดตามพวกท่านอยู่ในละแวกนี้ จะนำพวกท่านกลับไปรับโทษทัณฑ์ยังกรมเมืองเอง พวกท่านจงใช้เวลาที่เหลืออยู่สำนึกเสียใจกับสิ่งที่พวกท่านได้ก่อขึ้นเถอะ”



        อี้ชิงหมิงสอดกระบี่คืนฝัก หันกายทะยานออกไปราวกับนกราตรีตัวใหญ่ โดยกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า



        “หากพวกท่านยังคิดหลบหนีอีก ครั้งหน้าข้าพเจ้าจำเป็นต้องตัดขาของพวกท่านออก ดูสิว่าพวกท่านยังจะมีความสามารถในการหลบหนีต่อไปหรือไม่”



        วาจาไม่ทันจบประโยคคนก็หายลับไปกับราตรีอันมืดมิด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×