คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : การร่ำสุราใต้แสงจันทร์ คือสิ่งที่คนเราควรทำสักครั้งหนึ่งในชีวิต
สตรีร่างสูงโปร่งในชุดกิโมโนเนื้อดีเดินนำชายสองคนเข้ามาในห้องกว้างแบบญี่ปุ่น แสงเทียนสีเหลืองอมส้มบนโต๊ะเตี้ยกลางห้องส่องวูบไหวท่ามกลางความมืดสลัว สะท้อนเส้นผมสีเงินเป็นประกายประหลาด ยิ่งมีคนหัวเงินเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งหัว ฮิจิคาตะก็ยิ่งรู้สึกแสบตาพิลึก ทั้งที่มันก็ไม่ได้ขึ้นเงาขนาดจะทำให้แสบตาได้จริงๆสักหน่อย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกราวกับว่าสองคนนั้นสามารถปล่อยลำแสงจากเส้นผมมาสู้กันได้ก็ไม่ปาน
ท่านรองสะบัดหัวแรงๆไล่จินตนาการบ้าๆบอๆออกจากสมอง ก่อนที่ฟิคเรื่องนี้จะเปลี่ยนแนวจากYไปสู่ความเสื่อมเหมือนเนื้อเรื่องหลัก
มาม่าซังทรุดร่างลงบนเสื่อทาทามิ ก่อนเลื่อนบานประตูปิดแผ่วเบา นางหันหน้ามายังแขกสองคน คนหนึ่งมาที่นี่แล้ว และเพิ่งกลับไป ส่วนอีกคนมาเป็นครั้งแรก
...ผู้ชายคนนี้เองสินะ...
หญิงสาวยิ้มน้อยๆให้อย่างเป็นมิตร แต่กินโทกิกลับรู้สึกถึงเลศนัยบางอย่างที่ชวนให้กระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก
จะไม่ให้เขารู้สึกแบบนั้นได้ยังไงกัน พอหมอนี่ลากเขาเข้ามาในหอคณิกาแห่งนี้ ทั้งที่ไม่ได้เลือกสาวๆสักคนมาบริการ ไม่ทันได้เอ่ยปากถึงสาเหตุที่เดินเข้ามาที่นี่เลยสักคำ เพียงแค่มาม่าซังเห็นฮิจิคาตะ แล้วก็เบนสายตามามองเขา นางก็ดูเหมือนจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นจึงพามาที่นี่โดยไม่มีคำถามอะไรเลย
เหมือนรู้อยู่แล้ว เหมือนรู้ว่าเขามาที่นี่ทำไม ทั้งที่เธอไม่น่าจะรู้ ถ้าไม่มีใครเล่า....
คุณกินหันขวับกลับไปมองท่านรองทันที
แต่ฮิจิคาตะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คุณกินเส้นเลือดปูดน้อยๆ พลางข่มความหงุดหงิดก่อนที่จะเผลอวีนแตกต่อหน้าสาวเจ้าให้ได้ขายขี้หน้า
...ไหนบอกจะไม่เล่าไง นี่พูดไปแล้วสินะ พูดไปหมดเปลือกเลยใช่มั้ยไอ้บ้าเอ๊ยยย!!...
“วางใจได้เลยค่ะ หอคณิกาแห่งนี้มีกฎรักษาความลับของลูกค้าทุกคน ใครฝ่าฝืนดิฉันจะลงโทษให้หนัก”
มาม่าซังกล่าวหนักแน่น ดวงตาคมกริบฉายชัดว่าไม่ได้ล้อเล่น
“ที่นี่เก็บงำความลับมากมายเจ้าค่ะ ทุกคนที่มาต่างมาพร้อมกับความลับเสมอ หลายๆความลับเป็นอันตรายต่อประเทศด้วยซ้ำไป พวกเราเคยชินกับการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เจ้าค่ะ สอดรู้มาก ปากเปราะมาก จะเป็นภัยต่อความอยู่รอดของพวกเราเอง” หญิงสาวสบตากินโทกิเล็กน้อย ก่อนเอ่ยประโยคถัดมาซึ่งแทบจะทำให้เขากระอักเลือด
“เพราะฉะนั้น ความลับธรรมดาๆประเภทใครนิยมไม้ป่าเดียวกันกับใคร พวกเราไม่ใส่ใจหรอกเจ้าค่ะ”
ทว่าเธอกลับไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าปุเลี่ยนๆของลูกค้าหัวขาวเลยสักนิด ปากยังเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเปื่อย
“บางคนมาพิสดารกว่านี้อีกเจ้าค่ะ ชายสอง หญิงหนึ่ง แล้วเรียกเด็กสาวเข้าไปบริการอีกสองคน โดยที่ทั้งหมดนั่นใช้ห้องเดียวกัน......”
...บอกทำไมครับเจ๊ ผมไม่ได้อยากรู้ครับ ไม่ได้อยากรู้เลย...
หลังจากนั้นไม่นาน มาม่าซังก็กล่าวราตรีสวัสดิ์ ก่อนจากไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งไว้เพียงเสียงงับบานประตูปิดสนิทตามหลัง และคำพูดสุดท้ายที่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของทั้งสองคน
“มาที่นี่ได้ทุกเมื่อที่คุณท่านต้องการนะเจ้าคะ ดิฉันจะคิดราคาพิเศษให้ในฐานะเพื่อน”
...มาที่นี่ได้ทุกครั้งที่ต้องการ...
...งั้นเรอะ!...
ในที่สุดมันก็มาถึงช่วงเวลาแบบนี้จนได้ ทั้งที่เป็นฝ่ายชวนมาเองแท้ๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆคุณพระเอกของเรา กลับทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง จึงเอาแต่นั่งนิ่งงันเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหินซะงั้น
และเมื่อเหลือบตาไปดูไอ้คนนั่งข้างๆ ก็พบว่ามันมีอาการไม่ต่างอะไรกับเขาเลยสักนิด ไอ้ที่คิดอยากจะทำก่อนหน้านี้ อยู่ๆก็หายแว้บไปดื้อๆ
ฮิจิคาตะหันมามองหน้าเขาช้าๆด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนผิดปกติ ก่อนจะพยายามเอ่ยปากทำลายความเงียบ
“สาเกสักหน่อยเหอะ...”
สั้นๆ ง่ายๆ ฮิจิคาตะเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงเหมือนกัน อยู่ๆจะให้ลุกขึ้นมาแก้ผ้าแล้วทำกันเลยมันก็....
...อ๊ากกกกก! ตรูทำไม่ลงหรอกเฟ้ย!!!...
แต่ไหนๆเรื่องมันก็เลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว วันนั้นที่เขาทำได้ก็เพราะเมา ถ้าหากวันนี้เขาเมาเหมือนวันนั้น อะไรๆมันก็คงง่ายขึ้นใช่มั้ย
...แล้วทำไมตูต้องอยากให้มันง่ายด้วยล่ะโว้ย นี่ตูกำลังทำอะไรอยู่วะเนี่ย ตูกำลังจะยอมนอนกับผู้ชายด้วยความเต็มใจงั้นเหรอ ไม่นะ! นี่ตูกำลังทำบ้าอะไร๊!!...
“เออ ก็ดีนะ” กินโทกิเลื่อนมือไปหยิบจอก ก่อนรินเหล้าลงไปช้าๆ ลมพัดผ่านช่องหน้าต่างเปิดอ้าเข้ามาวูบหนึ่ง หอบเอากลิ่นหอมของอะไรบางอย่างเข้ามาด้วย
มือใหญ่หนาส่งจอกเหล้าให้กับอีกฝ่ายที่รับไว้แต่โดยดี
หมอนี่เป็นผู้ชาย แน่ล่ะ...เรื่องนั้นใครๆก็รู้ มันเป็นซามูไรไร้นาย เป็นอดีตนักรบที่ตอนนี้ใช้ชีวิตอิสรเสรี เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและความทระนง ไม่ได้อ่อนหวาน บอบบางน่ารักเหมือนผู้หญิง ไม่มีอะไรเหมือนผู้หญิงเลย
ใช่...ผู้หญิงเป็นสิ่งหอมหวานสำหรับเขาเสมอ
แต่กับชายคนนี้ เขาก็ไม่รู้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกว่ามันมีแรงดึงดูดมากมายจนเขาไม่อาจละสายตา
บางทีมันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศเลยก็เป็นได้
รสแปร่งของสาเกผ่านปลายลิ้นสู่ลำคอ ส่งความร้อนวาบไปทั่วร่างกาย
“โอ้! เหล้าของที่นี่ยอดไปเลยแฮะ”
กินโทกิอุทานอย่างชื่นชม พอมีเหล้าแล้วก็ดูจะสบายใจขึ้นมาหน่อยๆ เขาเทสาเกให้ตัวเองอีกจอกหนึ่ง
“ว่าแต่ที่นี่เนี่ย บรรยากาศดีจริงๆแฮะ ดูนั่นสิ”
ดวงจันทร์กลมเกลี้ยงส่องแสงสีเงินอย่างอ่อนโยนอยู่บนฟ้าสีดำ เป็นความงามที่สงบ เรียบง่ายท่ามกลางแสงไฟราตรีในเมืองใหญ่ ไม่ได้โดดเด่น แต่มั่นคงที่จะส่องแสงอยู่ในที่ของมันเสมอ
“สวยจริงๆ” ดวงตาสีแดงเข้มจับจ้องพระจันทร์บนฟ้า แต่ดวงตาสีดำจับจ้องที่ดวงตาของคนที่กำลังมองพระจันทร์
“อืม...ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงขึ้นชื่อนัก บรรยากาศแบบนี้ ห้องสวยๆแบบนี้ ต่อให้ตอนแรกไม่ได้อยากติ๊ดชึ่งๆกัน แต่พออยู่สองต่อสองแล้วก็คงเผลอไปจนได้นั่นแหละ ฮ่ะๆๆ.....” เสียงหัวเราะขาดช่วงไปเมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังมองเขาอยู่ด้วยสายตาแบบไหน
“อะ...เอ่อ...จะ...จะ...เริ่มกันเลยไหม?”
คำถามที่ถึงแม้จะตะกุกตะกักแต่ก็ตรงอย่างไม่น่าเชื่อ ทำเอาคุณกินทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
...มันไม่ใช่อ่ะ มันไม่ใช่ ความรู้สึกแบบนี้มันไม่เหมือนกำลังอยู่กะไอ้บ้ามายองเนสเลยสักนิด ทำไมไม่หาเรื่องกันเลยล่ะเหวย ชวนทะเลาะสักเรื่องก่อนเด้! มาดแบบนี้ของแกเห็นแล้วขนลุกโว้ย...
“ขะ...ขอเวลาบิวด์หน่อยสิ”
เมาอีกสักนิด จะได้หน้าด้านขึ้นอีกหน่อย และจะได้มีข้ออ้างเวลาหน้ามันเกิดจะแดงแป๊ดขึ้นมา
“งั้นคุยอะไรกันหน่อยไหม” รองปีศาจบอก อย่างหวังจะหาเรื่องทำลายความอึดอัดที่พร้อมจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขากับมันไม่มีอะไรกัดกัน
“ก็คุยอยู่นี่ไง เรื่องเหล้า กับพระจันทร์” คุณกินแถไปอย่างรวดเร็ว “แกไม่รู้หรือไงว่าโอกาสแบบนี้มันหาไม่ได้ง่ายๆนาเหวย เหล้าใต้แสงจันทร์น่ะมันให้อารมณ์ที่สุดยอดจริงๆ”
ฮิจิคาตะไม่ตอบ เขาเพียงแค่ยกจอกเหล้าขึ้นมาจิบ เริ่มรู้สึกมึนๆขึ้นมาบ้างแล้ว
“แกเป็นคนชวนมาเองนะ” เขาเอ่ยฟื้นความจำ เผื่อใครบางคนจะมั่วนิ่มเลยเถิด
เท่านั้นแหละ คุณกินถึงกับปึ๊ด
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง แก้ผ้าแล้วเข้าไปกอดแกหรือไง เร่งอยู่ได้ไอ้เบื๊อกเอ๊ย! ขอเวลาทำใจหน่อยสิฟะ”
แน่นอนว่าคุณฮิจิคาตะสวนกลับทันทีอย่างรู้ทางมวย
“ใครอยากเร่งใครไม่ทราบ! แกน่ะชวนมาเองแล้วยังจะมัวพล่ามเรื่องฟ้าฝนอะไรอยู่ได้ มันอึดอัดนะโว้ยเจ้าบ้า!!!”
“..............................................................”
“...................................................................................................................”
ปล่อยหมัดใส่กันคนละดอก ก่อนน็อกเอาท์พร้อมกันทั้งคู่
สิ้นเสียงตวาด ทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบ แทรกด้วยเสียงหอบหายใจเป็นระยะ ต่างคนต่างหันหน้าออกไปคนละทาง จนกระทั่ง...
“จูบ ได้ไหม?”
เสียงอ่อนๆของรองปีศาจเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน กินโทกิเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง หันขวับกลับไปมองหน้าคู่อริ แต่แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เมื่อนัยน์ตาดุดันคู่นั้นจ้องตอบกลับมาที่ตัวเองแน่นิ่ง
ลมพัดมาอีกระลอกหนึ่ง แสงเทียนริบหรี่ดับวูบลง ตามด้วยกลิ่นควันหอมจางๆชั่วครู่ เหลือเพียงแสงจันทร์ฤดูร้อนที่ยังคงส่องสว่างทาบทับผืนเสื่อทาทามิ
“ได้สิ”
กินโทกิได้ยินตัวเองตอบกลับไปเช่นนั้น
แม้จะมองไม่ค่อยเห็นอะไร แต่เขาก็รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสว่า ร่างตรงหน้านั้นขยับเข้ามาใกล้ นิ้วเรียวยาวนั้นยกขึ้นมาแตะข้างแก้มอย่างเบามือ จมูกได้กลิ่นสาเกที่ปะปนมากับลมหายใจอุ่นระเรี่ยใบหน้า ไอร้อนของร่างกายที่ชิดกันเข้ามาเรื่อยๆ เขาเคยตั้งคำถามว่าทำไมเวลาคนเราจูบกันจะต้องหลับตา แต่ก็ไม่เคยหาคำตอบให้คำถามนั้น
...จนกระทั่งเปลือกตาเขาค่อยๆปิดลงช้าๆ...
สัมผัสอ่อนนุ่มบนริมฝีปากเริ่มกดทับแรงขึ้น หัวใจเต้นถี่กระชั้นจนเสียงของมันดังก้องอยู่ในหู ร่างในชุดยูคาตะสีดำรวบเขาเข้ามาในอ้อมแขน
...ในเมื่อคิดจะเล่นเกมนี้กับฉัน แกต้องสัญญาว่าจะยอมลองทุกอย่าง...
คำพูดของคนตรงหน้าดังขึ้นมาในหัว ตอนนั้นเขายังไม่ทันคิดอะไร แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า...เจ้าบ้ามายองเนสนี่ต้องการพลิกมวยแน่นอน
...บ้า-เอ๊ย! กลายเป็นว่าตรูชวนมันมาทำลายเอกราชตัวเองหรือไงวะเนี่ย!!!...
อยากจะโวยวาย แต่ร่างกายมันไม่ยอมฟังคำสั่ง ลิ้นที่ยังมีรสของสาเกตกค้างอยู่ถูกสอดเข้ามาในปากที่จำยอมจูบตอบอย่างไม่อาจขัดขืน ความขม และหวานผสมปนเปกันจนแยกไม่ออกอยู่ในรสชาตินั้น
...ไอ้บ้านี่ โคตรเก่ง...
แค่จูบอย่างเดียว ร่างกายก็ร้อนผ่าวไปหมด รู้สึกดีจนแทบไม่อยากละจากไปไหน
“อืม...อย่าสิ”
เสียงประท้วงดังขึ้นทันทีที่ริมฝีปากของฮิจิคาตะค่อยๆถอนออกมา ทว่าคุณกินไม่ยินยอม คราวนี้เลยเป็นฝ่ายเข้าไปจูบเอง ก่อนจะผลักร่างฮิจิคาตะให้ล้มลงบนพื้นเสื่อ แล้วเริ่มทำการรุกรานบ้าง
“จะทำอะไร”
เสียงเข้มๆถามขึ้นเมื่อซามูไรรับจ้างกระตุกโอบิของเขาให้หลุดออก กินโทกิยิ้มหวานจนน่ากลัวแทนคำตอบ เส้นผมสีเงินสะท้อนประกายล้อแสงจันทร์
...ไอ้สีผมบ้าๆของแกเนี่ยมันน่านัก...
“ไม่ต้องห่วงน่า ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะรู้สึกยังไง”
ไอ้บ้านี่กำลังจะบอกว่า มันยอมเป็นฝ่ายเสียอธิปไตยใช่ไหมนั่น
“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น ฉันหมายความอย่างที่แกเข้าใจนั่นแหละ”
-ตัดฉากไม่เหมาะสมนะจ๊ะ อาจทำให้อ่านไม่รู้เรื่องเล็กน้อย แต่หลังไมค์มาได้-
“สุด...ยอด...”
นั่นคือคำพูดแรกของหมอนั่น หลังจากทุกอย่างสิ้นสุดลง กินโทกิหอบหายใจหมดเรี่ยวแรง เขาไม่รู้ว่าควรจะสนุกไปกับมันด้วยหรือเปล่า
หน้าของซามูไรผมเงินยังคงซบอยู่บนไหล่รองปีศาจแห่งชินเซ็นงุมิ เหงื่อออกจนเปียกโชกเสื้อผ้าที่ถึงแม้จะถูกแหวกจนหลุดลุ่ย แต่ก็แทบไม่ได้ถอดออกจากตัวสักชิ้น
“ติดใจซะแล้วว่ะ ฮะๆๆ” คุณกินหัวเราะเหนื่อยๆ แต่ท่านรองไม่รู้สึกตลกเอาซะเลย
“เป็นอะไรหือ? ทำหน้าเครียดตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
ดวงตาสีดำในความมืด ดูหม่นหมองเหมือนคืนนั้นไม่มีผิด
“หรือว่าเป็นระบบอัตโนมัติของแกวะ เวลาทำเรื่องอย่างว่าต้องทำหน้าตาแบบนั้นด้วยตลอด” กินโทกิขมวดคิ้ว
...ถึงสายตาแบบนั้นจะทำให้แกดูดีก็เถอะ แต่เห็นแล้วรู้สึก...ไม่ค่อยสบายใจเลยว่ะ...
พอถูกทักเข้า ฮิจิคาตะจึงเปลี่ยนสี่หน้ากลับมาเป็นค่า default ของตัวเอง ก่อนพูดเฉไปเรื่องอื่น
“จะนอนแล้ว”
“ห๊ะ!!”
“ก็บอกว่าจะนอนแล้วไง”
“พูดงี้หมายความว่าไงวะ หมายความว่าฉันมันจืดชืดขนาดทำให้แกทำไปง่วงไปได้เลยงั้นใช่มั้ย!” คุณกินชักสีหน้าอย่างหงุดหงิด หาเรื่องตามมารยาททันที
“เปล่า แค่ตอนนี้อยากนอนแล้ว”
“แก...” คนถูกปฏิเสธกัดฟันกรอด ไอ้บ้านี่วอนส้นเท้าซะแล้วไง “เออ! อยากนอนก็ไสหัวไปนอนไป ฉันจะกลับล่ะ”
ทว่าฮิจิคาตะยังคงกอดเขาไว้ ก่อนจะโน้มศีรษะลงมาอิงบ่าของเขาช้าๆ หลับตาลง แล้วพูดหน้าตาเฉย
“ที่บอกว่าจะนอนแล้วน่ะ หมายความว่าฉันจะหลับท่านี้ เพราะงั้นแกคงกลับไม่ได้หรอกว่ะ”
“หา?” อีกฝ่ายชักเง็งไปกันใหญ่
“ไม่เข้าใจอะไรเล่า ฉันบอกว่าจะทำแบบนี้ถึงเช้าไง”
ท่านรองเอนร่างพิงผนังห้อง โดยรั้งอีกร่างให้เอนตามมาด้วย และไม่ยอมคลายอ้อมแขนออกจากคนตรงหน้า
“ราตรีสวัสดิ์”
ไม่มีคำถามอะไรอีก หลังจากคนที่บอกว่าง่วงนอนหลับตาลงไม่นาน ก็มีเสียงกระซิบจากกินโทกิแผ่วเบา
“ราตรีสวัสดิ์”
ความคิดเห็น