คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : หนังผีที่น่ากลัวจริงๆ มักจะตามหลอนเราไปถึงที่บ้าน
“อือ...”
แสงไฟบนเพดานแยงผ่านเปลือกตา เขารู้สึกรำคาญจนหลับต่อไม่ลง ฮิจิคาตะหยีตาสู้แสงจ้าจากหลอดนีออน เพดานบ้านที่ไม่ใช่ของบ้านเขาแน่ๆปรากฏสู่สายตาเป็นอย่างแรก แต่กระนั้นก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันคุ้นๆเหมือนเคยมาที่นี่มาก่อน
ร่างกายหนักอึ้ง ในหัวปวดระบมจากอาการเมาค้าง หากความสงสัยนำพาให้เขาพยายามลุกขึ้นจากโซฟาที่นอนอยู่ ก่อนมองไปรอบๆอย่างงงๆ คิดทบทวนว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“...นี่กินเหล้าตั้งแต่หัววันเลยเรอะ...”
คำพูดลางเลือนกับหน้าตากวนประสาทของเจ้าบ้าน้ำตาลแว้บเข้ามาในสมอง จริงสิ...จำได้ว่าฝนตกหนักมากตอนกำลังเดินกลับบ้านพัก แล้วระหว่างทางก็ไปเจอกับหมอนั่นเข้า...
...หลังจากนั้น...นึกไม่ออกแฮะ...
แต่จากสภาพการณ์ปัจจุบัน ก็พอจะเดาได้ว่ามันคงพาเขามาที่ร้านรับจ้างสารพัด ปล่อยให้เขานอนอยู่บนโซฟา แถมเปิดไฟสว่างโล่งทั้งบ้าน ส่วนตัวมันหายหัวไปไหนไม่รู้
นาฬิกาบนผนังบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ด้านนอกฝนยังเทกระหน่ำ ชายหนุ่มได้ยินเสียงลมกระแทกหน้าต่างดังกึงกัง พายุลูกใหญ่คงเข้าเอโดะซะแล้ว
“หายไปไหนล่ะ เจ้าบ้านั่น” ท่านรองปีศาจพึมพำกับตัวเอง รู้สึกคับคล้ายคับคลาว่าก่อนหน้านี้เขาเดินตากฝนจนตัวเปียก แต่ตอนนี้ดูเหมือนตัวเขาจะแห้งสะอาดดี เสื้อผ้าแฉะๆกลายเป็นยูคาตะสีขาวที่น่าจะเป็นของกินโทกิ ผมก็แห้งแล้วแถมนุ่มสลวย หอมฟุ้ง ด้วยแชมพูสูตรผมเหยียดตรงอีกต่างหาก(กินโทกิ...ถึงแกจะซื้อสูตรนี้มาใช้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ)
อืม...ไอ้บ้านั่นทำอะไรกับตูบ้างฟะ
เท่าที่สำรวจตัวเองตอนนี้ก็คงจะทำแค่...ลากเข้าไปในห้องน้ำ อาบน้ำให้ สระผมให้ เปลี่ยนชุดให้ ไดร์ผมให้ ลากมานอนบนโซฟา
บริการทุกระดับประทับใจจริงๆ
พอคิดว่าต้องไปขอบคุณไอ้บ้านั่นแล้วมันจั๊กกะจี้ยังไงไม่รู้แหะ ดูแลซะยังกับเป็นแม่จ๋างั้นแหละ แค่เอาไปส่งชินเซ็นกุมิก็ได้แท้ๆ
...เอ๊ะ! ขอบคุณเรอะ เราต้องขอบคุณทำไม จะต้องเป็นหนี้บุญคุณคนอย่างไอ้บ้านั่นเนี่ยนะ ไอ้ตายก็ไม่ยอมหรอกเฟ้ย แค่คิดถึงหน้าตากวนๆยิ้มเยาะใส่ก็เหม็นจนอยากจะอ้วก...
คิดถึงอะไรอ้วกๆ ฮิจิคาตะดันรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาจริงๆ เขาจึงหยุดคิดกะทันหัน เพื่อกันไม่ให้สิ่งที่คิดถึงมีโอกาสออกมาดูโลก(อีกครั้ง)
ถึงไม่อยากจะยอมรับแต่ฮิจิคาตะก็รู้สึกเป็นหนี้กินโทกิไปแล้ว นั่นเพราะเขาไม่รู้ว่าแมงกะไซค์คุณกินน้ำหมดเกลี้ยง จึงไม่มีปัญญาไปส่งเขาถึงชินเซ็นกุมิ แถมฝนก็ตกหนัก หนาวก็หนาว ประตูบ้านก็ยังไม่ได้มาปิด เลยจำเป็นต้องพามาด้วย ไม่งั้นพ่อคุณคงไม่หอบเอาผู้ชายตัวหนักๆมาเป็นภาระขนาดนี้หรอก แล้วที่ต้องลากไปอาบน้ำน่ะ ก็เพราะก่อนสลบเหมือดไปท่านรองดันขย้อนเอาวัตถุลึกลับออกมาจากกระเพาะจนสภาพดูไม่ได้
“นี่แก...ตื่นแล้วเรอะ”
เสียงเนือยๆดังขึ้นจากด้านล่าง แม้จะรู้ว่ามันเป็นเสียงของใครก็เถอะ แต่อยู่ๆก็ดังมาจากทิศทางที่ไม่น่าจะมาได้อย่าง...เอ่อ...ใต้โซฟานี่...มันก็ต้องสะดุ้งเป็นธรรมดา
“ไปทำบ้าอะไรตรงนั้นห๊ะ!”
“ตามหาทางเข้าดินแดนแห่งน้ำตาล”
ตอบเรื่อยๆแต่กวนส้นเป็นอย่างยิ่ง กินโทกิคลานขึ้นมาจากพื้น พยายามพยุงตัวขึ้นมานั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง ตาลอยๆมึนๆ ท่าทางอิดโรยเหมือนผ่านพายุทอร์นาโดมาสักสามลูกก่อนกลับถึงบ้าน
การเสียสละของเจ้าของบ้านไม่จำเป็นต้องไปนอนใต้โซฟา เพื่อให้แขกนอนบนโซฟา ในเมื่อห้องหับให้นอนมันก็มี!
แล้วทำบ้าอะไรมาถึงมีสภาพอย่างนั้นฟะ!
“อย่ามองฉันด้วยสายตาสมเพชเวทนาอย่างนั้นสิฮิจิคาตะคุง” กินโทกิเอ่ยขึ้นหลังจากฮิจิคาตะกราดสายตาเหยียดๆมองเขาตั้งแต่หัวหยักๆจรดปลายเล็บเท้า
“ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะ...” คุณกินสูดลมหายใจเข้าปอดหนึ่งเฮือก แค่คิดว่าเมื่อกี้ต้องเจอกับอะไรบ้างก็อยากให้ชีวิตเขามันจบๆลงซะวินาทีนี้เลยทีเดียว
“ฉันต้องขี่แมงกะไซค์ ตากลมตากฝน หนาวก็หนาว เหนื่อยก็เหนื่อย น้ำมันก็ดันมาหมด แถมยังเจอไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้เมาแอ๋อยู่ข้างทาง ขืนปล่อยไว้ก็กลัวจะจมแอ่งน้ำฝนตาย เลยลากกลับมาบ้าน แต่ไม่วายโดนอ้วกใส่อีก...”
ถึงตรงนี้ สีหน้าของฮิจิคาตะเหมือนจะเหวอไปเล็กน้อย แต่ก็ปรับเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนที่อีกฝ่ายจะทันเห็น ซึ่งไม่จำเป็นเลย เพราะคุณกินดูเหมือนจะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว เอาแต่ยิ้มแห้งๆให้กับฝาบ้าน ปากก็เล่าเรื่องความซวยของตัวเองต่อไป
“...จากนั้นนะฮิจิคาตะคุง ไอ้เจ้าบ้านั่นก็หลับเป็นศพไปเลย ฉันต้องแบกเอาผู้ชายตัวเหม็นๆหนักๆ มาจับแก้ผ้า แล้วลากไปอาบน้ำ ซึ่งมันก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือเลยสักเรื่อง เอาแต่นอนท่าเดียว ฉันก็เกือบกระทืบมันไปหลายทีแล้วล่ะ ถ้าไม่ติดตรงที่ว่าไอ้ฉันน่ะมันคนดี ฮะๆๆๆ สุดท้ายไอ้บ้านั่นเลยได้มานอนหลับสบายบนโซฟาบ้านฉัน โดยที่ฉันเองก็หมดแรงจนไม่มีปัญญาไปหาข้าวกิน ทั้งที่หิวจนจะเป็นลมอยู่แล้วอย่างนี้แหละ”
ถึงจะพูดจาหาเรื่องด่าเต็มที่ และถึงคนผู้ถูกกล่าวหาจะอยากเตะมันมากแค่ไหน แต่เพราะสีหน้าไร้วิญญาณของมันทำให้รู้ว่ามันเหนื่อยจริง และมันก็ช่วยเขาไว้จริงๆ ฮิจิคาตะคุงจึงไม่ตอบโต้ ปล่อยให้คิ้วกระตุกดิกๆอย่างหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น
คนเดียวในโลกที่เขาไม่อยากขอความช่วยเหลือมากที่สุด จะสะเออะมาช่วยหาพระแสงอะไรก็ไม่รู้!
“โธ่เว้ย! ก็ฉันเมาไม่รู้เรื่องนี่หว่า รำคาญฟ่ะ จะให้ทำอะไรให้ก็บอกมา!!”
ท่านรองตัดสินใจประกาศทดแทนบุญคุณให้มันจบๆไป พร้อมลุกพรึ่บทันที
“เหอะ...”
ธรรมดาลองคู่อาฆาตให้โอกาสเล่นงานแบบนี้ คุณกินคงใช้เจ้าบ้ามายองเนสนี่สนุกสนานไปแล้ว เสียแต่ตอนนี้สิ่งเดียวที่คุณกินต้องการเหนือทุกสิ่งทุกอย่างคือ...
“ไปหาข้าวให้กินหน่อยดิ”
“ห๊ะ! ข้าว”
“ก็บอกว่าหิวไง ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มื้อกลางวันนะเฮ้ย”
นึกว่าจะโดนสั่งให้ไปทำอะไรประเภท...คลานสี่ขาแล้วเห่า...ทำนองนี้ซะอีก
“แล้วทำไมไม่เดินไปกินเองวะ บ้านแกก็มีอยู่แค่นี้”
“บอกเองว่าจะทำให้ไม่ใช่เหรอ” ดวงตาปลาตายหันกลับมามองหน้าคนที่พูดออกมาเองจนสะอึก เห็นแล้วอดสะใจไม่ได้
“กะ...ก็ได้วะ ชิ!”
รอให้หมดคืนนี้ก่อนเถอะ ตูจะชดใช้ให้เอ็งแค่คืนนี้เท่านั้นแหละ พ้นคืนนี้ไปเมื่อไรพ่อจะเชือดให้...
ร่างสูงกัดฟันยอมเดินไปหาข้าวให้ตามคำสั่งของผู้มีพระคุณ แต่ทว่า...พอมองออกไปตรงจุดที่เป็นหม้อหุงข้าว เท้าก็พลันหยุดชะงัก
ตรงนั้นไม่ได้เปิดไฟทิ้งไว้ จึงกลายเป็นมุมที่มืดสนิทที่สุดในบ้าน
ขนแขนพากันลุกเกรียวขึ้นอย่างไร้เหตุผล
...ไร้สาระน่า บ้านก็มีอยู่แค่นี้เอง ไอ้หมอนี่ก็นั่งหัวโด่อยู่ทั้งคน...
“กินโทกิ...แค่เดินไปเปิดตู้เย็นก็ไม่มีปัญญาทำเองเรอะ อย่าบอกนะว่าที่จริงแกป่วยซะแล้ว ปวกเปียกเป็นบ้า”
สาเหตุมาจากอาการปอดแหกของตัวเองแท้ๆ ดันหันไปแขวะคนอื่นซะได้ แต่เรื่องที่พูดมากลับแทงใจดำจนทะลุ
คุณกินป่วยจริงๆ
“ว่าใครปวกเปียกฟะ ไอ้หอกหักนี่!” กินโทกิพรวดพราดลุกขึ้นโวยวาย แต่เผอิญสังขารที่เดี๋ยวตากแดดจัด เดี๋ยวตากแอร์เย็นๆในโรงหนัง เดี๋ยวตากฝนอีกเกือบชั่วโมง แล้วก็ไม่รู้ว่าติดหวัดคางุระมาหรือเปล่าของคุณกินนี่ไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย ที่จริงสาเหตุที่ทำให้เขาลงไปนอนใต้โซฟาก็เพราะเวียนหัวจนล้มพับไปนั่นแหละ
คนหนึ่งเมาแอ๋ อีกคนหนึ่งไข้ขึ้นทะลุปรอท เมื่อกี้ไม่น็อกคาส้วมทั้งคู่ก็บุญแล้ว
“เฮ้ยๆๆๆ”
ฮิจิคาตะชักเห็นท่าไม่ดี เมื่ออยู่ๆไอ้หัวหงอกก็วืดลงไปซะเฉยๆ
โครม!
ซามูไรผู้ฝ่าฟันมาร้อยพันสนามรบ กลับต้องมาเดี้ยงเพราะถูกไวรัสไข้หวัดใหญ่เล่นงาน
ใจหนึ่งก็คิดว่ามันตอแหลหรือเปล่า แต่อีกใจหนึ่งก็ขอให้มันเป็นไข้จริงๆ จะได้สมน้ำหน้า(ต่างกันตรงไหน)
“นั่นไงล่ะ คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นหวัด ไม่ไหวเลยน้า ตากฝนนิดหน่อยแค่นี้”
รองปีศาจยิ้มหยันน้อยๆ ขณะเข้าไปหาหมายดึงร่างหมดสภาพของกินโทกิขึ้นมาไว้บนโซฟา
ทว่ามือของเขากลับหยุดทันทีที่สัมผัสถูกตัวของเจ้านั่น วันนี้ถ้าเขาสังเกตตัวเองดีๆสักหน่อย คงรู้สึกแล้วล่ะว่าเผลอทำหน้าเหวอมาดหลุดไปไม่รู้กี่รอบ ตอนนี้ก็เหมือนกัน
รู้ว่าคนเป็นไข้ก็ต้องตัวร้อนอยู่แล้ว แต่นี่...ตัวมันร้อนจัดจนน่ากลัวว่าจะช็อกเอาเลยล่ะ
แม้จะไม่เอ่ยถามไถ่อาการสักคำ แต่เขาก็ไม่พูดจากระทบกระเทียบอีก สายตาเยาะเย้ยแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ก่อนจะลากมันขึ้นเป็นวางไว้บนโซฟาอย่างไม่เบามือสักเท่าไร ไม่สิ...อันที่จริงคือแทบจะเหวี่ยงลงบนโซฟาเลยด้วยซ้ำ
“หาเรื่องกันเรอะ...ฉันยังแข็งแรง...” กินโทกิชักฉุน แต่ดูหน้าก็รู้ว่าไม่ไหวแล้ว
“หุบปากไปเลย! อยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวฉันมา” ฮิจิคาตะขี้เกียจเถียงด้วย จึงตัดบทฉับแล้วเดินไปทางตู้เย็น
“จะไปไหนของแกวะ...” ชายผมเงินร้องถามด้วยเสียงแหบพร่าจนหายไปในลำคอ ร่างกายหนักอึ้งและเหนื่อยอ่อน แต่ถึงเสียงจะเบาแค่ไหนอีกฝ่ายก็ยังคงได้ยิน และตอบกลับมาหน้าตาเฉยว่า
“หิวข้าวไม่ใช่เรอะ เดี๋ยวหาอะไรให้กิน”
คำตอบเล่นเอาอึ้งไปนิดๆ ทีเมื่อกี้บอกก็ไม่ไปทำให้ อะไรของมันก็ไม่รู้
...ช่างมันเถอะวะ ตูจะนอนแล้ว จะทำอะไรก็เชิญ...
...นอนดีกว่า...
...ง่วงแฮะ...
...หลับสักทีสิ...
...อีกเจ็ดวัน...
“เฮือก!”
จากคนเป็นไข้หมดเรี่ยวแรงเมื่อครู่ เพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีที่จิตประหวัดไปถึงหนังสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุดในจักรวาลเรื่องนั้น ทำให้คุณกินถึงกับลุกพรวดขึ้นมาตัวสั่น
ไม่แน่ใจนักว่าตัวสั่นเพราะหนาว หรือเพราะกลัว
รู้แต่พอมองไปรอบตัวแล้ว ห่างจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าฮิจิคาตะตั้งหลายเมตร ท่ามกลางบ้านเงียบสงัดนี่มัน...ช่าง...
พรึ่บ!
ผ้าม่านปลิวสะบัด กินโทกิสะดุ้งสุดตัว เขาจำได้ว่าปิดหน้าต่างไปหมดแล้วนี่ แล้วลมจะเข้ามาจากทางไหน?
...หลบเร้นอยู่ข้างหลัง สิ่งนั้นไม่มีตัวตนแน่นอน เป็นแค่กระแสความเคียดแค้นที่จ้องมองเราอยู่...
ไม่ต้องเสียเวลาคิดอีกต่อไป หนังผีเรื่องเดียวมีพลังมากพอที่จะทำให้คนป่วยอย่างกินโทกิถลาออกไปจากที่นอนแทบไม่ทัน เพียงเพื่อจะ...
“ว๊ากกก! ลุกขึ้นมาทำบ้าอะไรของแกวะ!” อีกหนึ่งหน่อนักรบผู้กลัวผียิ่งชีพแทบช็อกเมื่ออยู่ๆเจ้าของบ้านก็โผล่มาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“มาดูว่าแกใส่ยาถ่ายลงไปในกับข้าวหรือเปล่าไงล่ะ”
“ใครจะบ้าไปใส่วะ!” ท่านรองตวาดกลับอย่างเหลืออด เล่นมาเงียบๆแบบนี้ ทำเอาสติที่ข่มไว้ตั้งนานกระเจิดกระเจิงหมด หัวใจจะวาย
หน้าตากินโทกิดูเหมือนอยากจะหลับเต็มแก่ แต่ดวงตากลับแข็งค้าง และไม่ขยับออกห่างจากเขาแม้แต่ก้าวเดียว
...ขอร้องเถอะนะฮิจิคาตะคุง อย่าถามเลยว่าทำไมฉันถึงต้องถ่อสังขารมายืนกับแกตรงนี้ ช่วยทำกับข้าวเงียบๆต่อไปเถอะนะ ทำเป็นไม่เห็นตัวตนของฉันตรงนี้ด้วยเถอะ...
ฮิจิคาตะหันกลับไปจัดแจงอะไรต่อมิอะไรต่อ รู้ว่าตัวเองควรจะบอกให้กินโทกิไปนอนซะ แต่ปากมันไม่ยอมขยับ
...กินโทกิ...แกอย่าเพิ่งไปนอนนะเฟ้ย ช่วยยืนอยู่ตรงนี้ด้วยกันต่อไปด้วยเถอะ แกจะอ้างเหตุผลงี่เง่าแค่ไหนก็ได้ ฉันจะยอมเชื่อทั้งนั้น ขอแค่อย่าก้าวออกไปจากตรงนี้ก็พอ ขอร้องล่ะ...
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา ที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันเฉยๆนานหลายนาทีโดยไม่มีใครชวนทะเลาะ ไม่มีแม้แต่การเอ่ยปากพูดอะไรกันสักคำเดียว
............................................................................................................................................
“เฮ้อ! กินอิ่ม นอนหลับ คนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกน้า”
คุณลุงไม่ได้เรื่องทิ้งตัวลงนอนอย่างสบายใจหลังจากฟาดข้าวไปสามถ้วย ฝนข้างนอกยังคงตกหนักไม่หยุด อากาศเย็นลงทุกที กินโทกิรู้สึกหนาวๆขึ้นมาแต่ไม่กล้าเอ่ยปากบ่น เพราะกลัวคนข้างๆมันจะย้อนถามว่าทำไมไม่ไปนอนห่มผ้าในห้องล่ะ แล้วก็ไม่อยากตอบด้วยว่าไม่กล้าอยู่คนเดียว
เพียงแค่หายใจออกมายังรู้สึกถึงไอร้อนๆที่เดือดปุดๆอยู่ในร่างกายของตัวเอง ไข้ไม่มีท่าทีว่าจะลดลง
ฮิจิคาตะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง รู้สึกระอากับความไม่ได้เรื่องของคนตรงหน้า
...กินอิ่ม นอนหลับ คนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่านั้นงั้นเหรอ? ปรัชญาคนขี้เกียจชัดๆ...
...ไอ้บ้านี่มันมีดียังไงวะ ก็แค่คนไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวคนนึง ไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีความหวังอะไรสักอย่าง...
ใช่...กินโทกิเป็นคนแบบนั้นแหละ เป็นแค่...คนไม่ได้เรื่อง
...ฉันมีสิ่งที่สำคัญกว่าร่างกายหรือหัวใจอยู่...
...ไม่เช่นนั้น...วิญญาณจะขาดสะบั้น...
ร่างสูงโปร่งนอนหลับบนโซฟาอย่างสงบ ฮิจิคาตะเผลอจ้องมองบุคคลที่สมองกำลังคิดถึงอยู่โดยอัตโนมัติ เส้นผมสีเงินยุ่งเหยิงตกระใบหน้าจนน่ารำคาญแทน
ไม่อยากจะยอมรับเอาซะเลย แต่เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าดวงตาปลาตายกวนประสาทคู่นั้น แอบแฝงไปด้วยความทระนงในบางสิ่งบางอย่างเสมอมา
ทระนง กร้าวแกร่ง ไม่เคยทอดทิ้ง ไม่สามารถทอดทิ้ง และไม่สามารถอดทนที่จะไม่ยื่นมือเข้าไปปกป้องใครก็ตามที่เข้ามาผูกพันกับตัวเอง
คนๆนี้ มองเห็นความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยของคนอื่นเสมอ และมักมีทางออกที่ไม่ทำให้ใครต้องเจ็บปวดเสมอ
ใครบอกว่าเขากับหมอนี่เหมือนกันนะ ที่จริงแล้ว ไม่เห็นจะเหมือนเลยสักนิด
กับคนที่ได้ชื่อว่ารองหัวหน้าชินเซ็นกุมิ ฮิจิคาตะ โทชิโร่ เลือกทางเดินให้ตัวเองยอมเจ็บเพื่อคนอื่นตลอดมา
แต่กับซามูไรไร้นายซากาตะ กินโทกิ ฉลาดกว่านั้น ดันทุรังกว่านั้น ไม่ยอมตายเพื่อใคร แต่จะมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้
ในดวงตาเลื่อนลอยที่ทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมายของหมอนี่ บางครั้งบางคราว...เขามองเห็นแสงสว่างลุกโชนอยู่ในนั้น
ศัตรูคู่อาฆาตอย่างเขา...น่าขำ...กี่ครั้งต่อกี่ครั้งมันก็ยังยื่นมือเข้ามาช่วยยามอับจนหนทาง
...ช่วยจนสุดชีวิตเลยล่ะ...
“เฮอะ!” ริมฝีปากบางแค่นเสียงเย้ยหยันความคิดของตน กับไอ้คนน่าหมั่นไส้พรรคนี้ ทำไมต้องมานั่งเจาะลึกหาข้อดีของมันด้วยนะ
แต่น่าแปลก...ที่ดวงตาดุดันกลับทอประกายอ่อนโยน และเผลอระบายรอยยิ้มจางๆอย่างที่ยากนักจะปรากฏบนใบหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ฮิจิคาตะ”
เฮือก!
หลากหลายสาเหตุที่ทำให้ตกใจกับการถูกเรียกแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อาจเป็นเพราะยังหลอนกับหนังผีที่ดูมาเมื่อบ่าย อาจเป็นเพราะเขากำลังนึกถึงคนที่เรียกเขาอยู่ หรืออาจเป็นเพราะกังวลว่าเมื่อครู่นี้ ตัวเองแสดงสีหน้าอะไรออกไปให้เจ้านั่นเห็นบ้างหรือเปล่า
“มะ มีอะไร”
“ง่วงหรือยัง เข้าไปนอนในห้องสิ”
น้ำเสียงที่ถามฟังดูปกติจนผิดปกติ ฮิจิคาตะเพิ่งรู้สึกว่าเขากับหมอนี่ไม่เคยพูดคุยกันดีๆเลยนี่หว่า
“ไม่ล่ะ ฉันนอนโซฟาก็ได้ บ้านแก แกก็นอนไปสิ”
“ไม่ล่ะ แกเป็นแขก แกเข้าไปนอนในนั้นดีกว่า ฉันนอนนี่เอง”
เพียงแค่ชั่วขณะที่เกิดบรรยากาศแปลกๆขึ้น ทั้งสองคนรู้ไต๋กันทันที
ไม่มีใครกล้านอนคนเดียวหรอก เพราะมีหวังตาแข็งค้างยันสว่าง ไม่ได้หลับสักงีบแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยชวนอีกฝ่ายไปนอนด้วยกันให้กระดากปาก
สองคนจ้องหน้าวัดใจกันอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดกินโทกิก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“เออ...อันที่จริงฉันยังไม่ง่วงเลยว่ะ มาก๊งเบียร์กันสักหน่อยดีมะ?”
เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดเท่าที่ฮิจิคาตะเคยพบมา เขาตัดสินใจไม่ถามกินโทกิว่าป่วยขนาดนี้นอกจากไม่กินยาแล้ว ทำไมยังจะกินเบียร์อีก ส่วนกินโทกิก็ไม่ถามฮิจิคาตะสักคำว่าทำไมถึงอยากดื่มด้วย ทั้งที่เพิ่งฟื้นจากอาการแฮงค์มาสดๆร้อนๆ
มันคือข้ออ้างที่ดีที่สุด ที่จะไม่ต้องข่มตานอนคนเดียว ไม่ต้องกระดากปากเอ่ยชวนอีกคนให้ไปนอนเป็นเพื่อน และที่สำคัญคือ...ไม่เสียฟอร์ม
คำตอบจึงเป็นเยสอย่างไม่ต้องสงสัย
...................................................
.........................
........
แกร๊ก!
ฝากระป๋องเบียร์ถูกเปิดออก กินโทกิยกมันขึ้นจรดปากก่อนกลืนอึกๆลงไปอย่างไม่กลัวว่ามันจะทำให้อาการปวดหัวของเขาย่ำแย่ลง
ผิดกับฮิจิคาตะที่ค่อยๆจิบเบาๆ บิวต์อารมณ์เป็นพระเอกมิวสิค อยากดูดมะเร็ง แต่ไม่รู้ว่าทำซองหล่นหายไปตั้งแต่ตอนไหน
ที่จริงบรรยากาศตอนี้มันก็ครึ้มดีอยู่ อากาศเย็น ฝนพรำ เคลิ้มนิดๆเพราะเบียร์...
ฮิจิคาตะสะบัดหัวไล่จินตนาการเลยเถิดของตัวเอง ช่วยไม่ได้นี่...ช่วงนี้เขาทำงานหนักจริงอย่างที่คุณคอนโด้ว่า หนักจนลืมไปแล้วว่าแตะผู้หญิงครั้งสุดท้ายเมื่อไร
บรรยากาศแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนคนรินเหล้าจากผู้ชายถึกๆเป็นสาวสวยน่ารักได้คงดีไม่ใช่น้อย
ท่านรองหันมามองกินโทกิด้วยสายตาอดสู แต่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต
“เงียบจังแฮะ ดูทีวีหน่อยนะ”
ซามูไรผมเงินกดรีโมตเลือกช่องพลางบ่นๆเป็นตาลุงแก่ๆ เห็นได้ชัดว่าเริ่มเมาแล้ว รายการทีวีตอนดึกๆอย่างนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไรนัก กินโทกิเปลี่ยนสถานีไปๆมาๆ จนในที่สุดก็ตัดสินใจหยุดอยู่ที่ช่องๆหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะกำลังฉายมิวสิควีดีโอ
ในสมองเขาเบลอๆเลยไม่ทันฟังเนื้อความอะไร รู้แต่ทำนองก็คึกคักดี
สักพัก ทั้งคู่เพิ่งจะรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ
...ยาราไนก๊ะ ยาราไนก๊ะ... รู้สึกเวลา---((ติ๊ด-ด-ด-ด-ด-ด-ด-ด-))---...
ปับ!
ภาพในจอโทรทัศน์ดับวูบลงทันทีที่ความเข้าใจในอะไรบางอย่างกระจ่างชัดขึ้น และดูเหมือนจะเข้าใจถูกเสียด้วย กินโทกิกดรีโมตปิดชนิดไม่เสียเวลาคิดให้เปลืองสมอง รู้สึกช็อกมากว่าดูหนังผีประมาณร้อยเท่า
จากนั้นทั้งบ้านก็ตกอยู่ในภาวะอึ้งสนิท
............................................................................................................................................
ความคิดเห็น