ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Gintama Fiction: Do you... (( Gintoki X Hijikata ))

    ลำดับตอนที่ #3 : หนังผีที่น่ากลัวจริงๆ มักจะตามหลอนเราไปถึงที่บ้าน

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 53


    อือ...

     

    แสงไฟบนเพดานแยงผ่านเปลือกตา  เขารู้สึกรำคาญจนหลับต่อไม่ลง  ฮิจิคาตะหยีตาสู้แสงจ้าจากหลอดนีออน  เพดานบ้านที่ไม่ใช่ของบ้านเขาแน่ๆปรากฏสู่สายตาเป็นอย่างแรก  แต่กระนั้นก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันคุ้นๆเหมือนเคยมาที่นี่มาก่อน

     

    ร่างกายหนักอึ้ง  ในหัวปวดระบมจากอาการเมาค้าง  หากความสงสัยนำพาให้เขาพยายามลุกขึ้นจากโซฟาที่นอนอยู่  ก่อนมองไปรอบๆอย่างงงๆ  คิดทบทวนว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

     

    ...นี่กินเหล้าตั้งแต่หัววันเลยเรอะ... 

     

    คำพูดลางเลือนกับหน้าตากวนประสาทของเจ้าบ้าน้ำตาลแว้บเข้ามาในสมอง  จริงสิ...จำได้ว่าฝนตกหนักมากตอนกำลังเดินกลับบ้านพัก  แล้วระหว่างทางก็ไปเจอกับหมอนั่นเข้า... 

     

    ...หลังจากนั้น...นึกไม่ออกแฮะ...

     

    แต่จากสภาพการณ์ปัจจุบัน  ก็พอจะเดาได้ว่ามันคงพาเขามาที่ร้านรับจ้างสารพัด  ปล่อยให้เขานอนอยู่บนโซฟา  แถมเปิดไฟสว่างโล่งทั้งบ้าน  ส่วนตัวมันหายหัวไปไหนไม่รู้

     

    นาฬิกาบนผนังบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง  ด้านนอกฝนยังเทกระหน่ำ  ชายหนุ่มได้ยินเสียงลมกระแทกหน้าต่างดังกึงกัง  พายุลูกใหญ่คงเข้าเอโดะซะแล้ว 

     

    หายไปไหนล่ะ  เจ้าบ้านั่น ท่านรองปีศาจพึมพำกับตัวเอง  รู้สึกคับคล้ายคับคลาว่าก่อนหน้านี้เขาเดินตากฝนจนตัวเปียก  แต่ตอนนี้ดูเหมือนตัวเขาจะแห้งสะอาดดี  เสื้อผ้าแฉะๆกลายเป็นยูคาตะสีขาวที่น่าจะเป็นของกินโทกิ  ผมก็แห้งแล้วแถมนุ่มสลวย  หอมฟุ้ง  ด้วยแชมพูสูตรผมเหยียดตรงอีกต่างหาก(กินโทกิ...ถึงแกจะซื้อสูตรนี้มาใช้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ)

     

    อืม...ไอ้บ้านั่นทำอะไรกับตูบ้างฟะ

     

    เท่าที่สำรวจตัวเองตอนนี้ก็คงจะทำแค่...ลากเข้าไปในห้องน้ำ  อาบน้ำให้  สระผมให้  เปลี่ยนชุดให้  ไดร์ผมให้  ลากมานอนบนโซฟา

     

    บริการทุกระดับประทับใจจริงๆ

     

    พอคิดว่าต้องไปขอบคุณไอ้บ้านั่นแล้วมันจั๊กกะจี้ยังไงไม่รู้แหะ  ดูแลซะยังกับเป็นแม่จ๋างั้นแหละ  แค่เอาไปส่งชินเซ็นกุมิก็ได้แท้ๆ

     

    ...เอ๊ะ!  ขอบคุณเรอะ  เราต้องขอบคุณทำไม  จะต้องเป็นหนี้บุญคุณคนอย่างไอ้บ้านั่นเนี่ยนะ  ไอ้ตายก็ไม่ยอมหรอกเฟ้ย  แค่คิดถึงหน้าตากวนๆยิ้มเยาะใส่ก็เหม็นจนอยากจะอ้วก...

     

    คิดถึงอะไรอ้วกๆ  ฮิจิคาตะดันรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาจริงๆ  เขาจึงหยุดคิดกะทันหัน  เพื่อกันไม่ให้สิ่งที่คิดถึงมีโอกาสออกมาดูโลก(อีกครั้ง)

     

    ถึงไม่อยากจะยอมรับแต่ฮิจิคาตะก็รู้สึกเป็นหนี้กินโทกิไปแล้ว  นั่นเพราะเขาไม่รู้ว่าแมงกะไซค์คุณกินน้ำหมดเกลี้ยง  จึงไม่มีปัญญาไปส่งเขาถึงชินเซ็นกุมิ  แถมฝนก็ตกหนัก  หนาวก็หนาว  ประตูบ้านก็ยังไม่ได้มาปิด  เลยจำเป็นต้องพามาด้วย  ไม่งั้นพ่อคุณคงไม่หอบเอาผู้ชายตัวหนักๆมาเป็นภาระขนาดนี้หรอก  แล้วที่ต้องลากไปอาบน้ำน่ะ  ก็เพราะก่อนสลบเหมือดไปท่านรองดันขย้อนเอาวัตถุลึกลับออกมาจากกระเพาะจนสภาพดูไม่ได้

     

    นี่แก...ตื่นแล้วเรอะ

     

    เสียงเนือยๆดังขึ้นจากด้านล่าง  แม้จะรู้ว่ามันเป็นเสียงของใครก็เถอะ  แต่อยู่ๆก็ดังมาจากทิศทางที่ไม่น่าจะมาได้อย่าง...เอ่อ...ใต้โซฟานี่...มันก็ต้องสะดุ้งเป็นธรรมดา 

     

    ไปทำบ้าอะไรตรงนั้นห๊ะ!”

     

    ตามหาทางเข้าดินแดนแห่งน้ำตาล

     

    ตอบเรื่อยๆแต่กวนส้นเป็นอย่างยิ่ง  กินโทกิคลานขึ้นมาจากพื้น  พยายามพยุงตัวขึ้นมานั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง  ตาลอยๆมึนๆ  ท่าทางอิดโรยเหมือนผ่านพายุทอร์นาโดมาสักสามลูกก่อนกลับถึงบ้าน 

     

    การเสียสละของเจ้าของบ้านไม่จำเป็นต้องไปนอนใต้โซฟา  เพื่อให้แขกนอนบนโซฟา  ในเมื่อห้องหับให้นอนมันก็มี!

     

    แล้วทำบ้าอะไรมาถึงมีสภาพอย่างนั้นฟะ!

     

    อย่ามองฉันด้วยสายตาสมเพชเวทนาอย่างนั้นสิฮิจิคาตะคุง กินโทกิเอ่ยขึ้นหลังจากฮิจิคาตะกราดสายตาเหยียดๆมองเขาตั้งแต่หัวหยักๆจรดปลายเล็บเท้า 

     

    ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะ... คุณกินสูดลมหายใจเข้าปอดหนึ่งเฮือก  แค่คิดว่าเมื่อกี้ต้องเจอกับอะไรบ้างก็อยากให้ชีวิตเขามันจบๆลงซะวินาทีนี้เลยทีเดียว 

     

    ฉันต้องขี่แมงกะไซค์  ตากลมตากฝน  หนาวก็หนาว  เหนื่อยก็เหนื่อย  น้ำมันก็ดันมาหมด  แถมยังเจอไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้เมาแอ๋อยู่ข้างทาง  ขืนปล่อยไว้ก็กลัวจะจมแอ่งน้ำฝนตาย  เลยลากกลับมาบ้าน  แต่ไม่วายโดนอ้วกใส่อีก...

     

    ถึงตรงนี้  สีหน้าของฮิจิคาตะเหมือนจะเหวอไปเล็กน้อย  แต่ก็ปรับเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนที่อีกฝ่ายจะทันเห็น  ซึ่งไม่จำเป็นเลย  เพราะคุณกินดูเหมือนจะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว  เอาแต่ยิ้มแห้งๆให้กับฝาบ้าน  ปากก็เล่าเรื่องความซวยของตัวเองต่อไป

     

    ...จากนั้นนะฮิจิคาตะคุง  ไอ้เจ้าบ้านั่นก็หลับเป็นศพไปเลย  ฉันต้องแบกเอาผู้ชายตัวเหม็นๆหนักๆ  มาจับแก้ผ้า  แล้วลากไปอาบน้ำ  ซึ่งมันก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือเลยสักเรื่อง  เอาแต่นอนท่าเดียว  ฉันก็เกือบกระทืบมันไปหลายทีแล้วล่ะ  ถ้าไม่ติดตรงที่ว่าไอ้ฉันน่ะมันคนดี  ฮะๆๆๆ  สุดท้ายไอ้บ้านั่นเลยได้มานอนหลับสบายบนโซฟาบ้านฉัน  โดยที่ฉันเองก็หมดแรงจนไม่มีปัญญาไปหาข้าวกิน  ทั้งที่หิวจนจะเป็นลมอยู่แล้วอย่างนี้แหละ

     

      ถึงจะพูดจาหาเรื่องด่าเต็มที่  และถึงคนผู้ถูกกล่าวหาจะอยากเตะมันมากแค่ไหน  แต่เพราะสีหน้าไร้วิญญาณของมันทำให้รู้ว่ามันเหนื่อยจริง  และมันก็ช่วยเขาไว้จริงๆ  ฮิจิคาตะคุงจึงไม่ตอบโต้  ปล่อยให้คิ้วกระตุกดิกๆอย่างหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น

     

    คนเดียวในโลกที่เขาไม่อยากขอความช่วยเหลือมากที่สุด  จะสะเออะมาช่วยหาพระแสงอะไรก็ไม่รู้!

     

    โธ่เว้ย!  ก็ฉันเมาไม่รู้เรื่องนี่หว่า  รำคาญฟ่ะ  จะให้ทำอะไรให้ก็บอกมา!!”

     

    ท่านรองตัดสินใจประกาศทดแทนบุญคุณให้มันจบๆไป  พร้อมลุกพรึ่บทันที

     

    เหอะ...

     

    ธรรมดาลองคู่อาฆาตให้โอกาสเล่นงานแบบนี้  คุณกินคงใช้เจ้าบ้ามายองเนสนี่สนุกสนานไปแล้ว  เสียแต่ตอนนี้สิ่งเดียวที่คุณกินต้องการเหนือทุกสิ่งทุกอย่างคือ...

     

    ไปหาข้าวให้กินหน่อยดิ

     

    ห๊ะ!  ข้าว

     

    ก็บอกว่าหิวไง  ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มื้อกลางวันนะเฮ้ย

     

    นึกว่าจะโดนสั่งให้ไปทำอะไรประเภท...คลานสี่ขาแล้วเห่า...ทำนองนี้ซะอีก

     

    แล้วทำไมไม่เดินไปกินเองวะ  บ้านแกก็มีอยู่แค่นี้

     

    บอกเองว่าจะทำให้ไม่ใช่เหรอดวงตาปลาตายหันกลับมามองหน้าคนที่พูดออกมาเองจนสะอึก  เห็นแล้วอดสะใจไม่ได้

     

    กะ...ก็ได้วะ  ชิ!”

     

    รอให้หมดคืนนี้ก่อนเถอะ  ตูจะชดใช้ให้เอ็งแค่คืนนี้เท่านั้นแหละ  พ้นคืนนี้ไปเมื่อไรพ่อจะเชือดให้...

     

    ร่างสูงกัดฟันยอมเดินไปหาข้าวให้ตามคำสั่งของผู้มีพระคุณ  แต่ทว่า...พอมองออกไปตรงจุดที่เป็นหม้อหุงข้าว  เท้าก็พลันหยุดชะงัก

     

    ตรงนั้นไม่ได้เปิดไฟทิ้งไว้  จึงกลายเป็นมุมที่มืดสนิทที่สุดในบ้าน

     

    ขนแขนพากันลุกเกรียวขึ้นอย่างไร้เหตุผล 

     

    ...ไร้สาระน่า  บ้านก็มีอยู่แค่นี้เอง  ไอ้หมอนี่ก็นั่งหัวโด่อยู่ทั้งคน...

     

    กินโทกิ...แค่เดินไปเปิดตู้เย็นก็ไม่มีปัญญาทำเองเรอะ  อย่าบอกนะว่าที่จริงแกป่วยซะแล้ว  ปวกเปียกเป็นบ้า

     

    สาเหตุมาจากอาการปอดแหกของตัวเองแท้ๆ  ดันหันไปแขวะคนอื่นซะได้  แต่เรื่องที่พูดมากลับแทงใจดำจนทะลุ

     

    คุณกินป่วยจริงๆ 

     

    ว่าใครปวกเปียกฟะ  ไอ้หอกหักนี่!”  กินโทกิพรวดพราดลุกขึ้นโวยวาย  แต่เผอิญสังขารที่เดี๋ยวตากแดดจัด  เดี๋ยวตากแอร์เย็นๆในโรงหนัง  เดี๋ยวตากฝนอีกเกือบชั่วโมง  แล้วก็ไม่รู้ว่าติดหวัดคางุระมาหรือเปล่าของคุณกินนี่ไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย  ที่จริงสาเหตุที่ทำให้เขาลงไปนอนใต้โซฟาก็เพราะเวียนหัวจนล้มพับไปนั่นแหละ 

     

    คนหนึ่งเมาแอ๋  อีกคนหนึ่งไข้ขึ้นทะลุปรอท  เมื่อกี้ไม่น็อกคาส้วมทั้งคู่ก็บุญแล้ว

     

    เฮ้ยๆๆๆ

     

    ฮิจิคาตะชักเห็นท่าไม่ดี  เมื่ออยู่ๆไอ้หัวหงอกก็วืดลงไปซะเฉยๆ

     

    โครม!

     

    ซามูไรผู้ฝ่าฟันมาร้อยพันสนามรบ  กลับต้องมาเดี้ยงเพราะถูกไวรัสไข้หวัดใหญ่เล่นงาน 

     

    ใจหนึ่งก็คิดว่ามันตอแหลหรือเปล่า  แต่อีกใจหนึ่งก็ขอให้มันเป็นไข้จริงๆ  จะได้สมน้ำหน้า(ต่างกันตรงไหน)

     

    นั่นไงล่ะ  คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นหวัด  ไม่ไหวเลยน้า  ตากฝนนิดหน่อยแค่นี้

     

    รองปีศาจยิ้มหยันน้อยๆ  ขณะเข้าไปหาหมายดึงร่างหมดสภาพของกินโทกิขึ้นมาไว้บนโซฟา

     

    ทว่ามือของเขากลับหยุดทันทีที่สัมผัสถูกตัวของเจ้านั่น  วันนี้ถ้าเขาสังเกตตัวเองดีๆสักหน่อย  คงรู้สึกแล้วล่ะว่าเผลอทำหน้าเหวอมาดหลุดไปไม่รู้กี่รอบ  ตอนนี้ก็เหมือนกัน

     

    รู้ว่าคนเป็นไข้ก็ต้องตัวร้อนอยู่แล้ว  แต่นี่...ตัวมันร้อนจัดจนน่ากลัวว่าจะช็อกเอาเลยล่ะ

     

    แม้จะไม่เอ่ยถามไถ่อาการสักคำ  แต่เขาก็ไม่พูดจากระทบกระเทียบอีก  สายตาเยาะเย้ยแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด  ก่อนจะลากมันขึ้นเป็นวางไว้บนโซฟาอย่างไม่เบามือสักเท่าไร  ไม่สิ...อันที่จริงคือแทบจะเหวี่ยงลงบนโซฟาเลยด้วยซ้ำ

     

    หาเรื่องกันเรอะ...ฉันยังแข็งแรง...กินโทกิชักฉุน  แต่ดูหน้าก็รู้ว่าไม่ไหวแล้ว    

     

    หุบปากไปเลย!  อยู่ตรงนั้นแหละ  เดี๋ยวฉันมา ฮิจิคาตะขี้เกียจเถียงด้วย  จึงตัดบทฉับแล้วเดินไปทางตู้เย็น

     

    จะไปไหนของแกวะ... ชายผมเงินร้องถามด้วยเสียงแหบพร่าจนหายไปในลำคอ  ร่างกายหนักอึ้งและเหนื่อยอ่อน  แต่ถึงเสียงจะเบาแค่ไหนอีกฝ่ายก็ยังคงได้ยิน  และตอบกลับมาหน้าตาเฉยว่า 

     

    หิวข้าวไม่ใช่เรอะ  เดี๋ยวหาอะไรให้กิน

     

    คำตอบเล่นเอาอึ้งไปนิดๆ  ทีเมื่อกี้บอกก็ไม่ไปทำให้  อะไรของมันก็ไม่รู้

     

    ...ช่างมันเถอะวะ  ตูจะนอนแล้ว  จะทำอะไรก็เชิญ...

     

    ...นอนดีกว่า...

     

    ...ง่วงแฮะ...

     

    ...หลับสักทีสิ...

     

    ...อีกเจ็ดวัน...

     

    เฮือก!”

     

    จากคนเป็นไข้หมดเรี่ยวแรงเมื่อครู่  เพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีที่จิตประหวัดไปถึงหนังสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุดในจักรวาลเรื่องนั้น  ทำให้คุณกินถึงกับลุกพรวดขึ้นมาตัวสั่น 

     

    ไม่แน่ใจนักว่าตัวสั่นเพราะหนาว  หรือเพราะกลัว

     

    รู้แต่พอมองไปรอบตัวแล้ว  ห่างจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าฮิจิคาตะตั้งหลายเมตร  ท่ามกลางบ้านเงียบสงัดนี่มัน...ช่าง...

     

    พรึ่บ! 

     

    ผ้าม่านปลิวสะบัด  กินโทกิสะดุ้งสุดตัว  เขาจำได้ว่าปิดหน้าต่างไปหมดแล้วนี่  แล้วลมจะเข้ามาจากทางไหน?

     

    ...หลบเร้นอยู่ข้างหลัง  สิ่งนั้นไม่มีตัวตนแน่นอน  เป็นแค่กระแสความเคียดแค้นที่จ้องมองเราอยู่...

     

    ไม่ต้องเสียเวลาคิดอีกต่อไป  หนังผีเรื่องเดียวมีพลังมากพอที่จะทำให้คนป่วยอย่างกินโทกิถลาออกไปจากที่นอนแทบไม่ทัน  เพียงเพื่อจะ...

     

    ว๊ากกก!  ลุกขึ้นมาทำบ้าอะไรของแกวะ!”  อีกหนึ่งหน่อนักรบผู้กลัวผียิ่งชีพแทบช็อกเมื่ออยู่ๆเจ้าของบ้านก็โผล่มาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

     

    มาดูว่าแกใส่ยาถ่ายลงไปในกับข้าวหรือเปล่าไงล่ะ 

     

    ใครจะบ้าไปใส่วะ!” ท่านรองตวาดกลับอย่างเหลืออด  เล่นมาเงียบๆแบบนี้  ทำเอาสติที่ข่มไว้ตั้งนานกระเจิดกระเจิงหมด  หัวใจจะวาย

     

    หน้าตากินโทกิดูเหมือนอยากจะหลับเต็มแก่  แต่ดวงตากลับแข็งค้าง  และไม่ขยับออกห่างจากเขาแม้แต่ก้าวเดียว

     

    ...ขอร้องเถอะนะฮิจิคาตะคุง  อย่าถามเลยว่าทำไมฉันถึงต้องถ่อสังขารมายืนกับแกตรงนี้  ช่วยทำกับข้าวเงียบๆต่อไปเถอะนะ  ทำเป็นไม่เห็นตัวตนของฉันตรงนี้ด้วยเถอะ...

     

    ฮิจิคาตะหันกลับไปจัดแจงอะไรต่อมิอะไรต่อ  รู้ว่าตัวเองควรจะบอกให้กินโทกิไปนอนซะ  แต่ปากมันไม่ยอมขยับ

     

    ...กินโทกิ...แกอย่าเพิ่งไปนอนนะเฟ้ย  ช่วยยืนอยู่ตรงนี้ด้วยกันต่อไปด้วยเถอะ  แกจะอ้างเหตุผลงี่เง่าแค่ไหนก็ได้  ฉันจะยอมเชื่อทั้งนั้น  ขอแค่อย่าก้าวออกไปจากตรงนี้ก็พอ  ขอร้องล่ะ...

     

    นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา  ที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันเฉยๆนานหลายนาทีโดยไม่มีใครชวนทะเลาะ  ไม่มีแม้แต่การเอ่ยปากพูดอะไรกันสักคำเดียว

     

    ............................................................................................................................................

     

    เฮ้อ!  กินอิ่ม  นอนหลับ  คนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกน้า

     

    คุณลุงไม่ได้เรื่องทิ้งตัวลงนอนอย่างสบายใจหลังจากฟาดข้าวไปสามถ้วย  ฝนข้างนอกยังคงตกหนักไม่หยุด  อากาศเย็นลงทุกที  กินโทกิรู้สึกหนาวๆขึ้นมาแต่ไม่กล้าเอ่ยปากบ่น  เพราะกลัวคนข้างๆมันจะย้อนถามว่าทำไมไม่ไปนอนห่มผ้าในห้องล่ะ  แล้วก็ไม่อยากตอบด้วยว่าไม่กล้าอยู่คนเดียว

     

    เพียงแค่หายใจออกมายังรู้สึกถึงไอร้อนๆที่เดือดปุดๆอยู่ในร่างกายของตัวเอง  ไข้ไม่มีท่าทีว่าจะลดลง 

     

    ฮิจิคาตะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง  รู้สึกระอากับความไม่ได้เรื่องของคนตรงหน้า 

     

    ...กินอิ่ม  นอนหลับ  คนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่านั้นงั้นเหรอ?  ปรัชญาคนขี้เกียจชัดๆ...

     

    ...ไอ้บ้านี่มันมีดียังไงวะ  ก็แค่คนไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวคนนึง  ไม่มีอุดมการณ์  ไม่มีความหวังอะไรสักอย่าง...

     

    ใช่...กินโทกิเป็นคนแบบนั้นแหละ  เป็นแค่...คนไม่ได้เรื่อง

     

    ...ฉันมีสิ่งที่สำคัญกว่าร่างกายหรือหัวใจอยู่...

     

    ...ไม่เช่นนั้น...วิญญาณจะขาดสะบั้น...

     

    ร่างสูงโปร่งนอนหลับบนโซฟาอย่างสงบ  ฮิจิคาตะเผลอจ้องมองบุคคลที่สมองกำลังคิดถึงอยู่โดยอัตโนมัติ  เส้นผมสีเงินยุ่งเหยิงตกระใบหน้าจนน่ารำคาญแทน 

     

    ไม่อยากจะยอมรับเอาซะเลย  แต่เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าดวงตาปลาตายกวนประสาทคู่นั้น  แอบแฝงไปด้วยความทระนงในบางสิ่งบางอย่างเสมอมา

     

    ทระนง  กร้าวแกร่ง  ไม่เคยทอดทิ้ง  ไม่สามารถทอดทิ้ง  และไม่สามารถอดทนที่จะไม่ยื่นมือเข้าไปปกป้องใครก็ตามที่เข้ามาผูกพันกับตัวเอง 

     

    คนๆนี้  มองเห็นความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยของคนอื่นเสมอ  และมักมีทางออกที่ไม่ทำให้ใครต้องเจ็บปวดเสมอ 

     

    ใครบอกว่าเขากับหมอนี่เหมือนกันนะ  ที่จริงแล้ว  ไม่เห็นจะเหมือนเลยสักนิด 

     

    กับคนที่ได้ชื่อว่ารองหัวหน้าชินเซ็นกุมิ  ฮิจิคาตะ  โทชิโร่  เลือกทางเดินให้ตัวเองยอมเจ็บเพื่อคนอื่นตลอดมา

     

    แต่กับซามูไรไร้นายซากาตะ  กินโทกิ  ฉลาดกว่านั้น  ดันทุรังกว่านั้น  ไม่ยอมตายเพื่อใคร  แต่จะมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้

     

    ในดวงตาเลื่อนลอยที่ทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมายของหมอนี่  บางครั้งบางคราว...เขามองเห็นแสงสว่างลุกโชนอยู่ในนั้น

     

    ศัตรูคู่อาฆาตอย่างเขา...น่าขำ...กี่ครั้งต่อกี่ครั้งมันก็ยังยื่นมือเข้ามาช่วยยามอับจนหนทาง 

     

    ...ช่วยจนสุดชีวิตเลยล่ะ...

     

    เฮอะ!” ริมฝีปากบางแค่นเสียงเย้ยหยันความคิดของตน  กับไอ้คนน่าหมั่นไส้พรรคนี้  ทำไมต้องมานั่งเจาะลึกหาข้อดีของมันด้วยนะ

     

    แต่น่าแปลก...ที่ดวงตาดุดันกลับทอประกายอ่อนโยน  และเผลอระบายรอยยิ้มจางๆอย่างที่ยากนักจะปรากฏบนใบหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว

     

    ฮิจิคาตะ

     

    เฮือก!

     

    หลากหลายสาเหตุที่ทำให้ตกใจกับการถูกเรียกแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  อาจเป็นเพราะยังหลอนกับหนังผีที่ดูมาเมื่อบ่าย  อาจเป็นเพราะเขากำลังนึกถึงคนที่เรียกเขาอยู่  หรืออาจเป็นเพราะกังวลว่าเมื่อครู่นี้  ตัวเองแสดงสีหน้าอะไรออกไปให้เจ้านั่นเห็นบ้างหรือเปล่า

     

    มะ  มีอะไร

     

    ง่วงหรือยัง  เข้าไปนอนในห้องสิ

     

    น้ำเสียงที่ถามฟังดูปกติจนผิดปกติ  ฮิจิคาตะเพิ่งรู้สึกว่าเขากับหมอนี่ไม่เคยพูดคุยกันดีๆเลยนี่หว่า

     

    ไม่ล่ะ  ฉันนอนโซฟาก็ได้  บ้านแก  แกก็นอนไปสิ

     

    ไม่ล่ะ  แกเป็นแขก  แกเข้าไปนอนในนั้นดีกว่า  ฉันนอนนี่เอง

     

    เพียงแค่ชั่วขณะที่เกิดบรรยากาศแปลกๆขึ้น  ทั้งสองคนรู้ไต๋กันทันที

     

    ไม่มีใครกล้านอนคนเดียวหรอก  เพราะมีหวังตาแข็งค้างยันสว่าง  ไม่ได้หลับสักงีบแน่นอน  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยชวนอีกฝ่ายไปนอนด้วยกันให้กระดากปาก 

     

    สองคนจ้องหน้าวัดใจกันอยู่ครู่หนึ่ง  จนในที่สุดกินโทกิก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

     

    เออ...อันที่จริงฉันยังไม่ง่วงเลยว่ะ  มาก๊งเบียร์กันสักหน่อยดีมะ?

     

    เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดเท่าที่ฮิจิคาตะเคยพบมา  เขาตัดสินใจไม่ถามกินโทกิว่าป่วยขนาดนี้นอกจากไม่กินยาแล้ว  ทำไมยังจะกินเบียร์อีก  ส่วนกินโทกิก็ไม่ถามฮิจิคาตะสักคำว่าทำไมถึงอยากดื่มด้วย  ทั้งที่เพิ่งฟื้นจากอาการแฮงค์มาสดๆร้อนๆ

     

    มันคือข้ออ้างที่ดีที่สุด  ที่จะไม่ต้องข่มตานอนคนเดียว  ไม่ต้องกระดากปากเอ่ยชวนอีกคนให้ไปนอนเป็นเพื่อน  และที่สำคัญคือ...ไม่เสียฟอร์ม

     

    คำตอบจึงเป็นเยสอย่างไม่ต้องสงสัย 

     

    ...................................................

    .........................

    ........

     

    แกร๊ก!

     

    ฝากระป๋องเบียร์ถูกเปิดออก  กินโทกิยกมันขึ้นจรดปากก่อนกลืนอึกๆลงไปอย่างไม่กลัวว่ามันจะทำให้อาการปวดหัวของเขาย่ำแย่ลง

     

    ผิดกับฮิจิคาตะที่ค่อยๆจิบเบาๆ  บิวต์อารมณ์เป็นพระเอกมิวสิค  อยากดูดมะเร็ง  แต่ไม่รู้ว่าทำซองหล่นหายไปตั้งแต่ตอนไหน

     

    ที่จริงบรรยากาศตอนี้มันก็ครึ้มดีอยู่  อากาศเย็น  ฝนพรำ  เคลิ้มนิดๆเพราะเบียร์...

     

    ฮิจิคาตะสะบัดหัวไล่จินตนาการเลยเถิดของตัวเอง  ช่วยไม่ได้นี่...ช่วงนี้เขาทำงานหนักจริงอย่างที่คุณคอนโด้ว่า  หนักจนลืมไปแล้วว่าแตะผู้หญิงครั้งสุดท้ายเมื่อไร

     

    บรรยากาศแบบนี้  ถ้าเปลี่ยนคนรินเหล้าจากผู้ชายถึกๆเป็นสาวสวยน่ารักได้คงดีไม่ใช่น้อย 

     

    ท่านรองหันมามองกินโทกิด้วยสายตาอดสู  แต่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต

     

    เงียบจังแฮะ  ดูทีวีหน่อยนะ

     

    ซามูไรผมเงินกดรีโมตเลือกช่องพลางบ่นๆเป็นตาลุงแก่ๆ  เห็นได้ชัดว่าเริ่มเมาแล้ว  รายการทีวีตอนดึกๆอย่างนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไรนัก  กินโทกิเปลี่ยนสถานีไปๆมาๆ  จนในที่สุดก็ตัดสินใจหยุดอยู่ที่ช่องๆหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะกำลังฉายมิวสิควีดีโอ

     

    ในสมองเขาเบลอๆเลยไม่ทันฟังเนื้อความอะไร  รู้แต่ทำนองก็คึกคักดี

     

    สักพัก  ทั้งคู่เพิ่งจะรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ

     

    ...ยาราไนก๊ะ  ยาราไนก๊ะ... รู้สึกเวลา---((ติ๊ด-ด-ด-ด-ด-ด-ด-ด-))---...

     

    ปับ!

     

    ภาพในจอโทรทัศน์ดับวูบลงทันทีที่ความเข้าใจในอะไรบางอย่างกระจ่างชัดขึ้น  และดูเหมือนจะเข้าใจถูกเสียด้วย  กินโทกิกดรีโมตปิดชนิดไม่เสียเวลาคิดให้เปลืองสมอง  รู้สึกช็อกมากว่าดูหนังผีประมาณร้อยเท่า 

     

    จากนั้นทั้งบ้านก็ตกอยู่ในภาวะอึ้งสนิท 

     

    ............................................................................................................................................

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×