คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : คนที่ชอบดูหนังผี ที่จริงแล้วมักกลัวผีจนหัวหด
...คนที่ได้ดูวิดีโอม้วนนี้ จะต้องตายภายในเจ็ดวัน...
ถ้อยคำนี้สะท้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวของเขา คอยวนเวียนหลอกหลอนจนอยากจะกรีดร้อง อากาศรอบด้านคล้ายจะเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ฝ่ามือหนามีเหงื่อซึมชื้น เวลาใกล้จะหมดลงทุกขณะแล้ว ชายหนุ่มอยากหันไปมองรอบห้องให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่แต่ร่างกายกลับไม่ยอมฟังคำสั่ง ขาสองข้างสั่นสะท้านราวกับจะยืนยันว่าแท้ที่จริงเขาหวาดกลัวเพียงใด
มีบางอย่างหลบอยู่หลังผืนผ้าม่าน เบื้องหลังกระจกหน้าต่าง
ซ่า... ซ่า...
เสียงคลื่นสัญญาณดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด โทรทัศน์...เขาจำได้ว่ามันเหมือนเสียงโทรทัศน์เสียตอนเสาสัญญาณชำรุด เพียงแต่ว่า...เขาไม่ได้เปิดโทรทัศน์ไว้ ไม่สิ...ที่จริงเขาไม่ได้เสียบปลั๊กมันด้วยซ้ำ
กลัวแทบบ้าแต่ไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่จะวิ่งหนีจากมันได้
สักพักภาพในจอโทรทัศน์ก็กระตุกแล้วปรากฏภาพบ่อน้ำบ่อหนึ่งขึ้นมา
บ่อน้ำเก่าๆ รายล้อมด้วยเงาไม้ใหญ่หนาทึบ หูแว่วเสียงเหมือนคลื่นความถี่สูงกดประสาท ชายหนุ่มเบิกตากว้าง มือขาวซีดคู่หนึ่งค่อยๆโผล่พ้นปากบ่อน้ำขึ้นมา ทีละน้อย ทีละน้อย...
“กรี๊ดดดดด!!!”
เสียงหญิงสาวนางหนึ่งกรีดร้องลั่นโรงภาพยนตร์
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!”
ตามมาด้วยเสียงชายหนุ่มล่ำๆสองคนที่นั่งหน้าซีดตัวสั่น หายใจจะไม่ทันมาตลอดเรื่อง พอได้ยินเสียงกรี๊ดเท่านั้นแหละ เผลอสะดุ้งเฮือกร้องเสียงหลงประสานกันเลยทีเดียว
ร่างสูงใหญ่ในชุดยูคาตะสีดำ กำลังอยู่ในท่าทางที่ไม่ต่างไปจากเด็กเวลาตกใจกลัวเสียงฟ้าร้อง คือยกขาขึ้นมาไว้บนเก้าอี้แถมยังกอดเข่าไว้แน่น ดวงตาคมกริบดุดันที่ศัตรูเจอเป็นต้องหัวหด สาวๆเจอเป็นต้องกรี๊ด บัดนี้กลับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าปอดแหกจนจะเป็นลมคาที่อยู่รอมร่อ
ใครมาเห็นสภาพนี้ของฮิจิคาตะ โทชิโร่มีหวังได้อายไปถึงชาติหน้า
...เพราะแก เพราะแกคนเดียว ที่ทำให้ฉันต้องมีสภาพทุเรศทุรังอย่างนี้ ไอ้เจ้าบ้าหอกกุดเอ๊ยยยย!!!...
เสียงด่านั้นดังอยู่ในใจ เพราะปากสั่นจนพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่คนที่อยากด่ามันก็นั่งอยู่ข้างๆนี่เอง
ซากาตะ กินโทกิ ซามูไรผมเงินที่บัดนี้หน้าซีดยิ่งกว่าผีสาวในหนังซะอีก นั่งแข็งเป็นหินอยู่บนเก้าอี้มาเกือบสองชั่วโมงแล้ว และมีอาการกระตุกๆเป็นระยะเวลามีเสียงผ่าง! มือข้างหนึ่งปิดตาไว้ แต่แหวกช่องให้พอมองเห็นน้อยๆ เหมือนกับว่าการทำให้จอภาพมีขนาดเล็กลงแล้วมันจะทำให้ความน่ากลัวลดลงไปได้ด้วยอย่างนั้นแหละ
...ไอ้บ้ามายองเนสเอ๊ย!! เพราะแก เพราะแกคนเดียว พระเอกอย่างฉันต้องมาเสียมาดแมนแฮนซั่มกับหนังบ้าอะไรเนี่ยยยย!!...
“หึๆๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะหยามหยันดังจากปากของชายผมเงิน ถึงเสียงจะสั่นๆหน่อยก็เหอะ แต่ทำท่าข่มไว้ก่อนยังไงก็ได้เปรียบกว่า
“แหม~ ฮิจิคาตะคูงงง กลัวหัวหดเลยสิท่า กลัวหัวหดเลยใช่มั้ย? ก็หนังมันน่ากลั๊วน่ากลัวเนอะ แต่ไอ้ฉันน่ะมันชายชาติองอาจไม่หวั่นแม้วันมามาก ไม่ได้รู้สึกอะไรสักกะติ๊ดกับไอ้หนังผีพรรคนี้....”
กินโทกิหันมายืดอกแขวะใส่ท่านรองอย่างน่าหมั่นไส้ แต่ไม่หรอก จุดประสงค์ที่แท้จริงคือ...จะได้หาเรื่องไม่ต้องมองจอภาพที่พร้อมจะมีอะไรชวนให้สติแตกคลานออกมาตลอดเวลาต่างหาก
“นี่แก...” ฮิจิคาตะตวัดสายตาจิกกัด เส้นเลือดปูดน้อยๆ ก่อนขัดขึ้นเรียบๆ
“ถ้าแกองอาจมาดแมนนัก ก็ปล่อยมือฉันสักทีสิวะ ขยะแขยงว่ะ”
คุณลุงผมเงินชะงัก ไล่สายตาตัวเองไปยังมืออีกข้างที่เผลอไปคว้าเอามือของไอ้บ้านั่นมากำซะแน่นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
เสียหายหลายแสน หมดกันมาดตรู
“อะ!” กินโทกิปล่อยมือชุ่มเหงื่อของตัวเองออกจากมือของฮิจิคาตะ ก่อนต่อมแถจะทำงานอย่างรวดเร็ว
“ฉะ ฉันไม่ได้กลัวอะไรหรอก แต่เห็นท่านรองสุดเข้มนั่งตัวสั่นแล้วเกิดสมเพชเวทนาขึ้นมา ก็เลยคิดว่าจะช่วยปลอบใจยังไงล่ะ”
“ใครตัวสั่นไม่ทราบ!!” เสียงเข้มๆเหวขึ้นทันที บังอาจ...บังอาจมาก มาหาว่าเขากลัวหนังผีแหกตาแบบนี้งั้นเหรอ...
“........”
โอเค...ที่จริงก็กลัวนั่นแหละ แต่ว่า...โธ่เว้ย!! จริงๆแล้วแกเองก็กลัวเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ถ้างั้นก็ช่วยยอมรับไปสักทีสิวะ ฉันจะได้ไม่ต้องนั่งวางมาดอยู่อย่างนี้ ถ้าแกยอมบอกว่ากลัวก่อนฉันจะได้ไม่ต้องเสียหน้า แล้วแกก็ไม่ต้องทนดูหนังบ้าๆนี่ต่อด้วย ไม่ดีหรือไงฟะ
“............................”
ปัดโถ่! ไอ้บ้าน้ำตาลเอ๊ย!! กะอีแค่ยอมรับว่ากลัวเนี่ยมันยากนักหรือไงวะ ยอมรับเถอะน้ากินโทกิ ฉันไม่อยากดูหนังบ้าๆเรื่องนี้อีกแล้ว ยอมรับสักทีสิว้อย!
ในใจกลัวจนประสาทรับประทาน แต่ลูกผู้ชายรักเกียรติยิ่งชีพอย่างรองหัวหน้าชินเซ็นกุมิกลับพยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ พลางเอ่ยเบี่ยงเบนความสนใจ
“ว่าแต่มือแกเหอะ เย็นเฉียบเชียวนะ”
อีกฝ่ายสะดุ้งอย่างมีพิรุธ แต่ก็ปั้นสีหน้ากลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว
“กะ...ก็...ก็แอร์ไงล่ะ แอร์มันเย็นมือก็ต้องเย็นเป็นธรรมดา” กินโทกิตอบ แอบเอามือลองลูบหน้าตัวเองดู เออแหะ...เย็นเฉียบอย่างที่มันบอกไม่มีผิด แต่จะให้ยอมรับงั้นเหรอ ไม่มีทางหรอกเฟ้ย ฝันไปเถอะไอ้กร๊วก
ว่าแล้วคุณกินก็สวนกลับหนึ่งดอกทันที
“แต่ทั้งๆที่อากาศเย็นขนาดนี้ ทำไมแกยังเหงื่อแตกพลั่กๆยังงั้นล่ะ หืม?”
พูดไม่ทันขาดคำ เหงื่อเม็ดเบ้งๆก็หยดแปะลงมาจากหน้าผากของท่านรองต่อหน้าต่อตา
“ฉะ ฉันมันคนขี้ร้อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้วโว้ย! ลูกผู้ชายน่ะ...มีจิตวิญญาณที่ร้อนแรงกันทุกคนแหละ...”
“นี่! ไอ้เก้าอี้แถวบีสองตัวข้างหน้าน่ะ เงียบๆหน่อยได้ไหม คนจะดูหนัง หัดมีมารยาทซะมั่ง”
เสียงด่าเบาๆดังขึ้นจากด้านหลัง ลูกผู้ชายผู้มีจิตวิญญาณร้อนแรงกับคู่กรณีจึงค่อยๆหุบปากลง ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เหมือนกับตอนไปดูหนังเรื่องเพโดโร่ข้างบ้าน
“ขอโทษด้วยคร้าบ”
เสียงห้าวสองเสียงกล่าวพร้อมกัน เมื่อจำเป็นต้องนั่งดูหนังต่อ พวกเขาจึงรีดเร้นพลังลมปราณสุดแรงเกิดเพื่อบังคับให้ลูกกะตาตัวเองกลับสู่จอฉายภาพขนาดมหึมาตามเดิม
ซึ่งบังเอิญตรงกับช็อตที่ผีซะดะโกะเงยหน้าขึ้นมาพอดี
ผ่าง! ((เสียงซาวน์เอฟเฟ็กต์))
“อ๊ากกกกกกกกกก!!!!”
...................................................
.........................
........
ฮิจิคาตะ โทชิโร่ และซากาตะ กินโทกิ ทั้งสองเป็นซามูไรเลือดนักรบที่มีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายกันมาก อาจแตกต่างบ้างในบางเรื่อง แต่กลับเป็นความแตกต่างที่ลงตัวอย่างน่าประหลาด คงเพราะความขัดแย้งในความเหมือนแบบแปลกๆของสองหน่อนี่เอง ที่ทำให้คนทั้งคู่โคตรจะไม่ถูกกันแบบสุดๆ พร้อมจะกัดกันทุกที่ทุกเวลา โดยไม่เลือกสถานการณ์และไม่ห่วงสวัสดิภาพในชีวิต
แล้วทำไมพวกเขาถึงตกอยู่ในสารรูปน่าอนาถเช่นนี้ด้วยกันได้?
เมื่อประมาณสองชั่วโมงที่แล้ว
“เฮ้อ~ ทำไมอากาศมันร้อนอย่างนี้เหวย ร้อนจนจะละลายคาพื้นอยู่แล้วเนี่ย รู้งี้ไม่ออกมาซะก็ดี...แต่ถ้าทำงั้นจัมป์คงหมดแผงก่อนแหง”
ชายหนุ่มผู้มีผมสีเงินเดินสะโหลสะเหลไปตามถนน บ่นๆกับตัวเองไปตลอดทางจนคนรอบข้างที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามองด้วยสายตาแปลกๆ แต่ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจคนอื่นหรอก
กินโทกิเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเจิดจ้ายามเที่ยงวัน แสงแดดแรงจนต้องหยีตาแถมทำให้หน้ามืดไปชั่วขณะ เอโดะที่เต็มไปด้วยสีสันกลางฤดูร้อนเหมือนจะวูบหายไปจากสติของเขาครู่หนึ่ง
“เฮ้ยๆๆ ซวยล่ะสิ สงสัยขาดน้ำตาลแหงๆ ไม่ได้ออกมากินอะไรหวานๆตั้งอาทิตย์แล้วนี่หว่า ก็ร้อนอย่างนี้ใครจะอยากออกมากันเล่า...”
อาการเวียนหัวเข้าจู่โจมกะทันหัน แต่ปากยังไม่วายบ่นๆๆๆ ทั้งที่ยังไม่ทันเป็นตาแก่สักหน่อย
ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ชินปาจิลางานไปทำธุระอะไรสักอย่างกับทาเอะ ตอนที่มันมาขอลาเขาก็ง่วงๆอยู่เลยไม่ทันฟังว่าจะลาไปไหนแน่ นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ถามคางุระก็ดูจะไม่ได้เรื่อง เพราะอากาศร้อนขนาดนี้ แดดแรงก็ปานนี้ คุณเธอนอนสลบไม่สนใจอะไรทั้งวัน พอตอนกลางคืนเขาก็มักจะได้ยินเสียงคนมาเต้นแอโรบิกตรงระเบียงจนพาลให้เขานอนไม่หลับไปด้วย กลางวันก็ต้องผจญกับความร้อนราวนรก ครั้นจะวานให้อาหมวยออกไปซื้อของจำพวกน้ำแข็งไอติมมาตุนไว้สักหน่อย ก็กลัวจะต้องเดือดร้อนออกไปตามเก็บศพกลับบ้านอีก
“ไม่ไหว...ตายแน่ตู ขอพักก่อนเหอะ ที่ไหนก็ได้ที่มีแอร์เย็นๆ” ดวงตาเลื่อนลอยจากที่ปกติก็ดูเลื่อนลอยอยู่แล้วมองหาโอเอซิสพักเหนื่อยก่อนตัวเองจะแห้งตาย
“อ๊ะ!”
เจอจนได้ สถานที่ที่มีทั้งแอร์(ฟรี) มีทั้งของหวานขาย(ไม่ฟรี) ที่แห่งนั้นก็คือ...แต่นแตนแต๊น! (ตื่นเต้นเพื่อ...?)
โรงหนังคาบูกิโจนั่นเอง
ธรรมดาแค่เงินกินข้าวยังไม่ค่อยจะมี ไอ้โรงหนังเนี่ยก็เลยไม่ค่อยได้เข้า ทว่าวันนี้มันกลับเปล่งประกายระยิบระยับจับตาเสียเหลือเกิน ราวกับกำลังเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปตากแอร์ฟรี เอ๊ย!หลบร้อนชั่วคราวต่างหาก
เข้าไปดูหนังสักเรื่อง ฆ่าเวลารอให้แดดร่มลมตกแล้วเดินกลับบ้าน หาข้าวโพดคั่วรสคาราเมลกินเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด สวรรค์ชัดๆ
...................................................
.........................
........
“อืม...เรื่องอะไรดีเนี่ย มีแต่หนังบู๊เยอะจริง ไอ้เรื่องที่ชาวสวรรค์ตัวฟ้าๆเล่นนี่มันแนวแอคชั่นหรือดราม่าล่ะเนี่ย? โอ้โหเฮะ...ราคาตั๋วตั้งสองเท่า แว่นสามมิติงั้นเรอะ ตั้งแต่เปิดประเทศนี่บ้านเราช่างล้ำหน้าไปเร็วจนตามแทบไม่ทันจริงๆ”
รองหัวหน้าปีศาจแห่งกองกำลังติดอาวุธพิเศษชินเซ็นกุมิรำพันกับตัวเองลอยๆขณะกวาดตามองโปรแกรมภาพยนตร์ฉายวันนี้ ภายในโรงหนังเมืองคาบูกิโจอากาศเย็นฉ่ำผิดกับข้างนอกลิบลับ คิดแล้วก็เซ็งชีวิต อุตส่าห์ลาพักร้อนทั้งทีดันมาตรงกับช่วงที่ร้อนที่สุดจนออกไปไหนไม่ได้
.....“โทชิ ชีวิตคนเราน่ะนะ จะมัวแต่ทำงานอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้จักผ่อนคลายบ้าง ฉันว่านายซีเรียสกับชีวิตเกินไปแล้วนะ ไปพักผ่อนซะบ้างเถอะ”.....
ท่านหัวหน้าสุดรักบอกเขาไว้อย่างนั้น เดิมทีตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะลาหยุดเอาตอนนี้หรอก อุตส่าห์บอกไปแล้วว่าไม่เหนื่อยจริงๆ ยังอยากทำงานไปเรื่อยๆ คอยคุมลูกน้อง(และเจ้านาย)ไม่ให้ไร้สาระกันมากนัก แต่คุณคอนโด้ก็ยังพยายามประเคนวันหยุดให้เขาชนิดที่ถ้าเขาไม่ยอมพักร้อนจะไล่เขาออกเลยทีเดียว
หลังจากนั่งแกร่วนอนแกร่วทั้งวัน สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าควรจะออกมาเที่ยวสักหน่อย ก่อนที่วันหยุดของเขาจะหมดไปกับการนั่งหายใจเฉยๆตลอดสัปดาห์ สภาพอากาศร้อนๆแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นที่ที่มีแอร์เย็นๆและสามารถนั่งแช่ได้นานๆ เพราะฉะนั้น...โรงภาพยนตร์จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
“เอาวะ...เอาเรื่องนี้แหละ เห็นเขาว่ากันว่าทุ่มทุนสร้างเป็นพันล้าน...อุ๊บ! ขอโทษครับ”
เมื่อเลือกหนังเสร็จแล้ว ฮิจิคาตะที่กำลังจะเดินไปซื้อตั๋วก็เผลอไปเหยียบเท้าใครบางคนเข้าจนได้ คำขอโทษถูกกล่าวออกมาโดยอัตโนมัติ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาประสบพบพักตร์กันเท่านั้นแหละ มารยาทของสุภาพชนก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นความดันเลือดพุ่งปรี๊ดขึ้นมาแทน
“ไอ้บ้าหัวหงอกหอกกุด!! มาทำอะไรที่นี่ฟะ!!!!”
ฉับพลันที่ซากาตะ กินโทกิได้เห็นเต็มสองตาว่าไอ้คนซุ่มซ่ามมาเหยียบหัวแม่เท้าเขานั้นเป็นใคร คิ้วก็พาลกระตุกดิกๆ ส่วนปากก็พาลแสยะยิ้มออกมาอย่างไร้เหตุผล(?)
อยากจะหัวเราะให้กับความบัดซบที่พอได้ที่หลบร้อนสักหน่อยเสือกต้องมาเจอตัวน่ารำคาญกว่าความร้อนเสียอีก
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าแกมาทำอะไรที่นี่หา!”
คุณกินแหวกลับไป ในมือมีกล่องข้าวโพดคั่วไซส์พี่บิ๊กที่กินไปเกือบจะหมดอยู่แล้ว ทั้งที่ยังเลือกไม่ได้เลือกด้วยซ้ำว่าจะดูหนังเรื่องอะไรดี
“มาตกปลามั้งไอ่โง่!” ท่านรองสวนทันที “มาโรงหนังก็ต้องมาดูหนังสิวะ อากาศร้อนจนเพี้ยนไปแล้วรึไง”
“นี่ๆๆๆ ถึงจะเพี้ยนจะรั่วแต่คะแนนนิยมไม่เคยตกนะโว้ย! แล้วก็ไม่ได้กินภาษีชาวบ้านแต่แอบโดดงานมาดูหนังเหมือนใครบางคนด้วยว่ะ”
หนอย...โดนเข้าจนได้ คุณคอนโด้นะคุณคอนโด้ คิดไว้แล้วเชียวว่าพักร้อนงวดนี้มันมีลางไม่ดี ต้องเจออะไรซวยๆ ผิดที่ไหนล่ะ
“ฉันพักร้อยโว้ย! ใครจะไปขี้เกียจตัวเป็นขนเหมือนแกกันฟะ อู้งานจนไม่มีปัญญาซื้อข้าวกิน”
เจอตอกกลับ(ด้วยความจริง)แบบนี้คุณกินถึงกับปึ๊ด
“ใครว่าฉันไม่มีปัญญาซื้อข้าวกินห๊ะ! ถึงจะไม่ค่อยทำงานแต่เทพธิดาแห่งโชคลาภเขาหลงเสน่ห์พระเอกสุดเท่ของฉันนะเฟ้ย หมุนไม่กี่รอบก็ได้กำไรอื้อซ่าแล้ว”
คนพูดจะรู้ไหมนะ ว่าไอ้ที่พูดไปนั่นน่ะไม่ได้ช่วยให้ตัวเองดูดีขึ้นเลย
“ตอแหลน่ะสิ มีอย่างที่ไหน เข้ามาตากแอร์ฟรีในโรงหนังแต่ไม่เข้าไปดู ซื้อกินแต่ข้าวโพดคั่ว เทพธิดาแห่งโชคลาภคงเหม็นหน้าแกสุดๆเลยว่ะ”
กินโทกิสะดุ้ง ไอ้บ้านี่มันตรัสรู้ได้ไงฟะ แต่ว่า...มันกับเราก็ชอบคิดอะไรเหมือนๆกันนี่หว่า รู้ทันกันก็ออกบ่อยไป โธ่เว้ย! เกลียดมันก็อีตรงนี้แหละ
“ฉะ ฉันดูออกมาแล้วตะหากเล่า” คำพูดแก้ตัวดังขึ้นโดยไม่ต้องคิดมาก
“อ้อ...ดูจบแล้วก็ไสหัวออกไปสิวะ จะมายืนแถวนี้ทำไมไม่ทราบ”
“แหม...ฮิจิคาตะคูง คนมันล่ำซำนี่นะ อยากเสียตังค์ดูอีกสักเรื่อง” คุณกินลื่นไหลไปได้เรื่อยๆ ยืดนิดๆอย่างภูมิใจในสเต็ปการแถขั้นเทพของตัวเอง หารู้ไม่ว่าติดกับเข้าแล้ว
“เห~ ล่ำซำนักก็ดูเรื่องนี้สิ ค่าตั๋วแพงตั้งสองเท่าของเรื่องอื่นเลยว่ะ” ฮิจิคาตะยิ้มเหี้ยม ก่อนชี้มือไปที่โปสเตอร์หนังเรื่องหนึ่งที่มีรูปชาวสวรรค์ตัวสีฟ้าบนดาวประหลาดๆ
การโม้ว่าตัวเองล่ำซำนั้นไม่เคยช่วยให้ตัวเองล่ำซำขึ้นมาได้จริงๆ แน่นอนว่าคุณกินเหลือเงินไม่พอแต่...ยอมตายดีกว่าเสียฟอร์ม!!
“หนังพรรคนั้นฉันไม่ชอบหรอกว่ะ ฉันเลือกเรื่องเอาไว้แล้ว ฉันจะดูเรื่องนี้”
นิ้วคุณกินชี้ไปมั่วๆ ไม่ทันเห็นว่าเป็นเรื่องอะไร แต่พอฮิจิคาตะทำหน้าเหวอไป กินโทกิจึงกลับมากระหยิ่มอีกครั้ง
“ฉันอยากดูมานานน๊านนานแล้วว่ะ ยังไงก็ต้องมาดูให้ได้ ยังไงฉันก็จะดูเรื่อง...”
เมื่อหันกลับไปดูโปสเตอร์หนังที่ตัวเองชี้ไปส่งๆก็แทบช็อก
เดอะริง...อาถรรพ์มรณะ กวาดรายได้ทะลุร้อยล้าน ได้รับการคอนเฟิร์มจากสามสิบดาวทั่วอวกาศว่าเป็นหนังสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุดในจักรวาล วันนี้ความกลัวจะตามติด ความตายจะถามหา ทุกโรงภาพยนตร์
แถมภาพโปสเตอร์ยังเป็นภาพบ่อน้ำเก่าๆ บรรยากาศหลอนๆอีกต่างหาก
“เออ...อยากดูก็ดูไปคนเดียวละกัน” คุณฮิจิคาตะรีบตัดบททันที แต่ด้วยความเกลียดขี้หน้ายังไม่วายพูดหาเรื่องทิ้งท้าย “ไม่มีตังค์ก็บอกมาเฮอะ!”
และมันก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัวที่เขาจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต
“ตังค์น่ะมีโว้ย! แกนั่นแหละ ไม่กล้าดูหนังผีใช่ไหมล่ะ”
“ใครว่าไม่กล้า พูดงี้เดี๋ยวสวย...หนังพรรคนี้ดูสิบรอบฉันก็ไม่รู้สึกอะไรหรอกเฟ้ย!”
และแล้ว...สาเหตุจากความงี่เง่าของคนทั้งคู่ พวกเขาจึงเอวังด้วยการพิสูจน์ความหลอนของหนังผีอันดับหนึ่งในจักรวาลเรื่องนี้ด้วยกันอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งที่จริงแล้วต่างคนต่างกลัวผีจนอุจจาระแทบจะขึ้นสมองด้วยประการฉะนี้แล
...................................................
.........................
........
เขารู้แล้วว่าอาถรรพ์ของเทปม้วนนั้นคืออะไร มันคือความแค้นของหญิงสาวที่ถูกกระแสแห่งสาธารณชนกระหน่ำซ้ำเติมจนแทบจะไม่มีทียืนอยู่บนโลก
เธอเพียงแค่โกรธแค้น และเพียงอยากจะกลับมามีชีวิต
สำหรับเธอ ความตายไม่ใช่ความลับดำมืดที่ยิ่งใหญ่ เธอควบคุมมันได้ และเธอก็กำลังจะกลายเป็นปีศาจร้ายที่ชื่อว่าความตายนั้น
การแก้อาถรรพ์คือการก๊อปปี้วีดีโอม้วนนั้นให้คนอื่นดู แล้วเขาจะรอดตาย แต่ความสะพรึงกลัวในตัวเธอจะแพร่ขยายออกไปในวงกว้าง เธอจะมีอำนาจ เธอจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งในความกลัวที่เติบโตขึ้นในจิตใจแห่งมวลมนุษยชาติ การแก้แค้นของเธอสำเร็จแล้ว
เขาไม่อาจลบเธอออกจากโลกไปนี้ได้ อย่างที่ความตายเอง...ก็ไม่อาจทำได้
ชายหนุ่มไม่มีทางรอดพ้นจากคำสาปแห่งความเกลียดชังอย่างลึกซึ้ง ของผู้หญิงที่ทิ้งร่างตัวเองให้หมดลมหายใจอยู่ในก้นบ่อน้ำมืดมิด
(เรื่องราวทุกอย่างในภาพยนตร์จบลง เครดิตขึ้น...)
พอหนังจบผู้คนก็พากันลุกขึ้น ก่อนทยอยออกจากห้องฉายหนังจนแถวเก้าอี้ชมภาพยนตร์ว่างโล่ง ทว่ามีชายหนุ่มสองคนยังคงนั่งแข็งไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยสายตามองเครดิตไหลผ่านหน้าจอประกอบกับเพลงหลอนๆราวกับวิญญาณกระเด็นออกจากร่างไปเรียบร้อย
ทำไม...ทำไม...ทำไมมันจบทุเรศๆอย่างนี้ล่ะโว้ย!!
เสียงโวยวายในใจของคนทั้งคู่แทบจะกลืนเป็นเสียงเดียวกัน เพราะหนังที่ถูกกล่าวขานว่าสยองสุดในจักรวาลดันไม่เกินเลยความจริงแม้แต่นิดเดียว สมบูรณ์แบบ สมคำร่ำลือ แถมยังทรยศตอนสุดท้ายว่ายังไงก็ไม่มีทางแก้คำสาปได้อีกต่างหาก อย่างน้อยๆถ้าเรื่องมันจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ซามูไรมาดแมนสองคนคงไม่มีอาการประสาทแดก(มากนัก) แต่นี่...มันดันจบแบบผียังคงมีอยู่ต่อไป และไม่มีใครสามารถปราบมันได้ ช่าง...ช่างทำลายน้ำใจลูกผู้ชายกันเหลือเกิน
“หนะ...หนังบ้าอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะสนุกเล้ย ไอ้ที่ว่าน่ากลัวสุดในจักรวาลอะไรนั่นขี้โม้ทั้งเพ”
กินโทกิลุกขึ้นออกตัวก่อนได้เปรียบ แม้ว่ามือจะยังสั่นพั่บๆแต่ขอให้ได้เบ่งเถอะน่า
“เฮอะ! ฉันก็ว่าใช้ได้นี่นา แม่ผีสาวนั่นน่ะสวยใช่ย่อย ฉันล่ะอยากชักกะดึ๋ยกึ๋ยๆกับหล่อนจริงจริ๊ง”
ฮิจิคาตะพูดข่มทับกลับไป ทั้งที่ในใจกำลังสวดมนต์ร้อยจบ
...ผมพูดเล่นนะครับ อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยนะครับ เจ้าแม่วีดีโอเทป ผมไม่ได้ตั้งใจลบหลู่จริงๆครับ...
“เออ...จะทำอะไรก็เรื่องของแก ฉันจะกลับล่ะ” คุณกินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ทั้งโรงฉายหนังมืดๆ เหลือคนอยู่แค่สองคน อากาศเย็นเฉียบจากแอร์ ความวังเวงท่ามกลางสถานที่กว้างขวางแต่ปราศจากเงาสิ่งมีชีวิต และที่สำคัญเพลงบรรเลงเขย่าขวัญสั่นประสาทประกอบเครดิตท้ายเรื่องนี่มันก็โหยหวนไม่หยุดสักที เขาอยากออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
รองปีศาจก็คงคิดไม่ต่างกัน พยายามยันร่างลุกขึ้นยืนเตรียมตัวกลับบ้าน คิดในใจว่าคงต้องเปิดไฟนอนทั้งคืนแน่ๆ
ชายหนุ่มทั้งสองต่างหันหน้าไปคนละทาง เตรียมแยกย้ายทางใครทางมัน ไม่มีใครรู้สึกภูมิใจกับชัยชนะของตัวเอง เพราะในใจมีแต่เสียง...ต้องตายภายในเจ็ดวัน ต้องตายภายในเจ็ดวัน ต้องตายภายในเจ็ดวัน...
คนทั้งคู่บอกกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่า มันจะเป็นการดูหนังสยองขวัญครั้งสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาแน่นอน!!
............................................................................................................................................
ความคิดเห็น