ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : สั่งสอน
หลังปฏิบัติการเอริกะสิ้นสุด ฝ่ายมนุษย์หมดห่วงเรื่องเชื้อเพลิง กองพันของไพเพอร์ตั้งแนวรบที่ชายแดนซาอุดิอาระเบีย มีการฟื้นฟูทหารและมีการพัฒนาอาวุธมากมาย มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเมืองกรอสดอยช์แลนด์คือการทำลายกำแพงเมืองบาเรียและใช้ระบบม่านพลังงานแทนและลดระยะการบังของม่านพลังงานจากที่สามารถปิดบังสายตาไกลกว่า1500กิโล ลดให้เหลือเพียง700กิโลเมตรเพื่อเป็นการป้องกันน่านน้ำ
"ผมเองก็พึ่งรู้ก่อนที่ท่านนายพลจะมานี่แหละครับ"
"แมนดี้! มุกนี่ไม่ตลกนะ! มาร์คยังไม่ตาย!!! เขามีชีวิต! ฉันจะช่วยนายเองนะ!!"ซิโมน่าร้องไห้และลุกขึ้น แต่ว่า.....
"นี่คือคำสั่ง!!! เดินตามหลังซะ!!!"ชาร์ลตะโกนใส่
วันที่ 20 พฤษภาคม เวลา 10.10 รอมเมิลได้มาคุยกับนักวิทยาศาสตร์ไรช์ที่กำลังวิจัยด้านอาวุธใหม่ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ในนิวเบอร์ลิน
"อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านนายพล!"นักวิทยาศาสตร์กล่าวต้อนรับ
"อรุณสวัสดิ์ ตอนนี้มีอะไรพัฒนาบ้างแล้วล่ะ?"รอมเมิลถาม
"ตอนนี้เรากำลังพัฒนาระบบการยิงปืนใหญ่ของกุสตาฟและดอร่าอยู่ครับ"
"แล้วตอนนี้พัฒนาไปถึงไหนแล้วล่ะ?"
"ปืนใหญ่สองพี่น้องดอร่าและกุสตาฟได้เพิ่มระยะยิงหวังผลให้เป็น150กิโลเมตร ส่วนระยะยิงที่ไกลที่สุดคือ230กิโลเมตรตามหลักทฤษฎี"
"ทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ? มันได้มากสุดแค่47กิโลเมตรนิถ้ามากกว่านั้นกระบอกปืนจะระเบิดไม่ใช่เหรอ?"รอมเมิลถามด้วยความสงสัยและอึ้งไปพร้อมๆกัน
"เนื่องจากเราได้วิธีการอัดแผ่นเหล็กจากรถถังวัลคิรี่1น่ะครับ"
"วัลคิรี่1? ในบันทึกรายชื่อรถถังฮอรัสไม่เห็นมีชื่อนั้นเลยน่ะ?"รอมเมิลถาม
"เอติสเซเว่นนั้นหละครับ เราแค่ตั้งชื่อภาษามนุษย์ให้กับมัน"นักวิทย์ตอบ
"ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลยล่ะ?"รอมเมิลถามอีกครั้งพร้อมนั่งลงบนโซฟาและนักวิทย์ก็นั่งลงเหมือนกัน
"ผมเองก็พึ่งรู้ก่อนที่ท่านนายพลจะมานี่แหละครับ"
"แล้วเขามีหลักการตั้งชื่อยังไงล่ะ?"รอมเมิลถามพร้อมกับทหารเอสเอสคนหนึ่งชงชามาให้
"ณ ตอนนี้มีสองตระกูลหลักๆ ตระกูลแรกคือวัลคิรี่ เอาไว้ใช้กับพวกรถถังที่มีอนุภาพสูงและหาวิธีจัดการได้ยาก เอติสเซเว่นก็คือวัลคิรี่1 รถถังที่พวกรัสเซียเจอที่คันยาวๆเหมือนป้อมปราการเคลื่อนที่ก็คือวัลคิรี่2 ส่วนอีกตระกูลซึ่งเจอบ่อยคือพวกรถถังและรถหุ้มเกราะแบบง่อยๆทั่วไป ตระกูลวิกเตอร์ มาร์ค อะไรประมาณนั้น"
"ฉันว่าเรากลับเข้าเรื่องดีกว่านะ ฮะๆๆ"รอมเมิลหัวเราะ
"เรื่องของปืนใหญ่นี้ใช้เทคโนโลยีแบบไหนกัน? ถึงเพิ่มระยะยิงได้ขนาดนั้น?"รอมเมิลถามต่อ
"เราเสริมความถึกของลำกล้องและที่จุดชนวนให้แข็งแรงขึ้นแค่นั้นก็เพิ่มได้อีก60กิโลเมตร จากนั้นก็เป็นที่กระสุนซะส่วนใหญ่ เราใช้กระสุนที่มีรูเล็กๆตรงกลาง โดยตอนเหนี่ยวไกปืนตัวจุดระเบิดจะยิงอิเล็กตรอนผ่านรูตรงกลางและเหล็กที่อยู่รอบรูนั้นจะมีแท่งปะจุนิวตรอน เมื่ออิเล็กตรอนวิ่งผ่านไปมันจะดึงนิวตรอนและเวลาเดียวกันมันจะจุดระเบิดดินปืนและเกิดระเบิดขึ้น"
"แล้วอิเล็กตรอนกับนิวตรอนมันทำกับระบบปืนล่ะ?"รอมเมิลถามด้วยความงง
"อิเล็กตอรนซึ่งยิงออกไปก่อนจะดึงนิวตรอนที่เหลือ อิเล็กตรอนที่ยิงออกไปตอนแรกก็จะถูกประจุไฟฟ้าตัวอื่นๆในอากาศดึงตามไปด้วย และมันจะดึงไปเรื่อยๆจนกว่าแรงระเบิดจะน้อยลงจริงๆ และพอหัวกระสุนเริ่มหักหัวลงพื้น แรงโน้มถ่วงและประจุจะช่วยกันดึงกระสุน800มม.จนมันมีความเร็วเกือบเท่าแสง....."
"และพอมันใกล้พื้นมากขึ้นมันจะเริ่มเป็นเหมือนสายฟ้าเวลาพายุเข้าใช่มั้ยล่ะ"รอมเมิลขัดขึ้น
"ใช่ครับ อีกอย่างคือพอมันกระทบลงพื้นเมื่อไร...20กิโลจากจุดที่กระสุนตกจะเกิดคลื่นEMPทำให้
ฮอรัสไม่สามารถใช้งานยานยนต์มันได้ ข้อเสียคือฝ่ายเราเองก็จะใช้ไฟฟ้าไม่ได้เหมือนกัน"
"ศาสตราจารย์ครับ! ระบบช่วงล่างใหม่มีปัญหาครับ! รีบมาดูด่วนเลยนะครับ!!!"ชายคนหนึ่งวิ่งมา
บอกกับนักวิทยาศาสตร์
"งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ"เขาลุกขึ้นและวิ่งออกไป รอมเมิลก็ลุกขึ้นและเดินไปที่พื้นที่ซ้อมอาวุธใหม่ๆ แต่ว่า...
"นายพลรอมเมิล หากท่านอยู่ที่นี้กรุณารีบไปที่ฐานบัญชาการเบอร์ลินด้วยค่ะ ย้ำอีกครั้งหากนายพลเออร์วิน รอมเมิลอยู่ที่นี้กรุณาไปที่ฐานบัญชาการเบอร์ลินด้วยค่ะ"เสียงประกาศดังขึ้น
รอมเมิลเลยเดินออกมาจากศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกลับไปที่รถของเขาเอง
เวลา 14.30 รอมเมิลมาถึงฐานบัญชาการเบอร์ลินและพบนายพลเกอริงที่พึ่งมาถึง
"รอมเมิล? เขาเรียกนายด้วยเหรอ?"เกอริงตะโกนถาม
"ใช่...เฮ้ย! นั่นไคเทิลนิ!? นายพลIDFก็มาด้วย สงสัยจะวางแผนให้เราไปบุกที่ไหนสักที่อีกล่ะสิ"รอมเมิลบอก
"รอมเมิล! นายถูกเรียกมาด้วยเหรอ?"ชายคนหนึ่งเดินมาด้านหลัง ชายคนนั้นคือนายพลโมเดล
"นี้มันอะไรกันแน่เนี่ย?! นายพลดูเยอะเกินไปแล้วนะ!"เกอริงเริ่มหัวเสีย
รอมเมิล เกอริงและโมเดลเดินเข้าไปในที่ประชุมและพบกับนายพลระดับสูงมากกว่า40คนอยู่ที่ห้องลงทะเบียนรายชื่อ ระหว่างที่เกอริงกำลังลงชื่อเข้าประชุมเขาก็เจอชื่อของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์อยู่ในชื่อสมาชิกประชุม
"เออ..นี่นายน่ะ"เกอริงเรียกเอสเอคนหนึ่งที่ยืนคุม
"มีอะไรเหรอครับ?"
"ทำไมอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ถึงเป็นสมาชิกประชุมล่ะ? เขาควรเป็นประธานไม่ใช่เหรอ?"เกอริงชี้ไปที่ใบลงชื่อ
"ผมไม่ทราบครับ ผมแค่มายืนคุมน่ะครับ"
"มีอะไรกันเหรอ?"โมเดลเดินมาถามเกอริง เกอริงเลยเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่รอมเมิลกับโมเดลก็งงเหมือนกันทั้งคู่
"ขอเชิญนายพลทั้ง46ท่าน เขาห้องประชุมได้ค่ะ"เสียงประกาศดังขึ้น นายพลทั้งหลายเดินเข้าห้องและพบนายพลปาร์ค ซึน จอง นั่งที่ตำแหน่งประธานการประชุม
นายพลปาร์ค ซึน จอง เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพIDF เป็นคนเกาหลีเกิดที่ปูซาน
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงนายพลปาร์คได้เริ่มการประชุม
"เอาล่ะ เมื่อทุกคนมาถึงกันแล้ว งั้นผมขอเริ่มการประชุมความปลอดภัยของแอนตาร์กติกากันนะครับ"ปาร์คกล่าวเปิดการประชุม
ณ ห้องประชุมนั้นจะแบ่งกันตามประเทศ เยอรมันนี นาซีเยอรมันนี สหรัฐ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอื่นๆซึ่งที่นั่งของนายพลแต่ละประเทศจะมีเครื่องแปลภาษาวางไว้ให้ทุกที่นั่ง
เมื่อปาร์คพูดจบล่ามก็จะแปลให้นายพลฟังทีละประโยค
"ภาพจากสถานีอวกาศนานาชาติได้ถ่ายเจอกับกองเรือขนาดยักษ์ที่ตอนใต้ของนิวซีแลนด์ ซึ่งมันมีมากจนไม่น่าใช่การพักผ่อน ในแอฟริกาใต้และออสเตรเลียมีการถ่ายพบสนามบินที่เพิ่มมากขึ้น"ปาร์คพูดต่อ
เวลา 15.43 การประชุมจบลง นายพลทั้งหลายก็เดินออกจากห้องประชุม โดยนายพลแกร์ด ฟอน รุนด์ชเตดท์ที่ไม่สามารถมาร่วมประชุมได้เพราะเขากำลังจัดการเกี่ยวกับฐานทัพเรือที่แนวป้องกันของเขาได้มาถึงหน้าฐานเบอร์ลินและเดินมาหาฮิตเลอร์เพื่อถามเกี่ยวกับการประชุม
"ท่านผู้นำครับ! เรื่องประชุมเป็นยังไงบ้างครับ?!"รุนด์ชเตดท์ถาม
"นายพลปาร์คของIDFเรียกประชุมเพราะพวกISSมันถ่ายภาพเจอว่าฮอรัสมันอาจคิดที่จะบุกแอนตาร์กติกา มันมีกองเรือขนาดใหญ่จนน่ากลัวอยู่ทั่วท่าเรือออสเตรเลีย มีสนามบินฮอรัสนับร้อยๆผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดทั่วภูมิภาคที่ใกล้กับแอนตาร์กติกา เราเลยประชุมเพื่อหาวิธีจัดการพวกมันก่อนที่มันจะจัดการเรา"ฮิตเลอร์ตอบ
"แล้วมีแผนรับมือกันรึยังครับ?"
"ยัง...ตอนนี้เราทำได้แค่สร้างที่หลบภัยให้พลเรือนนับสิบๆล้าน ฉะนั้นเราควรลงมือให้เร็วที่สุด"
ฮิตเลอร์ตอบด้วยน้ำเสียงหดหู่
"แต่เราวางแผนกับนายพลปาร์คแล้ว แผนการบุกออสเตรเลียน่ะ"รอมเมิลบอกรุนด์ชเตดท์
"วางแผนกันเสร็จหมดแล้วเหรอ?"รุนด์ชเตดท์ถามอีกครั้ง
"ยังหรอก แค่วางแผนกันคร่าวๆน่ะ เออใช่! วันมะรืนตอน11โมงตรง นายพลปาร์คจะวางแผนการรบบุกออสเตรเลีย หวังว่านายคงมาได้นะ"รอมเมิลพูดพรางเปิดประตูรถและสตาร์ทรถ ฮิตเลอร์ก็เดินไปที่รถลีมูซีน และนายพลโมเดลก็เดินมาตบไหล่รุนด์ชเตดท์"วันมะรืนเจอกันที่นี้นะ"และเดินจากไป
วันที่ 22 พฤษภาคม 11โมงตรง นายพลหน้าเดิมๆทั้ง47คนมาร่วมวางแผนการรบ
"ในเมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ผมจะเริ่มการวางแผนบุกออสเตรเลียเลยนะครับ"ปาร์คเริ่มประชุม
"ตอนนี้เรามีทหารทั้งหมด4แสนคนที่พร้อมรบ มีรถถังอยู่7พันคัน ยานยนต์และรถลำเลียงพลทั้งหมด1แสน3พันคัน เรือรบและเรือลำเลียง200ลำ และเครื่องบิน120ลำที่จะมีในการรบครั้งนี้"ปาร์ครายงาน
ไคเทิลยกมือ"เชิญนายพลไคเทิลของนาซีเยอรมันครับ"ปาร์คพูด
"ผมว่าเราควรใช้การรบแบบเต็มอัตราศึกนะครับ"ไคเทิลพูด
"ยังไงคือเต็มอัตราศึก? นี่เรายังรบไม่เต็มอัตราศึกอีกเหรอ?"ปาร์คถาม
"ผมขอเสนอให้ใช้อาวุธเคมีและอาวุธทำลายล้างขั้นสูงสุดเพื่อกำจัดฮอรัสให้มีปประสิทธิภาพมากที่สุด"
"อาวุธเคมี?"นายพลเบอร์นาด เทนร์โมต้าถามขึ้น
"อาวุธเคมี?"นายพลเบอร์นาด เทนร์โมต้าถามขึ้น
"แก๊สมัสตาร์ด อาวุธในสงครามโลกครั้งที่1 ตามที่นักวิจัยรายงานมาพวกเขาบอกว่าเสื้อเกราะของพวกมันไม่สามารถกันแก๊สมัสตาร์ดได้ มันจะทำให้เราได้เปรียบอย่างมากหากใช้รูปแบบการรบเหมือนสงครามโลกครั้งที่1"ไคเทิลกล่าว ฮิตเลอร์และนายพลของนาซีคนอื่นๆก็พยักหน้าเห็นด้วย
"แต่แอนตาร์กติกามันไม่มีีีีทรัพยากรมากพอที่จะผลิดแก๊สนั้นได้นะ"นายพลนิชิมุระ โอซาว่ะพูดขึ้นมา
"เราทำได้!!!! นักวิจัยเราสามารถพัฒนาจนเราสังเคราะห์แก๊สมัสตาร์ดขึ้นมาได้!!!!"นายพลไคเทิลขึ้นเสียงดัง
"แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฮอรัสมันหาวิธีจัดการกับแก๊สนั่นขึ้นมาล่ะ?!"นายพลอิวานถามขึ้นมา
"เราส่งสายลับไปแล้ว หน่วยสายลับเลหิไปที่เมลเบิร์นแล้ว"ไคเทิลพูดขึ้น
"สายลับ?"อิวานถาม
"ใช่ เขาเป็นคนจัดการเกี่ยวกับเชลยศึกที่จับมาได้ เขาเลยพูดภาษาฮอรัสได้คล่องเหมือนฮอรัสตัวจริง เราทำสีผมเขียวมะนาวและใช้เลนส์สีเพื่อเปลี่ยนสีตาให้เป็นสีแดงสด"ไคเทิลตอบ
"แล้วเขาจะติดต่อมาหาเราทางไหนล่ะ?"นิชิุระถาม
"ตอนที่ส่งเขาไปน่ะ เราให้อุปกรณ์สื่อสารระยะไกล ปืนจิ๋ว อุปกรณ์ดักฟังและอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งไปด้วย พวกเขาไม่ลำบากแน่ๆ"ไคเทิลกอดอกและทำหน้าภูมิใจ ทั้งห้องประชุมลุกขึ้นปรบมือและชื่นชมในความสามารถของกระทรวงข่าวกรองเยอรมันนี
"เอาล่ะ จบเรื่องของสายลับและอาวุธไปแล้ว เรากลับมาคุยเรื่องแผรการรบดีกว่านะ"ปาร์คพูดลากกลับมาที่ประเด็นเดิม ทุกคนนั่งลงและเงียบเสียง
"แผนการบุกออสเตรเลียเราจะใช้ชื่อรหัสว่าปฏิบัติการโอเชียเนียนะ มีใครจะเสนอชื่ออื่นๆบ้างมั้ย?"ปาร์คเริ่มประเด็น และไม่มีคนแย้งเรื่องของชื่อแผนการ
"งั้นเราใช้ชื่อนี้นะ"ปาร์คบอก
"แผนการจะเกิดขึ้นตอนวันที่ 15 มิถุนายน 2019 ปฏิบัติการจะเริ่มตอน6โมง เราจะให้เครื่องร่อนส่งพลร่ม4กองพันไปที่เขตDonnybrook ประมาณ20กิโลเมตรจากเมืองเมลเบิร์น และให้พวกเขาไปเจอกับพวกเลหิและพวกต่อต้าน จากนั้นจะให้พวกเขาไปทำลายโรงไฟฟ้าและโรงงานอาวุธแถวๆสนามบิน"ปาร์คพูดเสร็จก็ปิดไฟและเปิดจอโปรเจคเตอร์แผนที่ให้นายพลดู
"เมื่อพวกเขาทำสำเร็จเขาจะติดต่อกลับมาและเราจะส่งกองเรือไปทันทีและพวกพลร่มจะไปทำลายอาวุธต่อต้านอากาศยานและอาวุธป้องกันชายฝั่งให้เรา นี่คือแผนการทั้งหมด"
"แล้วถ้าพวกนั่นยิงเครื่องร่อนเราทิ้งไปซะก่อนล่ะ?"นายพลมาร์ค เอ. ไมล์ลี่ถามนายพลปาร์ค
"มันเป็นเครื่องร่อนนะ เสียงเครื่องยนต์ก็ไม่มี เป็นเครื่องร่อนกลางคืนด้วยนะ มันไม่สังเกตหรอก"ปาร์คแย้งขึ้นมา
"ผมว่าทุกคนลืมสิ่งหนึ่งไปนะ...."นายพลแมดตี้ โฮเวนบราวน์จากกองทัพอังกฤษลุกขึ้นพูด
"เออใช่!! พวกเราลืมไปหนึ่งอย่าง!!"นายพลอิวานพูดขึ้น
"ใช่แล้ว..พวกเราลืมสิ่งก่อสร้างราคานับพันล้านดอลล่าของออสเตรเลีย..."นายพลซิโมน่า วิลกี้ของออสเตรเลียลุกขึ้นพูด
"กำแพงที่ป้องกันได้ทุกอย่างบนโลกนี้ กำแพงยักษ์ยาว600ไมล์"ไคเทิลพูดขึ้นและมองหน้านายพลคนอื่นๆ
ทั้งห้องอยู่ภายใต้ความเงียบนายพลปาร์คเหงื่อตก นายพลเกือบทั้งห้องโทรศัพท์ไปหาคนอื่นๆเพื่อยกเลิกแผนการทั้งหมด นายพลปาร์คปาดเหงื่อหยิบเอกสารต่างๆมาอ่านมากมายและตะโกนขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวายในห้องประชุม
"สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลายครับ! ยกเลิกการประชุมครับ! ยกเลิกๆ!!!"ปาร์คพูดขึ้น
"แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ?!"
"หลังจากนี้ผมจะให้แต่ละประเทศไปวางแผนการบุกเมลเบิร์นมาใหม่และให้นำมาเสนอในที่ประชุมอีกครั้ง และการประชุมครั้งต่อไปยังไม่มีกำหนดนะครััับ! แยกย้ายได้!!!!"นายพลปาร์คพูดเสร็จก็เดินออกจากห้องประชุม
วันที่ 23 พฤษภาคม นายพลของสหรัฐ อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลียและฝรั่งเศสได้ร่วมประชุมวางแผนและใช้ชื่อแผนการว่าปฏิบัติการแมนแฮตตัน โดยมีนายพลแมนดี้ โฮเวนบราวน์เป็นหัวหน้า
"ฉันติดต่อพวกทัพอากาศแล้ว พวกเขามีเครื่องบินทุกแบบให้เราใช้ นักบินก็พร้อมด้วย ฉันว่าเราควรใช้ทัพอากาศทำลายกำแพงและปืนชายฝั่งให้หมด จากนั้นเราจะส่งนาวิกฯยกพลขึ้นบกตามชายฝั่ง แล้วค่อยให้พลร่มไปเจอกับเลหิในตัวเมืองแล้วกัน"แมนดี้ชี้้ลงบนแผนที่
"แล้วเราจะทำลายกำแพงนั่นยังไงล่ะ?"นายพลลูซิเฟอร์ อองค์ซองฟาวน์ของฝรั่งเศสทักขึ้น
"ฉันถามพวกทหารปืนใหญ่กับทหารเรือแล้ว พวกเขาจะช่วยกันดัดแปลงปืนใหญ่M777ให้สามารถยิงบนเรือสินค้าได้"แมนดี้ตอบ
"เรือรบก็มีจะเอาไปติดตั้งบนเรือสินค้าทำไม?"นายพล มาร์ค เอ. ไมล์ลี่ถามขึ้น
"เราจะเอาเรือรบไปปิดเส้นทางเดินเรือที่ชายฝั่งตะวันตกไปจนถึงรัฐแทสเมเนียจนหมด พวกเราจะครองน่านน้ำและน่านฟ้า เราจะได้เปรียบมากในการรบครั้งนี้"แมนดี้ตอบอย่างภูมิใจ
"นายแน่ใจได้ไงว่าปืนขนาดมม.แค่155จะทำลายกำแพงนั่นได้?"มาร์คถาม
"ด้วยกระสุนชนิดใหม่ที่พวกนักวิจัยพึ่งทำเสร็จ มันเป็นกระสุนที่ใช้เจาะทำลายคอนกรีตโดยเฉพาะ และทดสอบแล้วว่ามันได้ผล!"แมนดี้ยืดอกและมองหน้าทุกคน
ครื้น!!! จู่ๆห้องยุทธการก็เกิดสั่นไหวอย่างรุนแรงและไฟก็ดับ
"แผ่นดินไหวเหรอ?!"มาร์คตะโกนส่งเสียงดัง
ตึงๆๆๆๆๆ!!!! เสียงฝีเท้าคนๆหนึ่งที่ดังขึ้น
"ข้าศึกบุก!!!!! ประจำสถานีรบ!!!!!"ทหารคนนั้นตะโกนเข้ามาในห้อง
นายพลมาร์ค แมนดี้ ลูซิเฟอร์ ซิโมน่าและนายพลไซมอนด์วิ่งออกมาจากห้องและพบว่าอาคารที่พวกเขาใช้ประชุมนั้นกำลังจะถล่ม
"วิ่งไปเร็วๆเข้า!!! ตึกกำลังจะถล่มแล้ว!!!"มาร์คตะโกนเรียกทุกคนและวิ่งนำหน้าไป
บึ้ม!!!!! กระสุนนัดหนึ่งตกมาใส่หลังคาซึ่งอยู่เหนือหัวของนายพลมาร์คพอดี ทำให้มาร์คโดนเพดานทับร่างของเขาไว้
"อ๊ากก!!! ช่วยฉันด้วย!! ฝุ่นเข้าตาฉันมองอะไรไม่เห็นเลย!!"มาร์คตะโกนขอความช่วยเหลือ
"ฉันมาแล้ว!"ซิโมน่าและแมนดี้มาช่วยกันเอาแผ่นคอนกรีตออกจากร่างของมาร์ค
"เอ้า! 1..2..3..ยก!!!" "ฮึบ!!!!! ได้เเล้ว! ฉันเห็นแขนเขาแล้ว!"ซิโมน่าบอกแมนดี้
"ซิโมน่า.....มาร์คตายแล้ว...ไม่มีสัญญาณของชีพจร..."แมนดี้้บอกซิโมน่าและถอดหมวกออกมาทำความเคารพ
"แมนดี้! มุกนี่ไม่ตลกนะ! มาร์คยังไม่ตาย!!! เขามีชีวิต! ฉันจะช่วยนายเองนะ!!"ซิโมน่าร้องไห้และลุกขึ้น แต่ว่า.....
ฟิ้วววว..บึ้ม!!!!! กระสุนปืนใหญ่นัดหนึ่งตกลงมาใส่จุดที่ซิโมน่าและแมนดี้ยืนอยู่ ทำให้พวกเขาทั้งคู่เสียชีวิตทันที ส่วนนายพลไซมอนด์และลูซิเฟอร์วิ่งออกจากตึกไปนานแล้วทำให้พวกเขาทั้งคู่รอดชีวิต แต่ซิโมน่ากับแมนดี้นั่นจบจากโรงเรียนนายร้อยที่เดียวกันทำให้พวกเขานั่นสนิทกันมากและพวกเขาก็เสียชีวิตด้วยกัน
ตัดไปที่การรบ เรือรบของฮอรัสระดมยิงใส่แอนตาร์กติกาโดยที่ไม่ได้ข้ามาในเขตม่านพลัง
"มันรู้ตำแหน่งแล้วเหรอ?!"รอมเมิลรีบเดินทางมาจากฐานทัพในนิวเบอร์ลินและมาที่ศูนย์ป้องกันภัยเพื่อถามถึงการโจมตีใส่ชายฝั่งน้ำแข็ง ที่นั่นนายพลคาร์ล เดอนิทซ์ก็อยู่บัญชาการด้วยและนายพลยามามุระ ที่เป็นนายพลของหน่วยงานการลาดตระเวนก็อยู่ด้วย
"รอมเมิล?! นายมาทำไมกัน?"เดอนิทซ์ถาม
"เจ้าปาร์คสั่งให้ฉันมาที่นี่เพื่อถามสถานการณ์ไง เขาบอกว่าถ้ามันรู้ตำแหน่งจริงๆเราจะต้องรีบหาวิธีรับมือ"รอมเมิลตอบ
"ตอนนี้มันยังไม่เจอเรา แต่เหมือนมันจะแค่ลองดูว่าเราอยู่ที่นี่จริงๆรึเปล่า แต่ทัพบกเตรียมตัวเผื่อไว้ก่อนก็ดีนะ"นายพลยามามุระบอกรอมเมิล
"งั้นผมให้พวกปืนใหญ่ชายฝั่งเตรียมพร้อมรบไว้ก่อนแล้วกัน"รอมเมิลพูดเสร็จก็เดินออกไป
เวลา10.18 การยิงเริ่มขึ้นและการยิงสิ้นสุดตอน11.20 มีพลเรือนและทหารเสียชีวิตมากกว่า300คน มีบ้านเรือนเสียหายมากกว่า40หลัง มีีอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารที่เสียหายมากกว่า50อย่าง มีเรือรบ3ลำที่ถูกยิงจนจมลงทะเล
วันที่ 24 พฤษาคม เวลา02.30 นายพลปาร์คได้เรียกนายพลระดับสูงทุกคนมาประชุมเร่งด่วนมามาตราการรับมือกับภัยที่อาจจะเกิดขึ้น
"ยามามุระ! รายงานมาซิว่าทัพเรือพวกมันเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง?!"ปาร์คตะโกนขึ้น
"ตามที่โดรนถ่ายภาพมาได้ พวกมันยังอยู่ที่อ่าวครับคาดว่ามันแค่อาจตรวจสอบเกี่ยวกับแอนตาร์กติกาน่ะครับ"ยามามุระตอบ
"ผมว่าไหนๆเราก็มารวมกันแล้ว เราควรวางแผนบุกออสเตรเลียกันนะครับ"นายพลไซมอนด์ลุกขึ้นพูด
"นั่นสินะ ในเมื่อพวกมันแค่ยิงตรวจสอบและมันยังไม่สงสัย เราก็ควรลงมือให้ไวที่สุด"ปาร์คเห็นด้วย
ปัง!!!! "ท่านไคเทิลครับ!!!" ทหารนาซีคนหนึ่งเปิดประตูท่ามกลางการประชุมโดยที่ไม่สนใจยามหน้าห้อง
"สิบโท?! เกิดอะไรขึ้น?!"ไคเทิลถามทหารคนนั้น
"ท่านนายพลครับ! ผมมีข่าวใหญ่มาบอกครับ รบกวนลงมาหาผมหน่อยครับ!"
"หัวหน้าที่ประชุมปาร์คครับ ผมขอเวลานอกนะครับ"ไคเทิลบอกปาร์คและเดินลงไปหาสิบโท
"มันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?"ทั้งห้องประชุมมีแต่คำถามเกิดขึ้น
10นาทีต่อมา "ท่านปาร์คครับ ผมขอขึ้นไปประกาศบางอย่าง ได้ไหมครับ?"ไคเทิลถามปาร์ค
"เชิญนายพลไคเทิลครับ"ปาร์คพูดขึ้นและหลีกทางให้
"นายพลทั้งหลายครับ เมื่อกี้พึ่งมีข่าวจากสายลับเลหิของพวกเรา...พลเรือนในเมลเบิร์นนับพันๆที่ตกค้างในเมืองได้ก่อจลาจลขึ้น และพวกเขาเริ่มโจมตีทหารฮอรัสตั้งแต่ช่วงเช้าและตอนนี้พวกเขาพึ่งระเบิดโรงไฟฟ้าและโรงงานผลิตอาวุธ"ไคเทิลพูดขึ้น
"งั้นเราควรรีบลงมือเลยไม่ใช่เหรอ?!"นายพลลูซิเฟอร์ลุกขึ้นพูด
"ตรงข้าม พวกเขาผลิตทั้งรถถังและปืนใช้กันเองและพวกเขายึดเมลเบิร์นตอนเหนือได้หมดแล้ว ที่เราควรเป็นห่วงก็พวกทัพเรือนี่แหละ พวกเลหิบอกว่าทัพเรือใช้ทุกอย่างที่มีถล่มใส่เมือง และบางส่วนก็ออกจากท่าเรือและลงมาหาพวกเรา"ไคเทิลตอบกลับ
"งั้นเราควรวางแผนรับมือกับทัพเรือนั่นนะ!!!"ลูซิเฟอร์ตะโกนขึ้น นายพลหลายคนก็ลุกขึ้นและเรียกร้องให้รีบลงมือ
"งั้นผมถอนตัว!!! ผมจะให้แต่ละประเทศวางแผนและลงมือกันตามใจไปเลย!!! ผมถอนตัวล่ะ!!"ปาร์คตะคอกใส่และเดินออกจากห้อง
วันที่ 25 พฤษภาคม 10.42 ทหารฝรั่งเศส ออสเตรเลีย อังกฤษ อินเดียและจีนเริ่มส่งทหารไปหาแผ่นดินออสเตรเลียเพื่อสนับสนุนหน่วยต่อต้านในออสเตรเลีย ส่วนทหารนาซีจะส่งทหารไปที่เมืองเพิร์ทตอนเวลา20.00
วันที่ 30 พฤษภาคม ทหารฝรั่งเศสผสมที่7 บัญชาการโดยนายพลลูซิเฟอร์ได้เข้าสู่เขตเมือง
เมลเบิร์นอย่างทุลักทุเล ส่วนกองพันที่เหลือยังคงสู้อยู่นอกเมืองและมีการสนับสนุนจากพลเรือนที่ต่อต้าน
เวลา 04.29 กองพันผสมฝรั่งเศสที่7 เข้าสู่เขตเมลเบิร์น โดยที่มีรถถังAMX Leclercนำทางและมีทหารราบประกบข้าง
"พลรถถังทุกนาย..ตอนนี้้เราเข้าเขตอันตรายแล้ว ระวังรอบข้างไว้ด้วย"จ่าสิบเอกชาร์ล เปแตง
ผบ.รถถังซึ่งเป็นคนนำทัพบอกกับพลรถถัง
ก๊อกๆ "นี่จ่าครับ ผมว่าเราควรให้ทหารราบเดินนำนะครับ"จ่าสิบโทคนหนึ่งเคาะฝาป้อมรถถังและบอกชาร์ล
"ไม่ สถานการณ์แบบนี้รถถังนำหน้าไว้ก่อน ปลอดภัยกว่าและเราจะสูญเสียทหารน้อยกว่า"ชาร์ล
บอก
"แต่ว่ารถถังมันมองไม่รอบด้านเหมือนตาคนนะครับ"
"นี่คือคำสั่ง!!! เดินตามหลังซะ!!!"ชาร์ลตะโกนใส่
จ่าสิบโทคนนั้นปีนกลับไปข้างล่างและจัดแถวเดินเรียงตามรถถัง
"2นาฬิกา!! ปืนใหญ่ต่อต้านรถถัง!!"ทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้น
ปัง!....ฟิ้วววววว....บึ้ม!!!! กระสุนตกลงมาใส่ด้านหลังของรถถังและทหารราบที่เดินตามนั้นโดนระเบิดไปหมด "มีคนบาดเจ็บ!! หมอ!! หมออยู่ไหน?!!"
"พลขับ ขับไปทาง2นาฬิกาและเดินหน้าเต็มตัว"ชาร์ลสั่ง
"รถถังคันอื่นๆตามฉันมา!"ชาร์ลวิทยุไปบอกคนผบ.รถถังคนอื่นๆ
"บรรจุกระสุน! ปืนใหญ่ทาง7นาฬิกา 2กระบอก! ยิงได้!!!!!"
ปัง!!!...ชึกๆ ปัง!!!...ชึกๆ ปัง!!!...ชึกๆ บึ้มๆๆๆ!!!!
"ปืนใหญ่ถูกทำลายแล้ว!! เป้าหมายต่อไป......."ชาร์ลพูดไม่ทันขาดคำ ปืนใหญ่ตามแนวพุ่มไม้เกิดระเบิดขึ้น
"เป็นไง? แบบนี้พอจะช่วยได้มั้ย?"มีชายคนหนึ่งแทรกสัญญาณวิทยุมาคุยกับพลรถถัง
จากนั้นชายหนุ่มและหญิงสาวนับสิบๆคนออกมาจากพุ่มไม้ พวกเขาคือหน่วยต่อต้านออสเตรเลีย บางคนโบกธงIDFไปมาและโห่ร้องต้อนรับทหารฝรั่งเศส
เวลา 04.53 เมื่อเขตรอบๆสวนสัตว์ปลอดภัย ทหารชาติอื่นๆเริ่มมาถึงและตั้งศูนย์บัญชาการแนวหน้า ส่วนกองพันผสมฝรั่งเศสที่7ก็รุกเข้าเมืองต่อไป
เวลา 06.24 กองทัพอากาศนาซีเยอรมันบินมาทิ้งใบปลิวเตือนภัยการโจมตีทางอากาศ
"นี่! นั่นอะไรน่ะ?! ใบปลิวเหรอ?...คำเตือนจะมีการปูพรมใส่ทั่วเมลเบิร์น ให้พลเรือนทุกคนหลบในที่ปลอดภัย การทิ้งระเบิดจะเริ่มตอนเวลา06.50"พลเรือนในเมืองเจอใบปลิวที่ทางการส่งคำเตือนมาให้
เวลา 06.50 ฝูงบินทิ้งระเบิด10ฝูง เครื่องบินJu 287บินมาถปูพรมทำให้เมลเบิร์นทั้งเมืองกลายเป็นทะเลเพลิง
นายพลลูซิเฟอร์เดินทางมาที่ศูนย์บัญชาการแนวหน้าเพื่อมาพูดคุยกับนายทหาร โดยมีเสียงระเบิดและเสียงเปลวเพลิงเป็นพื้นหลัง
"จ่าตรงนั้นน่ะ ช่วยรายงานสถานการณ์รบให้ฟังสิ"ลูซิเฟอร์สั่งและนั่งลงบนเก้าอี้
"ตอนนี้กองพันผสมที่7ของเราเข้าไปถึงสนามกีฬาของเมืองแล้วครับ เราบุกไปในไวเพราะการช่วยเหลือจากหน่วยต่อต้านครับ"
"ดีมาก ส่งกองพันไปช่วยพวกเขาด้วย"ลูซิเฟอร์บอกและลุกขึ้น
ตัดไปที่กองพันผสมที่7 พวกของชาร์ลที่กำลังยิงกันอยู่ในเมือง พวกต่อต้านนำพวกลังไม้ กระสอบทรายและสิ่งต่างๆมาเป็นที่กำบังตามแนวถนน หน่วยต่อต้านต่างหยิบปืนลุกขึ้นสู้ไปพร้อมกับทหารฝรั่งเศส
"รถหุ้มเกราะฮอรัสมาแล้ว! เล็งไปทาง2นาฬิกา!! ยิง!"ชาร์ลตะโกนขึ้น
ปัง!!...ชึกๆ ปัง!!...ชึกๆ ปัง!!...ชึกๆ "พวกเรา!!! อีกนิดเดียวก็จะเอาเมืองเรากลับมาได้แล้ว!!!!"พลเรือนคนหนึ่งตะโกนขึ้น
"บุกเลย!!!! ฮูร้าาาาาาา!!!!!!!!!"
หน่วยต่อต้านนับร้อยๆคนวิ่งออกจากที่กำบัง คนที่วิ่งนำถือธงชาติออสเตรเลียและคนอื่นๆก็วิ่งตามกันโดยไม่กลัวตาย
"เดี๋ยวก่อน! มันอันตรายเกินไปนะ!!!"ชาร์ลเปิดฝารถถังและตะโกนเรียกหน่วยต่อต้าน
"ไม่เป็นไรหรอก พวกเขารู้ดีว่าทำอะไรลงไป"พลเรือนคนหนึ่งเดินมาบอกชาร์ล
"จะไม่เป็นไรได้ไง?!"ชาร์ลตะคอกใส่
"สนามกีฬาน่ะ พวกฮอรัสใช้เป็นที่กักขังเชลยศึก ในสนามกีฬานั่นน่ะมีทหารIDFไม่ต่ำกว่า4พันคน ฉันว่าพวกเขาจะไปช่วยเหลือทหารออกมาและบุกเข้าตีเมืองทีเดียว"
"งั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ แล้วหน่วยต่อต้านที่มากันล่ะ? มีกี่คน?"ชาร์ลถามพลเรือนคนนั้น
"5พันกับอีก300คน รวมทหารที่กำลังจะถูกปล่อยจากค่ายก็เป็น9พันคนถ้ารวมทหารที่กำลังตีฝ่าเข้ามาก็อาจจะเกือบ2หมื่นคน"
"ผบ.ครับ! ฐานปืนกลทาง9นาฬิกาครับ!"พลรถถังคนนึงตะโกนขึ้นมา ชาร์ลเลยกลับเข้าไปในรถ
หลังจากนั้นรถถังของชาร์ลก็เริ่มเดินหน้าพร้อมรถฮัมวี่และรถถังที่ขับผ่านเลยไป ทหารมากมายที่ตะโกนเชียร์ทหารด้วยกัน
วันที่ 31 พฤษภาคม เวลา 14.28 เพลิงจากการปูพรมยังคงไหม้ไปทั่วเมือง กองพันผสมที่7ของฝรั่งเศสได้เริ่มข้ามแม่น้ำยาร์รา โดยใช้ทางหลวงหมายเลข60ข้ามแม่น้ำ โดยระหว่างทางพลเรือนก็ออกมาต้อนรับอย่างดีอกดีใจ พร้อมกับแถวของทหารฮอรัสที่โดนหน่วยต่อต้านกำลังยืนคุมแถวเชลย
เวลา 15.47 กองพันผสมที่7ได้มาถึงเขตClaytonและกองพันยานเกราะที่3ของสหรัฐเข้าโจมตีเขตThomastown ทางตอนเหนือของเมลเบิร์น
"รถถังฮอรัสทาง6นาฬิกา!! เล็ง!! ยิงได้!!"ชาร์ลวิทยุสั่ง
ปัง!!!...ชึกๆ ปัง!!!...ชึกๆ ปัง!!!...ชึกๆ "ข้าศึกถูกทำลายแล้ว!!"
"หยุดยิงก่อน!!! นั่นพวกทหารอินเดีย!"ชาร์ลบอกและเปิดฝารถถังออกมาส่องกล้องทางไกล
"นี่สิบโท! ติดต่อกับพวกอินเดียซิ!"ชาร์ลสั่ง
"รับทราบ!"สิบโมพูดเสร็จก็วิ่งไปที่แนวหน้าของพวกอินเดียไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็วิ่งกลับมา
"เรายึดเมืองฝั่งตะวันออกได้แล้ว!"สิบโทตะโกนขึ้น ทหารมากมายต่างตะโกนโห่ร้องดีใจ
"ท่านชาร์ลครับ! วิทยุจากพวกอเมริกันบอกว่าพวกเขายึดเมืองตอนเหนือได้หมดแล้วครับ!"
เวลานี้ส่วนที่ยังยึดไม่ได้คือแนวหน้าของถนนFlindersถึงถนนSpringถึงถนนVictoriaและไปบรรจบที่ถนนLa Trobe
วันที่ 1 มิถุนายน เวลา 07.22 กองพันทหารราบที่3ของฝรั่งเศสได้ปักธงฝรั่งเศสและธงออสเตรเลียขนาดยักษ์ไว้เหนืออาคารสถานีรถไฟใต้ดินเมลเบิร์น(Melbourne Central Railway Station แปะไว้เผื่ิอหาไม่เจอ)
"เมลเบิร์นกำลังประกาศ...จากสถานีวิทยุเมลเบิร์น กองพันผสมฝรั่งเศสที่7 บัญชาการโดยนายพลลูซิเฟอร์ของกองทัพฝรั่งเศส และด้วยการสนับสนุนการรบจากกองพันทหารราบที่3 บัญชาการโดยนายพลเอลรอยของกองทัพฝรั่งเศส เวลา 7.20ของวันที่ 1 มิถุนายน 2019 ณ บัดนี้ธงแห่งเสรีภาพได้โบกสะบัดเหนือนครเมลเบิร์นเป็นที่เรียบร้อย"
"สั่งสอนมันซะบ้างว่ามันสู้กับใคร!!!!!!"ทหารที่อยู่บนถนนต่างโห่ร้องดีใจ
นายพลมาร์ค ของกองทัพสหรัฐได้ได้เดินทางมาคุยกับนายพลลูซิเฟอร์ที่ศูนย์บัญชาการแนวหน้า
"การสั่งสอนของเราดูจะไปได้สวยนะ"มาร์คบอกกับลูซิเฟอร์
"นั่นน่ะสิ พวกมันคงเข็ดไปอีกนานกับการสั่งสอนในครั้งนี้"ลูซิเฟอร์ตอบ
บทสรุปของแผนสั่งสอนในครั้งนี้กินเวลานาน3วัน มีทหารในการรบครั้งนี้กว่า4หมื่นนาย มีทหารบาดเจ็บกว่า1หมื่น8พันนาย มีทหารเสียชีวิตกว่า1หมื่น9ร้อยนาย จับเชลยศึกฮอรัสได้มากกว่า3หมื่นนาย มีพลเรือนที่ช่วยเหลือได้มากกว่า3หมื่นคน มีทหารที่ช่วยออกจากค่ายเชลยได้1หมื่นนาย
และหลังจากนี้คือการลงทัณฑ์จากฝ่ายมนุษย์ให้พวกฮอรัสนั้นรู้ว่าควรทำอะไร!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น