ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    World At War : Strike back ภาค2

    ลำดับตอนที่ #1 : สั่งสอน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 226
      5
      31 มี.ค. 61

    หลังปฏิบัติการเอริกะสิ้นสุด ฝ่ายมนุษย์หมดห่วงเรื่องเชื้อเพลิง กองพันของไพเพอร์ตั้งแนวรบที่ชายแดนซาอุดิอาระเบีย มีการฟื้นฟูทหารและมีการพัฒนาอาวุธมากมาย มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเมืองกรอสดอยช์แลนด์คือการทำลายกำแพงเมืองบาเรียและใช้ระบบม่านพลังงานแทนและลดระยะการบังของม่านพลังงานจากที่สามารถปิดบังสายตาไกลกว่า1500กิโล ลดให้เหลือเพียง700กิโลเมตรเพื่อเป็นการป้องกันน่านน้ำ 

    วันที่ 20 พฤษภาคม เวลา 10.10 รอมเมิลได้มาคุยกับนักวิทยาศาสตร์ไรช์ที่กำลังวิจัยด้านอาวุธใหม่ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ในนิวเบอร์ลิน

    "อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านนายพล!"นักวิทยาศาสตร์กล่าวต้อนรับ

    "อรุณสวัสดิ์ ตอนนี้มีอะไรพัฒนาบ้างแล้วล่ะ?"รอมเมิลถาม

    "ตอนนี้เรากำลังพัฒนาระบบการยิงปืนใหญ่ของกุสตาฟและดอร่าอยู่ครับ"

    "แล้วตอนนี้พัฒนาไปถึงไหนแล้วล่ะ?"

    "ปืนใหญ่สองพี่น้องดอร่าและกุสตาฟได้เพิ่มระยะยิงหวังผลให้เป็น150กิโลเมตร ส่วนระยะยิงที่ไกลที่สุดคือ230กิโลเมตรตามหลักทฤษฎี"

    "ทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ? มันได้มากสุดแค่47กิโลเมตรนิถ้ามากกว่านั้นกระบอกปืนจะระเบิดไม่ใช่เหรอ?"รอมเมิลถามด้วยความสงสัยและอึ้งไปพร้อมๆกัน

    "เนื่องจากเราได้วิธีการอัดแผ่นเหล็กจากรถถังวัลคิรี่1น่ะครับ"

    "วัลคิรี่1? ในบันทึกรายชื่อรถถังฮอรัสไม่เห็นมีชื่อนั้นเลยน่ะ?"รอมเมิลถาม

    "เอติสเซเว่นนั้นหละครับ เราแค่ตั้งชื่อภาษามนุษย์ให้กับมัน"นักวิทย์ตอบ

    "ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลยล่ะ?"รอมเมิลถามอีกครั้งพร้อมนั่งลงบนโซฟาและนักวิทย์ก็นั่งลงเหมือนกัน

    "ผมเองก็พึ่งรู้ก่อนที่ท่านนายพลจะมานี่แหละครับ"

    "แล้วเขามีหลักการตั้งชื่อยังไงล่ะ?"รอมเมิลถามพร้อมกับทหารเอสเอสคนหนึ่งชงชามาให้

    "ณ ตอนนี้มีสองตระกูลหลักๆ ตระกูลแรกคือวัลคิรี่ เอาไว้ใช้กับพวกรถถังที่มีอนุภาพสูงและหาวิธีจัดการได้ยาก เอติสเซเว่นก็คือวัลคิรี่1 รถถังที่พวกรัสเซียเจอที่คันยาวๆเหมือนป้อมปราการเคลื่อนที่ก็คือวัลคิรี่2 ส่วนอีกตระกูลซึ่งเจอบ่อยคือพวกรถถังและรถหุ้มเกราะแบบง่อยๆทั่วไป ตระกูลวิกเตอร์ มาร์ค อะไรประมาณนั้น"

    "ฉันว่าเรากลับเข้าเรื่องดีกว่านะ ฮะๆๆ"รอมเมิลหัวเราะ

    "เรื่องของปืนใหญ่นี้ใช้เทคโนโลยีแบบไหนกัน? ถึงเพิ่มระยะยิงได้ขนาดนั้น?"รอมเมิลถามต่อ

    "เราเสริมความถึกของลำกล้องและที่จุดชนวนให้แข็งแรงขึ้นแค่นั้นก็เพิ่มได้อีก60กิโลเมตร จากนั้นก็เป็นที่กระสุนซะส่วนใหญ่ เราใช้กระสุนที่มีรูเล็กๆตรงกลาง โดยตอนเหนี่ยวไกปืนตัวจุดระเบิดจะยิงอิเล็กตรอนผ่านรูตรงกลางและเหล็กที่อยู่รอบรูนั้นจะมีแท่งปะจุนิวตรอน เมื่ออิเล็กตรอนวิ่งผ่านไปมันจะดึงนิวตรอนและเวลาเดียวกันมันจะจุดระเบิดดินปืนและเกิดระเบิดขึ้น"

    "แล้วอิเล็กตรอนกับนิวตรอนมันทำกับระบบปืนล่ะ?"รอมเมิลถามด้วยความงง

    "อิเล็กตอรนซึ่งยิงออกไปก่อนจะดึงนิวตรอนที่เหลือ อิเล็กตรอนที่ยิงออกไปตอนแรกก็จะถูกประจุไฟฟ้าตัวอื่นๆในอากาศดึงตามไปด้วย และมันจะดึงไปเรื่อยๆจนกว่าแรงระเบิดจะน้อยลงจริงๆ และพอหัวกระสุนเริ่มหักหัวลงพื้น แรงโน้มถ่วงและประจุจะช่วยกันดึงกระสุน800มม.จนมันมีความเร็วเกือบเท่าแสง....."

    "และพอมันใกล้พื้นมากขึ้นมันจะเริ่มเป็นเหมือนสายฟ้าเวลาพายุเข้าใช่มั้ยล่ะ"รอมเมิลขัดขึ้น

    "ใช่ครับ อีกอย่างคือพอมันกระทบลงพื้นเมื่อไร...20กิโลจากจุดที่กระสุนตกจะเกิดคลื่นEMPทำให้
    ฮอรัสไม่สามารถใช้งานยานยนต์มันได้ ข้อเสียคือฝ่ายเราเองก็จะใช้ไฟฟ้าไม่ได้เหมือนกัน"

    "ศาสตราจารย์ครับ! ระบบช่วงล่างใหม่มีปัญหาครับ! รีบมาดูด่วนเลยนะครับ!!!"ชายคนหนึ่งวิ่งมา
    บอกกับนักวิทยาศาสตร์

    "งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ"เขาลุกขึ้นและวิ่งออกไป รอมเมิลก็ลุกขึ้นและเดินไปที่พื้นที่ซ้อมอาวุธใหม่ๆ แต่ว่า...

    "นายพลรอมเมิล หากท่านอยู่ที่นี้กรุณารีบไปที่ฐานบัญชาการเบอร์ลินด้วยค่ะ ย้ำอีกครั้งหากนายพลเออร์วิน รอมเมิลอยู่ที่นี้กรุณาไปที่ฐานบัญชาการเบอร์ลินด้วยค่ะ"เสียงประกาศดังขึ้น

    รอมเมิลเลยเดินออกมาจากศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกลับไปที่รถของเขาเอง

    เวลา 14.30 รอมเมิลมาถึงฐานบัญชาการเบอร์ลินและพบนายพลเกอริงที่พึ่งมาถึง

    "รอมเมิล? เขาเรียกนายด้วยเหรอ?"เกอริงตะโกนถาม

    "ใช่...เฮ้ย! นั่นไคเทิลนิ!? นายพลIDFก็มาด้วย สงสัยจะวางแผนให้เราไปบุกที่ไหนสักที่อีกล่ะสิ"รอมเมิลบอก

    "รอมเมิล! นายถูกเรียกมาด้วยเหรอ?"ชายคนหนึ่งเดินมาด้านหลัง ชายคนนั้นคือนายพลโมเดล

    "นี้มันอะไรกันแน่เนี่ย?! นายพลดูเยอะเกินไปแล้วนะ!"เกอริงเริ่มหัวเสีย

    รอมเมิล เกอริงและโมเดลเดินเข้าไปในที่ประชุมและพบกับนายพลระดับสูงมากกว่า40คนอยู่ที่ห้องลงทะเบียนรายชื่อ ระหว่างที่เกอริงกำลังลงชื่อเข้าประชุมเขาก็เจอชื่อของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์อยู่ในชื่อสมาชิกประชุม

    "เออ..นี่นายน่ะ"เกอริงเรียกเอสเอคนหนึ่งที่ยืนคุม

    "มีอะไรเหรอครับ?"

    "ทำไมอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ถึงเป็นสมาชิกประชุมล่ะ? เขาควรเป็นประธานไม่ใช่เหรอ?"เกอริงชี้ไปที่ใบลงชื่อ

    "ผมไม่ทราบครับ ผมแค่มายืนคุมน่ะครับ"

    "มีอะไรกันเหรอ?"โมเดลเดินมาถามเกอริง เกอริงเลยเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่รอมเมิลกับโมเดลก็งงเหมือนกันทั้งคู่

    "ขอเชิญนายพลทั้ง46ท่าน เขาห้องประชุมได้ค่ะ"เสียงประกาศดังขึ้น นายพลทั้งหลายเดินเข้าห้องและพบนายพลปาร์ค ซึน จอง นั่งที่ตำแหน่งประธานการประชุม 

    นายพลปาร์ค ซึน จอง เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพIDF เป็นคนเกาหลีเกิดที่ปูซาน

    หลังจากที่ทุกคนนั่งลงนายพลปาร์คได้เริ่มการประชุม

    "เอาล่ะ เมื่อทุกคนมาถึงกันแล้ว งั้นผมขอเริ่มการประชุมความปลอดภัยของแอนตาร์กติกากันนะครับ"ปาร์คกล่าวเปิดการประชุม 

    ณ ห้องประชุมนั้นจะแบ่งกันตามประเทศ เยอรมันนี นาซีเยอรมันนี สหรัฐ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอื่นๆซึ่งที่นั่งของนายพลแต่ละประเทศจะมีเครื่องแปลภาษาวางไว้ให้ทุกที่นั่ง

    เมื่อปาร์คพูดจบล่ามก็จะแปลให้นายพลฟังทีละประโยค

    "ภาพจากสถานีอวกาศนานาชาติได้ถ่ายเจอกับกองเรือขนาดยักษ์ที่ตอนใต้ของนิวซีแลนด์ ซึ่งมันมีมากจนไม่น่าใช่การพักผ่อน ในแอฟริกาใต้และออสเตรเลียมีการถ่ายพบสนามบินที่เพิ่มมากขึ้น"ปาร์คพูดต่อ

    เวลา 15.43 การประชุมจบลง นายพลทั้งหลายก็เดินออกจากห้องประชุม โดยนายพลแกร์ด ฟอน รุนด์ชเตดท์ที่ไม่สามารถมาร่วมประชุมได้เพราะเขากำลังจัดการเกี่ยวกับฐานทัพเรือที่แนวป้องกันของเขาได้มาถึงหน้าฐานเบอร์ลินและเดินมาหาฮิตเลอร์เพื่อถามเกี่ยวกับการประชุม

    "ท่านผู้นำครับ! เรื่องประชุมเป็นยังไงบ้างครับ?!"รุนด์ชเตดท์ถาม

    "นายพลปาร์คของIDFเรียกประชุมเพราะพวกISSมันถ่ายภาพเจอว่าฮอรัสมันอาจคิดที่จะบุกแอนตาร์กติกา มันมีกองเรือขนาดใหญ่จนน่ากลัวอยู่ทั่วท่าเรือออสเตรเลีย มีสนามบินฮอรัสนับร้อยๆผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดทั่วภูมิภาคที่ใกล้กับแอนตาร์กติกา เราเลยประชุมเพื่อหาวิธีจัดการพวกมันก่อนที่มันจะจัดการเรา"ฮิตเลอร์ตอบ

    "แล้วมีแผนรับมือกันรึยังครับ?"

    "ยัง...ตอนนี้เราทำได้แค่สร้างที่หลบภัยให้พลเรือนนับสิบๆล้าน ฉะนั้นเราควรลงมือให้เร็วที่สุด"
    ฮิตเลอร์ตอบด้วยน้ำเสียงหดหู่

    "แต่เราวางแผนกับนายพลปาร์คแล้ว แผนการบุกออสเตรเลียน่ะ"รอมเมิลบอกรุนด์ชเตดท์

    "วางแผนกันเสร็จหมดแล้วเหรอ?"รุนด์ชเตดท์ถามอีกครั้ง

    "ยังหรอก แค่วางแผนกันคร่าวๆน่ะ เออใช่! วันมะรืนตอน11โมงตรง นายพลปาร์คจะวางแผนการรบบุกออสเตรเลีย หวังว่านายคงมาได้นะ"รอมเมิลพูดพรางเปิดประตูรถและสตาร์ทรถ ฮิตเลอร์ก็เดินไปที่รถลีมูซีน และนายพลโมเดลก็เดินมาตบไหล่รุนด์ชเตดท์"วันมะรืนเจอกันที่นี้นะ"และเดินจากไป

    วันที่ 22 พฤษภาคม 11โมงตรง นายพลหน้าเดิมๆทั้ง47คนมาร่วมวางแผนการรบ

    "ในเมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ผมจะเริ่มการวางแผนบุกออสเตรเลียเลยนะครับ"ปาร์คเริ่มประชุม   

    "ตอนนี้เรามีทหารทั้งหมด4แสนคนที่พร้อมรบ มีรถถังอยู่7พันคัน ยานยนต์และรถลำเลียงพลทั้งหมด1แสน3พันคัน เรือรบและเรือลำเลียง200ลำ และเครื่องบิน120ลำที่จะมีในการรบครั้งนี้"ปาร์ครายงาน

    ไคเทิลยกมือ"เชิญนายพลไคเทิลของนาซีเยอรมันครับ"ปาร์คพูด

    "ผมว่าเราควรใช้การรบแบบเต็มอัตราศึกนะครับ"ไคเทิลพูด

    "ยังไงคือเต็มอัตราศึก? นี่เรายังรบไม่เต็มอัตราศึกอีกเหรอ?"ปาร์คถาม

    "ผมขอเสนอให้ใช้อาวุธเคมีและอาวุธทำลายล้างขั้นสูงสุดเพื่อกำจัดฮอรัสให้มีปประสิทธิภาพมากที่สุด"

    "อาวุธเคมี?"นายพลเบอร์นาด เทนร์โมต้าถามขึ้น

    "แก๊สมัสตาร์ด อาวุธในสงครามโลกครั้งที่1 ตามที่นักวิจัยรายงานมาพวกเขาบอกว่าเสื้อเกราะของพวกมันไม่สามารถกันแก๊สมัสตาร์ดได้ มันจะทำให้เราได้เปรียบอย่างมากหากใช้รูปแบบการรบเหมือนสงครามโลกครั้งที่1"ไคเทิลกล่าว ฮิตเลอร์และนายพลของนาซีคนอื่นๆก็พยักหน้าเห็นด้วย

    "แต่แอนตาร์กติกามันไม่มีีีีทรัพยากรมากพอที่จะผลิดแก๊สนั้นได้นะ"นายพลนิชิมุระ โอซาว่ะพูดขึ้นมา

    "เราทำได้!!!! นักวิจัยเราสามารถพัฒนาจนเราสังเคราะห์แก๊สมัสตาร์ดขึ้นมาได้!!!!"นายพลไคเทิลขึ้นเสียงดัง

    "แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฮอรัสมันหาวิธีจัดการกับแก๊สนั่นขึ้นมาล่ะ?!"นายพลอิวานถามขึ้นมา

    "เราส่งสายลับไปแล้ว หน่วยสายลับเลหิไปที่เมลเบิร์นแล้ว"ไคเทิลพูดขึ้น

    "สายลับ?"อิวานถาม

    "ใช่ เขาเป็นคนจัดการเกี่ยวกับเชลยศึกที่จับมาได้ เขาเลยพูดภาษาฮอรัสได้คล่องเหมือนฮอรัสตัวจริง เราทำสีผมเขียวมะนาวและใช้เลนส์สีเพื่อเปลี่ยนสีตาให้เป็นสีแดงสด"ไคเทิลตอบ

    "แล้วเขาจะติดต่อมาหาเราทางไหนล่ะ?"นิชิุระถาม

    "ตอนที่ส่งเขาไปน่ะ เราให้อุปกรณ์สื่อสารระยะไกล ปืนจิ๋ว อุปกรณ์ดักฟังและอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งไปด้วย พวกเขาไม่ลำบากแน่ๆ"ไคเทิลกอดอกและทำหน้าภูมิใจ ทั้งห้องประชุมลุกขึ้นปรบมือและชื่นชมในความสามารถของกระทรวงข่าวกรองเยอรมันนี

    "เอาล่ะ จบเรื่องของสายลับและอาวุธไปแล้ว เรากลับมาคุยเรื่องแผรการรบดีกว่านะ"ปาร์คพูดลากกลับมาที่ประเด็นเดิม ทุกคนนั่งลงและเงียบเสียง 

    "แผนการบุกออสเตรเลียเราจะใช้ชื่อรหัสว่าปฏิบัติการโอเชียเนียนะ มีใครจะเสนอชื่ออื่นๆบ้างมั้ย?"ปาร์คเริ่มประเด็น และไม่มีคนแย้งเรื่องของชื่อแผนการ

    "งั้นเราใช้ชื่อนี้นะ"ปาร์คบอก

    "แผนการจะเกิดขึ้นตอนวันที่ 15 มิถุนายน 2019 ปฏิบัติการจะเริ่มตอน6โมง เราจะให้เครื่องร่อนส่งพลร่ม4กองพันไปที่เขตDonnybrook ประมาณ20กิโลเมตรจากเมืองเมลเบิร์น และให้พวกเขาไปเจอกับพวกเลหิและพวกต่อต้าน จากนั้นจะให้พวกเขาไปทำลายโรงไฟฟ้าและโรงงานอาวุธแถวๆสนามบิน"ปาร์คพูดเสร็จก็ปิดไฟและเปิดจอโปรเจคเตอร์แผนที่ให้นายพลดู

    "เมื่อพวกเขาทำสำเร็จเขาจะติดต่อกลับมาและเราจะส่งกองเรือไปทันทีและพวกพลร่มจะไปทำลายอาวุธต่อต้านอากาศยานและอาวุธป้องกันชายฝั่งให้เรา นี่คือแผนการทั้งหมด"

    "แล้วถ้าพวกนั่นยิงเครื่องร่อนเราทิ้งไปซะก่อนล่ะ?"นายพลมาร์ค เอ. ไมล์ลี่ถามนายพลปาร์ค

    "มันเป็นเครื่องร่อนนะ เสียงเครื่องยนต์ก็ไม่มี เป็นเครื่องร่อนกลางคืนด้วยนะ มันไม่สังเกตหรอก"ปาร์คแย้งขึ้นมา

    "ผมว่าทุกคนลืมสิ่งหนึ่งไปนะ...."นายพลแมดตี้ โฮเวนบราวน์จากกองทัพอังกฤษลุกขึ้นพูด

    "เออใช่!! พวกเราลืมไปหนึ่งอย่าง!!"นายพลอิวานพูดขึ้น

    "ใช่แล้ว..พวกเราลืมสิ่งก่อสร้างราคานับพันล้านดอลล่าของออสเตรเลีย..."นายพลซิโมน่า วิลกี้ของออสเตรเลียลุกขึ้นพูด

    "กำแพงที่ป้องกันได้ทุกอย่างบนโลกนี้ กำแพงยักษ์ยาว600ไมล์"ไคเทิลพูดขึ้นและมองหน้านายพลคนอื่นๆ

    ทั้งห้องอยู่ภายใต้ความเงียบนายพลปาร์คเหงื่อตก นายพลเกือบทั้งห้องโทรศัพท์ไปหาคนอื่นๆเพื่อยกเลิกแผนการทั้งหมด นายพลปาร์คปาดเหงื่อหยิบเอกสารต่างๆมาอ่านมากมายและตะโกนขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวายในห้องประชุม

    "สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลายครับ! ยกเลิกการประชุมครับ! ยกเลิกๆ!!!"ปาร์คพูดขึ้น

    "แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ?!"

    "หลังจากนี้ผมจะให้แต่ละประเทศไปวางแผนการบุกเมลเบิร์นมาใหม่และให้นำมาเสนอในที่ประชุมอีกครั้ง และการประชุมครั้งต่อไปยังไม่มีกำหนดนะครััับ! แยกย้ายได้!!!!"นายพลปาร์คพูดเสร็จก็เดินออกจากห้องประชุม

    วันที่ 23 พฤษภาคม นายพลของสหรัฐ อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลียและฝรั่งเศสได้ร่วมประชุมวางแผนและใช้ชื่อแผนการว่าปฏิบัติการแมนแฮตตัน โดยมีนายพลแมนดี้ โฮเวนบราวน์เป็นหัวหน้า

    "ฉันติดต่อพวกทัพอากาศแล้ว พวกเขามีเครื่องบินทุกแบบให้เราใช้ นักบินก็พร้อมด้วย ฉันว่าเราควรใช้ทัพอากาศทำลายกำแพงและปืนชายฝั่งให้หมด จากนั้นเราจะส่งนาวิกฯยกพลขึ้นบกตามชายฝั่ง แล้วค่อยให้พลร่มไปเจอกับเลหิในตัวเมืองแล้วกัน"แมนดี้ชี้้ลงบนแผนที่

    "แล้วเราจะทำลายกำแพงนั่นยังไงล่ะ?"นายพลลูซิเฟอร์ อองค์ซองฟาวน์ของฝรั่งเศสทักขึ้น

    "ฉันถามพวกทหารปืนใหญ่กับทหารเรือแล้ว พวกเขาจะช่วยกันดัดแปลงปืนใหญ่M777ให้สามารถยิงบนเรือสินค้าได้"แมนดี้ตอบ

    "เรือรบก็มีจะเอาไปติดตั้งบนเรือสินค้าทำไม?"นายพล มาร์ค เอ. ไมล์ลี่ถามขึ้น

    "เราจะเอาเรือรบไปปิดเส้นทางเดินเรือที่ชายฝั่งตะวันตกไปจนถึงรัฐแทสเมเนียจนหมด พวกเราจะครองน่านน้ำและน่านฟ้า เราจะได้เปรียบมากในการรบครั้งนี้"แมนดี้ตอบอย่างภูมิใจ

    "นายแน่ใจได้ไงว่าปืนขนาดมม.แค่155จะทำลายกำแพงนั่นได้?"มาร์คถาม

    "ด้วยกระสุนชนิดใหม่ที่พวกนักวิจัยพึ่งทำเสร็จ มันเป็นกระสุนที่ใช้เจาะทำลายคอนกรีตโดยเฉพาะ และทดสอบแล้วว่ามันได้ผล!"แมนดี้ยืดอกและมองหน้าทุกคน

    ครื้น!!! จู่ๆห้องยุทธการก็เกิดสั่นไหวอย่างรุนแรงและไฟก็ดับ 

    "แผ่นดินไหวเหรอ?!"มาร์คตะโกนส่งเสียงดัง

    ตึงๆๆๆๆๆ!!!! เสียงฝีเท้าคนๆหนึ่งที่ดังขึ้น

    "ข้าศึกบุก!!!!! ประจำสถานีรบ!!!!!"ทหารคนนั้นตะโกนเข้ามาในห้อง

    นายพลมาร์ค แมนดี้ ลูซิเฟอร์ ซิโมน่าและนายพลไซมอนด์วิ่งออกมาจากห้องและพบว่าอาคารที่พวกเขาใช้ประชุมนั้นกำลังจะถล่ม

    "วิ่งไปเร็วๆเข้า!!! ตึกกำลังจะถล่มแล้ว!!!"มาร์คตะโกนเรียกทุกคนและวิ่งนำหน้าไป

    บึ้ม!!!!! กระสุนนัดหนึ่งตกมาใส่หลังคาซึ่งอยู่เหนือหัวของนายพลมาร์คพอดี ทำให้มาร์คโดนเพดานทับร่างของเขาไว้

    "อ๊ากก!!! ช่วยฉันด้วย!! ฝุ่นเข้าตาฉันมองอะไรไม่เห็นเลย!!"มาร์คตะโกนขอความช่วยเหลือ

    "ฉันมาแล้ว!"ซิโมน่าและแมนดี้มาช่วยกันเอาแผ่นคอนกรีตออกจากร่างของมาร์ค

    "เอ้า! 1..2..3..ยก!!!"  "ฮึบ!!!!! ได้เเล้ว! ฉันเห็นแขนเขาแล้ว!"ซิโมน่าบอกแมนดี้

    "ซิโมน่า.....มาร์คตายแล้ว...ไม่มีสัญญาณของชีพจร..."แมนดี้้บอกซิโมน่าและถอดหมวกออกมาทำความเคารพ

    "แมนดี้! มุกนี่ไม่ตลกนะ! มาร์คยังไม่ตาย!!! เขามีชีวิต! ฉันจะช่วยนายเองนะ!!"ซิโมน่าร้องไห้และลุกขึ้น แต่ว่า.....

    ฟิ้วววว..บึ้ม!!!!! กระสุนปืนใหญ่นัดหนึ่งตกลงมาใส่จุดที่ซิโมน่าและแมนดี้ยืนอยู่ ทำให้พวกเขาทั้งคู่เสียชีวิตทันที ส่วนนายพลไซมอนด์และลูซิเฟอร์วิ่งออกจากตึกไปนานแล้วทำให้พวกเขาทั้งคู่รอดชีวิต แต่ซิโมน่ากับแมนดี้นั่นจบจากโรงเรียนนายร้อยที่เดียวกันทำให้พวกเขานั่นสนิทกันมากและพวกเขาก็เสียชีวิตด้วยกัน

    ตัดไปที่การรบ เรือรบของฮอรัสระดมยิงใส่แอนตาร์กติกาโดยที่ไม่ได้ข้ามาในเขตม่านพลัง 

    "มันรู้ตำแหน่งแล้วเหรอ?!"รอมเมิลรีบเดินทางมาจากฐานทัพในนิวเบอร์ลินและมาที่ศูนย์ป้องกันภัยเพื่อถามถึงการโจมตีใส่ชายฝั่งน้ำแข็ง ที่นั่นนายพลคาร์ล เดอนิทซ์ก็อยู่บัญชาการด้วยและนายพลยามามุระ ที่เป็นนายพลของหน่วยงานการลาดตระเวนก็อยู่ด้วย

    "รอมเมิล?! นายมาทำไมกัน?"เดอนิทซ์ถาม

    "เจ้าปาร์คสั่งให้ฉันมาที่นี่เพื่อถามสถานการณ์ไง เขาบอกว่าถ้ามันรู้ตำแหน่งจริงๆเราจะต้องรีบหาวิธีรับมือ"รอมเมิลตอบ

    "ตอนนี้มันยังไม่เจอเรา แต่เหมือนมันจะแค่ลองดูว่าเราอยู่ที่นี่จริงๆรึเปล่า แต่ทัพบกเตรียมตัวเผื่อไว้ก่อนก็ดีนะ"นายพลยามามุระบอกรอมเมิล

    "งั้นผมให้พวกปืนใหญ่ชายฝั่งเตรียมพร้อมรบไว้ก่อนแล้วกัน"รอมเมิลพูดเสร็จก็เดินออกไป

    เวลา10.18 การยิงเริ่มขึ้นและการยิงสิ้นสุดตอน11.20 มีพลเรือนและทหารเสียชีวิตมากกว่า300คน มีบ้านเรือนเสียหายมากกว่า40หลัง มีีอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารที่เสียหายมากกว่า50อย่าง มีเรือรบ3ลำที่ถูกยิงจนจมลงทะเล

    วันที่ 24 พฤษาคม เวลา02.30 นายพลปาร์คได้เรียกนายพลระดับสูงทุกคนมาประชุมเร่งด่วนมามาตราการรับมือกับภัยที่อาจจะเกิดขึ้น

    "ยามามุระ! รายงานมาซิว่าทัพเรือพวกมันเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง?!"ปาร์คตะโกนขึ้น

    "ตามที่โดรนถ่ายภาพมาได้ พวกมันยังอยู่ที่อ่าวครับคาดว่ามันแค่อาจตรวจสอบเกี่ยวกับแอนตาร์กติกาน่ะครับ"ยามามุระตอบ

    "ผมว่าไหนๆเราก็มารวมกันแล้ว เราควรวางแผนบุกออสเตรเลียกันนะครับ"นายพลไซมอนด์ลุกขึ้นพูด

    "นั่นสินะ ในเมื่อพวกมันแค่ยิงตรวจสอบและมันยังไม่สงสัย เราก็ควรลงมือให้ไวที่สุด"ปาร์คเห็นด้วย

    ปัง!!!! "ท่านไคเทิลครับ!!!" ทหารนาซีคนหนึ่งเปิดประตูท่ามกลางการประชุมโดยที่ไม่สนใจยามหน้าห้อง

    "สิบโท?! เกิดอะไรขึ้น?!"ไคเทิลถามทหารคนนั้น 

    "ท่านนายพลครับ! ผมมีข่าวใหญ่มาบอกครับ รบกวนลงมาหาผมหน่อยครับ!"

    "หัวหน้าที่ประชุมปาร์คครับ ผมขอเวลานอกนะครับ"ไคเทิลบอกปาร์คและเดินลงไปหาสิบโท

    "มันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?"ทั้งห้องประชุมมีแต่คำถามเกิดขึ้น

    10นาทีต่อมา "ท่านปาร์คครับ ผมขอขึ้นไปประกาศบางอย่าง ได้ไหมครับ?"ไคเทิลถามปาร์ค

    "เชิญนายพลไคเทิลครับ"ปาร์คพูดขึ้นและหลีกทางให้

    "นายพลทั้งหลายครับ เมื่อกี้พึ่งมีข่าวจากสายลับเลหิของพวกเรา...พลเรือนในเมลเบิร์นนับพันๆที่ตกค้างในเมืองได้ก่อจลาจลขึ้น และพวกเขาเริ่มโจมตีทหารฮอรัสตั้งแต่ช่วงเช้าและตอนนี้พวกเขาพึ่งระเบิดโรงไฟฟ้าและโรงงานผลิตอาวุธ"ไคเทิลพูดขึ้น

    "งั้นเราควรรีบลงมือเลยไม่ใช่เหรอ?!"นายพลลูซิเฟอร์ลุกขึ้นพูด

    "ตรงข้าม พวกเขาผลิตทั้งรถถังและปืนใช้กันเองและพวกเขายึดเมลเบิร์นตอนเหนือได้หมดแล้ว ที่เราควรเป็นห่วงก็พวกทัพเรือนี่แหละ พวกเลหิบอกว่าทัพเรือใช้ทุกอย่างที่มีถล่มใส่เมือง และบางส่วนก็ออกจากท่าเรือและลงมาหาพวกเรา"ไคเทิลตอบกลับ

    "งั้นเราควรวางแผนรับมือกับทัพเรือนั่นนะ!!!"ลูซิเฟอร์ตะโกนขึ้น นายพลหลายคนก็ลุกขึ้นและเรียกร้องให้รีบลงมือ

    "งั้นผมถอนตัว!!! ผมจะให้แต่ละประเทศวางแผนและลงมือกันตามใจไปเลย!!! ผมถอนตัวล่ะ!!"ปาร์คตะคอกใส่และเดินออกจากห้อง

    วันที่ 25 พฤษภาคม 10.42 ทหารฝรั่งเศส ออสเตรเลีย อังกฤษ อินเดียและจีนเริ่มส่งทหารไปหาแผ่นดินออสเตรเลียเพื่อสนับสนุนหน่วยต่อต้านในออสเตรเลีย ส่วนทหารนาซีจะส่งทหารไปที่เมืองเพิร์ทตอนเวลา20.00 

    วันที่ 30 พฤษภาคม ทหารฝรั่งเศสผสมที่7 บัญชาการโดยนายพลลูซิเฟอร์ได้เข้าสู่เขตเมือง
    เมลเบิร์นอย่างทุลักทุเล ส่วนกองพันที่เหลือยังคงสู้อยู่นอกเมืองและมีการสนับสนุนจากพลเรือนที่ต่อต้าน

    เวลา 04.29 กองพันผสมฝรั่งเศสที่7 เข้าสู่เขตเมลเบิร์น โดยที่มีรถถังAMX Leclercนำทางและมีทหารราบประกบข้าง 

    "พลรถถังทุกนาย..ตอนนี้้เราเข้าเขตอันตรายแล้ว ระวังรอบข้างไว้ด้วย"จ่าสิบเอกชาร์ล เปแตง
    ผบ.รถถังซึ่งเป็นคนนำทัพบอกกับพลรถถัง

    ก๊อกๆ "นี่จ่าครับ ผมว่าเราควรให้ทหารราบเดินนำนะครับ"จ่าสิบโทคนหนึ่งเคาะฝาป้อมรถถังและบอกชาร์ล

    "ไม่ สถานการณ์แบบนี้รถถังนำหน้าไว้ก่อน ปลอดภัยกว่าและเราจะสูญเสียทหารน้อยกว่า"ชาร์ล
    บอก

    "แต่ว่ารถถังมันมองไม่รอบด้านเหมือนตาคนนะครับ"

    "นี่คือคำสั่ง!!! เดินตามหลังซะ!!!"ชาร์ลตะโกนใส่

    จ่าสิบโทคนนั้นปีนกลับไปข้างล่างและจัดแถวเดินเรียงตามรถถัง 

    "2นาฬิกา!! ปืนใหญ่ต่อต้านรถถัง!!"ทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้น

    ปัง!....ฟิ้วววววว....บึ้ม!!!! กระสุนตกลงมาใส่ด้านหลังของรถถังและทหารราบที่เดินตามนั้นโดนระเบิดไปหมด "มีคนบาดเจ็บ!! หมอ!! หมออยู่ไหน?!!"

    "พลขับ ขับไปทาง2นาฬิกาและเดินหน้าเต็มตัว"ชาร์ลสั่ง

    "รถถังคันอื่นๆตามฉันมา!"ชาร์ลวิทยุไปบอกคนผบ.รถถังคนอื่นๆ

    "บรรจุกระสุน! ปืนใหญ่ทาง7นาฬิกา 2กระบอก! ยิงได้!!!!!"

    ปัง!!!...ชึกๆ ปัง!!!...ชึกๆ ปัง!!!...ชึกๆ บึ้มๆๆๆ!!!!

    "ปืนใหญ่ถูกทำลายแล้ว!! เป้าหมายต่อไป......."ชาร์ลพูดไม่ทันขาดคำ ปืนใหญ่ตามแนวพุ่มไม้เกิดระเบิดขึ้น 

    "เป็นไง? แบบนี้พอจะช่วยได้มั้ย?"มีชายคนหนึ่งแทรกสัญญาณวิทยุมาคุยกับพลรถถัง

    จากนั้นชายหนุ่มและหญิงสาวนับสิบๆคนออกมาจากพุ่มไม้ พวกเขาคือหน่วยต่อต้านออสเตรเลีย บางคนโบกธงIDFไปมาและโห่ร้องต้อนรับทหารฝรั่งเศส 

    เวลา 04.53 เมื่อเขตรอบๆสวนสัตว์ปลอดภัย ทหารชาติอื่นๆเริ่มมาถึงและตั้งศูนย์บัญชาการแนวหน้า ส่วนกองพันผสมฝรั่งเศสที่7ก็รุกเข้าเมืองต่อไป 

    เวลา 06.24 กองทัพอากาศนาซีเยอรมันบินมาทิ้งใบปลิวเตือนภัยการโจมตีทางอากาศ 

    "นี่! นั่นอะไรน่ะ?! ใบปลิวเหรอ?...คำเตือนจะมีการปูพรมใส่ทั่วเมลเบิร์น ให้พลเรือนทุกคนหลบในที่ปลอดภัย การทิ้งระเบิดจะเริ่มตอนเวลา06.50"พลเรือนในเมืองเจอใบปลิวที่ทางการส่งคำเตือนมาให้

    เวลา 06.50 ฝูงบินทิ้งระเบิด10ฝูง เครื่องบินJu 287บินมาถปูพรมทำให้เมลเบิร์นทั้งเมืองกลายเป็นทะเลเพลิง 

    นายพลลูซิเฟอร์เดินทางมาที่ศูนย์บัญชาการแนวหน้าเพื่อมาพูดคุยกับนายทหาร โดยมีเสียงระเบิดและเสียงเปลวเพลิงเป็นพื้นหลัง

    "จ่าตรงนั้นน่ะ ช่วยรายงานสถานการณ์รบให้ฟังสิ"ลูซิเฟอร์สั่งและนั่งลงบนเก้าอี้

    "ตอนนี้กองพันผสมที่7ของเราเข้าไปถึงสนามกีฬาของเมืองแล้วครับ เราบุกไปในไวเพราะการช่วยเหลือจากหน่วยต่อต้านครับ"

    "ดีมาก ส่งกองพันไปช่วยพวกเขาด้วย"ลูซิเฟอร์บอกและลุกขึ้น

    ตัดไปที่กองพันผสมที่7 พวกของชาร์ลที่กำลังยิงกันอยู่ในเมือง พวกต่อต้านนำพวกลังไม้ กระสอบทรายและสิ่งต่างๆมาเป็นที่กำบังตามแนวถนน หน่วยต่อต้านต่างหยิบปืนลุกขึ้นสู้ไปพร้อมกับทหารฝรั่งเศส

    "รถหุ้มเกราะฮอรัสมาแล้ว! เล็งไปทาง2นาฬิกา!! ยิง!"ชาร์ลตะโกนขึ้น 

    ปัง!!...ชึกๆ ปัง!!...ชึกๆ ปัง!!...ชึกๆ "พวกเรา!!! อีกนิดเดียวก็จะเอาเมืองเรากลับมาได้แล้ว!!!!"พลเรือนคนหนึ่งตะโกนขึ้น

    "บุกเลย!!!! ฮูร้าาาาาาา!!!!!!!!!"

    หน่วยต่อต้านนับร้อยๆคนวิ่งออกจากที่กำบัง คนที่วิ่งนำถือธงชาติออสเตรเลียและคนอื่นๆก็วิ่งตามกันโดยไม่กลัวตาย 

    "เดี๋ยวก่อน! มันอันตรายเกินไปนะ!!!"ชาร์ลเปิดฝารถถังและตะโกนเรียกหน่วยต่อต้าน

    "ไม่เป็นไรหรอก พวกเขารู้ดีว่าทำอะไรลงไป"พลเรือนคนหนึ่งเดินมาบอกชาร์ล

    "จะไม่เป็นไรได้ไง?!"ชาร์ลตะคอกใส่

    "สนามกีฬาน่ะ พวกฮอรัสใช้เป็นที่กักขังเชลยศึก ในสนามกีฬานั่นน่ะมีทหารIDFไม่ต่ำกว่า4พันคน ฉันว่าพวกเขาจะไปช่วยเหลือทหารออกมาและบุกเข้าตีเมืองทีเดียว"

    "งั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ แล้วหน่วยต่อต้านที่มากันล่ะ? มีกี่คน?"ชาร์ลถามพลเรือนคนนั้น

    "5พันกับอีก300คน รวมทหารที่กำลังจะถูกปล่อยจากค่ายก็เป็น9พันคนถ้ารวมทหารที่กำลังตีฝ่าเข้ามาก็อาจจะเกือบ2หมื่นคน"

    "ผบ.ครับ! ฐานปืนกลทาง9นาฬิกาครับ!"พลรถถังคนนึงตะโกนขึ้นมา ชาร์ลเลยกลับเข้าไปในรถ

    หลังจากนั้นรถถังของชาร์ลก็เริ่มเดินหน้าพร้อมรถฮัมวี่และรถถังที่ขับผ่านเลยไป ทหารมากมายที่ตะโกนเชียร์ทหารด้วยกัน 

    วันที่ 31 พฤษภาคม เวลา 14.28 เพลิงจากการปูพรมยังคงไหม้ไปทั่วเมือง กองพันผสมที่7ของฝรั่งเศสได้เริ่มข้ามแม่น้ำยาร์รา โดยใช้ทางหลวงหมายเลข60ข้ามแม่น้ำ โดยระหว่างทางพลเรือนก็ออกมาต้อนรับอย่างดีอกดีใจ พร้อมกับแถวของทหารฮอรัสที่โดนหน่วยต่อต้านกำลังยืนคุมแถวเชลย

    เวลา 15.47 กองพันผสมที่7ได้มาถึงเขตClaytonและกองพันยานเกราะที่3ของสหรัฐเข้าโจมตีเขตThomastown ทางตอนเหนือของเมลเบิร์น

    "รถถังฮอรัสทาง6นาฬิกา!! เล็ง!! ยิงได้!!"ชาร์ลวิทยุสั่ง

    ปัง!!!...ชึกๆ ปัง!!!...ชึกๆ ปัง!!!...ชึกๆ "ข้าศึกถูกทำลายแล้ว!!"

    "หยุดยิงก่อน!!! นั่นพวกทหารอินเดีย!"ชาร์ลบอกและเปิดฝารถถังออกมาส่องกล้องทางไกล

    "นี่สิบโท! ติดต่อกับพวกอินเดียซิ!"ชาร์ลสั่ง

    "รับทราบ!"สิบโมพูดเสร็จก็วิ่งไปที่แนวหน้าของพวกอินเดียไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็วิ่งกลับมา

    "เรายึดเมืองฝั่งตะวันออกได้แล้ว!"สิบโทตะโกนขึ้น ทหารมากมายต่างตะโกนโห่ร้องดีใจ

    "ท่านชาร์ลครับ! วิทยุจากพวกอเมริกันบอกว่าพวกเขายึดเมืองตอนเหนือได้หมดแล้วครับ!"

    เวลานี้ส่วนที่ยังยึดไม่ได้คือแนวหน้าของถนนFlindersถึงถนนSpringถึงถนนVictoriaและไปบรรจบที่ถนนLa Trobe

    วันที่ 1 มิถุนายน เวลา 07.22 กองพันทหารราบที่3ของฝรั่งเศสได้ปักธงฝรั่งเศสและธงออสเตรเลียขนาดยักษ์ไว้เหนืออาคารสถานีรถไฟใต้ดินเมลเบิร์น(Melbourne Central Railway Station แปะไว้เผื่ิอหาไม่เจอ)

    "เมลเบิร์นกำลังประกาศ...จากสถานีวิทยุเมลเบิร์น กองพันผสมฝรั่งเศสที่7 บัญชาการโดยนายพลลูซิเฟอร์ของกองทัพฝรั่งเศส และด้วยการสนับสนุนการรบจากกองพันทหารราบที่3 บัญชาการโดยนายพลเอลรอยของกองทัพฝรั่งเศส เวลา 7.20ของวันที่ 1 มิถุนายน 2019 ณ บัดนี้ธงแห่งเสรีภาพได้โบกสะบัดเหนือนครเมลเบิร์นเป็นที่เรียบร้อย"

    "สั่งสอนมันซะบ้างว่ามันสู้กับใคร!!!!!!"ทหารที่อยู่บนถนนต่างโห่ร้องดีใจ

    นายพลมาร์ค ของกองทัพสหรัฐได้ได้เดินทางมาคุยกับนายพลลูซิเฟอร์ที่ศูนย์บัญชาการแนวหน้า

    "การสั่งสอนของเราดูจะไปได้สวยนะ"มาร์คบอกกับลูซิเฟอร์

    "นั่นน่ะสิ พวกมันคงเข็ดไปอีกนานกับการสั่งสอนในครั้งนี้"ลูซิเฟอร์ตอบ

    บทสรุปของแผนสั่งสอนในครั้งนี้กินเวลานาน3วัน มีทหารในการรบครั้งนี้กว่า4หมื่นนาย มีทหารบาดเจ็บกว่า1หมื่น8พันนาย มีทหารเสียชีวิตกว่า1หมื่น9ร้อยนาย จับเชลยศึกฮอรัสได้มากกว่า3หมื่นนาย มีพลเรือนที่ช่วยเหลือได้มากกว่า3หมื่นคน มีทหารที่ช่วยออกจากค่ายเชลยได้1หมื่นนาย 

    และหลังจากนี้คือการลงทัณฑ์จากฝ่ายมนุษย์ให้พวกฮอรัสนั้นรู้ว่าควรทำอะไร!


















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×