คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Mission 2 {-SCAR-}
“อะ ตรงแยกข้างหน้าเลี้ยวซ้ายครับคุณคัลวิก อะเอ๋เดี๋ยวนะ อุก โทษทีผมถือแผนที่กลับด้าน เลี้ยวขวาครับ ขวาๆ”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนเสียเวลาอยู่บนถนนที่คับคั่งไปด้วยยานพาหนะพวกนี้เป็นใคร รถตู้สีบรอนเงินยี่ห้อหรูกำลังวิ่งไปด้วยความเร็วสูง คนขับทั้งบีบแตร่และเบียดรถคันหน้าเพื่อเข้าเลนขวาแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะการจราจรที่หนาแน่นในเช้าวันนี้ ขายาวๆ ส่งแรงไปที่เท้าข้างที่เหยียบเบรคเป็นผลให้รถหยุดกึกอยู่ตรงกลางระหว่างสองเลน หนุ่มแว่นดันแว่นให้เข้าที่ก่อนจะหันไปพูดเสียงเรียบกับเนวิเกเตอร์ที่ดูจะเชื่อถือไม่ได้
“ไม่ทันแล้วล่ะครับ คงต้องยูเทิร์นข้างหน้าเอาแล้วล่ะ”คัลวิกหัวเราะในคออย่างยากจะเดาอารมณ์
นายพ่อบ้านสเวนที่นั่งหน้าข้างคนขับบอกทางผิดๆ ถูกๆ ทั้งที่ตัวเองกำลังถือแผนที่อยู่ในมือ เขามองแผนที่สลับกับถนนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเหมือนเด็กที่เพิ่งขึ้นรถเป็นครั้งแรก เรนกับคานนที่หลังอยู่เบาะหลังเริ่มจะชินซะแล้วกับนิสัยป้ำๆเป๋อๆของนายสเวนน แต่คงเป็นเรื่องยากซักหน่อยสำหรับเรซารีน
“นี่เรนทำไมถึงไม่ติดระบบนำร่องซะทีล่ะ ถ้าตังค์ไม่พอเดี๋ยวรีนช่วยออกอีกครึ่งนึงก็ได้”เธอบ่นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เต็มที่พร้อมกับฉกแผนที่มาจากมือของสเวน นิ้วเรียวไล่ไปตามเส้นทางเดินรถก่อนจะหันไปคุยกับโชเฟอร์จำเป็นที่ท่าทางจะโล่งใจกว่าตอนฟังนายสเวนบอกทาง
“ขอโทษครับ คุณเรซารีน ขอโทษครับคราวหน้าผมจะลองศึกษาเส้นทางมาก่อนนะครับ”สเวนหันมาทำตาปิ๊งๆ เพื่อขอความเห็นใจ...ซึ่งแน่นอนว่าเรซารีนก็คงไม่มีความรู้สึกแบบนั้นสำหรับเขา
“หึ คราวหน้างั้นเหรอ ถ้านายยังงี่เง่าแบบนี้อีกล่ะก็ฉันจะจับนายโกนหัวมันซะเลย เพราะฉันสงสัยว่าคงจะไม่ใช่สายตานายหรอกที่เพื้ยนแต่เป็นเพราะหน้าม้ารุงรังนั่นต่างหากนายเลยมองไม่เห็นอะไรเลยล่ะสิท่า เอ๊ะ..แต่ฉันมาคิดดูอีกทีแล้วน่าจะเป็นความผิดของไอ้ที่วางอยู่เฉยๆ บนคอของนายมากกว่า”คุณรีนไม่ว่าเปล่าเธอใช้มือปาดผมหน้าม้าแล้วก็คอของสเวนให้เขานึกภาพตาม นายสเวนเลยโอดโอยไปตามนิสัย ผู้โดยสารคนอื่นรวมทั้งคนขับเลยได้แต่ตั้งสติไม่ให้เผลอทำร้ายร่างกายใครบางคนด้วยข้อหาส่งเสียงรบกวนโสตประสาท แต่ทางที่ดีที่สุดคือไม่ต้องไปสนใจทั้งคู่เลยหรือไม่ก็คิดซะว่าพาเด็กมาเที่ยวเล่นก็จะสบายใจขึ้นมานิดหน่อย...ล่ะมั้งนะ
คานนโค้งตัวมาข้างหน้าแล้วเกาะเบาะคนขับเพื่อที่จะมองวิวข้างหน้า เพราะยังไงก็คงดีกว่านั่งเฉยๆ คั่นตรงกลางระหว่างเรซารีนจอมโวยวายกับเรนคุณหนูที่พูดทีนับพยางค์ได้ สาวน้อยร่างบางใช้ชุดกระโปรงแดงฟูฟ่องเกิดนึกเอะใจเรื่องสถานที่เธอใช้นิ้วชี้สะกิดคัลวิกที่กำลังฮัมเพลงอย่างมีความสุข
“นี่ๆ คุณโชเฟอร์คัลวิกค่ะเรากำลังจะไปที่ไหนเหรอค่ะ”
“อ่อ ขอโทษทีครับที่ไม่ได้แจ้งให้ทุกท่านทราบล่วงหน้าจุดหมายของพวกเราวันนี้ก็คือหอศิลป์ครับ คิดว่าตรงไปอีกหนอ่ยก็คงจะมองเห็นแล้วล่ะครับ”เจ้าของตำแหน่งหัวหน้าพ่อบ้านสารพัตรประโยชน์ของตระกูลอัลเทน่าพูดโดยไม่หันกลับมา
“หอศิลป์เหรอดีจัง!”ผมสีแดงรวบสูงของคานนขยับไปตามการเคลื่อนไหว ดวงตาสีเขียวที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นมองทุกสิ่งทุกอย่างราวกับมันเป็นเรื่องน่าสนุก
“ว่าแต่โชเฟอร์คนเก่าของเราหายไปไหนซะแล้วล่ะคัลวิก?”เรซารีนถาม ทั้งที่มือทั้งสองข้างยังกระชากคงคอเสื้อสเวนอยู่
“ผมเองก็ไม่เห็นเจ้านั่นมาได้พักนึงแล้วเหมือนกันครับ”สเวนพยายามทำสีหน้าเห็นด้วยสุดๆ
“.........”เรนตวัดหางตากลับมามอง ราวกับกำลังตั้งใจฟังบทสนธนาเรื่องนี้ เรซารีนคลายมือที่จับคอเสื้อของสเวนแล้วหันไปมองนายคนขับรถที่แสร้งทำเป็นฮัมเพลงต่ออย่างมีเลศนัย
“คานนก็อยากรู้!”อีกเสียงดังขึ้น แล้วทุกคนก็หันไปมองนายคนรู้มากที่ดูจะตั้งหน้าตั้งตาขับรถจนผิดสังเกต เมื่อเริ่มจะรู้สึกถึงดวงตาหลายคู่ที่กำลังกดดันอยู่คัลวิกเลยแกล้งทำเสียงเหมือนเพิ่งจะนึกออกขึ้นมากะทันหัน
“อา...เรื่องนั้นน่ะเอง”คุณพ่อบ้านที่เก่งไปหมดทุกเรื่องแต่โกหกได้แย่สุดๆ
“เรื่องมันยาวครับ”เขาพูดตัดบท
“ก็ทำให้มันสั้นสิ คานนอยากฟังใจจะขาดดด!”คานนเริ่มดิ้นเวลาไม่พอใจ แต่จริงๆ คงจะแกล้งทำให้อีกฝ่ายยอมพูดมากกว่า
“ถ้านายไม่พูดคานนก็ต้องคั้นให้นายพูดอยู่ดี รีบๆ เล่ามาซะตอนนี้จะไม่ดีกว่าเหรอ?”เรซารีนแอบขยิบตาข้างหนึ่งในคานน เมื่อสองคนนี้เกิดแทคทีมกันเมื่อไรเป็นต้องได้เรื่องทุกทีสิน่า
“ถ้าเรื่องมันยาวงั้นค่อย....”นายสเวนรีบกลืนประโยคสุดท้ายลงคอก่อนจะโดนสาวน้อยไม่ธรรมดาสองคนรุมเจื๋อน แล้วก็รีบกลับคำเพื่อความอยู่รอด
“คุณคัลวิกไม่ต้องทั้งหมด...นิดนึงก็ยังดีครับ คุณหนูก็อยากฟังใช่มั้ยครับ”พอพูดจบสเวนก็หันมาอ้อนวอนคุณหนูเรน อัลเทน่าด้วยสายตาและท่าทางที่น่าถีบมากกว่าน่ารัก ถ้าคัลวิกยังไม่ยอมเล่าเห็นทีไอ้คนที่จะชะตาขาดเห็นจะเป็นนายสเวนนี่ล่ะ
“.......เล่ามาสิคัลวิก...คืนฝนตก....”คุณหนูเรนพูดเป็นครั้งแรกตั้งแต่เธอก้าวขึ้นรถมา แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อีกสามคนเข้าใจอะไรมากขึ้นเลย
“..ถ้าคุณหนูต้องการ..ตกลงครับ..”รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขามันดูน่ากลัวราวกับฆาตกรโรคจิตในหนังสยองขวัญ ทั้งสามคนยกเว้นเรนกลืนน้ำลายเฮือกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นับว่าโชคดีที่ให้หมอนี่เป็นคนขับจะได้ไม่ต้องงสบตาเวลาที่เจ้าตัวเล่าเรื่องด้วยอารมณ์อินสุดๆ
“มันเป็นคืนฝนตก อืมแล้วก็มีเสียงกบร้อง”คัลวิกพูดช้าๆ เสียงเย็นชวนขนลุกจนทุกคนเริ่มจะรู้สึกเสียใจที่รบเร้าให้เขาเล่า
“มีผู้ชายคนนึงกำลังนั่งอ่านนิยายเรื่องเจ้าชายหัวแม่มือกับเจ้าหญิงกบอย่างมีความสุข แล้วเขาเกิดนึกขึ้นมาได้ว่าคงจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในเรื่องสินะ ประมาณว่าเวลาโรแมนติกมันก็ต้องเสียงกบร้องสิอะไรประมาณนี้น่ะครับ ชายหนุ่มที่กำลังเอาใจจดจ่ออยู่ที่หนังสือเมื่อได้ฟังเสียงก็สิ่งมีชีวิตตัวน้อยร้องคลอไปด้วยเลยยิ่งรู้สึกอินไปกับเรื่อง”ทุกคนหันมามองหน้ากันงงๆ ไอ้หมอนี่มันกำลังพูดถึงเจ้าชายกบกับเจ้าหญิงหัวแม่มืออยู่สินะว่าแต่ไอ้สองเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องการหายตัวไปของโชเฟอร์กันล่ะ แถมยังจำเรื่องมาผิดๆ ถูกๆ อีกต่างหาก
“แล้วเสียงกบในวันฝนตกกับผู้ชายคนนั้นแล้วก็เจ้าชายเจ้าหญิงนั่นมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงล่ะครับ”สเวนถาม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินซะอย่างนั้น
“ทุกอย่างดูจะเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งวันหนึ่งโชเฟอร์คนนั้นบังเอิญเข้ามาหลบฝนใต้หลังคาบ้านของผู้ชายคนนั้น แล้วเสียงกบก็หายไป...ช่ายมันเงียบหายไปเลยทำให้ผู้ชายคนนั้นนึกภาพเจ้าชายหัวแม่มือกับเจ้าหญิงกบไม่ออก ซึ่งมันก็ทำให้เขาไม่สามารถอ่านนิยายแสนสนุกเรื่องนั้นต่อได้”อยู่บรรยายกาศในรถก็อึมครึมและเงียบราวกับไม่มีผู้โดยสารนั่งมาด้วย มีเพียงเสียงห้าวที่ยังคงเล่าเรื่องราวลึกลับต่อไปด้วยจังหวะช้าสยอง
“สองวันถัดมาฝนก็ตกลงมาอีกครั้ง แต่ว่าไม่มีเสียงกบร้องอีกเหมือนสองคืนที่เล่า ตรงกันข้ามโชเฟอร์คนเดิมกลับมายืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคาบ้านของผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง แล้วด้วยความมีเมตตาจิตผู้ชายคนนั้นที่เป็นเจ้าของบ้านก็ได้เชิญให้เขาเข้ามาหลบฝน แต่เจ้าของบ้านก็ต้องตกตะลึงเพราะว่าในมือของโชเฟอร์นั่นกำลังถือถุงพลาสติกที่อัดแน่นไปด้วยศพของกบสองหรือสามไม่แน่อาจจะสี่ตัว แน่นอนว่าชายคนนั้นที่กำลังรอฟังเสียงกบจะต้องโกรธมากเมื่อเห็นอะไร...แบบนั้น แล้วยังคำชวนให้ร่วมกันรับประทานสัตว์ที่น่าสงสารเหล่านั้นด้วยแล้ว ทำให้เขาคนนั้นยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก...”พอเล่ามาถึงท่อนของกบทุกคนมีสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ส่วนคนเล่าก็ยังคงทำหน้าเฉยแล้วหยุดเพื่อรอให้ทุกคนทำใจก่อนจะเล่าต่อด้วยเสียงโทนเดิม
“ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีใครเห็นโชเฟอร์คนนั้นอีกเลย แต่ว่าท้ายที่สุดท้ายแล้วกบก็เริ่มร้องอีกครั้งในคืนฝนตก...ใช่แล้ว..เจ้ากบตัวสุดท้าย...ที่มาพร้อมกับการหายไปของคนขับรถของพวกเรา...”แล้วสีหน้าเฉยชาก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง
“จบแล้วครับ”เขาหันมายิ้มให้ทุกคนปิดท้าย ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครยิ้มออก...ไอ้ที่ว่ากบตัวสุดท้ายหมายถึง...เจ้าหมอนี่เป็นคนทำสินะ แล้วคนเดียวที่มีบ้านพักแยกไปจากตัวบ้านใหญ่ก็มีแค่เจ้านี่คนเดียว คนที่มี “พลัง” ที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ก็คงมีแค่หมอนี่คนเดียวอีกเหมือนกันสินะ...โถ คุณโชเฟอร์ที่น่าสงสาร
“เห็นหอศิลป์ไกลๆ แล้วล่ะครับ”คัลวิกจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่ทุกคนก็ดูจะรับมุขแต่โดยดี
“นั่นไงครับคุณหนู! หอศิลป์ครับ ตรงนั้นครับตรงนั้น”สเวนชี้ไปที่ยอดตึกที่แกะสลักด้วยหินอ่อนสีขาวเป็นรูปกามเทพกำลังง้างศร นัยต์สีแดงเข้มของเรนค่อยๆ หันไปมองสิ่งที่สเวนชี้ให้ดูทั้งที่ในใจยังคิดเรื่องเจ้ากบน้อย
“อืม ฉันเห็นแล้วล่ะ”เธอเสยผมสีเงินช้าๆ แล้วเอนหลังพิงเบาะเหมือนเดิม
“แหม...เรนล่ะก็เอาแต่ทำหน้าเฉยอยู่นั่นล่ะ ไม่คิดว่ามันสวยมั้งเหรอ?”คานนหันกลับมาถาม แล้วทำหน้ายิ้มแหะๆ
“ถ้ามันเป็นสีดำล่ะก็นะ..”คำตอบแปลกๆนั่นทำให้คานนที่รอฟังคำตอบทำหน้างงๆ
“ฮึ...ถ้ามันเป็นสีดำก็ไม่ใช่เทวดาสิ”เรซารีนมองกามเทพที่ดูจะตัวใหญ่กว่าเมื่อกี้เพราะรถกำลังขับเข้าไปใกล้หอศิลป์เข้าทุกที เรนเท้าแขนกับกระจกแล้วมองออกไปข้างนอกอย่างใช้ความคิดทำไมเธอถึงได้รู้สึกไม่ค่อยดีกับงานในครั้งนี้ซักเท่าไรบางทีการที่เธอรู้สึกแบบนี้อาจจะมีอะไรอยู่เบื้องหลังก็ได้ ก็คงมีแต่จะต้องค้นหาคำตอบดูเท่านั้น
รถตู้สีบรอนเงินค่อยๆ ชะลอความเร็วลง ก่อนจะเลี้ยวผ่านซุ้มประตูเหล็กเข้าไปในบริเวณของหอศิลป์ที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้สีเขียวชอุ่มตัดเป็นรูปร่างต่างๆ ทั้งคน,สัตว์, และตัวละครในเทพนิยายไม่ว่าจะเป็นนาซีซัสนายหลงตัวเองที่นั่งมองเงาของตนในบึงด้วยสีหน้าราวกับชายผู้ตกอยู่ในห้วงรัก หรือกระทั่งเทพซีอุสที่กำลังชูสายฟ้าในมือด้วยท่วงท่าทรงอำนาจ ดูแล้วเพลินตาจนลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ที่มาที่นี่เพราะเรื่องงานล้วนๆ พอขับตรงไปได้สักพักก็เห็นลานน้ำพุขนาดใหญ่เป็นรูปปเหล่าเทพธิดากำลังเล่นน้ำ ข้างๆ น้ำพุมีป้ายบอกทางไปที่จอดรถ
“เอาล่ะครับทุกคนในที่สุดเราก็มาถึงพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์แห่งชาติกันแล้วล่ะครับ”คัลวิกจอดรถบริเวณลานจอดรถหน้าทางเข้าหอศิลป์ที่ดูเหมือนจะเหลือที่ว่างมากมายสำหรับรถราวๆ ร้อยคัน ถ้ามองไปด้านหลังของลานจอดรถโล่งๆ ก็จะเห็นตึกรูปร่างเหมือนหอนาฬิกาขนาดกว้างพอๆ กับห้างสรรพสินค้า ตัวอาคารที่ก่อด้วยอิฐสีเทาดูโบราณแต่งดงามเพราะลวดลายและงานแกะสลักรอบๆ ผนัง โดยรวมแล้วเป็นหอศิลป์ที่ดูดีมากๆ แห่งหนึ่งเสียก็แต่มันดูจะเงียบเกินไปจนน่ากลัวถ้าเป็นตอนกลางคืนที่นี่คงไม่ต่างอะไรกับบ้านผีสิงตามสวนสนุก จำนวนรถที่จอดอยู่ก็มีเพียงแปดคันแถมทั้งแปดคันที่ว่ายังเป็นรถที่ติดสติ๊กเกอร์ของพนักงานอีกต่างหาก
“แล้วแบบนี้จะมีเงินจ่ายให้เราเหรอครับคุณหนู”สเวนมองซ้ายทีขวาทีแล้วถอนหายใจ
เรนมองไปรอบๆ แล้วเดินไปที่ประตูไม้ขนาดใหญ่ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นทางเข้าเพียงทางเดียวของหอศิลป์แห่งนี้ ทุกคนเป็นอันต้องเดินตามบอสโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะกฎในการทำงานข้อแรกก็คือ “ใครขัดบอส(เรน)จะโดนตัดเงินเดือนเท่าที่บอสเห็นว่าสมควร” ซึ่งไอ้ท่อนที่เขียนว่า “เท่าที่เห็นว่าสมควร” จะเป็นอะไรที่น่ากลัวมากเพราะอาจจะหมายถึงตัดเงินทั้งเดือน แต่กฎข้อนี้ก็ไม่เคยจะได้ใช้จริงๆ เพราะว่าคนที่รู้ทันความคิดของคุณหนูนอกจากท่านประธานแล้วดูจะไม่มีใครอีก
“ในเมื่อเรารับงานเค้ามาแล้วยังไงก็ต้องทำไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง...ถูกต้องมั้ยครับคุณหนู”คัลวิกทำหน้าตาจริงจังพลางเหล่ไปทางสเวนเป็นนัย แล้วจบประโยคด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงเหมือนเดิม เรนไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่หยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้ขนาดใหญ่เหมือนกำลังคิดอะไรในใจ คานนที่เดินตามมาทนเงียบไม่ไว้เลยเดินไปที่ประตูแล้วจับห่วงสีเงินเตรียมจะเคาะมันกับประตู แต่ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นซะแล้วเพราะบานประตูถูกเปิดออกจากทางด้านในราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะมีแขกทั้งที่ไม่ได้นัดไว้
หญิงสาวร่างสูงโปร่งคนนี้น่ะเองที่เป็นคนมาเปิดประตูให้พวกเขา ดูจากยูนิฟอร์มที่เป็นเชิ้ตสีขาวผูกไทแดงแล้วเธอน่าจะเป็นพนักงานของที่นี่ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่งามสีเดียวกับผมซอยสั้นหันไปยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เธอแนะนำตัวอย่างสุภาพด้วยเสียงเล็กๆ น่าฟัง พร้อมๆ กับยิ้มกว้างอย่างยินดี
“สวัสดีค่ะดิฉันชื่ออลิซาเบธ ริชเชอร์ พวกคุณคงจะเป็นคนจากตระกูลอัลเทน่าสินะคะ”
“ใช่ครับ คนนี้คือคุณหนูเรน อัลเทน่า..เอ่อ หมายถึงบอสของพวกเราน่ะครับ ส่วนผมชื่อสเวนเซอร์ ซีกเกอร์ ทางซ้ายมือของผมก็เป็นที่ปรึกษาของบอสชื่อคุณคัลวิก เจดริเวอร์ครับ ที่เหลืออีกสองคนก็คือคุณหนูคานน เอเลแกรนท์ กับคุณหนูเรซารีน บลัดเดียร์ ที่มาฝึกงานชั่วคราวครับ”เรซารีนออกจะแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นนายสเวนทำตัวมีประโยชน์ แสดงว่าผลการขู่เอาชีวิตหน้าม้าของเขานั่นสำเร็จเกินความคาดหมาย
“ขอบคุณมากค่ะที่รับฟังคำขอร้องของเรา เดี๋ยวไปคุยเรื่องรายละเอียดกันต่อด้านในดีกว่านะค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ”เธอพูดก่อนจะนำทางไปห้องรับรอง
สภาพด้านในของพิพิธภัณฑ์ดูดีผิดจากที่เห็นภายนอกลิบลับ สองข้างทางเต็มไปด้วยรูปภาพเรื่องราวต่างๆ ในเทพนิยายตั้งแต่เรื่องของนางปีศาจลิลิธกับมังกรไฮดร้าไปจนถึงเรื่องของเฮอคิวลิสตามหาขนแกะทองคำ ที่พื้นปูพรมแดงตลอดทางเดินทั้งยังมีโซ่เส้นเล็กคั่นระหว่างทางเดินกับรูปภาพเหมือนจะเป็นการบังคับไม่ให้นักท่องเที่ยวหรือใครก็ตามเข้าใกล้รูปภาพเกินไปจนสามารถก่อความเสียหายกับภาพเขียนล้ำค่าพวกนั้น คานนมองทุกรูปอย่างสนใจไม่แพ้คัลวิกที่เอาแต่ยิ้มแล้วดูรูปท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรน่าสนุก เรซารีนมองภาพแล้วหาววอดแล้วเดินดุ่ยๆ ไปข้างหน้า ส่วนสเวนก็กำลังสนุกกับการชี้ให้เรนดูภาพโน้นภาพนี้
“เอ๊ะ....นั่น”เรนหยุดมองภาพๆ หนึ่งที่แขวนอยู่ตรงกลางระหว่างบันไดที่โค้งขึ้นสู่ด้านบน มันถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีภายในตู้กระจกชนิดพิเศษ ลักษณะของรูปนี้ดูแปลกที่สุด มันมีจุดสีดำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางและจุดสีดำขนาดๆ ต่างกันกระจายอยู่รอบๆ เต็มไปหมด เรนรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอีกครั้งตั้งแต่เห็นภาพนั้นจุดสีดำที่แฝงไปด้วยความลึกลับ ทั้งที่อากาศข้างในก็ไม่ได้ร้อนอะไรออกจะเย็นกว่าข้างนอกนั่นด้วยซ้ำแต่แหงื่อกลับไหลออกมาราวกับเรนกำลังยืนอยู่หน้าเตาผิงในหน้าร้อนนอะไรกันที่ทำให้เธอรู้สึกกลัวได้ขนาดนี้หรือจะเป็นรูปนั่น มันฟังดูเหลวไหลไปหน่อยแต่ว่าเมื่อไรที่เธอมองจุดพวกนั้นเรนรู้สึกเหมือนจะถูกมันดูดพลังชีวิตออกไปช้าๆ จนกระทั่งมีมือของใครบางคนวางบนไหล่ของเธอและเมื่อเธอหันกลับไปเขาคนนั้นก็คือนายสเวนเซอร์ ซีกเกอร์ที่เป็นทั้งพ่อบ้านและเด็กสมัยเด็ก ถึงแม้ผมหน้าม้าจะปิดดวงตาคู่นั้นแต่ก็พอจะสัมผัสความความอบอุ่นได้ผ่านทางมือที่วางอยู่บนไหล่ คัลวิกมองเรนแล้วมองภาพต้นเหตุด้วยสีหน้างุนงง
“MOPVYZ คือชื่อของมันค่ะ”
“ อะ...คุณหนูเป็นอะไรรึเปล่าค่ะดูหน้าซีด ฉันว่าเราพาเธอไปพักที่ห้องรับรองก่อนแล้วกันนะค่ะ” เมื่ออลิซหันมาเห็นสีหน้าของเรนเธอก็เอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง
“เดินไหวมั้ยครับคุณหนู”สเวนถามพลางช่วยประคองเรนให้เดินต่อไป
“ฉันไม่เป็นไร”ท่าทางกับคำพูดที่ดูยังไงก็ขัดแย้งกันเห็นๆ ทำให้ทุกคนเดินมาดูอาการของเรนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่ไหวเลยน่าฉันเตือนเธอแล้วนะว่าหัดออกกำลังกายซะบ้างเอาแต่ขลุกอยู่กับตุ๊กตาประหลาดพวกนั้นมันไม่ดีต่อสุขภาพนะ”เรซารีนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อให้เรนเบาๆ ขณะเดียวกันเรนก็เหลือบไปเห็นเงาของใครผลุบหายไปหลังรูปปั้นอย่างรวดเร็ว
“เอ๋ มองอะไรอยู่เหรอจ๊ะเรนจัง”คานนพูดแล้วหันไปตามทิศทางที่เรนมองอยู่ ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่มีดของเธอเท่านั้นที่ไวแต่ประสาทในการรับรู้สิ่งต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน คานนหันไปส่งสัญญาณให้เรซารีนแล้วทั้งคู่ก็วิ่งตามคนท่าทางมีพิรุธไปทันที
“เอาล่ะพวกเราเองก็มีงานรออยู่นะครับ”คัลวิกใช้มือข้างหนึ่งโอบไหล่ของอลิซอย่างสุภาพก่อนจะออกแรงผลักเธอให้เดินต่อโดยไม่สนใจว่าเธอจะยินยอมหรือไม่ เขารู้สึกได้ว่าเงาดำๆ เมื่อกี้คงเป็นเพียงเหยื่อล่อ แต่การส่งสองคนนั้นไปตรวจดูให้แน่ใจก็ดีกว่าจะปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ว่าเจ้าพวกนี้จะเป็นใครก็ตามอีกไม่ช้าพวกมันก็คงลงมือ
“แต่พวกเธอไม่รู้ทางนี่ค่ะ”คัลวิกยิ้มพร้อมกับก้าวยาวๆ เป็นเหตุให้เธอต้องเดินตามไปแต่จะพูดให้ถูกน่าจะเป็นโดนลากไปอย่างช่วยไม่ได้มากกว่า
“เดี๋ยวพวกเขาก็ตามไปเองล่ะครับแผนที่ของที่นี่อยู่ในหัวพวกเขาหมดแล้วล่ะครับ”คัลวิกเว้นวรรคก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงเบาเกือบจะเป็นกระซิบ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นกับรอยยิ้มทรงสเน่ห์ทำให้อลิซเผลอใจเต้นตึกตัก แล้วก็กลัวขึ้นมาพร้อมๆ กัน
“ถ้าที่ๆ เราจะไปคือห้องรับรองจริงๆ ล่ะก็นะ...”แล้วสิ่งที่เธอกลัวก็เป็นจริงจนได้ ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาเขารู้ได้ยังไงว่าที่ๆ เธอกำลังจะนำทางพวกเขาไปนั้นไม่ใช่ห้องรับรองเหงื่อไหลออกจากทุกรูขุม
“นี่คุณหรือว่า!”เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากการจับกุมของชายที่ฉลาดจนน่ากลัวคนนี้ แต่ว่าอลิชกลับขยับไม่ได้ขึ้นมาดื้อๆ แม้แต่เสียงก็ไม่สามารถเปล่งออกมาได้เช่นกัน
“ผมไม่ทำร้ายคุณหรอกไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้น่า ผมแค่อยากให้คุณอยู่นิ่งๆว่าง่ายๆ ก็เท่านั้นเองครับ”เขามองสีหน้าหวาดกลัวของเธอแล้วก็ยิ้มร่าเริงเหมือนปกติ ก่อนจะหันไปตามเสียงเรียกของสเวนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณคัลวิก”สเวนเรียก เขากำลังประคองเรนให้เดินตามมาแต่ดูเหมือนสีหน้าของเธอจะแย่ลงกว่าเดิม
“ผมว่าเรากลับกันก่อนดีมั้ยครับอย่างน้อยก็ให้คุณหนูได้พักซักหน่อยแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”พอได้ยินเรนก็ผละตัวออกห่างจากสเวนแล้วเดินต่อไป ถึงแม้จะต้องใช้มือยันพนังเพื่อทรงตัว
“ผมก็เห็นด้วยอยู่หรอกครับ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเค้าจะไม่ยอมนะครับ”คัลวิกพูดโดยไม่หันกลับมามอง สเวนมองตามหลังของเรนแล้วเดินเข้าไปประคองเธอที่เดินโซเซอย่างฝืนสังขาร
“ถ้าคุณหนูยืนยันแบบนี้ผมก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะสนับสนุนคุณอย่างเต็มความสามารถครับ”สเวนพูด เรนหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้
“ขอบคุณนะสเวนฉันไม่ได้หมายถึงแค่ตอนนี้ แต่ฉันหมายถึงตั้งแต่ที่บ้านเด็กกำพร้าด้วยถ้าไม่มีนาย คุณพ่อ แล้วก็ทุกคนฉันคงเป็นฉันอย่างตอนนี้ไม่ได้”เรนตอบกลับไปอย่างตื้นตันในสายตาเธอสเวนคือเพื่อนที่พร้อมจะลุยไปด้วยกันถึงไหนถึงนั้น ตั้งแต่เกิดมาคนที่อยู่ด้วยมาตลอด คนที่เรียกชื่อเป็นคนแรก ไม่ใช่ใครแต่เป็นเพื่อนคนนี้ต่างหาก
“ทำไมถึงพูดเหมือนพวกเราจะจากกันแบบนี้ล่ะครับ คุณหนูยังต้องแกล้งผมอีกนานเลยนะครับ”เขาพูดยิ้มๆ แต่ก็แอบคิดมากเพราะปกติเรนไม่ใช่คนที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง แต่เรนวันนี้ไม่เหมือนตัวเเธอตามปกติ สเวนรีบสลัดความคิดนั้นออกจากหัว
หรือว่าคุณหนูจะเห็นอนาคตของตัวเอง...ในฝัน จะว่าไปคุณหนูก็ดูจะแปลกไปตั้งแต่ตอนเช้าที่เราปลุกยังไงเธอก็ไม่ลืมตาขึ้นมาสองวันเต็มๆ...ถึงเธอจะตื่นขึ้นมาจริงๆ อย่างที่คัลวิกคำนวณ แล้วก็หมอนั้นอีกที่เป็นคนบอกให้ปิดเรื่องที่เธอนอนหลับไปสองวันเต็มๆ เรื่องนี้มันชักจะไม่ชอบมาพากลขึ้นทุกทีๆ สิน่า สเวนคิดพร้อมกับประคองเรนเดินไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้คัลวิกสงสัย ยังไงซะในสถานการ์ณที่เป็นอยู่นี้เขาก็ไม่ควรจะบุ่มบ่ามทำอะไรทั้งสิ้น โดยฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิ่งที่เขาทำจะทำให้เรนไม่สบายใจ
นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาระแวงกันเองสินะครับ...ท่านประธาน...

ความคิดเห็น