ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยาของผมเป็นวิญญานร้าย (นิยายสั้น)

    ลำดับตอนที่ #1 : บทเริ่มต้น : ภรรยาของผม

    • อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 61


    นิยายสั้น
    บทเริ่มต้น : ภรรยาของผม


    ผมชื่อ ฟุคาเบะ เรียวจิ อายุ 23 ทำงานพาร์ทไทม์ สองที่ เรียนอยู่วิทยาลัยที่ไม่โด่งดังมากจนเกินไปก็ธรรมดาๆ
    ผมในตออนี้กำลังอยู่บนรถไฟผมสวมชุดสูทชีเทา ดูแล้วเหมือนชุดสมัครงานเข้าบริษัทไหนสักแห่ง
    คนมองผมเขาคงคิดว่าผมไปสมัครงานที่ไหนเป็นแน่ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่หรอกนะจะบอกให้ ผมกำลังย้ายบ้านตั้งหากหากคุณมองตั้งแต่หัวจรดเท้า

    คุณจะเห็นผมถือกระเป๋าใบใหญ่อยู่นั่นเอง… ถามว่าทำไมถึงสวมชุดสูทอันที่จริงว่า ก่อนหน้านี้ผมก็อยู่บ้านคนเดียว ซึ่งผมลืมซักผ้าเหลือแค่ชุดนี้
    นั่นจึงทำให้ผมจำใจต้องใช้ชุดแบบนี้ไงล่ะ ผมเคยอาศัยอยู่ในเมืองxxx และปัจจุบันก็ยังอยู่ผมแค่ย้ายออกใมาให้ใกล้กับวิทยาลัยเฉยๆล่ะนะ
    ในตอนที่ผมกำลังตื่นเต้นกับการย้ายบ้านอยู่นั้นเอง จู่ๆก็มีร่างหนึ่งเบียดกันรถไฟจนมาชนใส่ผมไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายแก้วน้ำที่อยู่บนมือผู้โดยสารอีกคนหกลงมาใส่แขนของผม
    “อ๊ะ….”
    แขนขวาของผมพร้อมทั้งชุดเปียกชื้นไปด้วยน้ำผลไม้ … บัดซบ ชุดเพียงตัวเดียวของผม… แล้วเธอที่มาชนวิ่งออกมาจากฝูงชนที่เบียดกันบนรถไฟพร้อมกับหันหน้ามองผมทันที

    “ขอโทษด้วยนะคะ!”
    เธอก้มหน้าลงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาอย่างตะกุกตะกักพร้อมกับเช็ดไปที่แขนเสื้อของผม ดูแล้วเธอก็น่ารักอยู่หรอกนะ
    เธอมีผมสีดำเงางามปล่อยผมยาวจรดเอวสวมชุดพื้นบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ตอนนี้ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความกังวล ขอโทษออกมาอย่างสุดซึ้ง

    “เอ่อ…”
    “ข… ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ยกโทษให้ชั้นด้วยนะคะ ขอโทษค่ะ!”
    เธอคิดว่าผมโกธรหรือเปล่านะ ? อันที่จริงผมก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นอยากจะฆ่าคนที่ทำน้ำหกใส่ซะหน่อย....
    แต่ดูเหมือนว่าคนด้านข้างผมจะไม่ชอบใจเอามากๆ เขาคือเจ้าของแก้วน้ำที่หกใส่แขนเสื้อผม … เขาไม่มีท่าทางขอโทษเลยด้วยซ้ำ
    เป็นชายหนุ่มอายุเกือบๆ 30 สวมชุดบริษัทที่ดูมีตำแหน่งสูงมีนาฬิกาหรูเขาตระโกนใส่เด็กหญิงผู้ใสซื่อด้วยความโกธร

    “นี่แก ยัยเด็กเวร! เธอทำแก้วน้ำชั้นหกแล้วรู้ไหม!”
    “ข..ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ”
    ผมกำลังว่าจะหยุด… แต่คิดดูอีกทีผมไม่รู้จะพูดยังไงดีเลยตกใจ.. ตัวเองก็เป็นคนคุยไม่เก่งซะด้วย
    แต่ในตอนที่ผมกำลังวิตกกังวลนั้นเองเสียงแจ้งเตือนบนรถไฟก็ดังขึ้นไม่ช้ารถไฟก็เริ่มเบรคตัวลงตลอดเวลานี้ ไอ่หนุ่มพนักงานเงินเดือนนั่นบ่นไม่หยุดเหมือนพยายามจะเอาค่าเสียหายเพราะแก้วน้ำหลุดมือ
    น่าขำนะ . . .
    ผมไม่รู้จะช่วยเธอยังไงกัดฟันแน่นจนมีเสียง “กรอด” …เอาก็เอาว่ะ… ผมจับแขนซ้ายของหญิงสาวผู้ใสซื่อฉุดดึงออกจากรถไฟในกำลังที่ประตูกำลังปิดพอดี

    “เอ๊ะ ?”
    “นี่ พวกแกคิดจะหนีหรอ!”
    เธออุทานอย่างตกใจก่อนที่เจ้าพนักงงานเงินเดือนจะพยายามตามมาแต่เหมือนรถไฟจะปิดตัดหน้าจนใบหน้ากระแทกกับรถไฟ… ผมหลับตาลง.. สมน้ำหน้า!

    พอหันมามองเธอผมก็พูดขึ้นทันที… “เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
    “ไม่เป็นไรค่ะ! ขอบคุณค่ะ เอ่อ.. คุณ ?”
    พอผมมองเธอดูดีแล้วเหมือนเคยเห็นเธอที่ไหนก่อนจะตบไปที่มือป๊าบหนึ่ง ผมจำได้แล้วเธอเป็นคนที่เรียนวิทยาลัยเดียวกับผม
    ผมเคยเห็นเธอบ่อยๆอยู่ตอนแรกไม่สังเกตุดีๆนี่น่า ถ้าจำไม่ผิดเธอชื่อ อาคาเซะ ยูอิ อายุ 22 ปี เธอเป็นคนที่มีมิตรภาพระดับดีเยี่ยม จนผมต้องอิจฉา

    “ไม่เป็นไร”
    ชั้นพูดสั้นๆแค่นี้ก็จับกระเป๋าเดินออกจากสถานีรถไฟอย่างไม่รีรอ ชั้นไม่ใช่คนที่มีความสัมพันธุ์กับคนอื่นได้ดีสักหน่อย
    ชั้นแค่คิดว่าอยากจะช่วยเธอเท่านั้นเองไม่ได้หวังอะไรหรอก พอช่วยเสร็จก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน ไม่จำเป็นต้องแนะนำ ทำตัวให้โดดเด่น นั่นคือคติของผม….


    หลังจากนั้นผมก็เดินทางมาและเดินทางด้วยเท้าอันที่จริง อพาร์ทเม้นที่ผมเช่ามันก็อยู่ใกล้กับสถานีนี้มาก และแน่นอนว่าใกล้วิทยาลัย
    ดังนั้นผมจึงไม่ต้องต่อรถแท๊กซี่ให้ยาก ผมเดินเท้าอยู่ไม่กี่นาทีก็เดินมาถึงอพาร์ทเม้นนี้ เป็นอพาร์ทเม้นที่ไม่ได้ใหญ่โตมากมาย
    ค่อนข้างเล็กด้วยซ้ำ อพาร์ทเม้นมีสองชั้น หกห้อง ผมเดินเข้าไปห้องที่หมายเลข 109 ถ้านับเรียงจากซ้ายไปขวาล่ะก็อยู่ห้องแรกเลยล่ะ
    ผมเคาะไปที่ประตู.. ไม่นานประตูก็เปิดออกเห็นหญิงชราที่สูงไม่ถึง 150 เซนติเมตรเสียงเธอดูแก่มากพูดขึ้นมา

    “โอ้.. นายเป็นคนที่จะมาใหม่สินะ”
    “ค…ครับ ฟุคาเบะ เรียวจิครับ!”
    “โฮะๆ งั้นเหรอๆ”

    หญิงชราหัวเราะแบบเก่าแก่ก่อนจะหยิลกุญแจโยนให้ผมทันที กุญแจนี้เป็นกุญแจที่มีเลขห้องเขียนอยู่ด้วย 114 มันเป็นเลขประมาณนี้แหละ
    “ห้องขอลเธออยู่ชั้นบน เธอจ่ายล่วงหน้ามาแล้วสามเดือนขอให้สบายนะ อพาร์ทเม้นของชั้นมันเล็กๆไม่ได้ใหญ่โตมีคนเช่านอกจากนายแล้วมีอีกคนเท่านั้น”
    “ค..ครับ!”

    หญิงชราพูดเสร็จก็ปิดประตูปล่อยให้ผมยืนเกร็งอยู่อย่างนั้นก่อนที่จะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
    ผมเดินขึ้นชั้รสองห้องเลข 114 อยู่ด้านขวามือสุดเหมือนจะเป็นห้องสุดท้ายผมไม่รอช้าอะไรก็เปิดประตูเดินเข้าไปทันที
    ทันทีที่ผมเดินเข้าไปมันเป็นทางเดินแคบๆ ขวามือเป็นพวกตู้เก็บของพวกจาน หรือที่ล้างมือทำอาหาร ซ้ายมือเป็นห้องน้ำที่ไม่ใหญ่มาก
    เดินเข้าไปอีกเห็นห้องแปดเสื่อทาทามิ มีหลอดไฟสไตล์ญี่ปุ่นติดอยู่บนเพดาน ด้านขวามือเป็นตู้เก็บเสื้อผ้าที่เป็นประตูเลื่อนสไตล์ญี่ปุ่น
    ซ้ายมือเป็นที่เก็บของสองชั้น มีประตูเลื่อนเหมือนกัน ด้านหน้าเป็นหน้าต่างที่มีระเบียงด้านหลังมีที่ตากผ้าและเครื่องซักผ้าด้านนอก

    มันไม่ได้ใหญ่จริงๆนั่นล่ะสมราคาจริงๆ อันที่จริงมันดูโคตรสมบูรณ์แบบด้วยซ้ำ… ผมวางกระเป๋าใบใหญ่ลงพร้อมกับถอดชุดที่ชั้นนอกที่เปื้อนคราบน้ำผลไม้
    ตอนนี้ห้องว่างเปล่าโดยสิ้นเชิงแน่ล่ะผมยังไม่ได้ขนของอะไรนี่น่า ผมเอาเสื้อผ้าใส่ตระกร้าเตรียมซักในเครื่องซักผ้า แต่ยังไม่ซักรอเขาเอาของมาส่ง

    ไม่นานก็มีเสียงรถขนของดังขึ้นผมไปขนของที่มาจากบ้านเก่าทันที แม้จะไม่ได้เยอะมากมายเท่าไหร่แต่ก็เป็นของที่จำเป็นนิดๆหน่อย พอขนของมาเสร็จตะวันก็เริ่มลับฟ้าแล้ว
    หลังจากจัดห้องให้เป็นระเบียบเก็บของดีๆ เอาชุดแช่น้ำยาปรับผ้านุ่มค้างไว้ เวลานี้ก็ปาไปแล้วประมาณเที่ยงคืน
    “เฮ้อ… ทำไมเวลามันเร็วจัง”
    ใช่ เผลอแปปเดียวก็ผ่านมาตั้งหลายชั่วโมง.. ผมเดินไปเปิดตู้เย็นขนาดเล็กและหยิบเอาขวดน้ำออกมาดืมและตอนนั้นเอง
    “โครกกกกก” เสียงท้องผมร้องคำราม.. ดุจมังกร.. ไม่ใช่ล่ะผมไม่ได้ทานข้าวมาทั้งวันนี่น่า หน้าไม่มืดก็ดีแล้ว … พอนึกๆดูลืมซื้อเสบียงนี่หว่า!!

    “นี่ผมต้องออกไปร้านสะดวกซื้อสินะเนี้ย!?”
    อันที่จริงเพราะว่าอพาร์ทเม้นนี่ค่อนข้างเงียบเหงาบ้านรอบๆก็เป็นบ้านเช่าซะส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีคนอยู่มากนักมีแต่ไฟตามถนนเท่านั้น
    แถมแถวนี้ยังไม่มีร้านค้าด้วยต้องปั่นจักรยานไปอีกกว่า 1 กิโลเมตรค่อยถึงร้านสะดวกซื้อ ผมถอนหายใจออกมาและออกจากห้อง

    ผมเดินไปเอาจักรยานและรีบปั่นออกไปในทันที จักรยานนี่เป็นจักรยานของผมที่เอามาจากบ้านด้วยเพราะรู้ว่าต้องจำเป็นแต่ไม่นึกว่าจะจำเป็นเร็วขนาดนี้
    แน่ล่ะว่าผมมีใบขับขี่ แต่น่าเสียดายไม่มีรถผมไม่ใช่คนรวยขนาดนั้นสักหน่อนที่จะมีรถหรูขี่อย่างเทพ
    ผมปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ ในถนนนอกจากไฟข้างถนนแล้วค่อนข้างเงียบเหงา ผมขี่ออกมาประมาณ 400 เมตรแล้ว.. มีสามแยกข้างหน้า แยกหนึ่งเป็นแยกซ้ายมือกับตรงไปและทางผม รวมกันสามแยกพอดี…

    ในตอนนั้นเองผมเห็นเงาร่างมืดมิดสีดำเดินมาจากด้านหน้าทันทีที่ผมเห็นเงาร่างนั้นแก้วตาก็พร่ามั่วจนมองไม่เห็น
    “อะไรน่ะ!”
    ยังไม่ตอบสนองคอรถจักรยานก็หักลงจนร่างผมกลิ้งไปกัยพื้รพร้อมจักรยานมีแผลที่เข่าและศอกเป็นแผลถลอกทันที…

    “นี่เธอ.. เป็นใคร.. เดียวสิ.. นี่มันอะไรกัน!”
    แม้จะเป็นเงาร่างสีดำแต่ผมก็รู้ว่าเป็นผผุ้หญิงจากรูบร่างผมยาวของเธอ ตาผมแม้จะเปิดอยู่แต่มันปวดตึบๆ ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
    มันทั้งรู้สึกทรมานสายตาแต่จะพยายามยังไงก็ไม่สามารถมองเห็นได้แม้ตาจะเปิดอยู่ เธอส่งเสียงออกมาช้าๆ

    “อย่า.. มา... ใกล้…ผู้ชาย.. สารเลว..  ออก..ไป.. ให้..พ้น!?”
    เสียงเธอเต็มไปด้วยความเศร้าโศกทุกทรมานเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างถึงที่สุด แม้ผมจะไม่รู้จักแต่ผมก็ตัวสั่นทันที…
    เสียงของเธอนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน.. เจ็บปวด เคียดแค้น เหมือนกับผม.. ตัวผมที่เกลียดชังคนอื่น แต่กลับตีหน้าทำตัวพยายามเขาสังคม…
    แต่ผมเกลียดพวกมัน! … ในความทรงจำผมตั้งแต่เด็กผมมีพี่สาวเพียงคนเดียวมีพ่อเลี้ยงและแม่จริงๆพ่อแท้ๆของผมกับพี่โดนฆ่าไปตั้งแต่มีผมอยู่ในท้องไม่รู้เพราะใคร

    ผมกับพี่ชอบโดนคุณแม่กับพ่อเลี้ยงทำร้ายแต่ถึงแบบนั้นพี่ก็ไม่เคยโกธรพวกเขาเลย.. พี่ชอบยิ้มรับตลอดเวลา ไม่ว่าจะเมื่อไหร่เธอก็ก้มหน้าขอโทษตลอดเวลา..
    วันหนึ่งผมกลับมาจากโรงเรียนพอดีเห็นพี่โดนจับหัวกดน้ำและมีรอยฟกช้ำตามร่างกายผมมาทันพอดีใช้ไม้ฟาดหัวเจ้าพ่อเลี้ยงบ้านั้นจนสลบ.. พอผมช่วยพี่เสร็จเธอบอกว่า… “ทำร้ายพ่อทำไม ?”
    เธอถามผมด้วยคำถามที่แบบนั้นทำให้ตัวผมสั่น.. เธอพึ่งจะโดนเขาทำร้ายมาแต่กลับมาถามผมว่าทำร้ายพ่อทำไม.. พี่ผมเธอเป็นคนที่ใจดีจนเกินไป…
    แม่ผมกลับมาเห็นว่าผมทำร้ายพ่อเธอก็ทำร้ายผมแต่พี่บอกว่าเป็นความผิดของตัวเองสุดท้ายก็โดนทำร้ายรุนแรงกว่าผม…

    จนวันหนึ่งพี่กับผมนอนห้องเดียวกันแน่นอนว่าผมตื่นขึ้นมากลางดึกไม่เห็นพี่อยู่บนเตียงผมเลยสงสัย… เธอไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า..
    แต่ผมเดินไปถึงห้องน้ำผมก็เห็นร่างพี่ที่ไม่ใส่กางเกงมีน้ำสีขาวอยู่ทั่วร่าง… เธอมีดวงตาที่ไร้ชีวิตพึมพำออกมาอยู่ทุกสองวินาทีว่า “พ่อ..หนูขอโทษ.. หนูเจ็บ.. อย่าทำแบบนี้…”
    ใช่เธอโดนไอ่บัดซบสารเลวนั่นข่มขืนจนไร้ชีวิต… ผมเอาเรื่องนี้ไปบอกแม่แต่มันบอกผมว่า “นี่แกเล่นสนุกกับพี่ตัวเองแล้วว่าสามีชั้นหรอ…” ใช่เขาบอกออกมาแบบนี้
    พี่ในวันรุ่งขึ้นเธอนอนบนเตียงไร้ชีวิตดวงตาไม่มีประกายแห่งชีวิตเธอโดนข่มขืนจนกระทั่งเสียความรู้สึกแม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ตัว… พี่น่ะใจดีเกินไป… เพราะงั้นผมต้องทำร้ายคืนให้พี่…
    ผมเดินไปหยิบมีดในครัวออกมาเดินไปห้องนั่งเล่นที่มีพ่อเลี้ยงสารเลวนั่นนั่งดูโทรทัศน์อยู่… มันมองมาทางผมด้วยสายตาทีเยียดหยาม มันรู้ว่าผมเอาไปฟ้องแม่.. แต่มันก็รู้ว่าแม่จะโดนหาว่ากุเรื่องขึ้น

    “อะไร.. มองชั้นแบบนั้นมีปัญหาหรือไง อ่อ… เรื่องยัยเด็กนั่นสินะ ชั้นขอโทษที่เอาครั้งแรกของมันไปจากนายแล้วกันนะ ฮ่าๆ…”
    มันพูดออกมาแบบนั้นผมกัดฟันแน่น… ไอ่สารเลวบัดซบ.. ผมยืนห่างจากมันไม่ถึงสองเมตรมีมีมีดปลายแหลมที่มือขวาซ่อนอยู่ด้านหลังตอนนี้ผมไม่สามารถทนได้อีกต่อไป… 
    ผมยกมีดขึ้นมาแทงใส่หน้าอกของมันทันที เสียงน้องโหยหวนของมันดังขึ้นทันที แม่ออกจากบ้านไปแล้วเธอเลยไม่รู้ มันถีบผมจนกระเด็นติดผนัง
    ผมไม่รู้ว่ามันรุนแรงขนาดไหนเหมือนเป็นระหว่างความเป็นกับความตายแรงที่ระเบิดถีบออกมารุนแรงจนทำให้กระดูกของผมปวดแปล๊บๆขึ้นมา.. กระดูกหลังไม่รู้ว่าหักแล้วหรือไม่…
    แต่ผมมองเห็นมันยังไม่ตายยังร้องโหยหวนอยู่ผมมองไปเห็นแก้วใสที่ตกอยู่บนพื้นผมคานไปใกล้ๆก่อนจะทุบมันลงจนแตก จนทำให้แก้วแหลมคม ผมพยายามลุกขึ้นตอนนี้ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีแทงแก้วออกไปใส่คอมัน
    ทันทีที่แก้วแทงใส่คอเสียงมันหยุดลง ทันทีเวลาพริบตาต่อมามันก็ตายลง… ปากของผมยกยิ้มไม่ออก.. มันตายแล้ว.. ? ตายแล้วหรอ.. ง่ายเกินไปไหม ? ทำไมมันตายง่ายจัง.. ใครจะไปยอมให้มันตายง่ายแบบนี้!!
    มันยังไม่พอ ไม่พอ มันทำให้พี่ต้องทรมาน.. มันต้องตายอีก ตายอีก อ๊ากกกกกก ผมบ้าคชั่งหยิบเศษแก้วแทงใส่ดวงตาของมันใช้มีดปลายแหลมแทงใส่อย่างบ้าคลั่ง
    ไอ่บัดซบ ไอ่บัดซบ ไอ่บัดซบ!! แกอย่าตายง่ายๆแบบนี้ อ๊ากกก…. ตอนนี้ร่างของผมโชกไปด้วยเลือดร่างของไอ่พ่อบัดซบมัแต่แผลโดนแทงและดวงตาหน้าลิ้นจมูกถูกแทงด้วยแก้วระหว่างขาของมันถูกแทงด้วยเศษกระจกลิ่มใหญ่

    ในตอนนั้นเอง เสียงประตูหน้าบ้านดังขึ้น “แกร๊ก” ร่างผมสั่นและหันไปมอง.. มันมีร่างหนึ่งเดินเข้ามาเป็นอีแม่บัดซบนั่น ตอนนี้ผมอายุราวๆ 8 ขวบ ได้ ส่วนพี่ 9 ขวบผมจึงยังไม่สูงเท่าไหร่…
    แม่มันเดินมาเห็นศพของพ่อและผมที่ถือมีดอยู่ร่างมันสั่น.  มันเห็นดวงตาของผมดวงตาที่มีเพียงแต่ความโหดร้าย…

    “ก.. แก.. ทำอะไร..”
    ร่างของมันสั่นจนถอยหลังอย่างอนาถ มันถอยไปด้านหลังติดผนังจนเกิดเสียงทำให้พี่ที่นอนในห้องตื่นขึ้นมา จากความกลัวของมันก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความเกลียด.. กบานเป็นโกธร…

    “หนอย.. ไอ่ลูกสารเลว!!!”
    มันโกธรและวิ่งเข้าใส่ผมทันทีใช้มือข้างหนึ่งบีบคอผมติดผนังจนกระดูกที่คิดว่าน่าจะหักดังขึ้นมากกว่าเดิม !
    “ไอ่เด๋ก สารเลว สารเลว สารเลว สารเลว!”
    มันบีบคอผมแน่นจนหายใจไม่ออก… ในตอนนั้นผมคิดว่าแม้จะฆ่าไอ่พ่อได้.. แต่ถ้ามันตอบสนองผมก็ทำอะไรมันไม่ได้.. ตาผมพร่ามัวใกล้มืดดับลง…แต่ในตอนนั้นเงองร่างผมร่วงลงกับพื้นก่อนที่จะมีเสียงแผดร้องของแม่… “อ๊าาาาาาา”

    พอผมมองไปแล้วทีผมเห็นคือแท่งไม้ปลายแหลมแทงจากข้างหลังทะลุหน้าอก ที่ผมเห็นคือเงาร่างของพี่ที่ทำแบบนั้น.. พี่ที่ใจดี.. พี่ที่เคยโกธรผมเพราะทำร้ายพ่อในขณะที่พ่อทำร้ายตัวเอง
    พี่ที่ไม่เคยโกธรแค้นอะไรพวกเขาเลย… พี่ฆ่าแม่งั้นเหรอ…. เสียงของพี่ดังขึ้นมาด้วยความสิ้นหวังเธอคว้าเอามีดที่ผมเคยใช้แทงใส่ต้นคอจนทะลุคอด้านหน้า พร้อมกับพูดด้วยความโกธร

    “แกเป็นใคร.. แกเป็นใคร.. บังอาจมาทำเรียวจิของชั้น ไอ่สารเลว ตาย! ตาย!! ตาย!!!”
    ในตอนนี้นั้น แม้แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเธอมในตอนนี้นอกจากผมแล้วทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนแต่ไร้ค่าสำหรับพี่
    “พี่…”
    ผมพูดขึ้น พร้อมกับเสียงสั่นๆเพราะเจ็บคอ… เธอหยุดการทำร้ายศพและทิ้งมีดเดินมาหาผมด้วยร่างที่โชกไปด้วยเลือด…
    “เรียวจิ… พี่ขอโทษที่ทำให้เธอต้องบาดเจ็บ.. พี่นี่มันโง่จริง.. ทั้งๆที่มีเรียวจิอยู่แต่กลับมองไม่เห็น”
    “พี่…”
    เธอเดินเข้ามานั่งกอดผม… จนสลบไปในเวลาต่อมาน่าจะเป็นเพราะทำร้ายจิตใจตนเองหรือเพราะการฆ่าคนครั้งแรกหรือฆ่าแม่ตัวเองจนเกิดอาการช็อคไม่มีคนทราบแน่ชัด ผมก็สลบตามไปจากความเจ็บปวดของกระดูกสันหลัง…

    ผ่านไปไม่นานมีคนรู้ว่ามันแปลกๆ เขาเค๊าะประตูบ้านจนผมสดุ้งตื่น และเดินออกไปประตูบ้านเพื่อเปิดประตู.. หลังของผมบวมขึ้นมากจนน่ากลัวเลยล่ะเห็นชัดว่าเป็นเพราะกระดูกหลังหัก.. ทันทีที่ผมเปิดประตูออก
    กลิ่นเหม็นคาวเลือดโชยออกมาก่อนที่คนข้างบ้านจะเห็นร่างผมที่โชกไปด้วยเลือดจนร้องเหว่อออกมา “ว้ายยยย!” และวิ่งหนีผมรู้สึกปวดหลังขึ้นมาก่อนที่จะล้มลงหน้าบ้านไปทั้งอย่างงั้น…

    ไม่นานก็มีคนมาถึงบ้านพร้อมตำรวจทันทีที่ตำรวจเห็นศพพวกเขาก็ตกใจทันทีร่างของศพที่ถูกฆ่าโดยไร้เยื่อใยกับร่างเด็กที่โชกไปด้วยเลือด.. เรื่องแบบนี้ใครๆก็รู้สึกขนหัวลุกอย่างแน่นอน..
    หลังจากนั้นพวกเขาก็ตรวจสอบจนรู้ว่าพ่อแม่เวรนี้เป็นพวกทำร้ายร่างกายลูกจนบาดเจ็บสาหัส… พวกเขากลัวว่าจะปล่อยสัตว์ประหลาดออกจากบ้านไปหาไล่ฆ่าคนเพราะเก็บกดมากเกินไป พวกเขาจึงตรวจสติปัญญา
    ผลออกมาว่าสมองได้พี่ได้รับความเสียหายจากความรู้สึกที่แปรปรวนทำให้สูญเสียความทรงจำยกเว้นความทรงจำเกี่ยวกับผม… พวกหมอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเธอไม่มีความทรงจำก็ไม่เก็บกด
    แต่หลังจากตรวจของผม.. ที่พวกเขาได้มาคือความผิดปกติ จนทำให้พวกเขาต้องสั่นกลัว… เพราะสิ่งที่พวกเขาได้คือ “ไม่มีมีความผิดปกติใดๆ” ราวกับว่า.. ตัวผมที่ฆ่าพ่อไปนั้น ไม่ได้เป็นความรู้สึกเก็บกด แต่กเพราะเกลียดที่มันทำร้ายพี่ หรือก็คือ การฆ่าคนของผมนั้นราวกับว่าเป็นแค่การเตะสุนัขที่มันมาทำร้ายพี่!

    แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ให้ผมอยู่กับพี่อยู่ดี… มีญาติมารับพวกเราไปเลี้ยงย้ายเมืองเนื่องเพราะข่าวการฆาตกรรมแม่และพ่อ แพร่กระจายไปทั่วจึงไม่สามารถที่จะอยู่ต่อ.. แต่ว่าผมแค่มีพี่ก็อยู่ได้หมดผมไม่รู้ว่าพี่คิดแบบนั้นหรือเปล่า…

    หลังจากนั้นก็ผ่านไปราวๆ 7 ปี ผมอายุ 15 พี่อายุ 16 ผมต้องแยกจากพี่เพราะพี่ไปเรียนโรงเรียนมัธยมปลาย แน่นอนว่าแค่แยกกันเรียนแต่ยังอยู่ด้วยกันเท่านั้นเพราะตลอด 7 ปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่สามารถแยกจากกันได้เลย…
    พี่เป็นผู้หญิงที่สวยสุดๆคนหนึ่งจึงมีคนมองเธอบ่อยๆ ซึ่งผมก็ไม่ชอบ แต่คนที่มายุ่งกับพี่อย่างเช่นสารภาพรักผมก็ไม่ปล่อยให้มันตายดีหรอกอย่างน้อยๆก็ต้องกระดูกร้าว

    จนวันหนึ่งผมไปรับพี่ที่โรงเรียนมัธยมเพราะรู้สึกไม่ดี …. ผมเห็นโรงเรียนตอนนี้คนอื่นกลับหมดแล้วผมขึ้นไปชั้นที่สองอาคารเรียนและไปห้องที่พี่เรียนอยู่แต่ที่เห็นอยู่ในห้องคือร่างของพี่ที่นอนอยู่บนโต๊ะ… ไม่ใส่เสื้อผ้า
    นี่เป็นคลั่งที่สอง.. อีกแล้ว.. เห็นมันอีกแล้ว.. แบบนี้.. แบบนี้มัน… แบบนี้มันอะไรกัน!!!! นอกจากพี่แล้วยังมีกลุ่มผู้ชายกว่า 10 คนที่อยู่รอบๆไม่ใส่กางเกง… ทันทีที่มันเห็นผมมันก็นิ้มเยาะเย้ย
    อีกแล้ว.. มันเกิดขึ้นอีกแล้ว.. พี่ของผม.. พี่น่ะเป็นของผมนะ.. ไม่.. พี่น่ะเป็นของผมคนเดียว! “พวกแกสารเลว!” ผมวิ่งใส่กลุ่มพวกมันก่อนที่จะหักคอมันตายด้วยมือเปล่า พริบตาเดียวร่างของพวกมันทั้งสิบก็กลายเป็นศพ….

    “พี่….”
    “ร…เรียวจิ”
    ดูเหมือนพี่จะรู้สึกตัวขึ้นมาพร้อมกับร่างของเธอที่สั่น…. เธอพูดขึ้นมา
    “เรียวจิ.. พี่.. ขอโทษนะ… ทั้งๆ.. ที่… เรียวจิ… บอกว่า.. พี่เป็นของเรียวจิ… แล้ว… แต่พี่กับโดน… พวกมัน.. ข่มขืน…”
    “พี่.. ไม่เป็นไร… พี่แต่นี้ต่อไปผมจะดูแลพี่เอง ผมไม่ให้ใครใกล้พี่ถึง 10 เมตร”
    “พี่ขอโทษนะ… ที่มีคนอื่นมายุ่งกับร่างกายพี่… ทั้งๆ.. ที่.. สัญญาแล้วแท้ๆ… พี่… แต่ตอนนี้.. พพวกมันก็.. ข่มขืน.. พี่… ไปแล้ว… พี่ขอโทษ”
    น้ำตาเธอไหลออกมาราวกับสายฝน เธอไม่ได้ยินที่ผมพูดเลยแม้แต่น้อย ..
    “พี่! ไม่เป็นไร! เห็นไหม พวกมันตายหมดแล้ว..  พี่.. พี่เป็นของผมคนเดียวนี่ไง! พี่ไม่เป็นไรนะ.. พี่ ถ้าพี่ต้องการผมไปลฆ่าพวกมันทั้งหมดในสายเลือดก็ได้นะ… พี่.. พี่.. พี่!!!”
    ร่างของเธออ่อนแรงลงก่อนที่จะหยุดการเคลื่อนไหวและนอนแน่นิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหวสิ้นชีวิตไปในเวลาต่อมา… ดูเหมือนพี่จะเสียชีวิตเพราะร่างกายทรุดโทรมและสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ แม้ผมจะไม่รู้ในตอนนี้ แต่พี่เสียใจมากที่ร่างของเธอนอกจากผม กลับมีคนอื่นได้ร่างกายของเธอ..
    ผมโกธรมาก.. ผมโกธรพวกสารเลวนี่มาก ทุกสิ่งทุกอย่าง… มันทำให้พี่ของผมตายใช่ผมเกลียดมัน เกลียดพวกมันโดยเฉพาะพวกผู้ชาย! ไม่มีทางช่วย หรือคุยเด็ดขาด…. แต่ผู้หญิงผมก็ช่วยอยู่นะ…
    ร่างของพี่นั้นไร้ชีวิต แต่เหมือนจะมองเห็นระหว่างขาของพี่นอกจากน้ำขุนสีขาวแล้วไม่มีน้ำใสๆ ที่เป็นเหมือนน้ำหล่อลื่น ของฮอร์โมนเพศหญิงเลย.. ราวกับว่าแม้แต่ฮอร์โมนเพศหญิงของเธอก็ไม่มีอารมณ์ร่วม…. จนพี่ต้องเสียชีวิต…
    หลังจากนั้นผมก็เกลียดมนุษย์เป็นต้นมา แม้ผมตจะคอยช่วยเหลือผู้หญิงที่หน้าเหมือนพี่บ้างก็เถอะเพราะเห็นแล้วรู้สึกเจ็บใจ เหมือนเมื่อเช้านี้ที่ช่วยผู้หญิงคนรั้รเธอหน้าตาใกล้เคียงกับพี่มากพอสมควร


    นี่เป็นเหตุผลที่ผมเข้าใจกับความโศกเศร้าของเธอ… แต่ในเวลาต่อมาเสียงของเธอห่างไกลออกมไปราวกับว่ากำลังจากไป… ผมรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าหากเธอจากไป… ผมคงต้องรู้สึกเศร้าแน่.. แต่ที่ผมรับรู้อีกอย่างคือ เธอเหมือนกับผม… อาจจะเป็นแบบนั้น…

    “เดียวสิ…”
    “อย่ามา… ใกล้!”
    เสียงของเธอดูเกลียดเข้าใส้ทำให้ผมรู้สึกถึงตัวเอง.. แต่เหมือนมีแรงกดดันบางอย่างทำให้ขาที่จะลุกเหมือนจะลุกไม่ขึ้น เดินไม่ออกคตามองไม่เห็น… แต่ว่า.. ผมน่ะไม่ยอมแพ้…. เธอน่ะ… เธอน่ะ.. อาจจะเป็นคนที่เหมือนกับพี่…  ผมไม่ได้จะหาตัวแทนพี่หรืออะไรหรอกนะ… แต่ว่า.. ผมไม่อยากเห็นคนที่เหมือนพี่อีกแล้ว!

    “หยุดก่อน!”
    ผมพยายามล้มลุกคุกคานเข้าไปหาเธอด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มีไม่ว่าจะเจ็บปวดเลือดไหลจ่กผิวหนังซึ่ไม่รู้ว่าทำไมแต่ผมก็เดินเข้าใกล้เธอมากขึ้น.. มากขึ้นเรื่อยๆ
    “ไม่!”
    เธอตระโกนเสียงดังกึงก้องออกมาที่มีเพียงแต่ผมได้ยินจนทำให้ร่างของผมกระเด็นถอยหลังไป.. ในตอนที่เธอตระโกนออกมาแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกถึงทันที… ว่า.. เธอนั้นมีความกลัว.. ความเกลียด ความแค้นต่อผู้ชาย มากมาย…. เธออาจจะ……

    ผมเดินเข้าไปพร้อมพึมพำออกมาว่า.. “ใจเย็นๆ… ผมน่ะ.. ผมก็เป็นเหมือนคุณเพราะงั้น.. ผมไม่ได้จะทำร้ายคุณ”.. ผมไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ.. บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอกลัวจนเสียสติ และเกิดอาการประสาทหลอนก็ได้.. ผมก็ไม่รู้ทำไมมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเอง
    แต่ผมไม่ยอมแพ้ตาจะมองไม่เห็นจะล้มก็จะลุก.. จะคุกก็จะคาน ผมเข้าไปใกล้เธอผมสามารถรับรู้ว่าเธอห่างจากผมแค่เอื้อมมือ… มือของผมยกขึ้น.. ยกขึ้นไปแตะใบหน้าของเธอ…. ทันทีที่มือผมแตะถูกใบหน้าของเธอ
    สายตาผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือหญิงสาวผมสีดำยาวจนถึงสะโพกสวมชุดสีขาวบางๆ ใส่ชุดชั้นในสีขาวสามารถมองเห็นผ่านเสื้อสีขาวนี้ได้เลย.. เธอสูงราวๆ 157 เซนติเมตร มีร่างกายที่ค่อนข้างบอบบาง ผิวงดงามราวหิมะ สง่างามไร้ที่ติ…

    ในเวลาเดียวกันราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างไหลเข้ามาในหัวของผม เป็นความทรงจำอันแสนดำมืดของเธอ จนผมรู้สึกปวดหัวร้องตระโกนออกมาทันที … หญิงสาวเบื้องหน้าก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดความรู้สึกความทรงจำของผมไหลเข้าไปในหัวของเธอ ความทรงจำของเธอก็ไหลเข้ามาในหัวของผม
    ที่ผมรับรู้คือ .. เธอในตอนนี้เป็นวิญญานร้ายในเมืองที่เดินไปตามสถานที่ต่างๆ บางครั้งก็ทำร้ายผู้ชาย บางครั้งก็ทำร้ายผู้หญิงแต่น้อยมาก.. เธอในตอนนี้ไร้ความทรงจำในตอนเป็นคน.. แต่ว่าผมกบับรู้ถึงความทรงจำตอนเป็นคนของเธอด้วย..

    เธอชื่อ อลิซ คริสติน เป็นคนญี่ปุ่นแท้แต่ถูกรับเลี้ยงด้วยคนอังกฤษในตระกูล คริสติน เธอถูกพ่อที่เป็นคนอังกฤษพยายามจะข่มขืนแต่โชคดีที่เธอหลุดออกมาได้เธอหนีมายังเมืองนี้ด้วยการวิ่งเท้าเป็นแผลมากมาย เธอถูกพวกนังเลงพยายามจะข่มขืน แต่ก็สามารถรอดมาได้.. ตลอดทาง… แน่ล่ะเพราะเธอใส่ชุดสีขาวบางสะขนาดนี้.. เธอตายเพราะหัวกระแทกใส่มุมผนัง เพราะ นักเลวพยายามข่มขืนเธอแต่เธอตายก่อนพวกมันเลยขวัญหนีดีฟ่อ วิ่งหนี ความแค้นต่อผู้ชายเกิดขึ้นมาจนกลายเป็นวิญญานร้าย

    พริบตาเดียวความทรงจำของคนทั้งสองก็สามารถรู้ถึงกันและกัน.. อันที่จริงทั้งคู่นั้นสามารถกลายเป็นคนสนิทกันมากได้ทันที…
    เธอมองมายังผมด้วยสายตาอันซับซ้อนเธอก็สามารถเข้าใจ เข้าใจถึงความโกธรความเกลียดเคียดแค้นของผมดีที่สุด …. เพราะว่าตัวเธอนั้นเข้าใจทั้งหมด แม้กระทั่งความรู้สึกที่เศร้าโศกเสียใจที่ ผมเสียพี่สาวไป.. ราวกับว่าความเกลียดชังต่อผู้ชายของเธอเป็นเรื่องล้อเล่นต่อหน้าผม….
    ทันทีที่ผมเห็นหน้าเธอ หัวใจของผมเต้นรัวกระสับกระส่ายทันที… อ่านี่สินะ… นี่สินะที่เรียกว่ารักแรกพบ….

    “ช…ช่วย แต่งงานกับผมด้วยนะครับ!!?”
    สายตาของอลิชเย็นชามองมายังผมราวกับว่าไร้ความรู้สึกแต่ทันทีที่เห็นผมขอแต่งงานใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที…
    “อุ๊ป… ฮ่าๆ น.. นายพูดอะไรของนายเนี่ย! ขอแต่งงานกับผู้หญิงที่พึ่งเจอแถมทำให้ตัวเองบาดเจ็บเนี่ย มาโซคิส หรือไงกัน!”

    ทันทีที่ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงของเธอก็ตกใจเขานึกว่าเธอจะไร้ความรู้สึกเหมือนในความทรงจำตอนเธอกลายเป็นวิญญานซะอีกทำให้ตกใจมากจริงๆนะเนี้ย…
    “อีกอย่างนายก็น่าจะรู้แล้วว่าชั้นเป็นวิญญานร้าย… แต่ขอแต่งงานงั้นหรอ ฮ่าๆๆ!”
    “อึก… ผ..ผมจริงจังนะครับ แม้ผมจะพึ่งเจอคุณอลิชแต่ผมก็เข้าใจเธอดีที่สุด ผมเชื่อว่าอย่างงั้นเพราะงั้นแต่งงานกันเถอะนะครับ!”
    “เอ๊ะ.. จริงดิ”
    “แน่นอนครับ!?”
    “อุ๊ป ฮ่าๆๆๆๆ!”
    เธอขำหนักกว่าเดิมสะงั้น ผมรู้สึกตกใจกับบุคลิกนี้ของเธอเป็นอย่างมาก เธอขำจนน้ำตาเล็ดออกจากหางตา ผมเห็นแบบนั้นก็กั้นหายใจได้เวลาเลียนแบบสกิลที่พี่เคยสอนแล้ว คิดว่านอกจากพี่แล้ว ก็ไม่น่าจะได้ใช้สกิลนี้แล้วแท้ๆ

    “ผมจริงจังนะครับ!”
    “ห๊ะ ?”
    เธอก็ตกใจทันทีลืมคิดเกี่ยวกับสกิลนี้ของผมที่มีอยู่ในความทรงจำ ผมทำหน้าจริงจังก่อนที่จะใช้มือขวาจับแขนของเธอดึงเข้ามาสู่อ้อมแขนพร้อมประกบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากอมขมพูของเธอ.. อันที่จริงจากเรื่องเล่าเหมือนวิญญานจะไม่สามารถแตะต้องได้.. แต่เหมือนจะตรงกันข้ามแหะ… นี่ผมจูบเธอได้เลยนะเนี่ย!?

    “อ๊ะ.. อือ…”
    เธอไม่สามารถพูดได้จากที่ผมประกบริมฝีปากอันที่จริงก็อยากทำเรื่องน่าอายกว่านี้แต่พอมานึกดูพึ่งจะเจอกันครั้งแรก ทั้งยังจูบเธอนี่มันก็ไม่เหมาะอยู่แล้ว.. บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอเหมือนพี่มากจึงทำให้ผมจูบเธอไปโดยไม่คิดก็ได้… ผมถอดริมฝีปากจากปากของเธอ…
    เธอหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยมองผมด้วยสายตาที่โกธรเป็นไฟหน้าของเธอขึ้นสีแดง.. ซึ่งเธอที่เคยคิดว่าตัวเองไร้ความรู้สึกแล้วหากแต่กลับเมื่ออยู่ต่อหน้าผมเธอก็ยังเอียงอายเป็นอย่างมาก.. ถามว่าผมเรียนสกิลนี้มาจากไหนแน่ล่ะว่ามาจากพี่… เคยใช้กับพี่อ่ะนะ.. (ถึงใช้กับพี่ทีไรก็จบลงทีนอนหอบหายใจบนเตียงไม่ใส้เสื้อก็เถอะนะ)

    “น…นาย!”
    หน้าของเธอแดงยันใบหูเธอกระทืบเท้าด้วยความโกธรก่อนจะหันหลังและเดินจากไป…
    “เฮ้.. เดี่ยวสิ คำตอบล่ะ!”
    “คำตอบบ้านนายสิย้ะ ชั้นเป็นวิญญาร้ายนะ!?”
    “วิญญานร้ายสินะ”
    “ใช่!”
    พอเธอตอบออกมาแบบนั้นผมก็ดึงเธอเข้าสู่อ้อมอกทันทีจนเธอตกใจหน้าแดกจัด…
    “โอ๊ะ โอ้นี่มันวิญญานร้ายประเภทไหนผมอยากรู้จักเลยอลิช”
    “อย่ามาเรียกชื่อชั้นห้วนๆนะ แล้วก็ปล่อยชั้นสักทีสิย้ะ!”
    “เอ๋~ เธอไม่ทำร้ายผมเหมือนผู้ชายคนอื่นงั้นหรอ ผมก็เป็นผู้ชายลามกนะ ทำเรื่องอย่างว่ากับพี่ตัวเองเชียวนา เธอก็รู้นิน่า”
    “อึ่ก…”
    ใช่ ผมรู้จับจุดอ่อนของเธอได้แล้ว… ผมพอเข้าใจประมาณว่าด้วยความเคียดแค้นของเธอ จคึงทำให้เธอไม่ได้ไปเกิดใหม่ เพราะความรู้สึกต่อโลกใบนี้ยังคงเหลืออยู่จึงทำให้เธอกลายเป็นวิญญานร้าย ยิ่งเธอเกลียดแค้นมากเท่าไหร่เธอยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

    หากแต่ตรงกันข้ามล่ะ ถ้าผมทำให้เธอใจอ่อนล่ะ ใช่เธอก็ไม่สามารถทำร้ายผมได้เลยเพราะเธอไม่ได้เกลียดแค้นผม… ยิ่งเธอรู้ถึงความรู้สึกของผมที่เหมือนกับเธอยิ่งทำให้เธอรู้สึกปลื้มปิติต่อตัวผมมากขึ้นจึงทำให้ผมมั่นใจว่า ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าถึงขั้นหลงรักผมหรือเปล่า แต่ผมมั่นใจแน่ว่าเธอไม่ได้เกลียดผมจากที่เธอไม่ทำร้ายผมในตอนที่จูบเธอนั่นเอง … ผมก็ไม่ได้โง่เรื่องผู้หญิงหรอกนะ

    “ป…ปล่อยชั้นนะ..”
    “เธอต้องตอบผมมาก่อนสิ…”
    “ถ้าชั้นตอบว่าไม่ล่ะ ?”
    “นั่นสินะ.. ผมก็คงต้องทำให้เธอหลงรักผมสะแล้ว”
    “เดีย---”
    ก่อนที่เธอจะพูดเสร็จผมก็ประกบริมฝีปากของผมลงปากของเธอไม่ให้เธอได้ตอบสนอง… ก่อนที่ผมจะถอดจูบออกช้าๆ
    “ส…สารเลว!”
    เธอด่าทอออกมาด้วยสีหน้าทีแดงเอียงอายของเธอช่างน่ารักเสียจริง….
    “อลิช.. ผมว่าเธอน่ารักมากจริงๆ”
    “ชั้นไม่อยากเชื่อคนที่จูบแชะข่มขู่ผู้หญิงตั้งแต่งที่เจอกันครั้งแร--- เดียวสิ! ทำอะไรน่ะ.. ว้ายย”
    ก่อนที่เธอจะพูดเสร็จผมช้อนแขนเข้าใส่ต้นคอและขาของเธอก่อนจะอุ้มเธอด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิงทำให้เธอหน้าแดงกว่าเดิม

    มุมมองของอลิช

    ชั้นชื่อ อลิช เป็นความจำเดียวที่ชั้นยังมีอยู่ในช่วงมีชีวิตกับความเกลียดชังต่อผู้ชายแต่ชั้น รู้ถึงความทรงจำตอนมีชีวิตอยู่หลังจากเจอกับผู้ชายคนหนึ่งทั้งนังมีความทรงจำของเขาด้วย เขาชื่อ ฟุคาเบะ เรียวจิ

    มันอาจจะแปลกๆบางทีชั้นคงหลงรักเขาตั้งแต่แรกพบแล้สวล่ะ.. ไม่สิเป็นเพราะชั้นรู้จักเขาตั้งหาก.. เขาฆ่าคนเพื่อพี่สาวของเขา แต่สุดท้ายพี่สาวของเขาก็ตายลง ความรู้สึกเกลียดชังนั้นชั้นเข้าใจมันดี ชั้นเข้าใจเขา เขาก็เข้าใจชั้น มันก็เป็นดั่งคู่รักที่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งกันและกัน

    แม้เขาจะผิดศีลธรรมทุกคืนตอนพี่สาวของเขายังไม่ตายก็เถอะ แต่หลังจากนั้นเขาไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนเลย ไม่คิดที่จะหลงรักดวยซ้ำ.. แต่หลังจากนั้นเขาก็ขอชั้นแต่งงาน ชั้นทำร้ายเขาแต่เขาก็ยังขอชั้นแต่งงาน รู้ว่าชั้นไม่มีตัวตนแต่เขายังขอชั้นแต่งงาน รู้ว่าชั้นเป็นแค่วิญญานเขายังขอชั้นแต่งงาน นี่ทำให้ชั้นใจเต้นโครมครามไม่หยุดแล้ว

    แต่เขาจูบชั้นถึงสองครั้ง … ชั้นไม่เคยจูบกับใครเลย ชั้นเสียชีวิตตอนอายุ 16 ปี ตายมาแล้ว 8 ปี ตอนนี้อายุรวมๆก็ 24 ปีแต่ร่างกายยังเด็กอยู่เลยด้วยซ้ำ.. ตอนนี้เขายังอุ้มชั้นด้วยท่าเจ้าหญิงอีก เจ้าบ้านี่ไม่คิดว่าชั้นจะอายจนตายเลยหรือไง! ถึงชั้นจะตายไปแล้วก็เถอะ…
    “ป…ปล่อยชั้นลงนะ!”
    “ไม่! กลับบ้านกับผมกันเถอะ”
    เจ้าบ้าาาาา พูดอะไรของนายเนี้ย ชั้นเป็นวิญญานร้ายนะ เจ้าบ้า เจ้าบ้า เจ้าบ้าา เลิกโจมตีชั้นสักทีเถอะ รู้ไหมชั้นอายขจาดไหน อยากจะหายไปแล้ว!!!? แต่แน่ล่ะว่าใครมันจะไปพูดคำแบบนั้นออกมากันล่ะ…
    “ทำไมชั้นต้องกลับไปกับนายด้วย! ปล่อยชั้นลงนะ”
    “เอิ่ม… ถ้าเธอไม่ชอบเธอก็สามารถออกจากอ้อมแขนปมได้ไม่ใช่หรอ?”
    “อึ่ก”.. ชั้นคิดว่าตัวเองพูดไม่ออกเลยแหะ
    “อ๊ะ เอ๋… หรือ หรือ หรือว่าเธอชอบมันกันแน่น้า~าา”
    “หนวกหูน่า!!”
    ไอ่บ้านี่ ชั้นแพ้ทางมันร้อยเปอร์เซ็นเลย ไม่ไหว ถ้าชั้นมีร่างกายอยู่ชั้นคงกำเดาแตกไปหลายรอบแล้วมั้งเนี่ย ชั้นพูดไม่ออกเลยแหะ.. ชั้นไม่ขยัยปล่อยให้เขาอุ้มชั้นเงียบพร้อมใบหน้าที่แดงแป๊ด

    “อลิช”
    “อย่ามาเรียกชื่อชั้นห้วนๆนะย้ะ!”
    “ตัวเธอเบาจัง”
    “แน่นอนสิย้ะ”
    “ถ้าผมขมขื่นอลิช ร่างกายอลิชจะไม่บอบสลายหรือไง!”
    “………”
    อ๊ากกกกกก ไอ่บ้าาาา ชั้นไม่เข้าใจเลยทำไมต้งพูดเรื่องแบบนี้กับผู้หญิงหยุดสักทีเถอะะะะ…. พอนึกมาแบบนั้นชั้นก็นึกขึ้นได้บางสิ่งบางอย่าง…
    “นี่นายน่ะ”
    “เรียกชื่อผมสิ”
    “ฟุคาเบะ”
    “ชื่อผมตั้งหาก”
    “ร…เรียวจิ”
    “ชื่อผมสิ!”
    “ก็เรียกแล้วไม่ใช่รึไง!”
    “ไม่ใช่ ‘คุณสามี’ ตั้งหากล่ะ”
    “อึ่ก--- ชั้นไม่ได้ยอมรับว่าจะเป็นคนรักนายสักหน่อยอีกอย่างชั้นเป็นวิญญานนะ!”
    “งั้นผมจะทำให้เธอเป็นภรรยาตรงข้างถนนนี่เลยดีไหม ?”
    “ อ๊าาาา เข้าใจแล้วน่า เข้าใจแล้ว…. ค…คุณสามี”
    “มีอะไรงั้นเหรอครับ ภรรยาที่รัก ?”
    ชั้นกัดฟันกล่าวต่อด้วยความจริงจัง “ชั้นคงไม่คิดสงสารชั้นเพราะชั้นเหมือนพี่สาวของนายหรอกนะ… หรือไม่ใช่หาตัวแทนของพี่สาวนายหรอกนะ…”

    พอชั้นพูดออกไปแบบบนั้นร่างของเขาก็หยุดและจ้องมองมาที่ชั้นด้วยสายตาที่จริงจัง

    มุมมองเรียวจิ

    ผมฟุคาเบะ เรียวจิ เด็กหนุ่มนักเรียนในมหาวิทยาลัย เจอวิญญานร้ายในตำนานประจำเมืองแต่หลังจากผมเห็นเธอผมอยากจะตบปากคนที่ว่าเธอเป็นวิญญานร้ายแม้เธอจะซึนเดเระไปบ้างแต่ก็น่ารักมาก

    ผมคิดว่าผมรักเธอเข้าจริงๆนั่นล่ะจากที่ผมรู้จักเธอ แม้จะเพียงเวลาไม่กี่นาทีก่อนแต่ผมแชะเธอล้วนรู้จักกันและกันมาก… บางทีเธออาจจะรู้จักผมดีกว่าพี่อีก อย่าว่าผมรักคนง่ายเลย แต่เป็นเพราะผมและเธอ ล้วนแต่รู้จักกันและกันมากกว่าคนอื่น เป็นความสัมพันธุ์ที่มากกว่าสามีภรรยาเสียด้วยซ้ำ

    ถึงเธอจะเป็นวิญญานแล้วทำไมในเมื่องผมรักเธอไปแล้ว และถึงแม้เธอจะไม่สามารถแตะต้องได้ผมก็ยังสามารถรักเธอได้อยู่ดี… แต่เมื่อเธอถามผมว่า “คงไม่คิดสงสารชั้นเพราะชั้นเหมือนพี่สาวของนายหรอกนะ… หรือไม่ใช่หาตัวแทนของพี่สาวนายหรอกนะ…” แบบนี้ทำให้ผมนิ่งและมองไปที่เธอด้วยสายตาจริงจัง

    “เป็นความจริงที่ผมคิดว่าเธอเหมือนตัวแทนพี่ผม.. ผมที่พยายามจะช่วยเธอเพร่ะเหมือนผม ผมสงสารเธอเพราะว่าเธอเหมือนพี่ผม”
    “นั้นสินะ… ก็แค่ตัวแทนของก็อปปี้สินะ….” เธอทำหน้าสมเพชตัวเองราวกับว่าตัวเองโง่จริงๆที่ตัวหวังอะไรแบบนี้ ก่อนที่เธอจะลอยออกจากอ้อมแขนของผม… แต่ว่าผมดึงแขนเธอไว้ทันที

    “ปล่อยชั้นนะ!”
    “ไม่!”
    “ชั้นบอกให้ปล่อย ชั้นเกลียดนายที่สุด!!”
    ร่างของผมถูกลมกรรโชกปะทะใส่ร่างจนกระเด็นถอยหลังไปชนกำแพงที่อยู่ข้างถนนจนกระดูกส่งเสียงดังลั่นออกมา ราวกับว่ากระดูกร้าว “อึ่ก!” นั่นคือเสียงที่ผมส่งออกมาจากปากร่างของอลิชสั่นสะท้าน และเธอก็สงบสติอารมณ์กัดริมฝีปากพร้อมกับกำลังจะลอยหายไป

    “อย่ามาให้ชั้นเห็นหน้าอีก ถ้าชั้นเห็นนายอีกชั้นฆ่านายแน่!”
    “ไม่ ฟังผมพูดให้จบก่อนอลิช!”
    ผมไม่สนสันหลังที่ร้าววิ่งไปโอบกอดเธอจากทางด้านหลังใบหน้าของผมแนบชิดกลับใบหน้าของเธอ
    “ปล่อยชั้นนะ!”
    “ไม่… ฟังผมก่อน … จริงอยู่ที่ผมคิดแบบนั้น.. แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ผมชอบเธอสิ่งที่เธอเป็นหรือเป็นเธอไม่ว่าจะวิญญาน หรืออมนุษย์ต่อให้เธอฆ่าผม ผมก็รักเธอ ทำไงได้ก็ผมรักเธอไปแล้วนี่น่า เธอทำผมรักมากขนาดนี้แล้วอย่ามาทิ้งเล่นแบบนี้สิ!”
    ร่างของอลิชสั่นสะท้านใบหน้าแดงจรดหู… เธอพูดไม่ออกได้แต่ปล่อยให้ผมกอดเธอ…
    “แล้วเธอล่ะ.. จะรับผิดชอบหรือป่าว”
    “ชั้น . . .”
    ผมดอดเธอแน่นกว่าเดิม ตอนนี้ผมรู้สึกกลัวมาก กลัวว่าเธอจะปฏิเสษผม เพราะนอกจากพี่แล้วผมก็ไม่เคยสนใจเรื่องความรักจนมาเจออลิชเลย ผมไม่รู้ว่าชอบเธอตรงไหน แต่ว่าผมรู้สึกเหมือนว่า หากขาดเธอไปชีวิตผมก็คงต้องจบลง .. และถึงแม้ผมจะไม่รู้แต่ตอนนี้อลิชรู้ดีว่าผมกลัว… ดังนั้นเธอคิดว่าไม่ควรทำตัวหยิ่งผยองในเวลานี้…

    “ชั้น.. ชั้นก็รักนาย.. รักนายมาก.. รักตั้งแต่ที่รู้ว่านายเป็นเหมือนกับชั้น ชั้นเข้าใจนายดีที่สุด นายเข้าใจชั้นดีที่สุดเพราะงั้นชั้นน่ะ รักนายมากนะ เรียวจิ…. ของชั้น”
    ถึงแม้คำว่า ‘ของชั้น’ จะแผ่วเบาแต่ว่าผมได้ยินชัดเจน เพราะใบหน้าของเราแนบนิดติดกัน..

    “ขอบคุณนะ ภรรยาที่รักของผม”
    “ขอบคุณอะไรล่ะ คุณสามีที่รักของชั้น”
    อ๊ะ เฮือก… อลิชโจมตีผมแล้ว… ด้วยคำพูดที่อ่อนหวานเกินจินตนาการ หนอย.. ยัยแม่มดคนนี้… ชั้นถอนหายใจออกมาในตอนนั้นเองไฟในบ้านแถวนั้นก็เปิดขึ้น

    “ซวยแล้วไง อ๊ากก อาหารยังไม่ไปซื้อเลย”
    ผมทำหน้าตื่นตระหนกก่อนที่จะจับมืออลิชและวิ่งไปหาจักรยานที่ล้มอยู่อันที่จริงหลังผมก็หัก เลือดไหลออกทั่วร่างนะ แต่เหมือนจะหายไปแล้วผมก็สงสัยอยู่ว่าทำไมมันถึงหายไป… อลิชลอยเหนือพื้นตามหลังผมเธอมองผมก่อนที่จะพูดขึ้น

    “เรียวจินายยังไม่ทานข้าวหรอ ?”
    “เรียกผมคุณสามีสิ! ใช่ ผมยังไม่ทานข้าวตั้งแต่เมื่อเช้าแน่ะ… ก็กำลังจะไปซื้อเจอคุณภรรยาที่รักก่อนนี่ล่ะ”
    “มาจีบวิญญานในตอนที่ไปซื้ออสหารหรอ” อลิชทำหน้าบูดบึ้ง
    “อ๊ะอ๊า อย่าพึ่งโกธรผมสิ ผมขอโทษน่า กลับบ้านกันเถอะตอนนี้เลยเร็ว”
    ผมจับจักรยานขึ้นมาเตรียมปั่นทันทีก่อนที่จะบอกให้อลิชขึ้นมาบนรถ.. แต่ว่า

    “ชั้นพาคุณสามีกลับไปบ้านได้ทันทีเลยนะ…”
    “อ๊ากกก ภรรยาที่รักครับมีความโรแมนติค บ้างก็ดีนะครับ”
    “ง..งั้นเหรอ.. ก็ได้”
    เธอนั่งลงบันจักรยานของผม ผมทำหน้าบึ้งใส่เธอ…
    “อะไรหรอคะ ? คุณสามี”
    “กอดเอวผมสิ!”
    “…..”
    เธอหน้าแดงจรดหูก่อนจะเอื้อมมือสองข้างมากอดเอวของผม ไม่รอช้าผมเริ่มปั่นจักรยานเลยทันที… เอิ่มผมว่าน่าจะไปซื้อของก่อนน่าจะดีกว่านะ… ผมปั่นจักรยานไปซื้อมาม่าคัพ มาก่อนจะกลับอพาร์ทเม้น 

    ตอนแรกผมรู้สึกแปลกใจว่าทำไมผมถึงแตะตัววิญญานได้ แต่ดูเหมือนจะเป็นเพราะภรรยาของผมเองเพราะว่าใครๆก็สามารถมองเห็นเธอได้และสามารถแตะตัวเธอได้ วิญญานอะไรแปลกเป็นบ้า… ที่ผมรู้เพราะว่าพนักงานที่เคาท์เตอร์ในร้านสะดวกซื้อมองไปหาภรรยาของผมแล้วกลืนน้ำลาย คำใหญ่เพราะชุดที่เธอใส่ ถ้าเป็นผมตอนอายุ 15-17 มันที่มีท่าทางแบบนั้นต่อภรรยาของผม ผมคงหักคอมันทิ้งไปแล้ว….

    ขณะกลับบ้าน

    “นี่ภรรยาที่รักของผม”
    “หือ ??”
    “ทำไมภรรยาที่รักของผมไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะ ? อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนไม่ได้ ?”
    “ไม่ใช่หรอก ชั้นคิดว่าคุณสามีก็น่าจะรู้คำตอบของคำถามนี้นะ”
    พอเธอพูดเสร็จผมก็พยายามนึกดูในความทรงจำ อันที่จริงการมีควนมทรงจำแบบรี้ทำให้สับสนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร.. หลังจากนึกสักพักผมก็จำได้แล้ว.. จริงๆแล้วที่เธอไม่เปลี่ยนเพราะว่าเธอในตอนนั้นคิดว่าเสื้อนี้เป็นเสื้อที่เธอสวมใส่มาตั้งแต่มีชีวิตอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้เธอไม่มีความทรงจำตอนมีชีวิตอยู่นั่นเอง

    ความจริงอีกอีกอย่างที่ผมเข้าใจแล้ว.. จริงๆแล้ววิญญานร้ายนอกจากไม่สามารถทานอาหารได้ และมีพลังพิเศษ นอกนั้นก็คล้ายกับมนุษย์ทั้งหมดเลยล่ะ มันไม่ต่างจากมนุษย์เลยนี่น่า แต่ติดตรงที่มีสถานะบนโลกปัจจุบันว่า ‘เสียชีวิต’ ดังนั้นจึงไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะมากนักได้นั่นเอง ง่ายๆก็คือต้องหลบๆซ่อนๆนั่นและ

    นอกจากภรรยาของผมยังมีพวกวิญญานเร่ร่อนที่พบเจอได้ตามถนนหนทางโดยไม่มีคนมองเห็นไม่มีฤทธิ์เดชเหมือนกับวิญญานร้าย ให้ตายสิภรรยาของผมเป็นวิญญานร้ายที่ดีจริงๆ
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×