คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : จากอดีตสู่ปัจจุบันที่เปลี่ยนไป
"แม่หม้วย ข้าว่าจะไปสำรวจพื้นที่แถวนี้ดูสักครา เจ้าไปกับข้าได้หรือไม่"
"ได้ซิเจ้าค่ะ"
นวลจันทร์เอ่ยชวนบ่าวคนสนิท ก่อนที่จะใช้มนต์ เปลี่ยนชุดโจงกระเบนที่เคยสวมใส่ เป็นชุดร่วมสมัย พร้อมกับเปลี่ยนชุดของบ่าวคนสนิทให้เป็นชุดใหม่ เช่นเดียวกันเพื่อไม่ให้ชุดที่เธอสวมใส่สะดุดตาใครต่อใครที่เดินผ่านไปผ่านมา
"ทำอะไรเจ้าค่ะแม่นวล บ่าวใส่ชุดเดิมก็ได้เจ้าค่ะ"
"ไม่ได้ จักให้ข้าแต่งคนเดียวได้เยี่ยงไร ไปด้วยกันก็ต้องแต่งด้วยกันจักได้ไม่มีใครมองว่าเจ้ากับข้าประหลาด" นวลจันทร์ดุบ่าวคนสนิท อย่างไม่ใส่ใจมากนัก ซึ่งหม้วยเองก็ได้แต่ทำตามด้วยความจำใจ
"นี่พวกเองเฝ้าเรือนครัวดีๆ นะหากว่ามีวิญญาณใหม่เข้ามา พวกเองก็ทำอาหารให้วิญญาณพวกนั้นกินซะ รายการอาหารของวิญญาณแต่ละตนจะปรากฏอยู่บนสมุดข่อยที่วางอยู่บนที่นั่งตรงนั้น" หม้วยหันไปบอกบ่าวในโรงครัวด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึม ก่อนที่จะเดินตามผู้เป็นนายไป "แม่นวลจักไปที่ใดหรือเจ้าค่ะ"
"ยังไม่รู้เช่นกัน ข้ากะว่าจักเดินไปรอบเมืองที่อยู่ตรงหน้านี้ดูเสียก่อน มองดูแล้วมันกว้างใหญ่ยิ่งนัก" นวลจันทร์กวาดตาไปรอบๆ ที่มีบ้านเรือนตั้งตระหง่านด้วยความสนใจ จากเดิมที่เป็นพื้นที่ป่าอันรกร้างในอดีตที่ผ่านมา แต่ในปัจจุบันกับมีตึกรามบ้านช่องโผล่ขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
นวลจันทร์เดินสำรวจพื้นที่มีการก่อตั้งบ้านเรือน รวมถึงสถานที่ต่างๆ ด้วยความแปลกตา ภาพที่เธอคุ้นเคยในอดีตที่มีแต่ป่ารกร้าง ไร้ซึ่งผู้คนกับแปรเปลี่ยนไปโดนสิ้นเชิง แม้เธอจะผ่านมาแล้วทุกยุคทุกสมัย เห็นการเปลี่ยนแปลงมาแล้วก็มาก แต่ไม่เท่ากับครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะทุกอย่างดูแปลกตาไปหมด ผู้คนที่ใช้วิถีการเดินเท้าไปไหนมาไหน หรือหากไปที่ใดไกลๆ ก็มักจะใช้ม้า วัว ควาย หรือไม่ก็เกวียนเป็นพาหนะในการเดินทาง พัฒนามาหน่อยก็ใช้ยนต์เหล็ก ที่มีให้เห็นน้อยมาก แต่ภาพที่เธอเห็นกับมียนต์เหล็ก วิ่งสวนกันขวักไขว่เต็มไปหมด ผู้คนที่เห็นประปราย ก็มีมากจนน่าประหลาดใจ ถึงแม้เวลานี้เป็นเวลาใกล้พลบค่ำแล้ว แต่ผู้คนต่างก็ยังเดินสวนกันไปมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจางหายกันไปง่ายๆ แสงไฟที่เธอคุ้นเคยยามพลบค่ำเธอจะเห็นเพียงแสงปลายตะเกียงเพียงเท่านั้น แต่ภาพตรงหน้ากับสว่างไสวเจิดจ้าไปทั่วทั้งท้องที่ แม้ว่าฟ้าจะมืดสนิท แต่ไม่ว่าจะมองไปแห่งหนไหน ก็ดูจะสว่างไสวดังเช่นกลางวัน ซึ่งภาพที่เห็นกับทำให้เธอสงสัยยิ่งนัก แม้จะเป็นช่วงเวลายามค่ำคืน ที่ผู้คนต้องเข้าบ้านหาหลับหานอน แต่นี่กับมีผู้คนออกเดินไปเดินมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ บ้างก็นั่งรถยนต์เหล็กออกไป อย่างไม่คิดสนใจกลัวสิ่งใดยามค่ำคืนเลยแม้แต่น้อย
"มันเกิดอันใดขึ้นแม่หม้วย ผู้คนเหล่านี้ไม่หลับไม่นอนกันรึไง" นวลจันทร์ถามหม้วยด้วยความแปลกใจ
"นั่นซิเจ้าค่ะ ทำไมยังเดินไปไหนต่อไหนกันไม่ยอมเข้าบ้านเรือนหลับนอนกันสักที"
ทั้งสองมองผู้คนที่เดินสวนกันไปมาด้วยความสนใจ แต่ที่แปลกไปกว่านั้น ผู้คนทั้งหลายต่างก็พูดคุยและทักทายกันน้อยลง เพียงแค่เดินสวนกันไปมา แต่กับไร้ซึ่งผู้คนที่รู้จักกัน ซึ่งต่างจากอดีตที่ผ่านมาเธอมักจะเห็นผู้คนเหล่านั้นพูดคุยทักทายกันไปมา แต่ละคนต่างก็มีรอยยิ้มที่อ่อนโยน ต่างจากภาพที่ทั้งสองได้เห็นตรงหน้า ณ เวลานี้ ผู้คนต่างก็มองกันด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก แม้แต่รอยยิ้มเพียงเล็กน้อยก็แทบจะมองไม่เห็น
“ผู้คนสมัยนี้แปลกตายิ่งนัก ตั้งแต่ข้าเดินมาข้าไม่ค่อยจักเห็นผู้คนเหล่านี้ยิ้ม หรือพูดคุยกันมากนัก”
“บ่าวก็คิดเช่นนั้น ขนาดบ่าวเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผู้คนเหล่านี้จักเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน” หม้วยออกความเห็นให้ผู้เป็นนาย “บ่าวว่าเราก็ออกมานานแล้วนะเจ้าค่ะ เราน่าจักกลับกันได้แล้ว”
"ก็ดีเหมือนกัน ข้าไม่ค่อยชินกับสถานที่แห่งนี้เลย"
ทั้งสองที่กำลังเดินสำรวจพื้นที่ในเมืองอย่างสนใจก็เตรียมจะเดินกับเรือนครัว ในระหว่างที่ทั้งสองเดินมองสองข้างทางไปเรื่อยๆ อยู่ๆ ก็มีเด็กหนุ่มเดินชนเข้ากับนวลจันทร์อย่างจัง จนร่างบางร่วงลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างไม่ได้ตั้งตัว
“แม่นวลเป็นอะไรหรือไม่” หม้วยที่เห็นผู้เป็นนายถูกเด็กหนุ่มวิ่งชน ก็เอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ขอโทษครับผมไม่ได้ตั้งใจ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ทั้งสองคนด้วยความนอบน้อม
นวลจันทร์เงยหน้ามองเด็กหนุ่มด้วยความตะลึง เพราะเด็กหนุ่มที่วิ่งชนเธอนั้นใบหน้าชั่งหล่อเหล่าเกินมนุษย์ธรรมดายิ่งนัก แม้เธอจะเพ่งมองหาอดีตชาติของชายหนุ่มเธอกับไม่เห็นสิ่งใดในตัวชายหนุ่มเลยแม้แต่นิดเดียว นวลจันทร์จ้องมองเด็กหนุ่มอยู่เช่นนั้นเหมือนกับต้องมนต์สะกด
“แม่นวลเจ้าค่ะ แม่นวล” หม้วยเรียกผู้เป็นนายเบาๆ แต่ดูเหมือนว่านายของตนจะไม่ได้สติ สายตายังคงมองเด็กหนุ่มอยู่เช่นนั้นไม่วางตา หม้วยเขย่าตัวผู้เป็นนายอีกครั้ง ก่อนที่ผู้เป็นนายจะได้สติ “แม่นวลเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ ทำไมถึงนิ่งไป”
“ข้าไม่เป็นไร” นวลจันทร์บอกผู้เป็นบ่าว ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้น
“หากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มบอกกับทั้งสองคน ก่อนที่จะเดินจากไป นวลจันทร์ที่เห็นเด็กหนุ่มเดินจากไป เธอก็มองตามเขาไปจนลับสายตา
“เด็กหนุ่มยุคสมัยนี้ หน้าตาช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก” นวลจันทร์เอ่ยชมเด็กหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แม่นวลถูกใจเด็กนั่นเหรอเจ้าค่ะ”
“จักบ้าหรือไงหม้วย ข้าก็แค่เห็นว่าเด็กนั่นหน้าตาน่าเอ็นดูก็เท่านั้น” นวลจันทร์บอกหม้วยผู้เป็นบ่าว “แต่เด็กนั่นก็แปลกๆ อยู่นะ ข้ามองไปที่ดวงตานั่นแล้วแต่ข้ากับไม่เคยพบชาติของเด็กหนุ่มคนนี้เลยสักชาติเดียว แม้แต่อดีตที่ผ่านมาของเด็กคนนี้ข้าก็มองไม่เห็น” นวลจันทร์บอกผู้เป็นบ่าวด้วยความสงสัย
“อาจจะเป็นเพราะว่าแม่นวลออกมาจากเรือนนานแล้ว พลังอาจจะไม่คงที่ก็ได้นะเจ้าค่ะ” หม้วยออกความเห็น
“ข้าก็อยากจะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ผู้คนที่เดินสวนข้าไปมาแต่ละคนข้าก็มองเห็น กับเด็กคนนี้กับต่างออกไป”
“หรือว่าเด็กนั่นจะเป็นไอ้ฤกษ์เจ้าค่ะ” หม้วยบอกกับผู้เป็นนายด้วยใบหน้ายินดี
“ไม่ใช่ หากว่าเป็นไอ้ฤกษ์ข้าจะรู้สึกได้ทันที เพราะข้าผูกสายใยกับไอ้ฤกษ์เอาไว้ ไม่ว่าไอ้ฤกษ์จะเกิด จะตายหรือแม้แต่หน้าตาจะเป็นเช่นไร ข้าก็รู้สึกได้ทันที แต่นี่กับไม่มีสายใยนั้น” นวลจันทร์กล่าวให้หม้วยได้ฟัง
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินมองไปเรื่อยๆ เพื่อกลับเรือนครัว นวลจันทร์ก็มองทุกอย่างด้วยความแปลกตา เธอไม่รู้เลยว่าเธอจะอยู่ได้นานขนาดนี้ เธอเห็นทุกการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย เห็นผู้คนทั้งชั่วและดีต่างก็ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายตามวัฏจักรของชีวิต มีเพียงแค่เธอและบ่าวคนสนิทของเธอเท่านั้น ที่ยังติดอยู่ในวังวนนี้ จักตายก็ไม่ได้ตาย จักเรียกว่าอยู่ก็เหมือนไม่อยู่ เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้ระหว่างสองโลกระหว่างโลกแห่งความเป็นและความตาย เพื่อรอการปลดปล่อย
นวลจันทร์เดินมาถึงเรือนครัว เธอก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเสียงดังสนั่นออกมาจากเรือนครัว เธอและหม้วยจึงรีบเดินไปดูด้วยความร้อนใจ
“มันเกิดอันใดขึ้น ทำไมจึงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายไปถึงด้านนอกเยี่ยงนี้” หม้วยที่เดินเข้ามาในเรือนครัว ก็ถามบ่าวที่อยู่ในเรือนด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
“ผู้ชายคนนั้นเจ้าค่ะ เขาบอกว่าอาหารที่พวกข้าทำไปให้นั้น เขาไม่ได้สั่ง และเขาต้องการอาหารใหม่ ส่วนที่เราเอาไปให้เขาได้เทมันทิ้งไปแล้วเจ้าค่ะ” บ่าวในเรือนครัวกล่าวให้ผู้เป็นนายได้ฟังอย่างเกรงกลัว
“พวกเจ้ามีอะไรก็ไปทำกันเถอะ ข้าจักจัดการผู้ชายคนนี้เอง” นวลจันทร์บอกผู้เป็นบ่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่กับคนฟังถึงกับนั่งก้มหน้าด้วยความกลัว เพราะไม่ว่าใครที่เห็นผู้เป็นนายหญิงของบ้านโกรธ พวกคนเหล่านั้นต่างก็จะแตกสลายไปเช่นกัน ทุกคนที่อยู่บริเวณใกล้ๆ จึงตื่นกลัวและหาพื้นที่หลบผู้เป็นนายอย่างเร่งด่วน มีเพียงหม้วยบ่าวคนสนิทเท่านั้นที่ทนไฟโทสะของผู้เป็นนายหญิงได้
นวลจันทร์ที่ได้ฟังเรื่องราวจากผู้เป็นบ่าวแล้ว ก็เดินเข้าไปในเรือนครัว ที่จัดเป็นสถานที่ในการต้อนรับวิญญาณที่ได้เดินหลงเข้ามาได้นั่งกินอาหารมื้อสุดท้ายก่อนจากไป ซึ่งตั้งแต่เธออยู่ที่นี่มาก็ไม่เคยมีวิญญาณตนไหนกล้าที่จะเลือกอาหารที่พวกเธอได้จัดเตรียมให้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ละคนต่างก็รับอาหารและนั่งกินกันอย่างสงบแล้วค่อยๆ จากไปอย่างช้าๆ แต่กับวิญญาณตนนี้ช่างกล้าที่จะเรียกร้องในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“เธอเป็นใคร คงจะเป็นเจ้าของเรือนไทยบ้าๆ นี่ใช่ไหม สไตล์การตกแต่งร้านก็ดีนะ ดูค่ำคึกโบราณดีแต่บริการของพนักงานที่นี่บริการได้แย่มาก”
นวลจันทร์เดินไปยังโต๊ะที่ชายร่างท้วมนั่งอยู่ เขาก็เรียกเธอเข้าไปคุยอย่างถือดี โดยที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครจึงได้ทำตัวต่ำช้าได้เยี่ยงนี้ในสถานที่ของข้า”
“แล้วทำไมกูจะทำไม่ได้ มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร กูสามารถที่จะสั่งปิดเรือนไทยนี่ได้เลยนะ หากว่ากูไม่พอใจ”
“มนุษย์เน่าเหม็น เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าคิดว่าเจ้าใหญ่มาจากไหนถึงได้กล้าที่จะเรียกร้องอะไรจากความตายเยี่ยงข้าได้” นวลจันทร์ที่เดินเข้ามาในเรือนครัวในชุดปัจจุบันกับค่อยๆ เปลี่ยนร่างเป็นชุดไทยโบราณอย่างช้าๆ ก่อนร่างที่สวยสดงดงามกลับกลายเป็นร่างที่เต็มไปด้วยเลือดไหลนองเต็มร่าง ก่อนที่ร่างจะเน่าเปื่อยอย่างช้าๆ จนวิญญาณที่เฝ้ามองอยู่ต่างก็ถูกเผาไปทีละร่างทีละร่างตามที่ร่างเน่าเปื่อยของนวลจันทร์ได้เดินผ่าน จนเหล่าวิญญาณทั้งหลายที่จ้องมองต่างก็ต้องหลบสายตาเธอด้วยความตื่นกลัว ก่อนที่เธอจะพุ่งทะยานไปยังชายร่างท้วมอย่างจงใจ
เมื่อวิญญาณร่างท้วมได้เห็นหญิงสาวเปลี่ยนสภาพไปก็จ้องมองด้วยความตื่นกลัว พยายามจะดิ้นรนเพื่อหนี แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ก็ดูจะไม่เป็นผล เพราะร่างนั้นได้ถูกตรึงเอาไว้
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีข้าได้ไหม ข้าก็คือความตายที่จะคอยกลืนกินเจ้า ไม่ว่าเจ้าจักหนีสักกี่ครา สุดท้ายแล้วที่สุดท้ายที่เจ้าจักต้องไปก็คืนแดนนรกภูมิ ตอนมีชีวิตอยู่ความดีไม่ประจัก ก่อแต่กรรมชั่ว เบียดเบียนเข่นฆ่า โหดเหี้ยมเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน อาหารที่เจ้าจักได้กินมีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือไฟนรก” นวลจันทร์ใช้มือบีบรัดคอของชายร่างท้วมเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็แบมือเรียกถ้วยอาหารที่ถูกเหวี่ยงลงจากโต๊ะขึ้นมา โดยที่อาหารเหล่านั้นยังอยู่เต็มถ้วยไม่ได้หกลงพื้นไปไหน
นวลจันทร์ค่อยๆ เทอาหารที่อยู่ในมือใส่ปากวิญญาณนั่นอย่างช้าๆ อาหารที่เข้าไปในปากก็ไม่ได้ต่างจากลาวาร้อนๆ ที่คอยเผาร่างนั้นอย่างทุกข์ทรมาน เมื่อนวลจันทร์เทอาหารจนหมดถ้วยแล้ว เธอก็ปล่อยร่างนั้นลงไปกองกับพื้น ก่อนที่ร่างจะดิ้นทุรนทุราย
“ผมกลัวแล้ว ปล่อยผมไปเถอะ ผมกลัวแล้ว” วิญญาณร่างท้วมร้องขอชีวิตอย่างเวทนา
“ยามมีชีวิตก็มีผู้คนจำนวนมิใช่น้อย ที่ร้องขอชีวิตกับเจ้า แต่เจ้ากับมองผู้คนเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ขี้ทาสไพร่ ให้เจ้าได้สนองอารมณ์ตัณหาเจ้าเท่านั้น นี่เป็นเพียงบทเรียนแรกของเดรัจฉานเยี่ยงเจ้า เส้นทางต่อจากนี้เจ้าจักได้รับผลตอบแทนจากกรรมที่เจ้าได้กระทำอย่างสาสม”
นวลจันทร์มองร่างโปร่งแสงแตกสลายลงไปอย่างเวทนา ก่อนที่ร่างเปื่อยเน่าจะค่อยๆ กับสภาพมาเช่นเดิม วิญญาณที่นั่งอยู่ภายในเรือนครัวต่างก็ตื่นกลัว นั่งก้มหน้าดื่มกินอาหารที่อยู่บนโต๊ะอย่างเงียบเชียบ ทุกอย่างที่ถูกทำลายลง ได้กลับสภาพเป็นเช่นเดิม ก่อนที่บรรยากาศอันเงียบสงบได้กลับมาอีกครั้ง
*
*
*
*
ไรท์กลับมาแล้วนะเจ้าค่ะ ต้องขออภัยที่เปิดเรื่องแล้วหายไปนาน ไม่ได้เทรี๊ดแต่อย่างใด ;0 หลังปีใหม่ 2024 จะทยอยอัปให้ต่อเนื่องนะเจ้าค่ะ หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยเจ้าค่ะ
ความคิดเห็น