ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมข้อมูลแต่งนิยายจีน (ชิง)

    ลำดับตอนที่ #2 : ธรรมเนียมการแต่งงาน

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 58


     

    หวีผมประดับเกล้า สวมอาภรณ์ตกแต่งหน้า...ฉันเหมือนลูกข่างที่ถูกคนรอบข้างจับหมุนไปหมุนมา ฉันสูดลมหายใจลงท้องอย่างอดไม่ได้ ผมฉันถูกดึงรั้งจนแทบจะหลุดติดมือคุณข้าหลวงอยู่แล้ว มือหนักชะมัด ตงเหลียนที่อยู่อีกข้างหนึ่งพูดกลั้วหัวเราะ

                “เกล้าผมก็เช่นนี้แหละ ต้องแน่นๆ ถึงจะดี ถ้าไม่แน่นจะไม่งาม” พูดจบก็ช่วยคุณข้าหลวงหวีทึ้งต่อ พอเห็นฉันกัดฟันทำหน้าเหยเกก็ส่ายหน้าหัวเราะอีก “เจ้าทนหน่อยนะ เจ้าสาวคนไหนๆ ก็ต้องทรมานอย่างนี้ทั้งนั้น” 

               ฉันยิ้มขื่นพลางยกมือจะลูบหัวตรงที่เจ็บก็พลันถูกตงเหมยตีเข้าดังเพี๊ยะ 

              “ห้ามจับนะ กว่าจะทำได้ไม่ใช่ง่ายๆ” 

              เธอมองซ้ายทีขวาทีสำรวจดูผลงาน แล้วก็หันไปถามตงเหลียน “ตึงพอหรือไม่” 

              หนังหัวฉันแทบจะถูกถลกออกมาอยู่แล้วนะยะ...ฉันมองตงเหมยผ่านกระจกด้วยสายตาขุ่น

              “ตึงพอหรือไม่งั้นเหรอ?! ขืนตึงกว่านี้ก็ไม่เรียกเกล้าผมแล้ว เรียกถลกหนังหัวจะดีกว่า!” 

               “ฮ่าๆๆ” ผู้คนที่อยู่ในห้องหัวเราะออกมาเป็นเสียงเดียว พี่น้องสองสาวก็หัวร่องอหายไม่หยุด หน้าฉันคลี่ยิ้มเช่นกัน ไม่ใช่เพราะยินดีปรีดาอะไรหรอกนะ แต่เพราะหน้าถูกดึงรั้งขึ้นต่างหาก

              เมื่อศีรษะครอบมงกุฎเจ้าสาว ตัวสวมอาภรณ์มงคลเลื่อมลายหงส์ และใส่รองเท้ากระถางคู่เอี่ยมอ่องเรียบร้อยฉันก็เดินไปถวายบังคมลาพระนางเต๋อเฟยที่ตำหนักใหญ่ของพระนางก่อน ด้วยกฎมนเทียรบาลในวัง การแต่งงานแบบนี้จะไม่ให้ฝ่ายพ่อแม่เข้ามายุ่มย่าม จะว่าไปกฎนี้ก็ดูไร้มนุษยธรรมจริงๆ แต่มันเหมาะกับฉันมากเลย ก็นายท่านกับนายหญิงบ้านนั้นไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ ของฉันนี่นา อีกอย่างฉันกลัวว่าถ้าต้องเจอพวกเขาอีกจะเกิดเรื่องอะไรตามมาก็สุดรู้ ตอนที่ไปเข้าเฝ้าพระนางทีแรกคิดว่าจะต้องย่อกายหรือคุกเข่าโขกศีรษะเสียอีก แต่คงเพราะบนหัวต้องแบกเครื่องประดับมากมาย แค่เดินธรรมดายังโคลงเคลงจะหล่นไม่หล่นแหล่ จึงละเว้นธรรมเนียมโขกศีรษะได้ พระนางทรงสั่งเสียด้วยพระกระแสเสียงนุ่มนวล และทอดพระเนตรประกายวาววับของห่วงคอทองคำห่วงนั้นบนคอฉันอย่างพอพระทัย แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนถูกจองจำด้วยคา*ที่ไร้รูปร่าง 

             ยังเวียนหัวกับคำแนะนำเรื่องพิธีการไม่หายฉันก็ถูกคุณข้าหลวงพามาถึงประตูชั้นในของวังฉางชุน ไม่ทันได้บอกลาตงเหมยและพรรคพวกที่ยืนตาแดงกันเป็นแถวก็ต้องคลุมผ้าปิดหน้าเจ้าสาวแล้ว คุณข้าหลวงยัดแอปเปิ้ลใส่มือให้ฉันถือไว้ตามความเชื่อที่ว่าชีวิตจะราบรื่นสุขสงบเหมือนชื่อภาษาจีนของมัน กำชับที่ข้างหูว่าห้ามทำหล่นเด็ดขาด

              ฉันมองเห็นแต่ผ้าผืนแดงพลิ้วไปตามจังหวะก้าว ต้องอาศัยคนจูงเดินไป ทันใดนั้นเท้าฉันก็เหยียบถูกอะไรเข้าไม่รู้ ทำเอาเซเกือบล้มแน่ะ ฉันรีบควานหาแอปเปิ้ลจากมือของคนที่ช่วยพยุงไว้ ดีนะที่ไม่หล่น หัวใจฉันมันตุ๊มๆ ต่อมๆ ไปหมด รู้สึกเหมือนเดินทางไกล ในที่สุดก็ได้ขึ้นนั่งบนเกี้ยวสักที ฉันแอบหงุดหงิด ใครกันนะช่างหาแอปเปิ้ลลูกใหญ่แบบนี้มาได้ มือข้างหนึ่งของฉันจับได้แค่ก้นลูกเท่านั้นเอง เจตนาจะแกล้งกันหรือเปล่าเนี่ย 

              เกี้ยวถูกยกลอยขึ้นมาจากพื้น ก้าวแต่ละทีก็โคลงไปทางหนึ่งที ออกเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ฉันก็เริ่มผะอืดผะอมซะแล้ว โอย...อยากอ้วก! ฉันพยายามอดกลั้น หวังเหลือเกินว่าอีกไม่นานก็คงถึงวังจงชุ่ย**ที่อิ้นเสียงพัก ไม่อย่างนั้นคนกว่าครึ่งค่อนพระราชวังคงได้เห็นของที่ฉันกินไปเมื่อเช้าแน่ ดีจังเลยที่วังของอิ้นเสียงอยู่ไม่ไกลจากวังฉางชุนมากนัก เดินไปไม่นานเกี้ยวก็หยุดลง เสียงผู้คนด้านนอกเกี้ยวสับสนวุ่นวายมาก เสียงดนตรีก็ดังแข่งกัน แม้ว่างานแต่งในวังจะไม่เหมือนงานแต่งของคนธรรมดาสามัญ แต่เสียงอึกทึกครึกโครมก็แสดงถึงบรรยากาศของความปีติยินดีได้เป็นอย่างดี ถึงตอนนี้ฉันยังไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงให้พวกเราแต่งงานด้วยวัตถุประสงค์ใดแอบแฝงหรือเปล่า แต่ก็ต้องขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เพราะงานสมรสครั้งนี้ยิ่งใหญ่ไม่เบาเลยจริงๆ อาศัยลำพังยศศักดิ์ของอิ้นเสียงแล้วงานคงไม่ครึกครื้นมากขนาดนี้หรอก

                 ฉันนั่งแกร่วอยู่ในเกี้ยวคนเดียว หายใจเข้าออกลึกๆ สงบอาการเมื่อกี้ลงหน่อย ฉับพลันก็มีรองเท้าหนังข้างหนึ่งเตะชายม่านตรงประตูเกี้ยวพาให้ฉันสะดุ้ง แต่พอตั้งสติได้ก็รู้ว่าเท้านั้นเป็นอิ้นเสียงนั่นแหละ ก่อนหน้านี้พระนางเต๋อเฟยทรงให้ผู้รู้มาสอนพิธีบ้างแล้ว รู้สึกจะเรียก ‘พิธีเตะเกี้ยวเจ้าสาว’ เพื่อแสดงอำนาจของตนว่าเหนือกว่าเจ้าสาว เป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากความเชื่อของสังคมศักดินา และค่านิยมที่ชายหญิงไม่มีความเท่าเทียมกัน...กำลังคิดอยู่เพลินๆ แสงสว่างก็ส่องผ่านผ้าแดงตรงหน้าฉัน ม่านเกี้ยวถูกเปิดออกแล้ว ใครคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาจูงฉันออกไป เดินไปได้หน่อยก็ก้าวข้ามกระถางไฟ จากนั้นก็ขึ้นไปยืนอยู่บนแท่น แอปเปิ้ลในมือถูกหยิบออกไปแล้ว ฉันกำลังงงๆ ก็มีแจกันชุบทองวางบนมือฉัน...อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว

               ดีนะที่รู้ว่าฝีมือยิงธนูของอิ้นเสียงแม่นขนาดไหน เขาไม่มีทางยิงพลาดทำร้ายเจ้าสาวหรอก ฉันเลยไม่ห่วง เพียงแต่คิดว่าท่าทางเทินแจกันไว้บนหัวของฉันคงไม่ต่างจากภาพวาดราศีภุมภ์ที่เป็นรูปคนถือคนโท 

               ฉึก! เสียงหนึ่งดังขึ้น ฉันยืนแข็งอย่างไม่ตั้งใจ 

               ฉึก! ฉึก! เสียงนั้นดังขึ้นอีกสองครั้ง ตามด้วยเสียงร้องชมจากรอบด้าน ใครคนหนึ่งหยิบแจกันออกไปแล้วยัดผ้าแพรสีแดงใส่มือฉัน แพรนั้นตึงเหมือนมีคนดึง ฉันจึงต้องก้าวตามไปทางนั้น ใช่แล้ว คนที่ถือปลายอีกด้านหนึ่งก็คืออิ้นเสียง...สบายใจได้แล้ว

                 พิธีแต่งงานของชาวแมนจูกับชาวฮั่นแตกต่างกันมาก ชาวแมนจูไม่ต้องคำนับฟ้าดิน แต่ส่งเข้าห้องหอได้เลย ฉันนั่งอยู่บนเตียงคั่งเพียงลำพัง อิ้นเสียงถูกลากไปข้างนอกเพื่อดื่มรับอวยพรก่อน ฉันรู้สึกเหมือนฝันไป ทุกอย่างราวกับจับต้องไม่ได้ พวกสาวใช้และคุณข้าหลวงรอบข้างจัดการนู่นนี่อย่างเบาไม้เบามือ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่นานแค่ไหน ทันใดนั้นเสียงประตูเปิดออกก็ดังขึ้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวเข้ามา พาให้หัวใจฉันหยุดเต้นไปชั่วขณะก่อนจะเต้นรัวจนน่ากลัว ตื่นเต้นจังเลย!

               พี่เลี้ยงเจ้าสาวที่รายล้อมอยู่ผลัดกันเข้ามากล่าวคำอวยพร ตามด้วยคำแสดงความยินดีของบ่าวรับใช้และผู้ติดตามไม่ขาดสาย จากนั้นเสียงฝีเท้านั่นก็เดินใกล้เข้ามาทางฉัน ฉันเผลอยกมือขึ้นกุมอกเสื้อของตัวเองแน่น ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ ฉันมองลอดชายผ้าคลุมเห็นรองเท้าหนังคู่เดิมมาหยุดลงตรงหน้า ไม้คันชั่งสำหรับเปิดหน้าเจ้าสาวสอดเข้ามาช้าๆ ผ้าคลุมหน้าถูกเลิกเปิดขึ้นอย่างแผ่วเบา ฉันนั่งก้มหน้านิ่ง ไม่ใช่เพราะรู้สึกเขินอายหรอกนะ แต่ไม่รู้จะทำตัวยังไงต่างหาก บรรดาเหล่าพี่เลี้ยงเอ่ยชมไม่หยุดปาก ‘งดงามจริง’ บ้างล่ะ ‘บ่าวสาวงามสมกัน’ บ้างล่ะ แล้วลูกพุทราจีน ลำใย ถั่วลิสงก็โปรยปรายลงมารอบตัวเรา

                มือข้างหนึ่งยื่นมาจะเชยหน้าฉันขึ้น แต่ฉันยังกดคางตัวเองลงขืนกำลังไว้ ก็ไม่อยากเงยหน้านี่นา... มือข้างนั้นชะงัก เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเหนือหัว ฉันร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า เหงื่อไหลท่วมตัว จู่ๆ หน้าของอิ้นเสียงก็มาโผล่ตรงหน้าฉัน ฉันผงะถอยทันที เพิ่งเห็นว่าเขาคุกเข่าลงมายิ้มมองฉัน รอบห้องเงียบกริบไปชั่วขณะ บรรดาพี่เลี้ยงยืนอึ้งอยู่ข้างๆ ทำอะไรไม่ถูก ฉันมองใบหน้าแดงซ่านของอิ้นเสียง ดวงตาดำขลับคู่นั้น และริมฝีปากได้รูปชัดเจน พลันให้นึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่เราเจอกัน เจ้าหนูหน้าตาดื้อดึงที่หล่อเหลือเกินคนหนึ่งพูดกับฉันว่า

                ‘จะแต่งกับเจ้าให้ได้...’ 

                ใจของฉันอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งทันที ฉันมองเขานิ่งนาน รอยยิ้มเปิดเผยปรากฏขึ้นบนหน้าเขา พวกพี่เลี้ยงที่ได้สติแล้วรีบก้าวเข้ามาพาองค์ชายสิบสามนั่งประจำที่แล้วจับเสื้อผ้าของเราทั้งสองผูกชายหลวมๆ ไว้ด้วยกัน

                เมื่อก่อนนี้เคยไปงานแต่งคนอื่นเห็นเขาป้อนเหล้ากันดื่มท่ามกลางสายตาของแขกที่มาร่วมงาน ฉันยังเขินแทน แต่ตอนนี้เมื่อถึงตาตัวเองฉันกลับดื่มรับความสุขเต็มจอกโดยไม่สนใจเลยว่าในห้องนี้ยังมีใครอยู่บ้าง พี่เลี้ยงทั้งหลายส่งขนมมงคลให้เราคนละชิ้น แม้ฉันจะไม่รู้ว่ามันสื่อความหมายอะไร แต่ฉันก็พร้อมจะแบ่งปันกับอิ้นเสียงด้วยความยินดี 

                ทันใดนั้นนอกประตูก็เกิดเสียงเอะอะมะเทิ่งขึ้น ฉันกับอิ้นเสียงสบตากันอย่างฉงน ยังไม่ทันจะพูดอะไรกันประตูก็ถูกผลักเปิดเข้ามา...องค์ชายสิบนำขบวนพี่น้องผู้สูงศักดิ์เข้ามาก่อกวนถึงห้องหอ

     


    เป็นการข่มอำนาจผู้หญิง อิอิ
    踢轎門 เตะประตูเกี้ยว

      新娘轎到了男家,將下轎前新郎手拿一把扇子打轎子,須打三次,用腳踢轎門三次,之所以要這麼做,據說是為了壓制雌威,向新娘子示威,以便將來使新娘百依百順,女孩子為了展示自己不是弱者,往往也會回踢轎子。
    เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงบ้านฝ่ายชาย ตอนเจ้าสาวกำลังจะลงเกี้ยว เจ้าบ่าวมือถือพัดตีเกี้ยว ต้องตี3ที ใช้เท้าเตะประตูเกี้ยว3ที สาเหตุที่ต้องทำเช่นนี้ เล่ากันว่าเพื่อข่มอำนาจสตรีเพศ แสดงอำนาจให้ฝ่ายหญิงดู เพื่อให้ต่อไปทำให้เจ้าสาวว่านอนสอนง่าย ถ้าฝ่ายหญิงเพื่อแสดงว่าตัวเองไม่ใช่คนอ่อนแอก็อาจจะจะเตะเกี้ยวกลับ

      洞房花燭夜,新郎衣服須置於新娘的衣服上,且新郎脫下的鞋子須置於免被新娘踐踏的地方。據說這也是為了防止雌威,因此有所謂的「我的鞋疊你的鞋,把你教到頭犁犁」,「我的衫疊你的衫,把你壓到乾乾乾」。
    ในคืนเข้าห้องหอ ชุดเจ้าบ่าวจะต้องวางเหนือชุดเจ้าสาว อีกทั้งรองเท้าที่เจ้าบ่าวถอดต้องวางในที่ที่เจ้าสาวไม่เหยียบโดน 
    เล่ากันว่าเพื่อข่มอำนาจสตรีเพศเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้มีคำกล่าวที่ว่า 「我的鞋疊你的鞋,把你教到頭犁犁」,「我的衫疊你的衫,把你壓到乾乾乾」。



     




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×