ตอนที่ 8 : ลบแปด
“เน กูอยากกลับบ้านจริงๆนะ”
“ถึงได้มารับนี่ไง” เจอร์ทำหน้าเซ็งใส่เพื่อนที่เปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้อย่างกวนประสาท คิดถึงคุณหนูที่ตอนนี้คงรอเขาอยู่ในโรงจอดจับใจ
วันนี้เดอะแก๊งนัดรวมพลกินข้าวตามประสาคนที่มีเรื่องให้บ่นมากมายในช่วงชีวิตการเริ่มต้นเป็นผู้ใหญ่ ที่ปฏิเสธลำบากกว่าทุกทีก็เพราะคราวนี้ไม่ได้มีแค่ชายฉกรรจ์ทั้งเจ็ด สาวๆที่ไม่ได้ไปทะเลด้วยกันก็มาจอยด้วยจนครบทีม แน่นอนว่าองครักษ์พิทักษ์เจอร์อย่างเนก็ต้องลงทุนไปส่งคุณเขาทำงานตั้งแต่เช้าพร้อมมารับไปกินข้าวตอนเย็น
ไม่งั้นก็จะมีคนหาเรื่องชิ่งได้แม้จะไม่มีข้ออ้างไม้ตายอย่าง ‘น้องสาว’ ให้ใช้แล้วก็ตาม
พอน้องกลับอังกฤษที สายตาอ่อนโยนกับรอยยิ้มจางๆก็ไม่ค่อยมีให้เห็นหรอก
“สรุปพิ้งบอกยังว่าจะมาอีกเมื่อไหร่?” เนถามขึ้นหลังจากเข้าเกียร์เดินหน้าเรียบร้อย หางตาก็เห็นไอ้พี่ชายเอนหัวพิงเบาะพร้อมคิ้วยุ่งเหยิง อ่า...ดูท่าคงยังไม่ลงตัว
“อย่าพูด”
ท่าทางงอนที่โคตรไม่เข้ากับอายุบอกเนว่ายังไม่ลงตัวจริงนั่นแหละ
“พิ้งมันโตแล้วน่า ไม่ใช่เด็กอนุบาลที่หิวก็ร้องหามึง จะง่วงจะเล่นก็ตามแต่พี่เจอร์~” เสียงคนพูดที่ถูกดัดให้เล็กจนน่าตลกวาดรอยยิ้มบนมุมปากของเจ้าของชื่อ ภาพอบอุ่นหัวใจในอดีตคลายความล้าของร่างกายไปได้ส่วนหนึ่ง
“ก็มีกันอยู่แค่นี้”
เนเลือกที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายจมลงในเหตุการณ์เก่า วลีนั้นเขาได้ยินมาเป็นสิบปีแล้ว ไม่ว่าจะตอนวิ่งหน้าตั้งไปรับเด็กแสบหลังเลิกเรียน วันหยุดส่วนใหญ่ก็อยู่บ้านเพราะตัวเล็กตามแจ พอเพื่อนชวนหรือตื๊ออะไรมากๆที่ต้องทำให้พี่ชายแห่งปีละเลยจากการดูแลน้อง ทุกคนก็จะโดนแปะยันต์ ‘ก็มีกันอยู่แค่นี้’ จนเงียบไปเป็นแถบ
“คงเป็นตอนครบรอบพ่อกับแม่มั้งถึงจะได้เจออีก”
และมันเป็นหนึ่งในไม่กี่คำที่หมายความตามที่พูดอย่างซื่อสัตย์ เพราะคุณน้าทั้งสองเสียไปตั้งแต่เจอร์ยังไม่ได้ใช้คำว่านายนำหน้าชื่อเลยด้วยซ้ำ พิ้งเลยเป็นตัวเลือกแรกในทุกๆอย่างของเพื่อนเขาโดยไม่มีเงื่อนไข
“ถ้าว่างเดี๋ยวไปขับรถให้ อยากเต๊าะเด็ก”
“ไม่ขำไอ้สัส”
“หวงเก่งงงง กับพวกกูหยอกๆเนี่ยหวงเก่ง”
“คนชั่ว”
“เอ้ออ ขอให้น้องมันหิ้วหนุ่มอังกฤษมาไหว้มึง” เนรีบพนมมือเพราะไอ้พี่เตรียมพร้อมจะเข้ามาบีบคอโดยไม่สนว่าเขากำลังหอบหิ้วชีวิตของตัวเองและมันอยู่ โชคดีที่รถติดและได้จังหวะเหยียบเบรกพอดี ไม่งั้นได้แวะกินข้าวต้มในโรงบาลแทนแน่
“แล้วไอ้เมษอ่ะ?”
“มากับหยี”
“จะกลับกันยังไงวะนั่น” คนขับรถหลุดขำเพราะชื่อเสียงเลื่องลือด้านคู่หูภาพตัดเป็นของเมษาและลูกหยีมาแต่ไหนแต่ไร ถึงที่นัดกันคราวนี้จะเป็นแนวร้านอาหารดนตรีสดแต่อะไรก็เกิดขึ้นได้
“ดูแลเมียมึงด้วย”
“มึงอ่ะเหรอ?”
“เจอร์อย่ากูหวั่นไหว” จินเจอร์หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีเพราะเพื่อนยกมือห้ามพร้อมปั้นหน้าเครียด แอร์เย็นๆที่กระทบผิวกับท้องฟ้าสีหม่นหลังตึกสูงพวกนั้นทำให้ผ่อนคลายลงทีละนิด
เนมองหลังมือที่มีรอยเส้นเลือดจางกำลังกดหาคลื่นวิทยุตรงคอนโซลหน้ารถ กะเวลาจากเลขวินาทีก่อนไฟเขียวจะมาถึงสักพักและตัดสินใจถามออกไป
“เมษบอกกู”
สามคำสั้นๆที่ทั้งคนฟังและคนพูดเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างทะลุปรุโปร่ง
“...” นิ้วยาวชะงักลงนิดหน่อยก่อนจะหยุดลงที่ตัวเลขเลยหนึ่งร้อยมาไม่เท่าไหร่ เจอร์พิงตัวลงกับเบาะหนังอีกครั้ง รอฟังว่าเพื่อนต้องการอะไรจากบทสนทนาที่เริ่มขึ้น
“ทำไมถึงเป็นตอนนี้วะ?” น่าแปลกที่เนไม่ต้องอธิบายว่ากำลังหมายถึงเนื้อหาส่วนไหนคนฟังก็นิ่งไปเหมือนเริ่มหาคำตอบ
ว่าทำไมเพิ่งมาคิดตัดใจเอาป่านนี้..?
เกือบจะบอกอยู่แล้วว่าถ้าไม่อยากพูดก็จะไม่เค้นต่อ ความสงสัยของเขาไม่ได้สำคัญมากกว่าความรู้สึกคนซับซ้อนอย่างมันขนาดนั้น
“กูเป็นเพื่อนมันไม่ได้แล้ว”
แต่ก็ได้ยินคำตอบในที่สุด
บรรยากาศรอบตัวช้าลงอย่างทุกครั้งที่พูดคุยเรื่องละเอียดอ่อน สรรพนามไม่ระบุชื่อเป็นของคนเดียวตลอดมาจนเนรู้ว่ากำลังสื่อถึงใคร เขาเดาว่าเจอร์คงไม่ต้องการคำปลอบใจหรือวิธีการแก้ปัญหา แค่คำถามที่เป็นจุดเริ่มบอกว่าพร้อมรับฟังก็เพียงพอแล้ว
“มันไม่ได้บังคับมึงใช่มั้ย?”
“อย่าตัดสินเรื่องที่มึงไม่รู้, เน” สวนกลับอย่างเร็วบอกว่าเจ้าตัวเกลียดการกระทำแบบนั้นมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครนึกโกรธจริงจังทั้งสองฝ่าย เพราะต่างรู้ดีว่าคนหนึ่งถามด้วยเป็นห่วง ส่วนอีกคนเตือนนิสัยไม่โอเคที่ไม่ควรทำซ้ำอีก
ข้อดีของการที่รู้จักกันมานานมากพอ
เนเหยียบคันเร่งอีกครั้ง มองไฟท้ายสีแดงที่แตกพร่าจนเบลอไปนิดหน่อย แล้วคำถามนึงที่คนไม่เคยมีประสบการณ์อย่างเขานึกสงสัยก็เด้งขึ้นมาในหัว
“ยากป่ะ?”
ถ้าเทียบออกมาอย่างจับต้องได้มันจะเป็นแบบไหนกันนะ เหมือนคนที่พยายามเลิกบุหรี่ เลิกเหล้ารึเปล่า
หรือมันเป็นความรู้สึกที่ลึกลงมากกว่าทางกาย?
“อือ” เสียงตอบรับในลำคอทำให้เขาหันไปมองคนข้างตัวที่มองกลับมาอย่างค้นคว้า แววตาไม่มั่นใจทำให้เนนึกอยากให้รถติดน้อยลงหน่อยเพื่อเพื่อนจะได้เจอกับเมษาเร็วๆ
เพราะเมษาชอบกอด และนั่นเป็นสิ่งที่มันน่าจะต้องการในตอนนี้
“ไม่รู้จะทำได้มั้ย” เจอร์เหนื่อยกับการต้องอดทนโดยที่ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่อีกไกลเท่าไหร่ และที่ยากเย็นที่สุดก็เพราะความรู้สึกทุกอย่างยังคงชัดเจน
อยากจะมูฟออนเพราะรู้ว่าไม่มีหวังก็ส่วนหนึ่ง กลัวว่าภาพดีๆของอีกฝ่ายจะหายไปก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
ยอมรับเลยว่าอย่างหลังทำให้ไม่เปลี่ยนใจจากสิ่งที่เลือก ช่วงหลังเขาทะเลาะกับนันท์บ่อย บรรยากาศระหว่างกันมีแต่ความกดดัน ยิ่งได้เห็นมุมที่ไม่เคยคิดว่านันท์มีมาก่อนแล้วก็รู้สึกกลัว
ไม่อยากให้มุมที่เขาตกหลุมรักถูกลดทอนจนหายไป
“แค่อยากเริ่มก็ดีมากแล้ว...” เนไม่คิดปลอบใจโดยการโกหกว่าเพื่อนจะทำได้ เขาพอเข้าใจว่ากาลเวลาทำให้เกิดความผูกพัน และมันไม่ใช่อะไรที่สามารถทิ้งกันได้ง่ายๆ
“เพราะที่ผ่านมา มึงไม่เคยคิดจะเลิกรักมันเลย”
.
.
.
พอมาถึงก็พบว่าพวกเขาทั้งคู่คือสองคนสุดท้ายที่สายกว่าเวลานัดมาเกือบยี่สิบนาที
เจอร์ทักทายเพื่อนๆที่ส่งเสียงโห่คนเลตด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เดินนำเนไปตรงที่ว่างข้างเมษาที่ถูกเว้นไว้ ความจริงถึงจะสนิทแต่ก็ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลาก็ได้ จินเจอร์ไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น
เขานั่งตรงไหนก็ได้ ขอแค่ห่างจากใครบางคนมาหน่อยก็พอ
“คุณเจอร์คือมึงหล่อ” สรรพนามสับสนจากลูกหยีทำให้เขายักคิ้วโปรยสเน่ห์เพิ่มไปหนึ่งที ได้ยินคนอื่นที่กำลังสั่งอาหารแหวะใส่ตามเรื่องราวก็หัวเราะพอใจ
“ของเพื่อนไงหยี” เกดพยักเพยิดมาทางเมษาที่คั่นระหว่างเขากับเจ้าของชื่ออย่างล้อเลียน แน่นอนว่าฝ่ายหญิงยังสั่งไส้ตันทอดอย่างไม่ใส่ใจ ผิดกับเขาที่ยิ้มขำกับประเด็นเดิมๆที่โดนเอามาแซ็วอีกแล้ว
“ก็เหมือนของเรา”
พนักงานเสิร์ฟเริ่มทำหน้ารำคาญเพราะไอ้พวกผู้ชายที่เลือกเครื่องดื่มอยู่ดันเล่นตามเขาไปด้วย
“แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจเลยป้ะหยี?”
“ไม่ต้องแทง เมษมันแบ่งได้” ทุกคนหัวเราะครืนจนเมษาหันมาสบตาเขาด้วยอารมณ์แบบ ‘กูตกเป็นเมียอีกละ’ ก่อนเจ้าตัวจะเคลียร์รายการอาหารทั้งหมดและสั่งเครื่องดื่มตามสภาพนิสัยของเพื่อนๆไปด้วย
แน่นอนว่าไม่ใช่น้ำเปล่า คนพรรค์นี้
“คนนี้ไม่แบ่ง” เขาหันมองคนตัวเล็กที่จู่ๆก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าราบเรียบ
“มันทำไมเมษา คนนี้มันทำไม?” เนกลอกตาให้ไอ้คู่หูครามไมโลที่ทำเลดีเหลือเกินเพราะอยู่ตรงข้ามผัวเมียลวงโลกพอดี เขาที่โดนตัดมานั่งฝั่งเดียวกันเลยปวดหูไปด้วย
“หวง”
เสียงเฮลั่นทำเอาคนที่รู้ความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ใช่โคนันแต่เป็นโคเนกุมขมับ รู้สึกได้ว่าขนสันหลังลุกพรึ่บตอนเห็นรอยยิ้มมุมปากของไอ้คนขี้อำทั้งคู่
แช่งให้ไม่มีตัวจริงเลยซะดีมั้ย
เนกวาดสายตาไปรอบโต๊ะเผื่อว่าจะมีใครมาสายกว่า แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อไล่มองไปจนถึงใครบางคนตรงอีกฟากของโต๊ะยาวที่หน้านิ่งจนผิดปกติ
ตังที่อยู่ใกล้กว่าก็ดูเหมือนจะจับสังเกตได้ ทว่ายังไม่ทันได้ถามนันท์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นก่อน
อาจจะไม่เกี่ยวหรอก...มั้ง?
“ทำอะไรเกรงใจคุณเนกูบ้าง นั่งซึมแล้วเนี่ยพวกมึงดู” คนที่กำลังใช้ความคิดทำหน้าเอ๋อเมื่อทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาเป็นจุดเดียว เห็นว่าเชฟวาที่นั่งคุยงุ้งงิ้งอยู่กับเกดก็เงยหน้ามาสนใจด้วย
อ่ะ ลำบากกูอีก
“ชงได้สิ้นเปลืองมากไอ้เหี้ย”
“อกหักแล้วเก้วกาด~”
“ครามโอ๋หน่อยเร็ว” เขาดันหน้าไอ้คนบ้าจี้ที่ทำตามอย่างติ๊งต๊อง แอบมองคนที่ลอยตัวหันไปคุยกับเมษาโดยทิ้งภาระบ้าบอมาให้อย่างแค้นเคือง
ถ้าไม่ติดว่าชีวิตรักมึงรันทดกูจะเม้าเผาให้เกรียมเลยจินเจอร์ คอยดู
เมษารอจังหวะให้ลูกหยีหันไปร่วมวงกับเพื่อนเชฟและเพื่อนเกดก็หันมาหาคนข้างตัว สายตาจินเจอร์ดูสบายๆเอื่อยๆแต่อ่านยากเหมือนทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าคนเยอะ มือที่ใหญ่กว่าของตัวเองพอสมควรรับแก้วน้ำมาวางพร้อมฉีกกระดาษปลายหลอดให้อยู่ตรงหน้า เรื่องเทคแคร์ต้องยกให้จริงๆ
“นอนตกหมอน?” หญิงสาวยกแก้วแรกที่เริ่มต้นด้วยน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มพลางถามสิ่งที่ทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
“เปล่า ทำไมวะ?”
“เห็นไม่มองซ้าย” เธอยกยิ้มมุมปากเพราะได้ยินแบบนั้นใครก็ต้องหันตามทิศที่บอกตามสัญชาตญาณ เจอร์นิ่งเหมือนโดนไฟช็อตพอหันไปสบกับสายตาที่ฉุนเฉียวจนไม่เข้าใจที่มองมาพอดี
“แจ็กพอต~” เขาหันกลับมามองเพื่อนสาวที่ยกยิ้มยียวนอย่างเร็วจนคอแทบเคล็ด เมษเลิกคิ้วถามหาสาเหตุหน้าหาเรื่องของเขาจนนึกอยากดึงหูบ้างสักที
“กูเป็นทุกข์คือสนุกมาก?”
“ก็พอตัวนะเอาจริง”
เธอหลุดหัวเราะเมื่อท่ากลอกตาฉบับคุณขิงถูกเอามาใช้อีกแล้ว
“คิดว่ามันจะหึงมึงกับกูมั้ย?” บทสนทนาที่ระดับความดังเท่าเสียงกระซิบถูกขัดด้วยอาหารทานเล่นที่ถูกยกมาเสิร์ฟ และของกินก็มีค่ากับกระเพาะมากกว่าผู้ชายที่กินไม่ได้ เมษาเลยเลิกสนใจเขาไปชั่วคราว
“ถามเอาตลกเหรอ”
“ฮึ ถามจริง” เจอร์มองคนที่ตักสลัดกุ้งทอดเข้าปากด้วยความหิวแล้วส่ายหน้าเอือมๆ เดือดร้อนเขาต้องหยิบทิชชู่เช็ดมายองเนสที่เลอะข้างแก้มให้อีก
“กินดีๆ”
“ว่าไง? มันหน้านิ่งมากเลยตอนหยีแซ็ว กูเห็น” เมษาถามย้ำ เคยชินกับการกระทำเหมือนกับเธอเป็นน้องสาวอีกคนไปแล้ว
“ไม่ใช่หรอก”
“ถ้าใช่ไง”
“อย่าทำให้กูมีความหวังน่าเมษ” ถึงจะทำเหมือนบอกปัดอย่างทุกทีแต่แววตาหม่นๆนั่นก็ทำให้เมษาไม่ชงมั่วซั่วต่อ
เพราะความจริงก็ไม่รู้คืออะไร สถานะสองคนนี้มันซับซ้อนจนหาชื่อเรียกไม่เจอแล้วมั้ง
“เปลี่ยนน้ำหอมเหรอ?” จมูกโด่งๆนั่นวนเวียนอยู่แถวหัวไหล่ เธอเห็นเพื่อนไม่ตักอะไรสักทีเลยหยิบทอดมันมายัดปาก
“เบามึงเบา เบาหวานจะขึ้น”
“คือมีโลกหลายใบ แยกกับพวกเราไปเรยจ้าาา”
“กลับบ้านมั้ยอ่ะ เริ่มรำคาญแล้ว”
“หยีกินต้มยำเห็ดมั้ย เค้าป้อน” ประโยคสุดท้ายมาจากวาที่เดี๋ยวนี้หัดพูดจากวนตีนกับเขาด้วย เมษาหันไปทำหน้าเหนือใส่กลุ่มที่เอ่ยปากแซ็วจนโดนปาสายตาเขม่นใส่รัวๆ
หัวข้อที่คุยกับเพื่อนสาวเมื่อครู่ทำให้เจอร์ลองหันไปมองทางซ้ายมืออีกครั้ง แม้พยายามบอกตัวเองว่าอย่าคิดอะไรเลอะเทอะแต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำ
ภาพนันท์ที่กำลังคุยกับตังโดยไม่ได้สนใจเสียงดังๆของคนอื่นจากกลางโต๊ะเลยด้วยซ้ำทำให้เขาอยากจะหัวเราะเยาะตัวเอง
นั่นดิ เขาจะมาใส่ใจทำไม?
ทาวเวอร์เบียร์ถูกยกมาพอดีกับอาหารจานหลักอีกชุด เจอร์ส่งสายตาบอกเนว่าเขากำลังต้องการอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่น้ำเปล่า ไอ้คนผมดำแต่ผิวขาวจั๊วะเลยได้แต่ถอนหายใจ ยื่นมือรับแก้วเปล่าของเพื่อนและดึงหลอดทิ้งให้เสร็จสรรพ
คนที่ไม่ต้องขับรถกลับเองเริ่มดื่มเรื่อยๆเหมือนกับทุกอย่างปกติดี แต่ถ้าสังเกตสักหน่อยก็จะเห็นว่าเจ้าตัวเลิกแตะของกินประเภทที่ต้องเคี้ยวไปแล้ว ทำแค่จิบน้ำสีอำพันด้วยความเร็วที่ต้องเติมเกือบทุกสิบนาทีอย่างเดียวเท่านั้น
“แก้วที่เท่าไหร่แล้ว?” เมษาที่คุยกับเพื่อนเฮฮาหันมาเช็กอาการเขาเป็นระยะ เห็นเขาไม่ยอมตอบก็หันไปหาเนที่เป็นฝ่ายเติมเอาๆแทน
“เกินสี่”
“ขิงมึง—” ยังไม่ทันเตือนอะไร จินเจอร์ที่เริ่มจะมีเลือดฝาดตรงข้างแก้มก็เบือนหน้าหนี
มาแล้ว...ร่างดื้อ
“ช้าหน่อยไอ้เน”
“ปล่อยมันเหอะมึง” หญิงสาวสบตากับเพื่อนที่ทำได้แค่มองมาเป็นนัยว่า ‘มึงก็รู้’ แล้วก็ถอนหายใจหนักๆ
ไม่ห่วงเรื่องโวยวายหรอกเพราะเวลาเจอร์เมาน่ะ
“ขอโทษนะคะ”
เอาแต่เงียบแล้วก็รั้นสุดๆไปเลย
เพราะว่าอยู่เกือบริมสุดของโต๊ะยาว หญิงสาวแปลกหน้าที่เดินเข้ามาทักทายเลยยังไม่ได้ดึงดูดความสนใจของพวกเพื่อนที่กำลังพูดคุยอย่างเมามันไปเท่าไหร่
“...” นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มลากขึ้นมองเจ้าของเสียงที่น่าจะส่งมาถึงตัวเองนิ่งๆ เห็นรอยยิ้มปกติธรรมดาแบบที่ไม่มีนัยยะแอบแฝงก็รอฟังว่าต้องการอะไร
“คือเพื่อนเรา— คนนั้น อยากรู้จักค่ะ” นิ้วชี้กับปลายเล็บที่เห็นสีไม่ชัดเท่าไหร่ระบุว่า ‘เพื่อนที่อยากรู้จัก’ คือผู้ชายหน้าตาน่ารักจนทำให้นึกถึงเจ้ามินเพื่อนพิ้ง แต่คนนี้หน้าเรียวกว่า ตามีสเน่ห์ แถมมองผ่านๆยังรู้เลยว่าหุ่นลีนแบบคนที่ต้องออกกำลังกายแน่ๆ
จินเจอร์ไม่ตอบ มือหนาทำแค่ยกแก้วเบียร์ที่พร่องไปเกือบครึ่งเป็นเชิงว่าชวนดื่มด้วยกัน
“ไอ้ขิง” เมษามองเพื่อนที่กำลังจะหาเรื่องปวดหัวใส่ตัวอีกแล้ว เด็กคนนั้นดูแล้วก็เป็นงานพอสมควร วาดยิ้มดึงดูดกลับมาแล้วก็จิบเครื่องดื่มในมือตาม ฝ่ายออกหน้าเห็นว่าทุกอย่างไปได้สวยก็เดินกลับไปแท็กมือกับคนในโต๊ะตัวเอง
“ไปห้องน้ำนะ” คนที่ยังดูเหมือนสติอยู่ครบทุกประการแต่หน้าและคอเริ่มขึ้นสีชมพูนิดๆหันบอกเพื่อน เมษาทำท่าจะคว้าแขนห้ามเอาไว้ ทว่าก็ต้องชะงักไปเพราะเนพูดขึ้นก่อน
“มันโตแล้ว”
“แต่มันเมาค่ะอีเน!”
“ยัง กูนับอยู่” จะเถียงต่ออีกคำให้ได้ข้อสรุปที่โอเคกว่านี้ก็ไม่ทันไอ้คนหน้าหล่อออร่าพุ่งไปไกลเกือบห้าเมตร อีกคนพอเห็นว่าเจอร์ลุกพร้อมกับส่งสายตาให้ก็เดินตามหลังต้อยๆ เพื่อนหญิงที่พลังหญิงเริ่มลงเลยชักจะทนไม่ไหว
“มึงรู้ใช่มั้ยว่ามันคงไม่ได้ไปเป่ากบกันหลังร้านอ่ะ” แหวใครไม่ได้ขอแหวฝ่ายค้านก่อน เนทำหน้าเอือมตอบกลับพร้อมกับรินเบียร์ของตัวเองใหม่
“เออ เป่าอย่างอื่นดิ จะเป่ากบทำไม” เมษาทำหน้าเหมือนมีคำด่าเต็มหัวแล้วเลือกใช้ไม่ถูก
“เปิดไลน์” คิ้วที่ถูกปัดเจลมาอย่างดีขมวดเพราะความขัดใจผสมงงหน่อยๆ พอลองหันมองรอบตัวถึงรู้ได้ว่ายังมีเพื่อนคนอื่นอีกนับสิบ ที่สำคัญเริ่มมีบางคนถามหาไอ้ขิงมันแล้ว
NN. – มันกำลังตัดใจ
mapril. – รู้มาชาติเศษ
เนเงยหน้ามาก็เห็นสายตาหงุดหงิดเร่งให้เข้าเรื่องสักที
NN. – ตอนขับรถมา มันพูดว่าอยากลองมองคนอื่นบ้าง
mapril. – มองหรือฟันเอาดีๆ มึงว่ามันจะจริงจังกับเด็กคนเมื่อกี้?
NN. – ถ้าฟันแล้วยังไง?
NN. – จะได้เข้าใจซะทีว่าเรื่องแบบนี้ไม่รักก็ทำได้
เมษาถอนหายใจยาว ล็อกหน้าจอโทรศัพท์และขอให้เนรินเบียร์ให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอมีคนถามหาฝ่ายที่หายไปก็ตอบว่าห้องน้ำแล้วเปลี่ยนเรื่องชวนคุยใหม่แบบเนียนๆ
ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครอีกหนึ่งคนหายไปจากโต๊ะเหมือนกัน
_____________
ก็แค่อยากล้างมือ
นันท์บอกตัวเองแบบนั้นตอนบอกตังว่าจะไปห้องน้ำ
ไม่เกี่ยวกับคนผิวสีน้ำผึ้งที่อยู่ดีๆก็เดินออกมาพร้อมกับเด็กผู้ชายโต๊ะข้างๆ ไม่เกี่ยวกับที่เบียร์ทาวเวอร์ที่สองมันใกล้หมดเต็มทีทั้งที่มีคนดื่มอยู่ไม่กี่คน
ไม่เกี่ยวเลย
เพราะว่าเป็นร้านอาหารบรรยากาศชิวๆธรรมดา ไม่ใช่สถานเริงรมย์ที่ต้องเปิดไฟสลัวจนน่ารำคาญ นันท์เลยมองเห็นทุกส่วนเพียงแค่ก้าวเข้าไปในห้องน้ำที่มีแสงโทนส้มเหลืองอุ่นสายตา
ไม่มี
ไม่มีใครในห้องน้ำเลยสักคน พอมีความคิดนี้เด้งขึ้นมาเลยต้องยอมรับกับตัวเองว่าเขาตามจินเจอร์มาจริงๆ
เหมือนแรงบีบรัดในอกจะคลายลงอย่างเชื่องช้า อาจจะแค่แยกกันมา แยกกันเข้าแล้วเดินสวนกับเขาที่ไม่ทันมองก็ได้
ดีเหมือนกัน เพราะถ้าเจอก็คงไม่รู้ต้องทำยัง—
“พี่ขิง~” เสียงเรียกชื่อกลั้วหัวเราะดังมาจากโซนสูบบุหรี่ด้านหลังลึกเข้าไปอีกหน่อย คนที่กำลังจะหมุนตัวกลับชะงักนิ่งอยู่แบบนั้น
“ซนจังครับ”
“ก็เรานุ่มไปหมดเลย” โทนเดิมที่คุ้นเคย สรรพนามที่เคยได้ยินอีกฝ่ายใช้ ทุกอย่างทำให้นันท์ตัดสินใจเดินไปอีกทาง แต่ละก้าวมันหนักเหมือนไม่อยากให้ไปถึงจุดสิ้นสุด นึกเกลียดกลิ่นควันจางๆที่ลอยในอากาศยามค่ำคืนอย่างไร้เหตุผล
รองเท้าหนังที่ผูกเชือกเอาไว้หละหลวมหยุดลงเมื่อถึงก้าวสุดท้าย ภาพใครสองคนแนบชิดกันในความมืดทว่าชัดเจนพอจะมองออกทำให้กำหมัดแน่น
“ตรงนี้...” นันท์มองปลายจมูกโด่งที่กำลังเฉียดผ่านแก้มของคนบนตัก
“แล้วก็ตรงนี้” ลากไล้ลงมาถึงต้นคอ กดลงย้ำๆเรียกเสียงหัวเราะพร้อมถ้อยคำบอกว่าจั๊กจี้แค่ไหนแต่ก็ไม่วายเชิดหน้าเปิดทางให้ถนัดขึ้น
“นี่ด้วย”
“พะ พี่ขิง อื้อ” เสียงน่ารำคาญนั่นขาดห้วงในจังหวะที่เจอร์กัดแผ่นอกอีกฝ่ายผ่านเนื้อผ้าอย่างหยอกล้อ
“ตรงไหนอีกน้า~”
“อย่าแกล้ง ไม่เอา— อ๊ะ!”
“บอกพี่ขิงเร็วครับ”
แต่ที่ทำให้โกรธจนแทบคลั่งคงเป็นชื่อเรียกที่เขาไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายยอมใช้มาก่อน
“จินเจอร์” เพียงแค่กดเสียงต่ำบ่งบอกว่าไม่พอใจแค่ไหนคนเด็กกว่าก็สะดุ้งเฮือกทำท่าจะปีนลงจากตักของคนที่เขาเรียก ทว่าแขนแข็งแรงนั่นกลับตวัดรอบเอวให้แนบแน่นกว่าเก่า มากไปกว่านั้นคือเงยหน้ากระซิบด้วยความดังที่มั่นใจว่านันท์ต้องได้ยินแน่นอน
“ชู่ว...เพื่อนพี่เองครับ เราไม่ต้องกลัว”
“แต่—”
“เมษาถามหามึง” เขาไม่รอให้บทสนทนาของสองคนนั้นสมบูรณ์ก็แทรกเข้าไปทันที นัยน์ตาคมเฉี่ยววาววาบด้วยแรงอารมณ์ แต่สาเหตุของทุกอย่างกลับยังนั่งเฉย
มีเหตุผลอะไรถึงมาโกรธกัน?
“กูบอกเมษแล้วว่าจะออกมา”
“เจอร์”
“กูจะคุยกับน้อง มึงกลับไปซะที” พูดจบก็ทำท่าจะวุ่นวายกับร่างกายคนอื่นอีกครั้งจนเขาต้องเดินเข้าไปใกล้และสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม
“หลีก!” คนตัวเล็กทำท่าจะหันไปขอความช่วยเหลือจากเจอร์ ทว่าถูกใครบางคนกระชากออกจากโอกาสนั้นเสียก่อน
ฝ่ายนั้นเงยหน้าเหมือนอยากเถียงเขาเต็มแก่ แต่พอเห็นสายตาและรูปร่างที่ต่างขนาดที่ไม่ควรเอามาเทียบกันก็ทำได้แค่เดินย่ำเท้าออกไปอย่างเสียอารมณ์
จินเจอร์ถอนหายใจพลางเสยผมอย่างหงุดหงิด ทิ้งหัวที่เริ่มมึนนิดหน่อยลงกับพนักเหล็กแข็งๆ มีแต่เรื่องยุ่งยากที่ไม่เข้าใจเลยสักอย่าง
“ทำไม...” เขาถามผะแผ่วแม้จะไม่อยากรู้คำตอบ ก็แค่เสียงในหัวมันดังเกินไปจนเขาต้องทำอะไรสักอย่างให้มันเงียบลง
“มันขาดไม่ได้เลยใช่มั้ย?” เจอร์ปรับโฟกัสสายตา ไม่ยากเท่าไหร่เพราะแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดไม่ได้มากมายขนาดนั้น
“เออ”
เถียงจนเหนื่อยแล้ว เลยลองทางอื่นที่น่าจะผ่อนแรงกว่านี้บ้าง
“พอใจ?” เขาพยุงตัวลุกขึ้น เบี่ยงตัวหลบคนที่ขวางทางเพื่อจะกลับโต๊ะ แต่กลับถูกอีกฝ่ายกระชากแขนอย่างแรงจนเกือบทรงตัวไม่อยู่
“มึงโกรธเหี้ยอะไรกูนักหนา!” พอโดนกระทำมากเข้ามันก็ชักจะโมโห จินเจอร์เป็นคนเหมือนกัน ร่างกายมันก็รับรู้ความเจ็บได้ไม่ต่างกัน
แล้วทำไมถึงคาดหวังว่าจะอดทนได้มากกว่า?
“กูจะไปกับใครแล้วมันเดือดร้อนอะไรมึง? เลิกเสือกสักที!”
“จินเจอร์!”
“ทำไม?!” คนที่หน้าซับสีเลือดจางๆผลักอกคนตรงหน้าอย่างแรง มันอึดอัดไปหมดที่มาทำเหมือนให้ความหวังกันแบบนี้
ทำเหมือนมาตามหวงอยู่ได้ ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่คิดเกินเลยจะมายุ่งทำไม
“มึงเป็นอะไรกับกูเหรอวะ? ถามหน่อยเหอะ” เจอร์จ้องตาคาดคั้น นึกเกลียดส่วนลึกของความรู้สึกรอฟังคำพูดที่อยากได้ยินมาหลายปีอย่างโง่เง่า
“เป็นเซ็กส์เฟรนด์พอใจรึยัง?”
โง่...โคตรของโคตรโง่
“ถ้าอยากนักก็มาเอากับกูนี่” คนฟังกำมือแน่นจนเจ็บ ไม่รู้ว่ามีวิทยาศาสตร์ที่ไหนอธิบายได้รึเปล่าว่าฝ่ามือกับหัวใจเชื่อมต่อกันทางความรู้สึกไหม ทำไมมันทรมานมั่วซั่วไปหมดแบบนี้
“จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นเขา ยังไงเราก็ผ่านจุดนั้นกันมาแล้ว” นันท์มองคนตรงหน้าที่แค่นยิ้มเยาะ ไม่ได้รู้เลยว่าที่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมันฉ่ำน้ำไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ แต่เป็นเพราะคำพูดดูถูกที่ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านันท์ไม่รู้จักกันเลยสักนิดเดียว
หรือว่ายังข้องใจ?
จินเจอร์นิ่งงันเมื่อความคิดในฝั่งที่ไม่เคยนึกถึงแล่นเข้ามา
แล้วถ้าเขายอมรับสถานะนั้นล่ะ? ถ้าปล่อยให้นันท์ค้นหาจนหายสงสัย จนวันนึงนึกเบื่อกันไปเอง...
แบบนั้นก็จะไม่ต้องวิ่งหนีความรู้สึกตัวเองอย่างที่ทำอยู่ใช่รึเปล่า?
เซ็กส์เฟรนด์มันก็เกี่ยวพันแค่ทางร่างกายเฉยๆนี่นะ
“มึงพูดเอง”
เผื่อการตอกย้ำกับตัวเองว่าไม่ต้องรู้สึกอะไรก็ได้ซ้ำไปมามันจะช่วยให้จำ
“อย่ากลับคำทีหลังแล้วกัน”
จำสักทีว่ามันไม่เคยมีความหมายอะไรเลย
_________________________________________________________________
ไปให้สุดแล้วหยุดที่ศูนย์
#เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

วนลูบอยู่แบบนั้นไปไหนไม่ได้สักที
อยากจะตบกบาลคน แต่ตอนนี้คือไม่รู้จะตบใครก่อนดี ขอเบิ้ลทั้งคู่เลยได้ไม๊ โง้ยยยยย โว้ยยยย
รักกกก สู้ๆนะคะ