ตอนที่ 7 : ลบเจ็ด
‘ประเด็นไม่ได้อยู่ที่กูจะคบกี่คน มันอยู่ที่มึงต่างหาก...มายุ่งอะไรด้วย’
‘มึงไม่มีสิทธิ์ดูถูกกูขนาดนี้’
‘เราไม่ได้รู้จักกันดีมากมาย...เพราะงั้นกูควรเลิกแคร์ได้แล้วว่ามึงจะมองกูยังไง’
มือหนาเช็ดเส้นผมเปียกหมาดมาเกือบสิบนาทีโดยมีประโยคเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัว
หนึ่งอย่างที่เป็นข้อเท็จจริงและรบกวนจิตใจของนันท์มากที่สุดคือการที่เจอร์บอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวอีกฝ่ายสักนิดเดียว ย้ำว่าสิ่งที่ทำคือการล้ำเส้นความสัมพันธ์ที่ตอนนี้ไม่เหลือชื่อเรียกสถานะไหนบนโลกให้เลือกใช้อีกแล้ว
เสื้อตัวแรกที่คว้าได้กลายเป็นเครื่องแต่งกายของวันนี้ ตาคมเฉี่ยวไล่มองหากางเกงที่ถ้าใส่คู่กันแล้วจะไม่น่าเกลียดเกินไปสักพัก ก่อนขายาวที่เต่อนิดหน่อยจะถูกหยิบขึ้นมาสวม
นั่นสินะ...เขาเป็นใครกันถึงได้กล้าว่าจินเจอร์รุนแรงแบบนั้น
ความคิดมักง่ายเด้งขึ้นมาว่าเขาก็แค่เป็นห่วงเพื่อนอย่างที่ปากพูด เท่าที่รู้มาเมษาก็เป็นคนสำคัญมากๆในชีวิตของเจอร์ เขาไม่อยากจะให้อารมณ์ชั่ววูบทำให้ใครต้องเสียสิ่งสำคัญ
ภาพสะท้อนในกระจกบอกว่าเขากำลังขมวดคิ้ว
ถ้าให้พูดตามความจริงที่ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ นันท์คงต้องยอมรับว่าเรื่องการทำร้ายความรู้สึกของคนที่เป็นฝ่ายรักอย่างทุ่มเทและซื่อสัตย์มาเสมอคือปมเงื่อนตายในใจของเขา
นันท์เกลียดคนที่เมินเฉยต่อความเจ็บปวดของคนอื่นด้วยการทำเรื่องผิดซ้ำซาก
จินเจอร์ไม่ใช่คนเจ้าชู้ นั่นคือสิ่งที่นันท์รู้สึกมาตลอดจนกระทั่งเหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดขึ้นต่อเนื่องจนสั่นคลอนความเชื่อที่มี และเรื่องเมื่อไม่กี่วันที่แล้วก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขายืนเลือกหนังสืออยู่ตั้งแต่แรก ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดต้นจนจบ
ทั้งที่ควรจะปฏิเสธให้เด็ดขาดเหมือนคนที่กำลังอยู่ในความสัมพันธ์ เจอร์กลับทำตัวคลุมเครือ ถึงไม่ตกลงแต่การกระทำและคำพูดก็เหมือนให้ความหวังอยู่ดี
คนตัวสูงเปิดประตูห้องก่อนจะเดินเอื่อยๆลงบันไดไปยังชั้นล่างสุดของบ้าน เวลาแบบนี้ทั้งพ่อแม่และพี่ชายคงจะออกไปทำงานกันหมดแล้ว เหลือแค่เขาที่ได้หยุดวันอาทิตย์เหมือนคนส่วนใหญ่แค่คนเดียว
“ถ้าพี่เจอร์เป็นโรคกระเพาะฉันจะมาเก็บค่ารักษากับ—”
รึเปล่า..?
ผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาหวานจ๋อยขัดกับท่าทางเด็กแสบยังไม่ทำให้แปลกใจได้เท่าชื่อของใครบางคนที่ได้ยิน ถ้าไม่ได้คิดถึงจนหลอน เมื่อกี้เธอกำลังพูดถึง ‘พี่เจอร์’ ใช่ไหมนะ?
นัยน์ตากลมโตสีคุ้นกระพริบปริบๆมองเขาอยู่ครึ่งนาที ก่อนสมองของเจ้าตัวจะเชื่อมโยงความทรงจำในอดีตจนเธอร้องเฮ้ยและยกมือไหว้แม้ยังมีท่าทีงุนงง
“สะ สวัสดีค่ะอาจารย์” นันท์เลิกคิ้ว พยายามคิดตามว่าในห้องบรรยายเคยเห็นนักศึกษาคนนี้บ้างหรือไม่ แต่แล้วการแข่งขันของมหาวิทยาลัยในอังกฤษเมื่อหลายเดือนก่อนก็ไขข้อข้องใจหลายๆอย่างให้กับเขา
“พิชญา?”
คนที่พรีเซนต์โปรเจคที่เป็นจุดเริ่มต้นวุ่นวายของชีวิตเขาและอีกหลายคน
“อ้าว วันนี้ไม่มีสอนเหรอ?” ดูเหมือนความคิดว่ามีแค่เขาเหลืออยู่คนเดียวในบ้านจะผิดจากความจริงไปเยอะพอควร นันท์เหลือบมองผู้ชายตัวขาวหน้าตานุ่มนิ่มที่กำลังเดินลงมาจากบันไดและมาหยุดลงตรงหน้าเขาข้างกับคู่สนทนาคนก่อน
อีกหนึ่งรายที่เคยตกอยู่ในความวุ่นวายเหมือนกัน
“ก็เห็นอยู่” อดจะกวนประสาทให้ปากแดงๆนั่นเบ้ด้วยความรำคาญไม่ได้ ข้อได้เปรียบของเขาคือการคงสีหน้าราบเรียบได้ดี เวลาโดนยียวนกลับเลยดูเหมือนไม่สะทกสะท้านเท่าไหร่
“มันน่านัก” คนตัวเล็กกว่าเหน็บซองสีน้ำตาลด้วยแขนข้างนึงก่อนจะทำเหมือนจะเข้ามาหยิกเขาด้วยความหงุดหงิด นันท์ทำแค่เบี่ยงตัวหลบและถอนหายใจใส่ เล่นอะไรเป็นเด็ก
เขาพยักเพยิดไปยังสิ่งมีชีวิตอีกหน่อที่ยืนงงมานานเกินไปแล้ว เดาได้ไม่ยากว่าสองคนนี้คงเป็นเพื่อนกันหลังจากกะอายุคร่าวๆในหัว
“เอ้อแกนี่นันท์ น้องชายพี่แทน นี่พิ้ง เพื่อน—”
“รู้แล้ว” เขาเลือกจะตัดบทสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้วอย่างไร้เยื่อใย ไหวไหล่ให้ท่าทางเหม็นเบื่อที่คนพูดมอบให้กัน
“มิน นี่ไงอาจารย์คนไทยที่โหวตให้โปรเจคเรารอบตัดสินอ่ะ” เขาเกือบหลุดขำตอนเธอดึงแขนขาวๆนั่นมาเพื่อกระซิบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังแนะนำตัวแบบง่ายเสร็จสรรพ
เรื่องที่เธอพูดน่ะ มินรู้ซึ้งดียิ่งกว่าใครอยู่แล้ว
อีกฝ่ายยืนยันสิ่งที่เขาคิดด้วยการหัวเราะขึ้นจมูกและปรายตามามองเหมือนอยากจะตอกย้ำสิ่งที่เขาเคยทำ มินเลิกให้ความสนใจกับเขาหลังค้อนกันจนพอใจ หันหน้าเตือนเพื่อนด้วยประโยคที่ทำให้คนฟังทั้งคู่มีปฏิกิริยาตอบรับแทบจะพร้อมกัน
“พี่เจอร์เป็นลมแล้วมั้ง” นอกจากหน้าตาตื่นๆกับการบอกลาอย่างรีบร้อนของหญิงสาว คำพูดนั้นยังทำให้ใครบางคนเผลอขมวดคิ้วตามไปด้วย
คนชื่อ ‘เจอร์’ ที่อายุเป็นพี่เด็กสองคนตรงหน้าคงไม่ได้มีเยอะแยะรึเปล่า?
“ไม่ไปกับเพื่อน?” นันท์ถามด้วยน้ำเสียงติดลนเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัวตอนที่เห็นแฟนพี่ชายยังยืนนิ่งทั้งที่เพื่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปจนเกือบลับสายตาแล้ว และพอมินส่ายหน้า บอกว่าเพิ่งจะกินข้าวเช้ากับพี่ชายเขาไปตอนเจ็ดโมงกว่าคนถามก็เริ่มอยู่ไม่สุข
“มิน” คนเริ่มเสียอาการรั้งฝ่ายที่ทำท่าจะขึ้นข้างบนอีกครั้ง เรียกเสียงถอนหายใจหนักๆบอกว่ารำคาญได้ดี
“อะไรอีก? วันนี้วุ่นวายนะเราน่ะ”
คนตาดุสบสายตาสงสัยที่มองมา เมินคำพูดลามปามเพราะมัวแต่อ้ำอึ้งไปพักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อเร็วๆ
“พิชญา...มากับแฟนเหรอ?” คราวนี้ทำหน้าไม่ถูกยิ่งกว่าเดิมเพราะมินหันมาหรี่ตาจับผิด นันท์ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่อยากทราบมันทำให้คนช่างเชื่อมโยงตีความว่าเขากำลังสนใจเพื่อนสาวตัวแสบของตัวเอง และถ้านันท์สนใจอะไร
มินก็อยากแกล้ง
“ไม่บอก :p” ริมฝีปากแดงจางคลี่ยิ้มยียวน ได้ผลเป็นสีหน้าเบื่อโลกแบบโคตรหงุดหงิดจากคนที่พยายามหาคำตอบ
“เดี๋ยว” แต่วันนี้เขาความอดทนสูงกว่าปกติ ไม่รู้ว่าเพราะได้บทเรียนมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหรือว่าความสงสัยมันรุนแรง มินที่จะแกล้งเดินหนีอีกรอบหันมาเลิกคิ้วถามตาใส รอให้นันท์พูดตรงกว่านี้อีกนิด
“ไปด้วย”
“ฮะ?”
“เขาจะไปกินข้าวกันใช่ป่ะ? หิว”
“แต่ผมไม่ได้จะไปนี่” มินกลั้นหัวเราะ มองคนทำหน้านิ่งแต่แววตาติดรั้นแล้วเหมือนเห็นตัวเองสะท้อนในกระจก
“โทรบอกเพื่อนเลยว่าเจอกันที่นู่น”
คนตัวเล็กกว่ามองตามอีกฝ่ายที่สั่งเอาๆตามนิสัยของเจ้าตัวแล้วได้แต่ส่ายหน้า ชีวิตนี้จะทำอะไรไม่อ้อมค้อมได้รึเปล่าก็ไม่รู้ นี่โชคดีที่ประเด็นของเขากับพี่แทนผ่านมาสักพักแล้ว ไม่งั้นคงไม่ยอมตามน้ำพาไปเจอยัยแม่อย่างนี้หรอก
ว่าแต่...นันท์เปลี่ยนสเปคมาชอบเด็กตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
_____________
นันท์จับได้ว่าปลายนิ้วของตัวเองเย็นจนชานิดๆตอนกำมันเข้าหากัน
อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงร้านอาหารที่มินโทรบอกเพื่อนว่าจะตามมาทานด้วย เป็นสาขาชื่อดังจากเชียงใหม่ เน้นพวกผักออร์แกนิกและอาหารสุขภาพ นันท์เคยได้ยินพวกนักศึกษาคุยกันกับเดาเอาจากบรรยากาศเขียวๆในร้านว่าคงจะประมาณนั้น
“ตื่นเต้น?” มินหันมาถามเขาด้วยสายตาวิบวับแปลกๆ แต่คนตาดุไม่ใส่ใจ ในหัวกำลังคิดถึงคำพูดแรกที่จะใช้ตอนได้เจอคนที่ลงทุนตามมาถึงที่นี่
“เปล่า ไหนพิชญา?”
“เรียกพิ้งเหอะคุณ ได้ยินแบบนี้รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องเรียน” เขาเลือกจะไม่ออกความเห็นอะไรกับคำขอนั่น ได้แต่กระชับมือตัวเองกับชายเสื้อ เป็นครั้งแรกที่ตกประหม่าจนไม่มั่นใจไปหมดทุกอย่าง
เขาพูดจาแย่มาก แววตาของเจอร์ในวันนั้นเป็นตัวยืนยันชัดเจน
คนตัวสูงกว่าเดินตามทางมาเรื่อยๆ บทสนทนาที่มินชวนคุยไม่ได้เข้าหูเลย การตกแต่งร้านที่ดูอบอุ่นแบบธรรมชาติก็ไม่อยู่ในสายตา เขาปล่อยให้เสียงในหัวดังกว่าเสียงรอบข้างจนเดินมาถึงเกือบกลางร้าน พลันสายตาก็เจอกับคนที่ทำให้ความคิดกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง
“นันท์?” เพราะว่าอยากจะยิ้มทักทายเหมือนเวลาที่เจอกันแต่ติดตรงความรู้สึกมันไม่ได้ เลยกลายเป็นเขายิ้มแบบประหลาดๆให้คนที่เงยหน้ามองมาอย่างไม่เข้าใจ
“พี่เจอร์รู้จักนันท์ด้วยเหรอครับ?” เห็นหางตาว่ามินทำท่าจะแนะนำอยู่แล้วถ้าเจ้าของชื่อไม่ทักเขาขึ้นมาก่อน นันท์สบสายตากับจินเจอร์ที่ไม่ได้คิดจะหลบไปไหน ริมฝีปากสีชมพูซีดนั่นขยับพูดประโยคถัดไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“รู้จัก” ตอบมาแค่นั้น ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการชวนให้มินนั่งลงและสั่งอาหาร
ไม่มีคำอธิบายต่อ ไม่มีสถานะ นันท์ได้คำตอบแล้วว่าตัวเองลดลงและได้ชื่อเป็นคนรู้จักสำหรับคนตรงหน้า
เขามอง ‘คนรู้จัก’ ที่เทคแคร์หญิงสาวคนเดียวในโต๊ะอย่างดี ท่าทาง สรรพนาม และโทนเสียงที่ใช้บอกว่าเธอคงจะเป็นคนเดียวกับที่เจอร์คุยโทรศัพท์ด้วยตอนนั้น ความทรงจำตอนอยู่ทะเลทำให้คนที่เริ่มเรียนรู้จะใจเย็นชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“พี่เจอร์รู้จักอาจารย์ได้ไง?” คนที่กำลังเทน้ำเปล่าให้ทุกคนในโต๊ะชะงัก นันท์เห็นรอยยิ้มบางเบาและได้ยินเสียงนุ่มทุ้มที่ใช้ในประโยคถัดไปอย่างชัดเจน
“เพื่อนของเพื่อนครับ”
เขากัดฟันแน่น เบือนหน้าไปทางอื่นด้วยอารมณ์คุกรุ่นนิดๆ
“บังเอิญสุด อาจารย์พัทธนันท์ได้เป็นกรรมการตัดสินงานกลุ่มพิ้งด้วยพี่เจอร์” นันท์ได้ยินเสียงตอบรับสั้นๆว่า ‘เหรอครับ’ ตามหลังมาอย่างไม่มีนัยยะสำคัญและช่องว่างสำหรับรับฟังหญิงสาวพูดต่อ
“เอ้อ รอบนี้ห้าวันนะคะ ได้บอกยัง?”
“ทำไมมาแป๊ปเดียว?” พนักงานเสิร์ฟเดินมาวางเมนูแรกบนโต๊ะพอดี เขาเลยได้ทันเห็นคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยและสายตา ...อ้อน?
“ก็ตารางงานมันแน่น”
“จริงครับ พิ้งต้องดูหลายอย่างเลยวุ่นมาก” เด็กที่นั่งข้างเขารีบเสริมทัพพอเห็นว่าเจอร์เลิกคิ้วถาม
เหมือนจะมีปัญการกับการอยู่ไทยได้ไม่นานของหญิงสาวจริงๆเลยนะ
ไม่กลัวรถไฟชนกันหรือไง?
“นอนพอรึเปล่า?” ถึงจะถามเสียงนิ่งแต่มือกลับเอื้อมตักอาหารให้พิ้งเป็นคนแรก และถ้าฟังเนื้อหาให้ดีก็จะรู้ว่าคนพูดไม่พอใจเพราะเป็นห่วง
นันท์กำลังหงุดหงิด เดาว่าคงเพราะผักสลัดในจานเยอะเกินไป
“ก็...ได้อยู่นะ”
“พิ้ง พี่บอกเรากี่ครั้งแล้วว่าให้ดูแลตัวเองหน่อย”
“เค้าขอโทษค้าบบบ กลับไปจะพยายามจัดเวลาให้นอนได้เยอะๆเลยโอเค้?” เจอร์ถอนหายใจใส่คนที่ทำมือโอเคยื่นมาตรงหน้า หยิบมีดหั่นแซลมอนเป็นชิ้นพอดีคำและลอกหนังออกให้เจ้าเด็กแสบเสร็จสรรพ
มินเหลือบมองคนข้างตัวที่ยังไม่แตะอาหารอะไรและหยักยิ้มมุมปาก
“พี่เจอร์น่ารักกับพิ้งตลอดเลยนะครับ” คนแก่กว่าทั้งสองคนมองหน้าคนพูดแทบจะพร้อมกัน ฝ่ายนึงเลิกคิ้วพร้อมกับรอยยิ้มบาง ส่วนอีกคนหน้านิ่งจนเดาอารมณ์ไม่ถูก
บอกได้แค่ว่าน่าจะเป็นขั้วลบ
“ก็มีอยู่คนเดียว” พูดพร้อมกับเหล่มองคนที่จิ้มแซลมอนเข้าปากพร้อมรอยยิ้มทะเล้นเหมือนเด็กๆ นันท์แค่นยิ้ม ลากสายตาไปสบกับคนพูดที่ยังมองแต่มิน
“งี้ก็เหงาแย่เลยเวลาพิ้งไม่อยู่”
“อืม โตแล้วนี่ เก่งจนไม่ต้องมีพี่คอยตามใจแล้ว” ประโยคนั้นทำให้คนที่ฟังอยู่ตลอดชะงักนิดหน่อย มันดูไม่ค่อยเข้ากับคนที่เรียกกันว่าแฟนรึเปล่า?
“โห่ มินแกอย่าชงเยอะดิ เดี๋ยวฉันลาทั้งเดือนเลยนะเว้ย”
“นั่นสิ อยู่ไกลกันแบบนี้คงเหงามาก” เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมบทสนทนา มองหน้าเจอร์ตอนเน้นเสียงท้ายประโยคด้วยสายตาเรียบเฉย
“ก็บอกอยู่ว่าให้มีแฟนพี่เจอร์ก็ไม่หา”
มินยกมือกุมขมับเมื่อแผนปั่นประสาทคนขี้โมโหพังครืนไม่เป็นท่า ส่วนจินเจอร์ก็ยิ้มมุมปากนิดๆตอนเห็นสายตาตกใจปนสงสัยของนันท์
บางคนก็ไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย ทั้งที่พูดไปตั้งขนาดนั้นแท้ๆ...
“ถ้าแม่ไม่สั่งไว้ว่าให้พี่แต่งก่อนนะ พิ้งได้ลูกสองไปแล้ว” คนเป็นพี่เขกหัวน้องสาวด้วยความมันเขี้ยวที่พูดจาก๋ากั่นเหลือเกิน เพิ่งเรียนจบได้ไม่กี่ปีก็รีบใส่ใจเรื่องนี้จนน่าบ่น
“ถ้ามีสาวๆมาจีบพี่พิ้งรบกวนอาจารย์ช่วยสแกนด้วยนะคะ แต่ไม่ต้องละเอียดมากเพราะหนูอยากได้พี่สะใภ้” นันท์ประสานสายตากับคนที่เผลอหันมาพอดี สมองเริ่มประมวลผลหาคำพูดเพื่อตะล่อมถามในสิ่งที่ยังคาใจอย่างรวดเร็ว
“เมษาไง เจอร์เคยเล่าให้ฟังรึเปล่า?” สีหน้าสบายๆพร้อมรอยยิ้มกระชากใจทำให้พิ้งตาพร่าไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติและทำสีหน้าชอบกล
“หืม? พี่เมษกับพี่เจอร์เนี่ยนะคะ?”
“พูดมาก ไหนบอกหิว?” นันท์เผลอขมวดคิ้วเมื่อคนเป็นพี่ขัดจังหวะด้วยการจรดมะเขือเทศสีสดที่ริมฝีปากของพิ้ง และมินดันรีบเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาไปเรื่องอื่นจนสุดท้ายก็ยังไม่ได้คำตอบ
มื้ออาหารผ่านไปโดยเสียงที่ได้ยินส่วนใหญ่เป็นของสองคนที่เด็กกว่า นันท์มองคนที่น่าจะกลับไทยได้ไม่ถึงวันดี๊ด๊ากับเพื่อนตัวเองตอนเจอชานมไข่มุกเจ้าดัง วิ่งมาแบมือขอตังค์พี่ชายเพื่อไปต่อแถวรอเครื่องดื่มอ้วนๆที่ใครก็บอกว่าอร่อยนักหนา
เจอร์ย้ายตำแหน่งไปพิงกับผนังในมุมที่ไม่เกะกะเพื่อยืนรอ นันท์เลยตัดสินใจเดินตามไปด้วย
“...น้องมึงน่ารักดี” เป็นการเริ่มต้นชวนคุยแบบตัวต่อตัวที่โคตรจะงี่เง่าในความคิดของคนพูด นัยน์ตาที่เขาอ่านไม่เคยออกสักครั้งลากกลับมามอง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอนิดหน่อยก่อนจะตอบกลับมา
“ชอบเหรอ?”
“บอกว่าน่ารัก ไม่ได้บอกว่าชอบ” ไม่รู้ว่าทำไมต้องพยายามแก้ความเข้าใจผิดให้เป็นถูกขนาดนั้น เจอร์ยกมือกอดอก โคลงหัวรับรู้ครั้งนึงและปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ต่อเหมือนเก่า
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าการต่อบทสนทนาเป็นเรื่องยากขนาดนี้
“เจอร์”
“จะพูดอะไรก็พูด อีกสองคิวจะถึงพิ้งแล้ว” น้ำเสียงราบเรียบและสายตาที่ไม่ได้มองกันแม้แต่น้อยทำให้เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เพราะเรื่องที่อยากจะคุยจริงๆสำคัญสำหรับเขา การที่อีกฝ่ายทำเหมือนแค่มันคือประเด็นดินฟ้าอากาศนันท์ก็ยิ่งเกร็ง
“กู...” เขาลากเสียงไม่มั่นใจ อยากให้เจอร์หันมามองหน้ากันหน่อยแต่ก็ไม่รู้ต้องพูดยังไง
“หนึ่งคิว” คนที่มองแถวยาวเหยียดเอ่ยเร่งอีกครั้ง
“ขอโทษ”
แขนที่กอดไว้ที่อกคลายลงเล็กน้อยจนคนที่มัวแต่ว้าวุ่นใจไม่ทันสังเกต
เจอร์หันกลับมาหาเขาในที่สุด สีหน้านิ่งเรียบสร้างความกลัวจนหัวใจสูบฉีดไม่ปกติอยู่เกือบนาที นันท์รีบคิดคำตอบถ้าหากคนตรงหน้าถามว่าเขากำลังขอโทษเรื่องอะไร เขาอยากให้บรรยากาศหม่นๆเพราะความปากเสียของตัวเองจบลงแค่นี้
“ช่างเถอะ” ทว่าการตอบรับที่เหมือนไม่ใส่ใจเท่าไหร่ทำให้เขานิ่งงัน
เจอร์คิดว่าอีกคนคงไม่รู้หรอกว่าเวลาที่มีใครสักคนมาพูดคำนั้นกับเขา การบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ และ ‘ยกโทษให้’ ไม่เคยถูกใช้ออกไปสักครั้งเดียว
เขาเคยได้ยินมาว่าการ ‘รับคำขอโทษ’ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะความจริงแล้วคนถูกกระทำนั้น ‘เป็น’อะไรแน่นอน และการยกความผิดให้ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างง่ายดายก็เหมือนจะบอกเจ้าของความผิดว่ามันโอเคที่จะทำร้ายกัน
แค่อยากทำให้รู้...ว่าหลังจากแต่ละแผลที่ได้รับ มันไม่มีอะไรเหมือนเดิม
“เจอร์คือ—”
“กูไม่โกรธแล้ว ขอโทษเหมือนกันที่ต่อยมึง” สายตาว่างเปล่าเบือนหนีไปทางอื่นหลังจากพูดประโยคนั้นรวดเดียวเหมือนกลัวว่าหากช้าลงสักนิด คนฟังจะได้ยินความผิดปกติในน้ำเสียง
จินเจอร์ไม่ได้โกหก สำหรับเขา ความโกรธก็เหมือนไฟที่ถูกจุดขึ้นมาในชั่วพริบตา พอถึงเวลาหนึ่งมันก็จะมอดและดับลง
ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเปลวไฟนั้นมันเป็นอีกเรื่องที่แยกกัน
เขาไม่ได้ผูกใจเจ็บและนำคำพูดของอีกคนมาตอกย้ำตัวเองอย่างไร้สาระ เจอร์แค่เรียนรู้ว่าควรระวังตัว ควรปรับอารมณ์ให้ชินชาเวลาต้องเผชิญหน้ากับคนคนนี้
“มึง— กูอยากเคลียร์กับมึงให้รู้เรื่อง ถ้ายังไม่โอเคก็บอกกันตรงๆนะจินเจอร์” ประโยคนั้นของนันท์บอกความจริงข้อหนึ่งที่ทำให้คนฟังระบายยิ้มบางเบาบนริมฝีปาก
“อือ...”
บางทีที่คนเราขอโทษ ไม่ใช่เพราะห่วงใยความรู้สึกของฝ่ายที่เราทำผิดกับเขาเอาไว้
“กูโอเค”
ที่ขอโทษ ...เพราะอยากลบความรู้สึกผิดในใจตัวเองออกไปมากกว่า
_________________________________________________________________
งบเราน้อยค่ะ นักแสดงเลยจะคุ้นหน้าคุ้นตากันหน่อย5555
หลังจากถามไถ่ทุกคนว่าเรียกนายขิงว่าอะไรกัน
ผลตอบรับดูจะเป็น 'เจ้อ'
เอาจริงคือเราก็เรียกแบบนั้นแหละค่ะ อยู่ๆมันสงสัยเลยหยักรู้วว
ปล. สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน #แทนไม่ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้เรื่องน้า
เราค่อยๆเล่าเรื่องอีกแบบ
คิดว่าคงได้อารมณ์ต่างจากคนที่พอจะรู้แบคกราวด์นันท์จากเรื่องที่แล้วค่ะ
เยิฟๆพวกคุณนะ~ #เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แอบขออนุญาตแนะนำค่ะ เราที่ไม่ได้อ่านเรื่องอื่นมาก่อนถึงกับมึนตึ้บไปหมดเลยค่ะ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อย่างน้อยคุณผู้เขียนน่าจะเกริ่นนำสักนิดว่าตัวละครที่โผล่มานั้นมีีที่มายังไง นิดหน่อย พอให้คนอ่านที่ไม่รู้เรื่องมาก่อน อ่านเข้าใจได้แม้ไม่ได้อ่านภาคอื่นๆที่ใช้ตัวละครเดียวกัน
//แอบรำไยนันค่ะ รู้สึกเจอร์ตัดใจได้ก็ตัดเถอะ เข้าใจเลยที่เจอร์คิด นี่กุทนมาได้ยังไงตั้งนาน 55555
อกหนูจะแตกฮือออออ