ตอนที่ 6 : ลบหก
เขาสมควรแก่การขึ้นเงินเดือน
เจอร์ย้ำความคิดนั้นในหัวพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หมดพลังจนแทบจะคลานเข่ากลับบ้านก็ยังต้องลากสังขารมาเจอลูกค้าทั้งที่มันเป็นเวลาเลิกงานอีก
พี่มุกต้องให้โล่พนักงานดีเด่นกับเขาด้วย
สยามพารากอนในเย็นวันพฤหัสไม่ใช่เรื่องตลก ได้ยินแว่วๆว่ามีใครมาจัดอีเวนต์บนพารากอนฮอลล์ไม่รู้ รู้แต่ว่าคนเต็มไปหมดจนเขาที่ต้องเดินไปร้านหนังสือตรงชั้นทางผ่านชักปวดหัว เจอร์ก้มมองนาฬิกา อีกนิดเดียวจะต้องโดนคุณเบลแซะว่ามาช้าอีกแล้วแน่ๆ
ใช่ คนที่ทำให้เขาบ่นฟ้าบ่นดินในใจก็คือเจ้าของรอยยิ้มกวนประสาทคนนั้นแหละ
หลังจากคุยงานกันไปเมื่อวันจันทร์และบ่ายของวันนี้อีกฝ่ายก็ปิ๊งไอเดียว่าอยากมาหาแบบบ้านเพิ่มเติม รวมถึงพวกร้านสั่งทำเฟอร์นิเจอร์ที่น่าจะตอบโจทย์ แน่นอนว่าคนที่ต้องจัดวางและออกแบบทุกอย่างให้ลงตัวอย่างเขาก็ต้องมีส่วนร่วมด้วย
ความจริงแชทกันก็ได้รึเปล่า?, คิดแบบนั้นตอนบันไดเลื่อนพาถึงชั้นที่ต้องการพอดี
เจอร์ถอนหายใจโล่งอกเมื่อไม่เห็นคุณเบลยืนรอหน้าร้านหนังสือ ในใจร้องเยสไปเรียบร้อยที่มาก่อนได้อย่างฉิวเฉียด สงสัยจะเป็นคนตรงเวลาเป๊ะสินะ สู้เขาที่มาล่วงหน้าตามมารยาทตั้งสามนาทีก็ไม่ได้
“คุณช่วยกินหน่อย ผมเช็ดมือแล้ว” ออริจินอลสติ๊กร้านป้าแอนถูกยื่นมาพร้อมน้ำมะนาวในแก้วสีน้ำเงิน คุณเบลพูดเหมือนอยากให้เขากินจะได้จบๆ แต่ถ้าจำจำนวนชิ้นขนมได้ก็จะรู้ว่ามันยังอยู่ครบเหมือนเพิ่งซื้อ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
“ถึงนานแล้วเหรอครับ?” ก็ร้านขายขนมที่ว่ามันไม่ได้ใกล้ๆน่ะสิ ถึงจะอยู่ชั้นเดียวกันแต่มันคืออีกปีกนึงเลยไม่ใช่หรือไง
“วันนี้ตรงเวลาแฮะ” คุณเบลไม่ตอบแต่ทำเป็นก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง เขาที่เริ่มจะชินกับการกวนหน้าตายของอีกฝ่ายจึงตีความได้ว่ากำลังโดนแซ็ว
เจอร์หยิบเจ้าขนมปังแท่งมากัดแก้หงุดหงิด ปล่อยให้คนยิ้มสวยยืนดูดน้ำผลไม้อีกแก้วในมือพร้อมกับมองเขาไปเรื่อยๆ หมดแท่งที่สองและอารมณ์ดีขึ้นหน่อยถึงได้หยิบทิชชู่มาเช็ดปลายนิ้ว เก็บน้ำกับขนมลงถุงและพยักหน้าเป็นเชิงว่าพร้อมลุย
“คุณพอจะมีแบบที่อยากได้ในใจมั้ย?”
“คร่าวๆครับ แต่อยากลองดูพวกนี้ก่อน” คุณเบลหยิบหนังสือเกี่ยวกับดีไซน์บ้านขึ้นมาให้เขาดู เจอร์มองตามและพลิกอ่านชื่อปก
“อืม...งานของคนนี้ก็เข้ากับที่คุณบรีฟไว้อยู่นะ ไม่กลืนจนดูน่าเบื่อ” เขาไล่สายตากับชั้นวาก่อนจะหยิบอีกเล่มนึงออกมา เป็นนักออกแบบคนไทยที่เคยได้ยินชื่อมาบ้าง ดูแล้วก็เหมาะกับโปรเจคนี้ดี
ลูกค้าที่เริ่มจะสนิทกันหันมองภาพบนหน้ากระดาษของเขาอย่างสนใจ ถึงจะเพลียนิดหน่อยแต่พอได้พูดถึงเรื่องที่ชอบเจอร์ก็สดใสขึ้นมาบ้าง เขาให้คำปรึกษาและรับฟังภาพในหัวที่อีกคนพยายามเล่า ดึงหนังสือเล่มใหม่ออกมาจากชั้นวางเมื่อมีไอเดียใหม่ๆที่พอจะไปด้วยกันได้
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนคุยงานกับลูกค้าคนอื่นสนุกขนาดนี้รึเปล่า
“งั้นรอบหน้าผมเอาอันนี้ไปเป็นเรฟนะ”
“ครับ ตรงคอร์ทยาร์ดชั้นสองต้องเท่มากแน่ๆ” เจอร์ยิ้มรับหนังสือที่ผ่านเข้าถึงรอบสุดท้ายสองเล่มในมือของเบล แค่คิดว่ารอบหน้าจะเพิ่มหรือปรับแก้ตรงไหนบ้างก็ชักจะน่าสนใจแล้ว
คนตัวสูงไล่เลี่ยกันมองแววตาวาววับเหมือนเด็กเจอของเล่นถูกใจก็หลุดยิ้ม รู้สึกดีไปด้วยเวลาที่ได้เจอคนทำตามแพชชันของตัวเองอย่างทุ่มเทแบบนี้
“คุณดูหนังสืออะไรเพิ่มมั้ย? ของผมน่าจะได้ละ” เบลหมายถึงหนังสือเล่มหนาที่ตัวเองกำลังถืออยู่ สังเกตอีกคนที่มีสีหน้าลังเลขึ้นมาแวบนึงแล้วทำเหมือนจะปฏิเสธก็รีบดักทาง
“คุณอ่านแนวไหน? หรือว่าดูแต่ตึกกับบ้านแบบนี้?” เจอร์ส่ายหัวหน่อยๆที่โดนรู้ทัน แต่ก็ยอมไหลตามน้ำเพราะพอจะมีเรื่องที่อยากได้อยู่จริงนั่นแหละ
“ให้ผมพักบ้างเถอะคุณ พวกนิยายขายดีที่เขาเอาไปทำหนังผมก็อ่าน” เขาเดินนำมายังชั้นที่สะดุดตาตั้งแต่ตอนเดินเข้า มีหนังสือติดอันดับน่าสนใจอยู่หลายเล่ม เหมือนคุณเบลอยากรู้ว่าเขาคงต้องใช้เวลาร่ำไรพอสมควรเลยเอ่ยปาก
“เลือกไปนะไม่ต้องรีบ ผมอยู่แถวนี้แหละ”
“สักสองชั่วโมงก็ได้เนอะ” พอมีจังหวะก็ขอแกล้งคืนบ้าง เจอร์ยกยิ้มยียวนมองคนใจดีที่แลบลิ้นเลียปากเหมือนกำลังหาทางโต้กลับ
“ได้ แต่เลี้ยงข้าวเย็นผมด้วย ตอนนั้นน่าจะหิว” คุณเบลยักคิ้ว รอฟังว่าเขาจะตอบอะไรกลับไป และในหัวมันไม่มีคำอื่นเลยนอกจาก—
“รู้สึกเหมือนโดนจีบอยู่เลย” เจอร์ยักคิ้วจึ้กๆเอาคำพูดอีกคนมายอกย้อน รู้อยู่ว่าบทสนทนามันไม่ค่อยจะส่งเท่าไหร่แต่ตอนนั้นคุณเบลก็ทำแบบนี้ เขาไม่ทันคิดอะไรเลยด้วยซ้ำก็มาโมเมเฉย
“แล้วจีบได้มั้ยล่ะ?”
และเป็นเขาที่หุบปากฉับ อยากจะเถียงกลับแต่ดันคิดไม่ทันจนทำท่าจะแพ้อีกแล้ว
“workplace romance ไม่ใช่แนวผมเท่าไหร่” เขาแกล้งทำเป็นต่อปากต่อคำ ทว่าสายตาจริงจังที่มองมาทำให้ปั้นหน้าไม่ค่อยจะถูก
คุณเบลนะคุณเบล ขอชนะสักยกไม่ได้หรือไง
“ถ้างั้นโปรเจคจบจีบได้?” ในที่สุดคนเก๋าไม่จริงก็ยกมือยอมแพ้ ลูกค้าของเขาชักจะรุกเก่งเกินไปแล้ว ยิ่งทำหน้าตาแบบนั้นจะให้พูดยังไงต่อได้เล่า
“ยอมแล้ว ไม่เล่นก็ได้ คุณเถียงเก่งชะมัด”
“คุณคิดว่าผมเล่นเหรอ?” คราวนี้เรียกได้ว่าไฟฟ้าช็อตใครกระดุกกระดิกเป็นกันไปเลย เจอร์ยืนทื่อ ในใจรอฟังคำว่า ‘ล้อเล่น’ เพื่อจะได้หัวเราะกลบเกลื่อนไปตามน้ำ แต่ผ่านไปเกือบนาทีคุณเบลก็ยังเลิกคิ้วมองหน้าเขานิ่งๆเหมือนเดิม
“เลิกแกล้งกันสักทีน่า” โบกมือพัลวันพลางหยิบหนังสือมั่วๆเตรียมเดินไปจ่ายเงิน และต้องสะดุดกึกอีกรอบเพราะอีกฝ่ายเข้ามาขวาง
“ผมจริงจังอยู่คุณเจอร์” ชื่อที่ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงกดต่ำทำเอาคนฟังใจเต้กตึก เขาก็มีเนื้อหนังเหมือนมนุษย์คนอื่นนะ โดนหยอดติดกันขนาดนี้มันก็ต้องมีเป๋บ้างดิ
“พูดว่าล้อเล่นตอนนี้ผมก็โกรธแล้วครับ”
กว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็เป็นตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของใครบางคน
บ้าเอ๊ย...พูดแบบนี้ก็แปลว่าอยากโดนจีบน่ะสิ ไอ้ขิงงงงง~
“หมะ หมายถึงผมจะโกรธที่คุณเล่นกับความรู้สึกคนอื่นไงครับ ขำอะไร?”
เหมือนว่าคุณสถาปนิกจะไม่เคยเห็นว่าหน้าหาเรื่องแบบแก้เก้อที่ทำอยู่มันน่าหยิกขนาดไหน
“หิวข้าวจัง” เจอร์อยากเข้าไปหักเขี้ยวทะเล้นของคนที่ขยันกวนกันอยู่ได้ คุณเบลยักไหล่ก่อนจะเอื้อมมือมาดันหลังไล่ให้เขาไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ บ่นงุบงิบว่าหิวงั้นงี้ จะสั่งเต็มที่เลยเพราะมีคนเลี้ยงข้าวแล้ว
“ยังไม่ถึงสองชั่วโมงสักหน่อย” เขาเถียงข้างๆคูๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องยึดบทสนทนาก๊องแก๊งมาเป็นเรื่องราว
“งั้นผมเลี้ยงเอง”
“หารครับ”
“แปลว่ายอมไปกินด้วยกันแล้ว?”
โอเค ต่อไปนี้จะเงียบ จะไม่เถียงกลับให้ตัวเองแพ้อย่างอับอายแบบนี้อีกแล้วโว้ย!
.
.
.
แหลมเจริญซีฟู้ด..?
เขามองคุณลูกค้าที่ทำหน้าฟินกับหมึกผัดไข่เค็มเหมือนจะขึ้นสวรรค์อยู่รอมร่อแล้วชักสับสน คือโอเคว่าคนเราสามารถเดทกันที่ร้านอาหารทะเลได้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่บอกจะจีบแล้วมื้อแรกพามานั่งแกะปูเลยมันก็เรียลกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย เอาจริงก็ไม่ค่อยหน่อยหรอก
หรือคุณเบลจะแค่กวนประสาทเขาเล่น?
งงกว่าความคิดคนตรงหน้าก็คือความคิดของเขาเองนี่แหละ เพิ่งได้สติว่าตัวเองจริงจังกับสิ่งที่ได้ยินจนเก็บมาคิดวนเหมือนเด็กสิบแปด ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีอะไรแบบนี้เข้ามาในชีวิต แต่ไอ้โดนคนหน้ามึนมาหยอดๆแกล้งๆแบบนี้น่ะครั้งแรก
“ปูนิ่มอร่อย” การชวนกินที่แสนสั้นของคุณเบลกับช้อนกลางที่ตักเมนูที่ว่ามาให้ทำเขาหลุดขำ
“เชื่อแล้วว่าหิวจริง” ฝ่ายที่ตักข้าวใส่ปากจนแก้มป่องเงยหน้าขึ้นมามอง พยักหน้ายืนยันไปสองรอบและยักคิ้วให้เขาลองชิมเจ้าปูที่ลอกคราบเสร็จได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนจับมาทอด ร้านนี้ก็ทำซะอร่อยจนหายสงสารปูเลย
“ที่บอกว่าจะจีบก็จริงเหมือนกันนะ”
“แค่กๆๆ!”
คนขี้แกล้งยื่นน้ำกับทิชชู่ให้หน้าตาเฉย แถมยังมองเหมือนจะติว่าทำไมไม่กินให้เรียบร้อย เจอร์เลยทำได้แค่สูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นมาหน่อยก่อนจะบอกตัวเองว่าทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
“คุณเบล”
“หืม?” เจอร์มองคะน้าฮ่องกงที่ถูกตักมาใส่จานตัวเองแล้วปวดหัวตุบ คุณเบลไม่มีเซนส์เลยหรือไง ไหนบอกว่าเขาอ่านง่ายนักหนา
หรือว่านี่ก็กวนตีนอีก?
“คุณเบล”
“ครับคุณเจอร์?”
เออ กวนตีนจริงๆนั่นแหละ
“สรุปชอบจริงเหรอ?” เจอร์มองอีกฝ่ายไม่วางตาจนทันเห็นว่าเจ้าตัวกระตุกยิ้มมุมปาก เอื้อมตักไข่เจียวปูมายั่วโมโหกันอีกคำก่อนจะเงยหน้ามาเท้าคางมอง
“ก็ชอบนะ”
ยอมรับก็ได้ว่าใจเต้นผิดจังหวะไปนิดนึง
“ตลกดี” และอารมณ์กุ๊งกิ๊งก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว จินเจอร์กลอกตา ไม่หวังจะหาความโรแมนติกใดใดจากคุณเบลแล้วหลังจากนี้
“ชอบคนตลกไม่ไปจีบแจ๊ส ชวนชื่นล่ะคุณ”
“เขาแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ?” เขาปาทิชชู่ของตัวเองที่ยังไม่ได้ใช้ใส่คนกวนประสาทอย่างหมดความอดทน เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มตาหยีที่ใครบางคนเก๊กมาตั้งนานได้ชัดเจน
“ลองคุยกันดูนะคุณเจอร์” เบลระบายยิ้มพร้อมสายตาที่เจอร์ไม่เคยเห็นมาก่อน คราวนี้เขาชะงักไปของจริง รอยปวดหนึบบนต้นคอเหมือนจะเจ็บขึ้นมาอีกรอบจนต้องขมวดคิ้ว
“ถ้าปฏิเสธจะโดนเลิกจ้างมั้ยครับ?” เขาแกล้งพูดติดตลกเพื่อบ่ายเบี่ยง ความรู้สึกเย็นวาบบนแถบสันหลังทำให้เขาตื้อในท้องจนอยากวางช้อนลง พยายามยิ้มเจื่อนให้บรรยากาศไม่ซีเรียส
“ไม่บังคับขนาดนั้นหรอก” เบลยิ้มปลอบ พอจะมองออกว่าคนตรงหน้าดูกังวลจนเห็นได้ชัด
“แต่ก็ไม่แน่นะ”
เจอร์หัวเราะออกมาและลงมือทานอาหารต่อเป็นการตัดบทสนทนา นึกขอบคุณที่อีกฝ่ายไม่ได้จี้จนทำให้รู้สึกอึดอัด ท่ามกลางความสับสนทั้งหมดเขาก็ยังรู้จักตัวเองดีพอว่าไม่พร้อมจะรับใครใหม่เข้ามาตอนนี้ ตอนที่ตัวเองยังเหวอะหวะ มีแผลเต็มไปหมด
คงเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะรับคำขอ
_____________
เขาบอกลาคุณเบลที่ยังชวนคุยปกติจนบรรยากาศกระอักกระอ่วนค่อยๆจางลงไป ระหว่างเดินกลับมาที่ลานจอดรถชั้นตัวเองก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายวางตัวได้ดีชะมัด เหมือนรู้ทุกอย่างว่าจังหวะนี้ควรเว้นช่องว่าง ทิ้งช่วงนิดหน่อยแล้วค่อยรุกต่อ
ครับ เจ้าตัวเขาก็ยังรุกแบบมึนๆอึนๆตามสไตล์นั่นแหละ
คุณหนูจอดรอเขาอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ที่เดิม เจอร์ยกยิ้มบางเมื่อรับรู้ว่าตัวเองจะได้กลับบ้านพักผ่อนเสียที เป็นวันที่สนุกแต่ก็เหนื่อยมากๆอีกวั—
“มึงเคยนับบ้างมั้ย...”
เสียงที่คุ้นหูและดังก้องอยู่ในโสตประสาทเขาเกือบทุกคืนทำให้มือที่กำลังจะเปิดประตูรถฝั่งคนขับชะงักนิ่ง ลืมไปเสียสนิทว่าห้างนี้มันอยู่ใกล้กับมหาฯลัยที่ใครบางคนทำงานอยู่
“ว่าต้องมีกี่คนถึงจะพอ?” เขาตัดสินใจทำหูทวนลมและโยนกระเป๋าหนังของตัวเองไว้บนเบาะที่ว่าง ปรับสีหน้าราบเรียบเป็นปกติก่อนจะกลับมายืนตรง เสียงประตูที่ถูกผลักปิดอย่างแรงทำให้เขานึกขอโทษคุณหนูในใจ
อารมณ์มันแกว่งๆ เลยกะแรงผิดไปหน่อย
นันท์เดินเข้ามาหยุดตรงหน้า สายตาคมเฉี่ยวคู่เดิมว่างเปล่าทว่ากัดลึกลงในความรู้สึกคนมอง ถ้าเรื่องที่มนุษย์เราอาศัยอยู่ใน simulation เป็นความจริง ตอนนี้เจอร์ก็กำลังก่นด่าใครสักคนที่ทำหน้าที่ควบคุมเขา
สนุกมากมั้ยที่ทรมานความรู้สึกกันแทบทุกวันแบบนี้?
“ผิดประเด็นแล้วมั้ง”
ถ้าสนุกนักก็จะทำให้ดูว่าคนอย่างเขามันพังยับเยินได้มากกว่าที่คิด
“ประเด็นไม่ได้อยู่ที่กูจะคบกี่คน มันอยู่ที่มึงต่างหาก...มายุ่งอะไรด้วย” เขาพิงเอวกับผิวเหล็กสีส้มมันวาว กอดอกมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบ เขากำลังไม่เข้าใจการกระทำของนันท์ และไม่คิดว่าควรต้องทำความเข้าใจอะไรในตอนนี้
“เพื่อนก็ไม่ใช่ป้ะ?” เขาแค่นยิ้มเมื่อเห็นความโกรธวาบขึ้นมาในแววตาดุดัน ทั้งที่มันควรจะชัดเจนไปตั้งแต่เซ็กส์รอบที่แล้วว่ามิตรภาพและความสัมพันธ์ทั้งหมดมันฉีกขาดจนต่อยังไงคงไม่ติด นันท์ก็ยังทำท่าโมโหเหมือนคนรับความจริงไม่ได้
ความคิดนั้นเหมือนจะทำให้เจอร์หัวใจหยุดเต้นไปเสี้ยววินาทีที่นึกได้ว่าอีกฝ่ายเคยให้ค่ากับตัวเขาแค่ไหน
แต่ก้อนอารมณ์ขุ่นมัวก็กระซิบบอกเขาว่าอย่าเสียดาย นั่นไม่ใช่สิ่งที่นึกอยากได้สักนิด
“ก็เพราะว่าไม่ใช่เพื่อนไงเลยต้องพูด” นันท์จ้องเขาพร้อมกับสันกรามที่ถูกขบจนเห็นเป็นรอย เจอร์รู้ว่าตัวเองปากดี ยิ่งเรื่องยั่วโมโหเขาถนัดยิ่งกว่าใคร
“หัดตรวจสุขภาพบ้าง กูซีเรียสเรื่องนี้เหมือนกันนะ”
แต่ถ้าให้วัดแรงกระทบของความรู้สึกคนฟัง ก็ต้องยอมรับว่าเขาคงพ่ายแพ้คนตรงหน้าชนิดที่เทียบไม่ติด
เสียงกำปั้นกระทบเนื้ออย่างแรงและความร้อนบริเวณสันหมัดยืนยันกับเจอร์ว่าคำดูถูกนั่นทำให้เดือดดาลแค่ไหน แววตาที่เคยนิ่งเรียบกลายเป็นสั่นระริก ทุกครั้งที่คิดว่านันท์ทำลายความรู้สึกดีที่มีให้จนไม่เหลืออีกแล้ว เจ้าตัวก็มักจะพิสูจน์ให้เห็นว่ายังมีส่วนที่สามารถเหยียบซ้ำได้อีก
“มึงไม่มีสิทธิ์ดูถูกกูขนาดนี้” ไม่รู้ว่าพูดออกไปเพื่อหวังจะให้นันท์คิดได้ หรือต้องการย้ำกับตัวเองว่าอย่าสูญเสียตัวตนและยอมลดค่าด้วยการเชื่อประโยคนั้น, ประโยคของคนที่รักจนเกือบจะมากกว่าตัวเองไปแล้ว
นันท์ชะงักกับสายตาตัดพ้อที่ชัดเจนไม่แพ้เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่าน ความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่มุมปากเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างไร้เหตุผล
“มึงไม่เคยสงสัย ไม่เคยคิดจะถามกูว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง มึงเชื่อว่ากูทำตัวแย่ตั้งแต่แรก” ข้อเท็จจริงที่คนผิวสีน้ำผึ้งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบกลับฟังดูหนักแน่นจนนันท์เถียงไม่ออก
“แต่ก็เหมือนที่กูพูด เราไม่ได้รู้จักกันดีมากมาย...เพราะงั้นกูควรเลิกแคร์ได้แล้วว่ามึงจะมองกูยังไง”
“กูขอโทษที่พูดแรง แต่ที่ว่ามึงก็เพราะเป็นห่วง” ประโยคเย็นชากับรอยยิ้มมุมปากทำเอานันท์ใจหายวาบ พยายามจะอธิบายเหตุผลของความปากพล่อยที่เกิดขึ้นด้วยเสียงอ่อนลง แต่เจอร์กลับเบือนหน้าหนีและหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องตลก
“ห่วง? กลัวว่ากูจะมั่วจนป่วยตายน่ะเหรอ?”
“จินเจอร์!” คนตาดุอยากจะเข้าไปกระชากคอเสื้อฝ่ายที่พูดจายียวน หากสามัญสำนึกเริ่มเตือนเขาว่าสิ่งที่ตัวเองพูดก่อนหน้าก็ไม่ได้เบากว่ากันเท่าไหร่ นันท์เลยทำได้แค่กำมือแน่น บอกตัวเองว่าต้องเย็นกว่านี้
เจอร์มองท่าทางนั้นและรีบหลบสายตา นึกเจ็บที่อีกฝ่ายต้องใช้ความอดทนมากมายในการยืนคุยกับเขาแล้วพูดดีๆ
“บ้างทีกูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน...”
ว่าทนรักมึงมาขนาดนี้ได้ยังไง
“...ว่าที่ผ่านมาคบกับมึงมาได้ไงตั้งนาน”
แน่นอนว่าบางอย่างที่อยู่ในใจก็ควรจะปล่อยทิ้งไว้แค่ตรงนั้น
เจอร์เปิดประตูรถสีส้มของตัวเอง ไม่สนใจอีกคนที่ทำแค่ยืนนิ่งและมองมา เขาไม่รู้หรอกว่านันท์หมายความอย่างที่พูดแค่ไหน ไอ้ที่บอกเป็นห่วงมันจริงหรือแค่ข้ออ้างในการหาเรื่องกันแน่
เพราะเข้าใจดี คนเราไม่ได้ซื่อสัตย์จนพูดทุกอย่างตามความคิดหรอก
เขาเกลียดความรู้สึกขัดแย้งที่เกิดขึ้นตอนเห็นแผ่นหลังของอีกคนที่กำลังเดินจากไป เสียงหนึ่งเยาะเย้ยท่ามกลางความเงียบว่าเขากำลังหวังอะไรอยู่ อยากจะให้นันท์มายืนขวางรถแบบพระเอกหนังแล้วคุยกันให้รู้เรื่องน่ะเหรอ?
นิ้วยาวกดปุ่มสตาร์ทใกล้กับเกียร์ด้านซ้ายมือ ไม่รู้ว่าเพราะแสงจากจอสัมผัสหน้ารถมันแรงไปรึเปล่า คนขับถึงต้องนั่งหลับตาแน่นอยู่เกือบห้านาทีถึงจะได้ออกตัว
หรือถ้าไม่ใช่เพราะแสงไฟ ขอบตาแดงๆนั่นก็คงเป็นเพราะใครบางคนกำลังพยายามกลั้นน้ำตาล่ะมั้ง...
_________________________________________________________________
ตอนเขียนแชปนี้รู้สึกเหมือนโดนนายขิงด่า555555
เรารุนแรงกับเธอเกินไปใช่ม้าย~ (ก็คือไม่สำนึกนะ)
ปล. เอาจริงทุกคนออกเสียง 'เจอร์' ว่ายังไงกัน?
กด1- เจอ
กด2- เจ้อ
เราสงสัยมากจริง ฮ่าๆ #เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชอบนะคะผัวพี่เบล 555555เจอร์มาเลือกพี่เบลเหอะ //กด2ค้าบ