ตอนที่ 5 : ศูนย์ห้า
เขามองเงาตัวเองที่สะท้อนบนกระจกรถแล้วได้แต่ถอนหายใจ
เจอร์ดับเครื่องและเอื้อมหยิบกระเป๋าหนังใบโปรดบนเบาะข้างคนขับ จัดปกเสื้อคอเต่าสีดำแบบหลวมๆของตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดสินใจก้าวลงจากคุณหนูหรือมินิคูเปอร์สามประตูสีเจ็บที่ใครต่อใครก็แซ็วว่าซื้อไม่เผื่อมีลูกเลย
ก็ทำได้แค่ยิ้มๆแล้วตอบให้คนอื่นเบ้ปากใส่ว่าถึงเวลาซื้อใหม่ก็ได้ พอดีรวย
อุณหภูมิของอากาศทำให้เขารีบคิดหาคำแก้ตัวที่แต่งกายเกินเหตุแบบนี้ นึกถึงหน้าแสนโทรมของตัวเองในกระจกตอนเช้าก็ได้ข้ออ้างคลาสสิกอย่าง ‘ไม่สบาย’ ติดหัวเอาไว้ก่อน
“จินเจอร์! เร็วเลยค่ะสามี ลูกค้ารออยู่” เขาผงกหัวทักทายก่อนจะก้าวฉับๆเข้าห้องคุยงานเมื่อได้ยินหัวหน้าสาวพูดเร่งทันทีที่เจอหน้า โล่งใจนิดหน่อยที่ไม่โดนเฉ่งข้อหาเบี้ยวนัดไปเมื่อวาน ทว่าพอเปิดประตูเข้ามาก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่กับสายตาจูเนียร์และผู้ช่วยที่มองมา
โอเค ผิดไปแล้ว แต่อย่าจ้องกันด้วยสายตาเหมือนเจอบ่อน้ำกลางทะเลทรายอย่างนั้นได้มั้ย
เห็นแล้วรู้สึกเหมือนงานจะเข้า
“พอดีเลย...” คุณลูกค้ายกยิ้มจริงใจมาให้จนเขาชักงง ถ้าจะยิ้มแย้มดูเป็นมิตรขนาดนี้ทำไมอีกสองคนในห้องถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่เขา
“ขอโทษนะครับที่มาช้า ผมชื่อเจอร์ เป็นสถาปนิกที่รับผิดชอบโปรเจคนี้ครับ” จะงงยังไงก็ต้องโปรไว้ก่อน เจอร์แนะนำตัวเสร็จสรรพพร้อมนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งที่ว่างตรงข้ามกับเพื่อนร่วมงาน ส่วนหัวโต๊ะก็ถูกครอบครองโดยผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจที่สุดในห้อง
“หวัดดีครับ อ้อ...ที่เมื่อกี้บอกว่าพอดีหมายถึงผมคุยเสร็จไปสองห้องพอดีเลย, คุณเจอร์^^” คำพูดสุภาพแต่แฝงไปด้วยการติเตียนทำให้เขาเริ่มเข้าใจบางอย่างขึ้นมา รอยยิ้มสวยๆกับท่าทางใจดีนั้นเรียกความเกรงใจจากคนรอบข้างได้โดยไม่ต้องพยายามอะไรมาก
นอกจาก ‘เกรงใจ’ ก็อาจจะมี ‘เกร็ง’ บ้างอย่างที่จูเนียร์และผู้ช่วยของเขาเป็น
แต่จินเจอร์ก็คือจินเจอร์ คนที่รับมือกับมนุษย์ได้เกือบครบสิบหกแบบตาม MBTI* เขาจึงเริ่มต้นคุยความต้องการของคุณลูกค้าต่ออย่างแนบเนียน ระหว่างที่มีจังหวะก็เอาโน้ตของห้องก่อนหน้าที่บรีฟไปเรียบร้อยมากวาดตาอ่านคร่าวๆเพื่อไม่ให้หลุดจากภาพรวมไปมาก
“พื้นที่ตรงนี้ที่คุณ...” คุยได้สักพักเขาก็เงยหน้ามาสบตากับเจ้าของโจทย์ที่เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่รู้ชื่อกันเลย ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนตอบกลับมาเสียงเรียบ
“เบลครับ”
“คุณเบลอยากให้เป็นชั้นวางหนังสือ...” เจอร์ลงรายละเอียดต่อเมื่อพอมีคำเรียกให้ใช้แล้ว แต่ก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้เพราะชื่อของอีกคนมันหวานชนิดที่ว่าขัดกับบุคลิกท่าทางอยู่หลายเท่า
คุณเบลดูแสบๆแบบสุภาพ ให้อธิบายยังไงดี...สุขุม แต่ว่าไม่นุ่มนิ่มอย่างนั้นเหรอ?
เป็นอีกครั้งที่การคุยงานลื่นไหลแม้จะต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง ความต้องการและโจทย์ต่างๆที่เจ้าของบ้านมอบหมายค่อนข้างชัดเจนเจอร์เลยไปต่อได้ง่าย เวลาหมุนเรื่อยจนถึงบ่ายแก่ทุกอย่างก็เดินหน้าได้มากพอสมควร สถาปนิกคนเก่งผ่อนลมหายใจคลายเหนื่อยเมื่อบทสนทนาของห้องสุดท้ายของวันนี้จบลง
“ฝากเอาอันนี้ไปให้พี่มุกหน่อยครับ พี่ส่งลูกค้าเอง” เจอร์ยื่นแฟ้มสันกว้างให้รุ่นน้องระหว่างที่คุณเบลยังก้มหน้าโน้ตอะไรสักอย่างใส่โทรศัพท์ ผู้ช่วยอีกคนเห็นว่าไม่น่าต้องมีส่วนร่วมแล้วก็ขอตัวบ้าง ดูเหมือนทุกคนจะเต็มใจกับการกลับบ้านของลูกค้าคนนี้เหลือเกิน ว่างๆคงต้องถามหน่อยว่าตอนเขาไม่อยู่มันทำไม เพราะเท่าที่เห็นคุณเบลก็ไม่ได้เหวี่ยงวีนจนน่าปวดหัวเหมือนเคสอื่น
“คุณเบลจอดรถตรงไหนครับ? ผมเดินไปส่ง” รอจังหวะที่อีกคนเงยหน้ามาพอดีก็ถามพร้อมรอยยิ้มการค้าประจำตัว
“ใกล้ๆร้านกาแฟครับ” เจอร์ร้อง ‘โห’ ออกมาก่อนจะบอกให้คุณเบลรอแป๊ปนึง คนผิวสีน้ำผึ้งเปิดประตูชะโงกหน้าถามเพื่อนร่วมงานแถวนั้นว่ามีร่มคันใหญ่บ้างรึเปล่า รอไม่ถึงนาทีถึงได้ร่มสีเทาเข้มพร้อมกระดาษไซส์นามบัตรกลับมาหาฝ่ายที่นั่งรอ
“คราวหน้ายื่นบัตรนี้แล้วเข้ามาจอดหน้าออฟฟิศได้เลยนะครับ คุณเบลจะได้ไม่ต้องจอดตากแดด” คนฟังชะงักให้ความใส่ใจอย่างกะทันหันครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือมารับ
“ขอบคุณครับ”
เจอร์รอให้คุณเบลเตรียมพร้อมด้วยการหยิบบรีฟที่เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมายืนอ่านอีกรอบเพื่อไม่ให้กดดันอีกฝ่ายเกินไป และนั่นทำให้เขาพลาดรอยยิ้มมุมปากของใครบางคน
“คุณเจอร์...หนาวเหรอครับ?” คำถามงงๆทำให้เขาละสายตาจากกระดาษและตั้งใจฟังคุณลูกค้ากว่าทีแรก แต่พอเห็นนิ้วที่ชี้มาบริเวณปกเสื้อคอเต่าของเขาก็เข้าใจ
“อ๋อ ผมไม่ค่อยสบายน่ะครับ” เพราะเตรียมตัวมาแล้วว่าจะต้องมีคนสงสัยเลยไม่เสียเวลาอึกอัก คุณเบลพยักหน้าน้อยๆด้วยสีหน้าราบเรียบเหมือนเก่า ร่างสูงถอยเก้าอี้เป็นเชิงว่าพร้อมกลับเขาจึงเดินไปเปิดประตูรอ
“เจ็บคอเหรอครับ?” น้ำเสียงที่เหมือนจะเจือหัวเราะแผ่วเบาสะกิดเรียกเจอร์ให้หันกลับมองหน้าคนพูดอีกรอบ ทว่าก็ไม่พบอะไรมากไปกว่าคิ้วเข้มที่เลิกขึ้นยืนยันความสงสัย
หรือบางทีอาจจะไกลเกินที่จะมองเห็นแววตาที่เต้นระริกด้วยความสนุกของอีกคน
“ประมาณนั้นครับ” เขาพยายามสำรวจคุณเบลระหว่างที่ทางเดินก่อนถึงรถของเจ้าตัว กระแอมแก้เก้อไปหนึ่งรอบตอนโดนจับได้ว่าแอบมอง เจอร์เลยชวนคุยแก้บรรยากาศประหลาดที่เกิดขึ้น
“บ้านหลังนี้คุณเบลอยู่คนเดียวใช่มั้ยครับ?” สถาปนิกหนุ่มนึกถึงแบบร่างคร่าวๆที่เกิดขึ้นในหัว ถึงจะพื้นที่กว้างพอสำหรับครอบครัวใหญ่ แต่สไตล์และโครงสร้างดูขึ้นกับคุณเบลแค่คนเดียว
“ครับ แม่กับพ่อผมอยู่อีกหลังนึงไม่ไกลเท่าไหร่”
“แบบนี้ก็สะดวกดีนะครับดูแลกันได้ตลอด แถมตอนแต่งงานก็ยังมีพื้นที่ส่วนตัวด้วย”
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินอีกฝ่ายหลุดหัวเราะ
ปากอยากถามว่าที่เขาพูดมันตลกตรงไหน แต่คิดๆไปก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยากรู้มากขนาดจะถามอะไรที่ดูกวนตีนลูกค้าอย่างนั้นเลยเงียบตามเดิม
“แฟนผมยังไม่มีเลยคุณ” พอหันสบตาตรงๆก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนคนนึงจะต้องยิ้มได้สวยขนาดนั้น เพิ่งเห็นด้วยว่าพอยิ้มกว้างจนตาหยี เขี้ยวสองข้างนั่นก็ยิ่งทำให้มีเสน่ห์จนน่าหมั่นไส้
ตอนเด็กเจอร์ยอมแปรงฟันก่อนนอนก็เพราะแม่บอกเขี้ยวจะแหลมขึ้นกะเขาบ้างนี่แหละ ทำมายี่สิบแปดปีแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยสำนึกได้ว่าคุณมารดาคงโกหก
“เขยิบเข้ามาหน่อยก็ได้ครับ แขนแดงหมดแล้วนั่น” ตัวอิจฉาในหัวสลายหายเกลี้ยงเมื่อคุณเบลแย่งด้ามจับในมือไปถือหนำซ้ำยังดึงแขนให้เขาเข้ามาในร่มกว่าเก่า พอก้มมองก็ต้องขมวดคิ้วเพราะเนื้อหนังของเขาก็ยังดูปกติดี
“ผมใส่แขนยาวถึงข้อมือนะคุณเบล” ใครไม่ถือคติลูกค้าคือพระเจ้าแต่เจอร์ถือ ถึงได้ยื่นมือไปแย่งร่มอีกคนแล้วจัดองศาให้แดดลอดเข้ามาโดนตัวพระเจ้าของเขาน้อยที่สุด
“รู้สึกเหมือนโดนจีบอยู่เลย” ตอนแรกคิดว่าอากาศอาจจะร้อนเกินจนทำเขาหูเพี้ยน แต่รอยยิ้มมุมปากกับสายตาขบขันของคุณเบลทำให้เขารีบประมวลบทนทนาที่ผ่านมาทั้งหมดอีกรอบ ผลสรุปคืออ้าปากค้างเพราะบริการหลังการขายกับการชวนคุยแก้สถานการณ์ awkward กลายเป็นว่าเขาจีบอีกฝ่ายซะงั้น
“เอ่อ จริงๆแล้วผมไม่—”
“ไม่ได้คิดอะไร? ครับ แค่มองหน้าก็รู้แล้ว” จากที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกคุณสถาปนิกถึงกับนิ่ง และเพราะคนถือร่มหยุดเดิน คนที่กำลังอาศัยเงาบังแดดเลยต้องหยุดไปด้วย
“ผมอ่านง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ?”
เบลเลิกคิ้ว มองหน้าคนถามที่ขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดแก้ปัญหาระดับชาติก็ทำท่าจะขำอีกรอบ
“ผมว่าก็ไม่ได้ยากนะ หมายถึง...อาจจะไม่ง่ายเท่าคนอื่นแต่ก็พอเดาได้” คำตอบจริงจังเรียกให้คนที่ความคิดลอยไปไกลกลับมามีสติ เจอร์ยิ้มแห้งเพื่อขอโทษที่ถามอะไรไม่เข้าท่า แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูเต็มใจตอบมันก็เถอะ
เขาเลือกทิ้งให้ความเงียบทำงานตามระยะทางที่เหลือจนกว่าจะถึงจุดหมาย สายตาก็กวาดมองรถยนต์หลากยี่ห้อพลางคิดเล่นเรื่อยเปื่อยว่าบุคลิกอย่างคุณเบลจะขับรถแบบไหน
แล้วก็ต้องแปลกใจรอบที่สองเมื่อสิ่งที่จอดอยู่ตรงหน้าเป็นเหมือนคุณหนูเวอร์ชันหล่อ มินิจอห์นคูเปอร์เวิร์คส์สีดำที่เหลือเป็นตัวเลือกสุดท้ายคู่กับคุณหนูตอนที่เขากำลังตัดสินใจซื้อ พอมาเห็นใกล้ๆอีกรอบก็แปลกดีเหมือนกัน
“หล่อล่ะสิ” คุณเบลทำให้เจอร์เป็นฝ่ายขำบ้างด้วยการยักคิ้วทำหน้าทะเล้น เหมือนตอนนี้หางเสียงและมาดสุภาพเริ่มลดลง ส่วนบรรยากาศผ่อนคลายก็ขยายตัวขึ้น
“หมายถึงรถเหรอครับ?”
“ตัดมุกผม” เจอร์หัวเราะเบาๆตอนโดนเดาะนิ้วคาดโทษใส่หน้า เบลแกล้งหรี่ตาเหมือนหงุดหงิดแต่รอยยิ้มบนริมฝีปากชัดเจนจนแสดงยังไงก็คงไม่มีใครหลงเชื่อ
“ถ้ามีปรับแก้หรือเพิ่มตรงไหนติดต่อมาที่บริษัทได้เลยนะครับ” เขาทำมือให้คุณลูกค้าพลิกกระดาษใบเล็กที่ให้ไปเพื่อดูหมายเลขโทรศัพท์ของที่ทำงาน และเพราะว่ายังถืออยู่ในมือตั้งแต่แรกเบลเลยทำตามได้ไม่ยาก
“นึกว่าคุณจะหาเรื่องให้เบอร์ซะอีก^^” คนยิ้มสวยแอทแทคกันอีกรอบด้วยการส่งยิ้มตาปิดที่โคตรจะกวนประสาทมาให้
เจอร์กลอกตา
“แล้วอยากได้รึไงครับ?”
คุณเบลยักไหล่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะก้าวขึ้นรถตัวเองไป เขาเลยได้แต่กางร่มยืนรอส่งท่ามกลางอากาศระอุของประเทศไทย ขมวดคิ้วนิดหน่อยเพราะเหงื่อเริ่มตกแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ยอมออกรถเสียที
“คุณเบลลืมอะไรครับ?” เขาก้มหน้าลงถามเมื่อกระจกรถฝั่งคนขับถูกลดลงจนเกือบมิด ทว่าคนที่ได้นั่งตากแอร์รถเย็นสบายกลับทำแค่ส่งกระดาษสีเหลี่ยมผืนผ้าเล็กจิ๋วมาให้
“พลาสเตอร์ปิดแผล?” เจอร์เลิกคิ้วมองของในมือตัวเองอย่างงงที่สุด
“เผื่อจะแก้เจ็บคอได้บ้าง” พูดแค่นั้นแล้วก็ปิดกระจกขับรถหนีไปเลย ทิ้งให้เขายืนดีลกับความเป็นเหตุเป็นผลของคุณเบลอยู่หลายนาที จนลมร้อนพัดมาอีกรอบนั่นแหละถึงรู้สึกตัว พาตัวเองกลับเข้าออฟฟิศติดแอร์ให้ร่างกายทรมานน้อยลงหน่อย
“แก้เจ็—”
นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างทันทีที่มือแตะลงบนหลังคอ ความปวดหนึบนิดๆทำให้เจอร์รีบเดินเข้าห้องน้ำ สำรวจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้วค่อย...
“บ้าเอ๊ย!” เขาสบถเสียงแผ่วเมื่อภาพสะท้อนบนกระจกปรากฏตัวเขาในชุดคอเต่าสีดำที่คอมันหลวมจนทำให้เห็นรอยช้ำใหญ่ๆประปรายตรงข้างซ้าย
โอเค เข้าใจซึ้งถึงความร้ายของคุณลูกค้าที่ชื่อเบลแล้วจริงๆ
_____________
การวนหาที่จอดรถในห้างเป็นเรื่องที่จินเจอร์มองว่าสนุก
เขามักจะทดลองใช้คาถาแปลกๆที่ใครต่อใครบอกมาว่าได้ผล กลั้นหายใจบ้าง ท่องคำพูดประหลาดบ้าง วันไหนเจอช่องว่างเร็วก็จะแอบจำไว้ว่าวิธีที่เวิร์คคืออะไร นั่งเล่นกับตัวเองไปเรื่อยเปื่อย
เสียดายที่วันนี้วนอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงถึงจะสำเร็จ
คนรูปร่างสูงเพรียวไม่ลืมจะหยิบถุงกระดาษที่แปะเทปกาวไว้อย่างดีเพราะกลัวว่าของข้างในจะทำให้โดนไล่ออกจากห้าง กวาดตามองเลขตัวหนาบนเสาและจำเอาไว้ว่าตัวเองอยู่โซนไหน ยังถือว่าโชคพอเหลือที่ได้ชั้นที่มีทางเข้าห้างอยู่ไม่ไกล เจอร์รีบตรงเข้าพื้นที่เย็นสบาย เดินฉับหาจุดหมายสุดท้ายของวันนี้
คาเฟ่ที่เขาตามหาตกแต่งโดยได้แรงบันดาลใจมาจากเรือนกระจก เคาน์เตอร์หินอ่อนที่ฝังไฟสีนวลไว้ด้านล่างกับท็อปไม้เด่นสะดุดตา ด้านหลังมีชั้นวางของลายไม้ดูต่อเนื่องจากด้านหน้า ตัดอารมณ์ด้วยแผ่นเมนูที่ทำจากเหล็กสีดำและฉากกั้นเป็นเส้นตารางจากวัสดุเดียวกัน
นี่ถ้าเดินเข้าไปอีกหน่อยจนเห็นระแนงไม้พันไม้เลื้อยสีเขียวแก่ที่พอเจอแสงธรรมชาติจากเพดานที่เปิดโล่งแล้วจะลืมไปเลยว่าที่นี่ขายกาแฟ
ถามว่าทำไมถึงรู้ละเอียดทั้งที่ยังยืนอยู่หน้าร้านน่ะเหรอ?
“ลูกชาย~ มาให้เจ้กอดที ไม่เจอตั้งนาน”
ก็เขาเป็นคนออกแบบน่ะสิ
เจอร์ยกยิ้มกว้างให้เจ้เจิง หุ้นส่วนอีกคนของร้านนี้ ผู้ชาย— เอ่อ หรือผู้หญิง..? เอาเป็นว่าเขาจะเรียกแทนคนที่เลเบลตัวเองว่า queer ด้วยสรรพนามผู้หญิงก็แล้วกัน แม้ความจริงคำที่เจ้าตัวเลือกใช้จะสื่อความหมายที่แข็งแรงและลึกซึ้งกว่า แต่เขา (ที่นั่งเคลียร์ใจกับเจ๊เรื่องนี้ไปรอบนึงแล้ว) ขอเรียกตามสะดวกก็แล้วกัน
ก็เจ้คอนเฟิร์มแล้วว่าเรียกอะไรก็โนแคร์
“หิวน้ำจังครับ” เขากระพริบตาปริบๆให้คนหลังเคาน์เตอร์ลูบหัวเล่น เจิงเบ้ปาก ผละออกมามัดผมยาวของตัวเองขึ้นเป็นบันเพื่อให้ไม่เกะกะ กอดอกมองนายตัวดีที่ทำหน้าหมาหงอยใส่
“อ้อนกินฟรีนี่เก่งงงง” เจอร์หัวเราะแฮ่ๆเมื่ออีกฝ่ายรู้ทัน ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บาร์ทรงสูงพลางกวาดสายตาหาใครอีกคนที่ควรอยู่แถวนี้
“เมษไปไหนอ่ะเจ้?” พอไม่เห็นเลยต้องหันกลับมาถามคนแก่กว่าที่ก้มหน้าชงเครื่องดื่มอยู่ไม่ห่าง
“ถามหากันอยู่ได้ รำคาญ” เจิงกลอกตา สงสัยว่าไอ้การเรียกเมาษาว่าเมียจะสร้างความเข้าใจผิดให้คนรอบข้างหลายคนทีเดียว
“โธ่ ไม่เจอหลายวันก็ขอคิดถึงหน่อย”
แต่เขาก็ไม่เห็นว่ามันสำคัญตรงไหนกับการให้คนอื่นเข้าใจในเรื่องที่ถูก
เจอร์รับผ้าเช็ดมือที่โยนมาเกือบโปะหน้ากันอย่างพอดิบพอดี แม่สาวผมยาวตอบเขาแบบปัดๆเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจบบทสนทนาด้วยการเปิดเครื่องชงกาแฟเสียงหึ่งๆใส่กัน
“นางอยู่แบงก์ค่ะ เดี๋ยวคงมา”
เขาเลิกวอแวเมื่อเห็นอีกคนดูตั้งใจกับการผสมเครื่องดื่มเหลือเกิน เจอร์เดินอ้อมเอาถุงกระดาษใบโตไปไว้หลังเคาน์เตอร์ รับไหว้เด็กพาร์ทไทม์รุ่นน้องที่สนิทกันดี เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกค้าใหม่เข้ามา เขาเลยรับออเดอร์พร้อมคิดเงินเสร็จสรรพ ก็มาบ่อยจนทำได้เกือบทุกอย่างอยู่แล้วนี่นา
“คนอย่างเยอะอ่ะเจ้ น้องคือแบบ— จินเจอร์!”
เขายกยิ้มแฉ่งให้หญิงสาวตัวเล็กในเสื้อลายทางที่มีคำว่า GUESS แปะอยู่กลางอก กางเกงโคร่งๆที่โดนเจ้าตัวนิยามว่ามันคือแนวสตรีทดูแกะกะขาที่ความยาวน้อยกว่าเนื้อผ้าไปสองสามคืบ เจอร์คันมืออยากก้มลงไปพับให้แต่อีกคนดันปรี่เข้ามาดึงหูก่อน
“แรดดีนัก!”
“ทำไมหยาบคาย?” เขารวบมือที่รังแกกันก่อนจะเลิกคิ้วถามอย่างกวนประสาท เมษาทำหน้าเหมือนอยากกระโดดเข้ามากัดหัวแต่ก็ทำไม่ได้
“ของมันใช่มั้ยเจ้ น้องขอเวลาแป๊ปนะ มีเรื่องต้องเคลียร์” หญิงสาวพยักเพยิดถึงมัคคิอาโต้บนเคาน์เตอร์
“โดนจับได้ว่ามีเมียน้อยเหรอลูกชาย?” รุ่นพี่เสี้ยมด้วยความหมั่นไส้ ไม่สนใจหูแดงๆของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ทุกคนร้ายกับขิง” เขาตีบทเศร้าจนทั้งคู่ถอนหายใจอย่างเอือมระอาที่สุด
“เอามันออกไปสักที” และพอเจิงพยักหน้าเขาก็โดนเพื่อนสาวลากออกมาด้านนอก เจอร์ปล่อยให้อีกฝ่ายทั้งทึ้งทั้งดึงแขนเขาจนถึงบริเวณที่ส่วนตัวขึ้นมาหน่อย เป็นที่นั่งติดกระจกบานใหญ่ทำให้มองเห็นคนบนถนนพลุกพล่าน
เขาหันกลับไปสบตาเมษาที่ตอนนี้แย่งกาแฟไปดูดปื้ดๆเรียบร้อย
“กะปิหวานอยู่หลังเคาน์เตอร์”
“มีมะม่วงด้วยป้ะ?”
“มึงเยอะเหมือนกันนะรู้ตัวมั้ย?” เจอร์โอดลั่นเมื่อสาวเจ้ากระโดดมาทำท่าบีบคอ ความจริงมันจะไม่เจ็บขนาดนี้หรอกถ้าใครบางคนไม่ได้กัดเอาไว้ซะลึกจนได้เลือดกับแผลเป็นแถมมาด้วย
“เฮ้ย..!” ท่าทางตกใจและสายตาที่จับจ้องมาตรงต้นคอทำให้เขานึกได้ว่ายังไม่มีใครรู้เรื่องเมื่อวานเย็น โดยเฉพาะผู้หญิงตรงหน้าที่เพิ่งได้มีโอกาสคุยด้วย
“มันทำมึงขนาดนี้เลยเหรอ?”
“อย่าเล่นใหญ่น่า” เขาเบนสายตาหนีเมื่อเพื่อนย้ายมานั่งฝั่งเดียวกันก่อนจะร่นคอเสื้อลงเพื่อดูแผล พยายามปัดออกอยู่หลายรอบจนโดนตีมือพร้อมสารพัดคำด่าเลยต้องยอมแพ้
“นี่สองวันแล้วนะ รอยยังโคตรแดง”
“...” ริมฝีปากถูกเม้มเข้าหากันอย่างชั่งใจว่าเขาควรจะบอกสาเหตุความใหม่ของแผลหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเมษาก็ชะโงกหน้าเข้ามาจ้องจับผิด
“ทำหน้าแบบนี้คือไร?”
“เมื่อวาน”
“เมื่อวาน?”
“ที่มันแดง เพราะเพิ่งทำเมื่อวาน”
เมษาประมวลผลอยู่เกือบห้าวินาทีก็ทำหน้าตื่นตระหนก ก้มมองรอยฟันบนต้นคอสลับสีหน้าหม่นๆของเพื่อนแล้วอยากเอาเท้าก่ายหน้าผาก
“อะไรของพวกมึงวะเนี่ยยยย?” คนตัวเล็กร้องอย่างจนปัญญา จัดแจงอีกฝ่ายให้อยู่ในสภาพปกติก่อนจะเรียกน้องพนักงานเสิร์ฟมาที่โต๊ะ วานให้ลงไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้นที่ชั้นล่างสุดพร้อมกับควักแบงค์สีเทาส่งให้ด้วย
“ขิง” เธอหันกลับมาเรียกชื่อไทยของเพื่อนเพื่อเพิ่มความจริงจัง มันไม่ได้กระแดะอะไรหรอกที่ต้องมีหลายเวอร์ชัน พอดีฝั่งแม่มีเชื้ออเมริกันอยู่ครึ่งหนึ่ง เวลารวมญาติทีเขาออกเสียงกันไม่ถูก จินเจอร์เลยกลายเป็นชื่อที่คนรอบข้างชินปากไปแล้ว
“มันยังไงกันแน่ สภาพมึงดูไม่ได้เลย” เมษาจิ้มนิ้วจึ้กๆไปกลางหน้าผากของคนที่ขมวดคิ้วมุ่น ชักเป็นห่วงแล้วสิ
“กู...ไม่รู้”
ไม่บ่อยที่เจอร์จะแสดงท่าทีอ่อนแอ และตอนนี้มันเป็นแบบนั้น
“งั้นกูถามคำเดียว เมื่อวาน...พวกมึงสองคนสติครบถ้วนดีใช่มั้ย?” เธอทำหน้าเครียดเมื่อคำตอบคือการพยักหน้า
“ไอ้นันท์มันคิดอะไรของมัน” หญิงสาวพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ถึงจะไม่ได้สนิทก็พอรู้ว่าคนแบบนั้นไม่ได้มีอะไรกับใครไปทั่ว ยิ่งกับเจอร์ที่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันยิ่งน่าสับสน
ไหนบอกว่ามองแต่คุณนักเขียนอะไรนั่นคนเดียวไง
“กูยั่วโมโหมันเองแหละ” คำสารภาพแปลกประหลาดทำให้เธอทิ้งช่วงรอเพื่อนอธิบายต่อ
“บอกว่ามันไม่ได้รู้จักกูดีจนนับเป็นเพื่อนกัน”
เจอร์หลบตาเมษาที่อ้าปากค้าง เขาอยากจะหัวเราะให้ท่าทางตลกที่เห็น แต่ความรู้สึกเหนียวหนืดในใจกลับตรึงริมฝีปากไว้อย่างเดิม
พูดอะไรกับนันท์ไป จำได้ทุกคำนั่นแหละ
“มันโกรธ กูประชด”
“ถึงได้เละเทะกันอย่างนี้” เขาได้ยินเสียงคนที่ต่อประโยคให้ถอนหายใจยาว ความคิดที่ตกตะกอนลงชัดเจนว่าอารมณ์ด้านลบในตอนนั้นนำการกระทำแค่ไหน แต่ความดื้อรั้นลึกๆในใจก็บอกกับเขาว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว
เกลียดกันไปเลยก็ได้ จะได้ตัดใจง่ายหน่อย
“แล้วจะทำยังไงต่อ? มึงเห็นตัวเองตอนนี้มั้ยขิง ช้ำไปหมด” เจ้าของชื่อมองมือเล็กที่เอื้อมมาลูบเนื้อผ้าสีดำตรงลำคอ สัมผัสของเมษาตอกย้ำว่าไม่ใช่แค่ร่างกายของเขาที่กำลังเจ็บ ข้างในก็คงอาการหนักพอดู
“คง...ห่างๆกันไปเองมั้ง” เขาหันสบตาเพื่อน พยายามคาดเดาสถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ทว่าหญิงสาวกลับส่ายหัว
“หนีปัญหา”
“กูพุ่งชนทุกอย่างไม่ได้ไงเมษ”
“อ่ะ งั้นถ้าแก๊งกรุบมันนัดกินข้าวกันอีกจะทำไง? ไม่รู้ไม่ชี้?” คราวนี้เขาหัวเราะให้ชื่อแก๊งที่เธอตั้งให้ ‘แก๊งกรุบ’ ก็คือกลุ่มผู้ชายติ๊งต๊องที่ไปทะเลด้วยกันมานั่นแหละ
“มันมีอะไรตลกตอบกูมาดิ๊?”
เขายีหัวคนตัวเล็กที่ทำหน้าหาเรื่องอย่างมันเขี้ยว เมษาทำให้เขานึกถึงผู้หญิงอีกคนที่เผลอคิดถึงอยู่บ่อยๆ
“เอ่อ พี่เมษครับ” คนถูกเรียกปัดมือเขาออกอย่างรำคาญ เป็นน้องพนักงานคนเดิมที่กลับมาพร้อมข้าวของสำหรับทำแผล เพื่อนสนิทต่างเพศมองข้ามสีหน้าเขินๆของบุคคลที่สามและกล่าวขอบคุณออกมาพร้อมกัน
ไอ้เรือผี คู่จิ้นอะไรเนี่ย โดนมาจนไม่รู้สึกอะไรแล้ว
“กูนึกว่าทะเลาะกับหมา” ปากก็บ่นขณะมือแกะพลาสติกบนขวดน้ำเกลือออก เห็นบางรอยก็ลึกซะจนเลือดซึม เชื่อแล้วว่าโมโหโกรธากันรุนแรงไอ้พวกบ้า
“เบาครับ เพื่อนเอง”
“ปกป้องตลอดโนะ ‘เพื่อน’ คนนี้อ่ะ” เมษแกล้งย้ำคำให้คนปากหนักหัวเสียเล่น ก็เชียร์จนเลิกเชียร์ไปแล้วว่าสารภาพเถอะจะได้ไม่ค้างคา เจอร์ก็เอาแต่อ้างว่ากลัวเสียเพื่อนนู่นนี่
คนปอดก็คือคนปอดดิ อย่ามาพูดเยอะ
เขายกกาแฟที่เหลือครึ่งแก้วขึ้นมาดูดต่อ เงยหน้าให้คนที่มือเบาขัดกับการแต่งหน้าจัดการรอยช้ำบนร่างกาย นิ่วหน้านิดหน่อยเวลาแสบและก็จะโดนคำทับถมตามหลังมาทุกครั้งที่ทำแบบนั้น เจอร์ส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายที่เพื่อนบ้าบอแทบทุกคน
“มีอะไรก็โทรหา ถ้ารีบแล้วยังไม่ดึกก็เข้ามาที่ร้านเลย” เป็นประโยคบอกเล่าที่ทำเอาคนฟังยิ้มสดใส มือหนาโยกหัวคนที่กำลังใช้อะไรเปียกๆเช็ดคอเขา อยู่ดีๆมาพูดจาเป็นห่วงเป็นใยมันก็จะเขินนิดหน่อย
“น่ารักสมเป็นเมียเมษ”
รีบกวนประสาทมันก่อน เดี๋ยวเพื่อนหาว่าหวั่นไหว
“ขิงคะ มึงจะล่อเพื่อนทุกคนไม่ได้” เมษพูดเสียงราบเรียบแต่เหมือนมีหมัดฮุกเข้ามาจนจุกพูดอะไรไม่ออก
เจอร์-เมษ หนึ่งศูนย์ โอ๊ะเดี๋ยวค่ะ— เหมือนว่าฝ่ายชายจะน็อคเอาท์ไปแล้ว
_________________________________________________________________
*มีใครเคยเล่นแบบทดสอบ MBTI บ้าง
ถ้าจำไม่ผิดเหมือนกะปิจะได้เป็น INFP ก็ถือว่าตรงอยู่เด้อ
ใครอยากลองเล่นเราแปะลิงก์ไว้เนอะ มีภาษาไทยด้วย
https://www.16personalities.com/
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ททำไมรู้สึกคุณเบลน่าเชียร์จังเลย ตัดใจแล้วมาเริ่มใหม่กับคุณเบลไม๊เจอร์ เราแนะนำ
/เป็นหมั่นไส้พระเอกเพิ่มขึ้นเลยค่ะ เรื่องนั้นทำแสบนักนะ 555555