ตอนที่ 34 : That was how I fell for him - Part V (end.)
การเติบโตทำให้เราสูญเสียอะไรหลายอย่าง
จินเจอร์ในปีที่สอง สาม และสี่ในการรักใครสักคนได้บทเรียนนั้น จดจำมันจนขึ้นใจ เขาลดความคาดหวังลงได้พอๆ กับรักษาความรู้สึกที่มีไว้ในใจเสมอมา
ระยะห่างของทุกคนที่รู้จักมากขึ้นตามเส้นทางชีวิตที่แตกต่าง เพื่อนเขาหลายคนไม่ได้เรียนจบแล้วทำงานตรงสาย อย่างตังที่กลับไปดูแลกิจการของครอบครัว ครามและไมโลที่ยังสนุกกับการท่องเที่ยว ส่วนเนกับเขาที่รักเดียวใจเดียวก็ยังคงเลือกการออกแบบเป็นอันดับแรกเหมือนเคย
“มึงจะไปมั้ย? ” คำถามนั้นดังขึ้นในตอนที่จินเจอร์ขมวดคิ้วมองโคมไฟตรงกลางร้านกาแฟ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ใช่ นึกอยากปีนขึ้นไปปรับแก้ตำแหน่งของมัน
“ไปไหนนะ? ”
“จินเจอร์มึง” แต่พอเห็นเพื่อนสนิทเริ่มมีน้ำเสียงติดรำคาญเขาก็ดึงความสนใจกลับมา วาดยิ้มแห้งๆ ลงบนริมฝีปากคล้ายจะขอลดความผิด
“โทษที”
“ห่วงจังเลยกับร้านไอ้เมษเนี่ย เป็นลูกค้าหรือเป็นเมีย”
“เดี๋ยวโดนวีนหรอก” เขาส่ายหน้าให้คำพูดไร้สาระของเน คำแซวทำนองนี้มีให้ได้ยินอยู่บ่อยพอเรียนขึ้นปีสูงๆ แล้วเขายังคงปฏิบัติกับเมษาอย่างเดิม นั่นคือดูแลเท่าที่ดูแลได้ และทั้งหมดที่ทำก็กลายเป็นความคุ้นชินสำหรับเขารวมถึงเพื่อนสาวคนสนิท
จะว่าไปเมษาก็เป็นอีกคนที่ตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่รัก คนแสนรั้นรู้จักความต้องการของตัวเองดีเสียจนการฝึกงานบริษัทไม่มีประโยชน์อื่นนอกจากทำให้รู้ว่าสิ่งที่ไม่ชอบอีกอย่างคืออะไรเท่านั้น
คาเฟ่บนห้างดังถูกเปิดขึ้นด้วยเงินเก็บจากคอมมิชชันที่จินเจอร์เพิ่งรู้ว่าเมษารับทำมาตลอดช่วงที่เรียนอยู่
“มาแล้ว~” น้ำเสียงสดใสตัดกับใบหน้าเหนื่อยอ่อนจนเขาเผลอสบตากับเนโดยอัตโนมัติ กลายเป็นเพื่อนผมดำที่ต้องคอยเบรกความห่วงใยของเขาลง แน่นอนว่าธุรกิจส่วนตัวคือการล้มลุกคลุกคลานและงานยี่สิบสี่ชั่วโมง จินเจอร์ต้องจัดการความรู้สึกให้ได้เพราะเมษาจะเรียนรู้จากประสบการณ์พวกนี้ด้วยตัวเอง
“เมษช่วยพูดหน่อย”
“อะไรวะเน? ”
“เรื่องทริปที่จะไปทะเลกัน”
“อ้อ มึงไปดิเจอร์ พักผ่อน”
เขายกมัคคิอาโต้ที่พูดตามตรงไม่อร่อยทำร้านที่ดื่มประจำขึ้นจิบ ช่วงที่ลองฝีมือใหม่ๆ ก็แบบนี้ จะให้เพอร์เฟกต์เหมือนคนอื่นที่ทำจนชำนาญได้ยังไง
อ่า...ขี้สปอยล์จริงๆ นั่นแหละ จินเจอร์น่ะ
“ขี้เกียจ คนเยอะ”
“กูดูร้านได้น่า” เมษาก็ยังคงเป็นเมษาที่รู้จักเขาดีกว่าใคร ไม่ว่าจะซ่อนความตั้งใจไว้ใต้ประโยคแบบไหนเจ้าตัวก็จะตามทันอยู่ดี
“นานๆ ทีไอ้พวกนั้นถึงมารวมกันได้” เนพูดสำทับ รายนั้นขมวดคิ้วตอนที่กาแฟอึกแรกไหลลงคอ เงยมองเมษาและทำหน้าไม่เข้าใจ
“ทุกคนเลยเหรอ..? ” ทว่าก่อนจะได้ไขความสงสัยว่าอเมริกาโนแก้วนั้นถูกใส่อะไรลงไป จินเจอร์ก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยปกติเสียก่อน
“ทุกคน”
คำยืนยันชัดเจนบอกเจาะจงถึงใครคนหนึ่ง คนที่บินไปเรียนต่อถึงอังกฤษได้สองปีและตัดสินใจทำงานต่ออีกปีกว่า
ท่าทางชีวิตคงไปได้ดี
ก็ดีแล้ว...ดีที่สุดแล้ว
“ไปเถอะเจอร์ จะได้เช็กไงว่ายังรู้สึกเหมือนเดิมมั้ย? ”
“หึ ถ้างั้นไม่ต้องไปก็ได้มั้ง” ทั้งเขาและเมษาหันไปสบตาเนที่มีรอยยิ้มยียวนบนมุมปาก ก็ยังรู้ดีไม่เปลี่ยนอย่างที่เคยเป็นมา และเหมือนว่าจะแสนรู้ขึ้นไปทุกทีที่เป็นเรื่องของจินเจอร์
“ก็ไม่เคยคิดจะเลิกรักอยู่แล้วนี่”
น่าหมั่นไส้จริงๆ …
สุดท้ายแล้วเขาก็ตกลงร่วมทริปโดยที่พยายามไม่คิดมาก บอกตัวเองว่าไปพักผ่อนสักหน่อยตอบแทนการทำงานหนัก ถึงอย่างนั้นคนที่ติดต่อกับเพื่อนกลุ่มใหญ่สมัยเรียนก็ยังคงเป็นเนแต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่ว่าจินเจอร์ไม่อยากคุยกับใคร แต่เขากำลังต้องการเวลาทำใจสักพัก
จะเปลี่ยนไปไหม?
จะจำกันได้รึเปล่า?
หลายคำถามวนเวียนในหัวของเขา น่าแปลกทั้งที่คำตอบควรจะต้องมาจากใครอีกคนแต่จินเจอร์กลับมีมันชัดเจนในใจ
ยังไม่เปลี่ยนไปไหน
จำได้ทุกอย่าง
และเขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าทริปนั้นจะทำให้ทุกสิ่งไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่คิดว่าค่ำคืนไร้สติจะสร้างรอยแผลมากมายระหว่างเรา
และแผลพวกนั้นก็ย้ำเตือนเราทั้งคู่ในวันที่รักว่าจงทะนุถนอมใจของอีกคนเอาไว้
ในเมื่อต่างฝ่ายได้ฝากใจให้แก่กันและกันไปแล้ว
__________
“ชนค้าบ~”
“หมดแก้วกันหน่อยยย”
“แหกปากเลยพวกมึง วิลล่าทั้งเกาะกูซื้อไว้แล้ววว”
จินเจอร์หลุดขำ มองครามและไมโลที่แพ้ฤทธิ์เหล้าจนเมาเสียงอ้อแอ้ ไหนจะเชฟวาคนเก่งที่อวดรวยด้วยการเคลมว่าเป็นเจ้าของเกาะ ทั้งที่ความจริงก็มีแค่วิลล่าหลังนี้ ที่สำคัญคือพวกเขาต้องจ่ายค่าค้างคืนตอนเช็กเอาต์อยู่ดี
เละเทะกันหมด
“เมายัง?” เสียงกระซิบตรงหลังใบหูทำให้ความรู้สึกวูบวาบไหลไปทั่วลำคอ จินเจอร์เผลอเม้มปากตอนที่แขนของใครบางคนรัดเอวเขาแน่นกว่าเก่า สัมผัสหนักตรงไหล่ซ้ายชัดเจนว่ามีคางของอีกฝ่ายวางคลึงอยู่
“ยัง”
นึกเขินเพื่อนสักหน่อยก็ได้นะ แฟนเขาน่ะ
“เหรอ? แต่กูเมาแล้ว” คนที่ไม่เห็นจะดื่มของมึนเมาเข้าไปเยอะขนาดนั้นซุกหน้ากับท้ายทอยเขา จินเจอร์จักจี้จนเผลอกำมือแน่นตอนที่ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบผิวเนื้อ
“เอ้า! สวีตจังเลยพวกมึงอ่ะ” ตังที่เดินมาทิ้งตัวลงบนซันเบดข้างๆ ยื่นแก้วเบียร์มาให้ จินเจอร์รับมันมาจิบและถือไว้พลางภาวนาให้ไฟสลัวช่วงอำพรางสีบนใบหน้าเขาสักหน่อย
แดงแน่ๆ รู้สึกร้อนขนาดนี้คงแดงไปถึงคอ
“ขึ้นห้องมั้ย? เพื่อนเพิ่นก็ไม่ต้องคุยหรอก”
“ไร้สาระน่า” เขาตอบปัดคนที่กระแทกเสียงอย่างล้อเลียน จะบอกว่าไม่จริงก็คงโกหก ในเมื่อนันท์เล่นคลอเคลียกันตั้งแต่หัววัน ไม่สนใจใครทั้งนั้นจนเพื่อนเหนื่อยจะแซว ทะเลหน้าหนาวถูกสร้างมาเพื่อพวกเขา จินเจอร์ได้ยินไมโลบอกแบบนั้นหลังจากออกไปเดินเล่นบนชายฝั่งแล้วน้ำเย็นเกินกว่าจะลงว่าย
‘หวานกันให้ตายไปเลย! ’
ครามตะโกนลั่นตอนที่ทุกคนทำได้เพียงเอนกายดูหนังในห้องนั่งเล่นแล้วนันท์หนุนตักเขา
เฮ้อ...ทำไมถึงวุ่นวายอย่างนี้นะ
“ยิ้มมม ยิ้มจนแก้มจะแตกแล้วมึงน่ะ ขนาดไม่ค่อยมีแก้มนะจินเจอร์”
“มึงก็แซวอยู่ได้ ไม่เบื่อหรือไง? ”
“เบื่อ! รำคาญ! ”
“รำคาญก็ออกมานี่ไอ้ตัง” แล้วก็ยังเป็นเนเหมือนเดิมที่ห้ามทัพคนขี้แซวด้วยสีหน้าเบื่อโลก เจ้าของผมสีดำสนิทที่ยังไม่มีความคิดจะย้อมเปลี่ยนในเร็วๆ นี้ยื่นมือมากระตุกคอเสื้อ
“เมียเน”
“กูเป็นผัวได้แล้ว ไอ้เจอร์หย่ากับกูแล้ว” คนถูกพาดพิงทั้งทางคำพูดและจากร่างกายของบางคนหลุดหัวเราะ เนมีสีหน้าติดรำคาญ แต่พอมองให้ดีก็รู้นั่นแหละว่าอีกฝ่ายยินดี
ยินดีที่ตอนนี้เขามีความสุข
“เอาว่ะ”
“มาเป็นเมียกูมั้ยล่ะตัง? ว่างนะ” แล้วเสียงโวยวายลั่นก็ดังขึ้นขณะที่เนโดนหิ้วปีกออกไป ใช่แล้ว...ไอ้คนตัวเล็กกว่าใครแต่ใจกล้าที่หนึ่งนั่นแหละที่โดนจับอุ้ม จินเจอร์มองตามและพบว่าตังชูแขนจนเนเหมือนลูกสิงโตในการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะจนไหล่สั่นเมื่อครามร้องธีมซองแกล้งจนดูตลกชะมัดเลย
เบียร์เย็นๆ ในมือถูกยกขึ้นจิบจนพร่องไปเกือบครึ่งในตอนที่พัทธนันท์ยืดตัวขึ้นมาหอมแก้มเขาจนเกิดเสียงจุ๊บดังแผ่ว
“หัวเราะเยอะ”
“เมาจริงๆ เหรอเนี่ย?”
“ตลกอะไรกับพวกมันนักหนา”
“เอ้า พาลเฉย”
“แฟนเมา สนใจหน่อย”
“นี่”
“สนใจกันหน่อยสิจินเจอร์”
เจ้าของชื่อถอนหายใจเฮือกก่อนจะกระดกเบียร์จนหมดและวางแก้วใบเดิมลงบนพื้น
ดูท่าคืนนี้คงต้องขึ้นห้องเร็วอย่างที่เพื่อนแซวจริงๆ แล้วล่ะมั้ง
เขาลุกขึ้นยืนและจับแขนคนที่เกี่ยวเอวกอดคอกันเหมือนลูกลิง พยายามเดินผ่านความวุ่นวายด้านล่างอย่างเงียบเชียบ มีเพียงตอนที่หันไปปิดประตูกระจกแล้วสบตากับตังเจ้าเก่า เห็นแววล้อเลียนมาแต่ไกลจนอดไม่ไหวต้องชูนิ้วกลางให้คืนสักหน่อย
ทว่าคนแสบกว่ากลับใช้มือสองข้างทำสัญลักษณ์สุดทะลึ่งกลับมา และเขาก็รีบเดินหนีขึ้นห้องโดยไม่คิดต่อปากต่อคำ
คนที่ไม่รู้ว่าเมาจริงไหมถูกปล่อยจนร่วงไปนอนแผ่บนเตียง จินเจอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พิจารณาสีชมพูเข้มบนผิวขาวของอีกฝ่ายแล้วก็ได้คำตอบว่าอาจจะจริง แม้แปลกใจนิดหน่อยที่เจ้าตัวเขาไม่ได้ดื่มเยอะขนาดนั้น
“จินเจอร์” เผลอยืนมองอยู่นานจนนัยน์ตาคมปลาบลืมขึ้นเชื่องช้า อีกฝ่ายจ้องนิ่ง ปราศจากความง่วงงุนในดวงตาจนเผลอก้าวถอยหลังไปจังหวะหนึ่ง
“นอนไป เดี๋ยวหาผ้ามาเช็ดตัวให้” เป็นข้อแก้ตัวอยากหลบไปจากบรรยากาศเข้มข้นตรงหน้ามากกว่า จินเจอร์รู้และเขาคิดว่าเจ้าของรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปากก็รู้
ทว่านันท์ก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไร เพียงแค่หยัดตัวขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงเท่านั้น
แต่ท่าทางแบบนี้มัน…
เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งปัดผ่านความคิดเลอะเทอะในหัว แม้จะมีเหตุการณ์คล้ายคลึงเคยเกิดขึ้นก่อนหน้าก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องเก่าจะเกิดซ้ำสักหน่อย และถึงเกิดขึ้นจริงเซ็กส์ระหว่างพวกเขามันเป็นอีกรสชาติในความสัมพันธ์อยู่แล้วนี่นะ เอาตามตรงก็แค่ประหม่านิดหน่อย
ใครเขาประกาศโต้งๆ ว่าต้องการอย่างนั้นกันเล่า แค่ใช้จังหวะกับสายตาเล็กน้อยก็พอเข้าใจได้แล้ว
จินเจอร์เดินกลับมาพร้อมกับผ้าชุบน้ำหมาดในมือ กำลังจะอ้าปากบอกให้คนบนเตียงถอดเสื้อ ท่วงทำนองคุ้นหูก็ดังขึ้นเสียก่อน
“หายเมาแล้ว” แม้พูดอย่างนั้นคนบนเตียงก็ยังทำตัวน่าหมั่นไส้ด้วยการเปลือยท่อนบนออก ขยันอวดกล้ามเนื้อเหลือเกินเมื่อรู้ว่ายามอารมณ์พุ่งสูงมันชวนให้จินเจอร์อยากกัดแค่ไหน
“เพลงอะไร? ”
“จำไม่ได้เหรอ? ” คำถามย้อนพร้อมกับแขนสองข้างที่กางออกคล้ายเด็กอ้อนขอกอด จินเจอร์ยันเข่าขึ้นเตียงและคลานเข้าไปหา ความคุ้นชินปนกับท่าทางที่สะดวกกว่าเป็นเหตุผลให้คนตัวบางเลือกการนั่งตัก
ผ้านุ่มอุณหภูมิต่ำซับไปยังใบหน้าคมดุ นันท์เงยมองคนช่างใส่ใจแล้วยกยิ้ม อดไม่ได้ที่จะรวบกอดเอวบางไว้อย่างที่ชอบทำ
Yeah I've never been like this
Stuck on little things you do
เป็นท่อนนึงในเพลงแรกของเจอร์ในเพลย์ลิสต์ระหว่างเรา
Stuck on stupid things I've done
Don't know which way to go from here
ท่อนที่นันท์ไม่เคยรู้เลยว่ามันเป็นสัญญาณของบางอย่าง
“ตั้งแต่ตอนนี้เลยรึเปล่า? ”
“อะไร? ”
“ที่มึงชอบกู”
คำถามเรื่องเดิมที่ได้ยินเป็นสิบครั้งทำให้อยากจะขมวดคิ้วและยิ้มขำไปพร้อมกัน จินเจอร์ถูผ้าผืนนั้นย้ำบนปลายจมูกของอีกคนด้วยความมันเขี้ยว ไม่รู้จะถามย้อนจนถึงตอนไหน ในเมื่อเขาเองก็ไม่มีวันตอบได้ว่าจุดเริ่มต้นคือเมื่อไหร่
“มั้ง”
“อะไรอ่ะ”
“จะไปรู้ได้ไงเล่า ติ๊งต๊องว่ะนันท์”
“นี่คือแอบสารภาพรักเหรอ? ”
“หลงตัวเองชิบหาย”
“มันเป็นเพลงรักชัดๆ ”
“เฮ้อ...แล้วแต่เลย” มือบางเช็ดไล่ลงมาถึงลำคอ ใช้แรงนิดหน่อยกับการจะทำให้คนงอแงเงยหน้าขึ้นเพื่อให้ซับเหงื่อได้สะดวก
I hope I don't lose my mind, thinking too hard all the time
แต่ก็นะ
I'm trying to stop, you tell me that it's ok all the time
ตอนนั้นที่เพิ่มเพลงนี้ลงไป จินเจอร์ก็อาจจะแอบหวังอยู่ล่ะมั้ง
“ไม่คิดว่ามึงยังจำได้? ”
“เพลย์ลิสต์นี้เหรอ? ”
“อืม” เขากำลังจะแตะลงบนแผ่นอกในตอนที่มือของนายพัทธนันท์หยุดเอาไว้ก่อน
“ก็ฟังอยู่ตลอดอ่ะ”
ใครบางคนใจสั่นเมื่อสิ่งที่ไม่คิดว่าถูกให้ความสำคัญกลายเป็นอีกอย่าง นันท์ระบายยิ้มจาง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเป็นครั้งที่พันที่จินเจอร์ดันมาหลงรักกันเนิ่นนานขนาดนี้
ถ้าวันนั้นไม่ได้มารอตังทำงานที่คณะ
ถ้าทริปนั้นเจอร์ไม่ตกลงมา
แค่คิดก็ต้องซุกหน้าลงกับอกอบอุ่นของคนบนตัก หากมีอะไรเปลี่ยนไปจากที่เคยเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย นันท์อาจจะไม่ได้รู้จักกับความรักและอ้อมกอดที่พอดีสำหรับเขาที่สุดในวันนี้
“ดราม่าอีกแล้ว” สัมผัสแผ่วเบาลูบลงบนเส้นผมเพื่อปลอบโยน จินเจอร์มั่นคงกว่าเขาเป็นไหนๆ ใจเย็นและอดทนรอกันมาตั้งเท่าไหร่ ไอ้ส่วนที่ปากแข็งนันท์ยอมคิดว่ามันไม่เป็นไร เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่เลย
When am I on your mind
I hope that I'm on your mind,
sometimes I can't sleep 'cause I get caught up thinking bout this
“แต่เดี๋ยวนี้หลับสนิทเลย ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว” คำพูดที่อิงจากเพลงท่อนสุดท้ายก่อนคอรัสทำให้นันท์กระชับกอดแน่น จินเจอร์หัวเราะออกมาอย่างขำขัน คนที่ตัวโตเป็นยักษ์อารมณ์อ่อนไหวง่ายเหมือนเด็กไม่มีผิด
เลยต้องคอยบอกให้มั่นใจ
ว่าวันนี้ ตอนนี้...เป็นนันท์ดีที่สุดแล้ว
นันท์เงยหน้ามาสบตา ฝ่ามือหนาประคองใบหน้าที่ส่งยิ้มเจือจางมาให้ ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งรู้สึกอุ่นใจจนท่วมท้นทั้งอก
“แน่สิ เพราะกูก็คิดถึงมึงตลอด”
“...”
“รู้เอาไว้เลยว่ามีแต่มึงตลอด”
คนบนตักทาบริมฝีปากสั่นๆ ของตัวเองลงไป หวังใช้จูบนี้ซ่อนความพร่ามัวในดวงตา จินเจอร์คิดเสมอว่าทุกวันนี้ไม่ต่างจากความฝัน และส่วนลึกในหัวใจก็ยังเผื่อเศษเสี้ยวไว้สำหรับวันนึงที่อาจต้องตื่น
“วันนี้”
นันท์กระซิบ กดปลายจมูกลงบนแก้มเนียนย้ำๆ พร่ำบอกว่ารู้สึกตั้งเท่าไหร่
“พรุ่งนี้”
ความอบอุ่นทาบลงบนเปลือกตา ฝากคำสัญญาที่จินเจอร์เคยคิดว่าไร้สาระ ในเมื่อทุกอย่างต้องดำเนินและจะมีบางอย่างเปลี่ยนไป
“พรุ่งนี้ของพรุ่งนี้”
“...”
“ไม่ว่าจะเป็นวันไหน กูก็จะไม่มีทางเลิกรักมึง”
“นันท์อย่า...” จินเจอร์กำลังจะบอกว่าอย่าผูกมัดกันด้วยคำพูดเลย เพราะแค่วันนี้ที่มีกันและกันมันก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว
“ต่อให้เราจะทะเลาะกันแทบตาย กูโกรธมึง หรือมึงเกลียดกู”
“ไม่” ใครบางคนปฏิเสธอย่างย้อนแย้งท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งหมดว่าตัวเองมั่นใจ จินเจอร์มั่นใจว่าเขาไม่มีทางเกลียดนันท์ขึ้นมาได้แม้ลองพยายาม
“ความรักของกูจะไม่หายไปไหน...จำเอาไว้นะจินเจอร์”
จูบครั้งถัดมาเต็มไปด้วยความมั่นคงและขอร้องให้เชื่อกันสักครั้ง คล้ายสัญญาผ่านความอุ่นร้อนบนริมฝีปากว่าอย่ากลัวเลยที่จะคาดหวัง
ทิ้งลงมาหากันให้หมดทั้งตัว
ความหวาดหวั่นผสมปนเปกับสัมผัสหอมหวานที่ล่อลวง จินเจอร์กำลังจะโอบกอดความเจ็บปวด เขารู้ดีว่าไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่จะราบรื่นปราศจากความเจ็บปวด
แต่มันอาจจะคุ้มค่า
“นันท์ทำนะคนเก่ง”
ถ้าได้ลองวางลงไปทั้งหัวใจอีกครั้ง ได้รักกันโดยที่เอาความเชื่อมั่นในตัวของอีกคนผูกเป็นสัญญา
“อือ”
“น่ารัก”
“นะ นันท์”
“โคตรน่ารักเลยจินเจอร์”
ถ้าวันนึงกระทบกระทั่งหรือแตกหัก ขอให้เชื่อว่าในทุกเศษเสี้ยวของเราสองคนจะมีความรักสำหรับอีกฝ่ายปนอยู่เสมอ
“ขอบคุณครับ”
“เงียบไปเลย อึก! ”
ความรักของเราจะยังคงอยู่เสมอ และเขาสองคนกำลังช่วยกันรักษา
And oh, I don't know if I've learned yet,
what it means to love someone in this way,
but I think I might be starting to*
ไม่มีทางยอมให้จางหายไปได้เลย
end.
*Wavelength - Starting to
__________
จบลงแล้วจ้าา สำหรับซีรี่ย์เล็กๆ That was how I fell for him
หลังจากนี้คงแวบมาบ้างถ้าคิดถึงอิพี่และคุณขิง
ตามแต่โอกาสและสถานการณ์5555
ยังไงใครอยากลองเริ่มต้นเรื่องราวใหม่ๆ ไปกับเรา
มาจอยกันได้นะเพื่อน!
ไม่บอกหรอกว่าชื่อเรื่องไร
เพราะโปรโมตไปเยอะแล้ว5555
เลิ้ปนะคับ♡
#เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เรื่องนี้ตอนแรกคิดว่าจะแบบเบาๆ แอบรักแบบไม่ได้ดราม่าหนัก ที่ไหนได้ก็ปวดตับพอตัว นี่ถ้าเป็นเพื่อนขิงนะจะพยายามทำอะไรสักอย่างให้นันท์รู้ตัวไปนานละ จะได้รักๆกันสักทีไม่ลำบากดราม่าใจเพื่อนๆ ฮ่าๆ
เราสัญญาจะดูแลคุณขิงเป็นอย่างดี
ขอบคุณนะคะที่ทำให้เรารู้สึกรักคุณขิงมาดกว่าเดิม เลิ้บบ
กำลังจะอินกับนันท์ที่บอกฟังเพลงในเพลย์ลิสต์ตลอดแลดูมีอะไรแลดูมีเยื่อใยแต่เบรคเอี๊ยดเพราะคิดได้ว่าตอนนั้นตานี่ยังวิ่งตามก้นเทิดทูนบูชาชะนีอยู่เลยฉะนั้นนี่มันประโยคขายฝันชัดๆ อย่ามาทำเป็นพาซึ้งฉันไม่หลงกลแกหรอกย่ะ