ตอนที่ 33 : That was how I fell for him - Part IV
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่บอกกูหน่อยเหรอ?”
“แล้วเป็นเมียกูเหรอครับถึงต้องรู้?”
คำตอบในรูปของคำถามที่ตอกกลับทำเอานันท์ได้แต่ขมวดคิ้ว สายตามองผู้ชายหลังเคาน์เตอร์ที่ง่วนอยู่กับการไล่สีเครื่องดื่มสักอย่าง วาดูแทนขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะจากรูปที่อัปลงโซเชียลอีกฝ่ายเล่นเซิร์ฟไม่เว้นวัน ทว่าคนที่ขาวขนาดนั้นก็ไม่ได้ดำขึ้นง่ายๆ
“คิดยังไงมาทำร้านขนม?”
“พี่ให้มาช่วย กูกำลังหาที่ฝึกงาน” คนที่เพิ่งจบจากการเรียนเชฟหรือคอร์สฝึกที่นันท์ไม่เข้าใจนักตอบง่ายๆ วาอุตส่าห์ข้ามทวีปไปเรียนตั้งไกล นันท์เห็นเพื่อนอดทนกับหลายอย่างแล้วก็รู้ว่าอีกฝ่ายรักสิ่งที่ทำขนาดไหน เหนื่อยเท่าไหร่ก็ไม่พักเพราะถือว่าได้แลกกับการทำตามความตั้งใจ
อดนึกถึงใครอีกคนที่เป็นแบบเดียวกันไม่ได้เลย
“พี่แทนเป็นไง? คุยกันบ้างยัง”
“เพิ่งรู้ว่ามึงทำขนมเป็น” นันท์เปลี่ยนเรื่องชนิดที่เรียกได้ว่าหักเลี้ยวจนวาชะงักไป มือที่กำลังคีบเลมอนฝานเตรียมวางบนปากแก้วค้างนิ่งกลางอากาศ ก่อนที่วินาทีต่อมาเชฟคนเก่งจะส่ายหัว เอือมกับคนดื้อดึงที่ไม่ยอมเคลียร์ปัญหาให้มันจบลงสักที
“กูก็ต้องทำให้ได้หมดนั่นแหละ”
นันท์มองเพื่อนหยิบนู่นจับนี่อยู่อีกพักใหญ่ โชคดีที่วาไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะชินกับแรงกดดันจากการทำงานมาเป็นปีแล้ว งานด้านอาหารกับการต้องเสิร์ฟคนเป็นร้อยต่อวันมันไม่สวยหรูหรอก
วาเลื่อนจานซูเฟลไปบนเคาน์เตอร์บาร์ จงใจเพิ่มน้ำตาลกว่าปกตินิดหน่อยเพราะคนตรงหน้าติดกินหวานจนน่าห่วงว่าจะเป็นโรคอะไรเข้าสักวัน แต่คนแบบนันท์คงไม่ตายง่ายๆ หรอกมั้ง ทั้งออกกำลังกายแล้วไหนจะความบ้าดีเดือดนั่นอีก
ถ้าวาเป็นไวรัสก็คงไม่เลือกโฮสต์ชวนปวดประสาทอย่างนันท์ พูดเลย
เสียงกระดิ่งนุ่มๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่ามีลูกค้าเข้ามาใหม่ มีประโยคทักทายแบบเบสิคของร้านจากพี่ที่อยู่ตรงแคชเชียร์ต่อท้าย วาเหลือบมองเพื่อนที่พยักหน้าคล้ายสื่อว่าขนมอร่อยก็ยักไหล่ รอรับออร์เดอร์ถัดไประหว่างที่เก็บอุปกรณ์อื่น
“เอาแอปเปิ้ลครัมเบิล อเมริกาโน่เย็น เค้กแครอต แล้วก็วานิลลาเฟรปเป้ค่ะ” รายการยาวพรืดกับน้ำเสียงคุ้นเคยทำให้นันท์หันไปมอง ก่อนจะได้สบสายตากับคนรู้จักที่พักหลังไม่ค่อยได้เจอเพราะเขาแวะไปหาตังไม่บ่อยเท่าเก่า
“เมษา?”
“อ้าว นันท์?” เธอดูงุนงงนิดหน่อยก่อนจะระบายยิ้มออกมาอย่างที่ทำเวลาเจอกัน เขาพยักหน้ารับพลางบังคับริมฝีปากให้โค้งขึ้นตามไปด้วย ทักทายกันอีกสองสามคำหญิงสาวก็เดินกลับโต๊ะ พอมองตามไปอีกนันท์ก็ได้เห็นใครบางคนที่ทำให้ต้องค้างสายตาอยู่ตรงนั้นนานกว่าปกติ
“รู้จักกันเหรอวะ?”
“อืม เพื่อน’ถาปัตย์” เขาหมุนเก้าอี้กลับมาคุยกับวา พยายามปัดความรู้สึกเหงาแปลกๆ ออกไป ช่วงขึ้นปีสองนักศึกษาทุกคนยุ่งกันไปหมดไม่ว่าคณะไหน อาจเพราะเข็ดกับเกรดเทอมแรกหรือยังไงก็ตอบไม่ได้ สิ่งที่นันท์พอรู้คือเขาเจอจินเจอร์น้อยลงทุกที พอตอนนี้ลองนึกดูให้ดีก็สองเดือนกว่าแล้วที่ไม่ได้คุยกันเหมือนก่อน
“เมื่อวานก็มา ฝากถามหน่อยดิว่าชอบขนมอันไหน”
นันท์กลอกตา ไอ้เพื่อนคนนี้ก็ทำแต่งานทุกเวลาที่มีโอกาสจริงๆ ให้ตายสิ
เครื่องชงกาแฟและเสียงจอแจของในร้านดังคลอขณะนันท์ตักขนมเนื้อเนียนเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน ความลังเลเกิดขึ้นในหัวว่าเขาควรเดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไหม แล้วถ้าเจอกันต้องพูดว่าอะไร จะแปลกหรือทำใครอึดอัดหรือเปล่าถ้าเขานั่งด้วย
พอไม่เจอนานระยะห่างก็เพิ่มขึ้นเหมือนตอนรู้จักกันใหม่ๆ
ไม่รู้ว่าคิดวนเรื่องนั้นไปนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่เมษากึ่งลากกึ่งดึงแขนเพื่อนสนิทมาหน้าเคาน์เตอร์ นันท์มองคนที่ยังไม่เห็นว่าเขาอยู่ตรงนี้ จินเจอร์ก็ยังคงเป็นจินเจอร์ที่ดูดีแต่เขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะผอมลงนิดหน่อย
ก็รอยไหปลาร้าตรงปกเชิ้ตมันชัดขึ้นมา บวกกับกางเกงผ้าที่ไม่ได้แนบเนื้อเท่าเมื่อก่อน
“เกิดกูถือไม่ไหวทำไงอ่ะคะ”
“ปกติก็ถือเองได้ไม่ใช่เหรอ?”
“เดี๋ยวนี้บ่นแล้วว่ะ หมดโปรเหรอคะขิง?”
ชื่อที่ไม่เคยได้ยินแต่รับรู้ได้ว่าเป็นของใครทำให้นันท์เผลอเลิกคิ้ว เกิดความคิดประหลาดๆ ขึ้นมาว่าความจริงเขาควรจะรู้ด้วยสิถ้าคนตรงหน้ามีชื่ออื่น
ทำไมนะ? ทำไมรู้สึกแบบนั้น?
“ไม่ใช่ แค่—” นันท์เห็นคนในความคิดชะงักค้างเมื่อหันมาเจอว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้ จินเจอร์มองเขาเหมือนมีอะไรอยากพูดทว่าระหว่างเรากลับไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้น
“ไง?”
เลยเป็นเขาที่ทักทายออกไปก่อน
“ไง?” อีกฝ่ายตอบกลับมาแบบนั้นด้วยสีหน้าเหมือนกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ผ่านไปเกือบสิบวินาทีจินเจอร์ถึงได้สติแล้ววาดยิ้มตามมา แววตาคู่เดิมเบือนไปสบกับเมษา แล้วจู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เปลี่ยนใจ
“ถือไหวแล้ว”
“มึงนี่นะ”
“ไม่เจอกันนานคงคิดถึงอ่ะดิ คุยกันไปๆ” คำแซวนั้นทำให้พวกเขาหัวเราะออกมา แต่นันท์กำลังสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างต่างออกไป
“สอบเสร็จแล้วดิ เด็กบริหาร”
ไม่เหมือนเดิม
“อืม มึงล่ะ?”
“เหมือนกันนั่นแหละ” คนที่ส่วนสูงต่างกันไม่เท่าไหร่ตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้บาร์อีกตัวที่ว่าง นันท์ไม่แน่ใจตัวเองกำลังฟุ้งซ่านหรือจินเจอร์กำลังเลี่ยงการสบตาเขาตรงๆ มือเรียวที่มีรอยเส้นเลือดอยู่บ้างหยิบซองน้ำตาลขึ้นมาพลิกเล่น เขามองตามด้วยความรู้สึกประหลาดที่มากขึ้นทุกที
ความสนใจของจินเจอร์เคยอยู่ที่เขามากกว่านี้
“ไปสูบบุหรี่เป็นเพื่อนหน่อย”
ประโยคคุ้นเคยคล้ายจะทำให้ใครบางคนลังเล จินเจอร์ไล้นิ้วโป้งไปตามกระดาษเส้นเล็ก บีบเกล็ดน้ำตาลแข็งๆ ที่อยู่ข้างในก่อนจะเริ่มทำใจได้และพยักหน้า
“ไปดิ”
__________
โซนสูบบุหรี่ของร้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของสวนสไตล์อังกฤษที่แบ่งแยกออกมา จินเจอร์มองป้ายโลหะสลักตัวหนังสือเรียบๆ ว่า ‘Smoking area’ แล้วนึกถึงงานชิ้นนึงที่เคยทำเมื่อต้นปี เขานั่งดัดโครงเหล็กจนเอียนและเรียนรู้ว่าตัวเองไม่ได้ชอบวัสดุนั้นนัก
“หืม? ไม่มีไฟแช็กเหรอ?” เขาลากสายตากลับมาหลังจากเหม่อไปไกล ประหลาดใจนิดหน่อยที่ภาพที่เห็นคือนันท์กำลังคีบบุหรี่ยี่ห้อเดิมอยู่ระหว่างนิ้วกลางและนิ้วชี้ จ้องของในมือเหมือนกับวัตถุสีขาวปลายเทานั่นมีรายละเอียดมากมายให้พิจารณา
“กูจะเลิกบุหรี่แล้ว”
ประโยคบอกเล่าไม่มีที่มาที่ไปทำให้จินเจอร์เลิกคิ้ว แม้จะรู้สึกดีที่นันท์เลือกหยุดพฤติกรรมทำร้ายตัวเองแต่ก็สงสัย
“อะไรทำให้มึงคิดงั้น?”
“เขา”
“เขา?”
“คนที่กูชอบเขาไม่ชอบ”
แน่ล่ะว่าจินเจอร์ไม่ทันเตรียมใจ
ไม่ได้คิดมาก่อนว่าพระเจ้าอยากจะทดสอบความอดทนของเขาขนาดนี้
“เอาว่ะ ไม่เจอแป๊ปเดียวมีสาวแล้ว”
“เพื่อนที่คณะ”
“ร้ายเหมือนกันนี่หว่าพัทธนันท์”
เขาพยายามคุมให้เสียงตัวเองไม่สั่นและฟังดูปกติ ความรู้สึกบีบรัดตีขึ้นมาจนอยากจะเดินออกไปให้จบๆ ทว่าขาสองข้างยังคงตรึงอยู่กับที่ คงมีเพียงอย่างเดียวที่ทำได้คือค้างสายตาไว้กับป้ายสัญลักษณ์โง่ๆ
รู้ว่าไม่ดี แต่อดเปรียบเทียบไม่ได้เลย
จินเจอร์เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองสำคัญแค่ไหนก็ตอนนี้ ตอนที่เขาได้เป็นแค่เพื่อนสูบบุหรี่ในขณะที่อีกคนทำให้เจ้าตัวอยากเริ่มต้นเรื่องดีๆ อย่างการเลิกสูบ
อิทธิพลที่มีผลต่อความรู้สึกมันต่างกันตั้งขนาดนั้นเลยเนอะ, คนธรรมดากับคนที่ถูกชอบน่ะ
เขาก้มมองมือตัวเอง พบว่ามันกำเข้าหากันแน่นจนข้อนิ้วซีดไปหมด ริมฝีปากลังเลว่าเขาควรชวนคุยเกี่ยวกับคนที่นันท์พูดถึงหรือเปล่า แต่พอจะเปล่งเสียงสักครั้งในอกก็ปวดไปหมดจนพูดได้ไม่เป็นคำ
“จินเจอร์” เสียงเรียกทุ้มต่ำทำให้เขากลัวจนยากเกินสบตา ทำได้เพียงครางรับในลำคอและก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม
“มึงเคยชอบใครมั้ย?”
คำถามเดียวกับที่เขาเคยใช้กับเนถูกเอ่ยออกมา มือเรียวยกขึ้นปิดหน้า แสร้งทำว่าอยากหัวเราะให้เพื่อนที่ทำตัวเพ้อพกทั้งที่ความจริงเริ่มจะไม่ไหว
“ใครๆ ก็ต้องเคยป่ะวะ” ตอบพร้อมกับนวดหัวตาหนักๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอทำอะไรงี่เง่าอย่างการร้องไห้ ทว่ายิ่งอดกลั้นในใจกลับยิ่งหดหู่หนักกว่าเก่า เขาเคยคิดว่าการมีความสุขคงไม่ใช่เรื่องยากหากนันท์ยังอยู่ดี แต่ตอนนี้จินเจอร์พบว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่เขายังทำไม่ได้
เขาพาลเกลียดตัวเองที่ไม่ว่าจะลดความคาดหวังลงต่ำเท่าไหร่
มันก็ยังเจ็บในความรู้สึกอยู่ดีที่ต้องยอมรับ...ว่านันท์ไม่รักเขาเลย
“ทำยังไง?”
“หมายถึงจีบน่ะเหรอ?” เขาชิงพูดก่อน เดาเอาเองว่าคงเจ็บปวดน้อยกว่าตอนได้ยินประโยคเมื่อครู่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยน้ำเสียงของนันท์ จังหวะเรียงคำดูรวดเร็วกระชั้นชิดเพราะหากพูดปกติอีกฝ่ายคงจะรู้
รู้ว่าเขาห่างจากคำว่าปกติไปมากขนาดไหน
“อืม มึงจีบยังไง?” จินเจอร์แทบจะปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อความอึดอัดแผ่ขยายจนการหายใจเป็นเรื่องลำบาก ทุกอย่างชัดเจนว่าคนของนันท์สำคัญเหลือเกิน เพราะคนที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลยกำลังพยายามเพื่อทำให้ประทับใจ
จังหวะนั้นจินเจอร์รู้ว่าตัวเองกำลังนิสัยไม่ดี
“ไม่รู้ดิ”
“โห กั๊กว่ะ”
“กูยังไม่ทันได้จีบ เขาหนีไปชอบคนอื่นก่อน”
แต่เขาไม่อยากช่วย ไม่อยากเป็นส่วนนึงที่จะทำให้นันท์ไปรักคนอื่นเลย
“เฮ้ย...โอเคมั้ยมึง?”
แม้ว่ามันจะไม่ทันแล้ว
มือหนาจับไหล่ บังคับให้เขาหันกลับไปสบตาเพราะเพิ่งเห็นว่าสีหน้าเขาย่ำแย่เต็มทน จินเจอร์พยายามหยักยิ้มขึ้นทว่าภาพที่ปรากฏกลับยิ่งดูอ่อนล้า เห็นนันท์มองมาอย่างเป็นกังวลแล้วก็อยากจะประชดออกไปบ้าง
ว่าจะใจดีทำไมนักหนา อ่อนโยนเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา
“ช่างน่า...กูเผลอคิดเรื่องเศร้าๆ นิดหน่อย”
แค่นี้ก็ยากมากแล้วสำหรับเขา, การหยุดความรู้สึกน่ะ
“แน่ใจ?”
“เออ ว่าแต่มึงเถอะ จะออกมาทำไมถ้าไม่สูบ”
“...อะไร? เดี๋ยวนี้ใช้มาเป็นเพื่อนไม่ได้แล้ว?” นันท์ผลักไหล่อีกคนกลบเกลื่อน ความจริงเขาเองก็ไม่เข้าใจนักว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถึงได้อยากดึงอีกคนออกมาใช้เวลาด้วยกันเหมือนเก่า หลังจากที่รับรู้ว่าช่องว่างระหว่างเราทั้งคู่ทำท่าจะเพิ่มขึ้นมา
จินเจอร์หัวเราะฝืดเฝื่อน ดึงบทสนทนาไปทางเรื่องไร้สาระ ก็น่าตลกดีที่ตอนนี้ปวดใจจะแย่แต่ก็ยังดันทุรังจะอยู่ข้างๆ เขาคิดแค่ว่าต่อไปอาจไม่ได้มีบรรยากาศแบบนี้อีกแล้ว ในเมื่อนันท์มีสิ่งที่สำคัญกว่าและเขาก็ไม่ได้อึดมากพอจะอดทนตลอดไป
“ลิสต์เพลงอ่ะ เงียบเลยนะ”
“กูเปิดแรนดอมไปเรื่อย ยังไม่เจอที่ดีๆ นี่” จินเจอร์แก้ตัวพลางหลบสายตา ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงโกหกเก่งแบบหาตัวจับได้ยากทีเดียว
ในเมื่อความจริงคือเขาสร้างเพลย์ลิสต์ขึ้นมาใหม่ เพิ่มเพลงรักเข้าไปทุกวันเหมือนคนบ้าเพราะฟังอะไรก็นึกถึงอีกฝ่ายไปซะหมด เขาแค่นยิ้มกับตัวเอง หลังจากนี้คงต้องเปลี่ยนเป็นเพลงอกหักแล้วล่ะมั้ง อาจจะเอาไปเปิดในห้องน้ำทำเอ็มวีเหมือนคนอื่นดูบ้างเผื่ออาการเจ็บหน่วงนี่จะดีขึ้น
“กูชอบเพลงนี้” ใครบางคนดึงความสนใจเขาด้วยการกดเล่นเพลงนึงขึ้นมา จังหวะไม่ช้าไม่เร็วเกินไปแต่กลับหวานจนต้องเม้มปากแน่น
You drive me xing crazy
With the things you say
And the things you do
There, I said it
“เพลงคนมีความรักเหรอวะ?” มันน่าตลกที่เขาเองเข้าใจได้โดยไม่ต้องคิดมาก ในเมื่อเพลงในเพลย์ลิสต์ที่ทำแยกออกมาก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากที่เขาฟังทุกวัน นันท์ยักไหล่ สีหน้าเหมือนไม่สนใจแต่แนวแก้มซับสีแดงจาง ไม่รู้เป็นเพราะท่าทางแบบนั้นจากคนทื่อๆ จีบใครไม่เป็นเลยทำให้ดูน่ารักมาก หรือเป็นเพราะจินเจอร์ชอบอีกคนจนเสียสติไปแล้ว
I just wanna see you
For a minute or two
To get rid of my blues*
“หวาน”
“เพราะดี”
“หวานชิบหายเลย” เขาทำเป็นยู่หน้าเหมือนไม่อินเท่าไหร่ ทำยังไงได้ ในนันท์ตอนนี้ก็คือพวก hopelessly in love เหมือนจินเจอร์ในเวลาสองเดือนที่ผ่าน แค่อีกคนไม่สาธยายความน่ารักของคนที่ชอบให้ฟังเขาเองก็ควรจะขอบคุณมากแล้ว
มันเป็นเรื่องเข้าใจได้ ที่เขายังทำใจไม่ได้
...ก็แค่นั้น
หัวข้อจากเพลงเปลี่ยนไปเป็นซีรี่ย์สเปนเรื่องนึงที่นันท์บอกว่าหยุดดูไม่ได้ในไม่กี่นาที โชคดีที่เขาเองพอจำรายละเอียดได้เลยคุยรู้เรื่อง เนื้อหาที่ต่างออกไปและไม่เกี่ยวกับความรักทำให้จินเจอร์หายใจคล่องขึ้นกว่าเก่า แต่ตอนนี้เขาเริ่มหมดแรงและอยากขอเวลานอกให้ตัวเองหน่อย
มองหน้านันท์แต่ละทีก็มีแต่คำว่าชอบ และพอผ่านไปสักสองวินาทีก็หายใจไม่ออกพอนึกได้ว่านันท์ชอบคนอื่น
ระหว่างหาทางลงให้บทสนทนาที่จินเจอร์คิดว่าเขาควรพอได้แล้ว โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืด นันท์ที่กำลังพูดถึงซีรี่ย์เรื่องใหม่เลยชะงักตาม เหลือบมองหน้าจออย่างลืมมารยาทแล้วก็เอ่ยแซว
“ไหนบอกไม่ใช่แฟนไง?”
“ฮัลโหลเมษ” จินเจอร์กดรับโดยทำเป็นไม่ใส่ใจ ทั้งที่ลึกลงไปอยากจะตะโกนใส่หน้าว่าไอ้คนโง่เป็นร้อยๆ ครั้ง
แต่ไม่รู้หรอกว่าตะโกนใส่หน้าใครจะเหมาะกว่า คนข้างๆ หรือตัวเขาเองกันแน่ที่โง่เง่า
“อือ ปล่อยมันเถอะน่า” จินเจอร์ตอบกลับเสียงอ่อนเหมือนกำลังรับมือกับเด็กอนุบาลเมื่อเมษาฟ้องว่าเนน่าเบื่อกว่าเขาตั้งเท่าไหร่ แถมยังพูดบอกอย่างเอาแต่ใจว่าให้เขากลับไปช่วยกินขนมได้แล้ว
ท่าทางทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตานันท์ และมันก็ทำใจเชื่อยากชะมัดเลย
ไม่ใช่แฟน แต่ดูแลอย่างดีทุกจังหวะที่มีโอกาสให้ทำ แถมยังตามใจแล้วก็ยอมให้แทบทุกเรื่อง มากกว่านั้นคือมีชื่อที่กับเพื่อนอย่างเขายังไม่เคยรู้มาก่อน
ที่บอกว่าไม่ใช่แฟน หรือที่จริงมันแปลว่าอีกคนสำคัญกว่านั้น
สำคัญแบบคนรักกัน เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าจินเจอร์?
“กูเข้าร้านละ จะไปยัง?” นันท์มองคนที่เก็บมือถือใส่ช่องเก่าพลางถามกันด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเคย จังหวะนั้นเขาเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างได้ ความรู้สึกเย็นวูบลามขึ้นมาในช่องท้อง นัยน์ตาคมดุมองคนที่ทำท่าลังเลว่าจะรอเขาดีไหม
“จินเจอร์”
“ว่า?”
“กูกับมึง...เราสนิทกันมั้ย?”
หรือความจริงแล้วมันไม่ได้อยู่ที่เมษาจะอยู่ในสถานะไหน...แต่มันคือเรื่องที่จินเจอร์อาจไม่วางใจในตัวเขาเท่าที่เขาวางความเชื่อทุกอย่างให้กับอีกคน
ฝ่ายนั้นดูงุนงงระคนตกใจอยู่พักใหญ่ นันท์เก็บรายละเอียดทุกการแสดงออกของบางคนเอาไว้ ไม่ค่อยแน่ใจว่าคาดหวังคำตอบแบบไหนแต่เขาห้ามปากตัวเองไม่ทัน
เพราะนันท์คิดว่าเราเป็นแบบนั้น เป็นเพื่อนสนิทกันที่คุยได้หลายเรื่องในชีวิต
“สนิทดิ”
เขาไล่สายตาตามแผ่นหลังของคนที่พูดจบก็เดินนำเข้าร้านไป อดหัวเราะความงี่เง่าของตัวเองไม่ได้เมื่อทบทวนให้ดี
ไม่ว่าใครก็ต้องตอบอย่างที่เจอร์ตอบไม่ใช่หรือไง
ถึงไม่รู้สึกสนิทก็คงต้องโกหกอยู่ดี...
*Alextbh - Mornings (See You Again)
__________
พัทธนันท์ เทอมันน่านัก!
#เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไอเลิฟจินเจอร์มาก_♡♡♡♡
อยาหให้จินเจอร์มีความสุข#ใดๆคือพึ่งอ่านเมื่อวานแล้วชอบมากกก มูฟออนเป็นตัวโอ55555 ขอบคุณคนเขียนด้วยนะ รั๊กกกกกกก💚💚💚💚