ตอนที่ 30 : That was how I fell for him - Part I
นันท์มีเพื่อนสนิทอยู่คณะสถาปัตย์ฯ
และนั่นก็ทำให้เขามีเพื่อนอีกเป็นโขยงที่อยู่สถาปัตย์เหมือนกัน
“พวกมึงทำงานอะไรกันนักหนาเนี่ย ร้อนเงินเหรอ?”
“ถ้าทำแล้วได้เงินพวกกูรวยไปแล้วพ่อค้าบ”
“เอยังไม่ได้มึงหวังเงินเหรอ พูดแล้วมันเจ่บบ”
ครามกับไมโลโวยวายขึ้นมาทันทีที่เขาพูดออกไปแบบนั้น นันท์ลอบถอนหายใจ มองกองกระดาษ ไม้บรรทัดทรงประหลาด กับกองขยะที่ดูไม่ออกนักว่าเกิดจากอะไรมาสุมกัน ก่อนสายตาจะเลื่อนไปถึงอีกสองคนตรงมุมห้องนั้น ไกลจากที่เขานั่งนิดหน่อย
“กาแฟมึงหมดแล้ว”
“จะให้ไปซื้อก็บอก”
“เก่งมาจากไหนวะจินเจอร์ รู้ใจจังเลยจ้า”
“รำคาญ”
เขาคิดมาตลอดว่าเมษาที่นอนตักจินเจอร์เป็นเหมือนภาพจากหนังอินดี้สักเรื่อง บวกกับเนที่เปิดเพลงผ่านลำโพงบลูทูธคลอเบาๆ และนั่งวาดงานบนโต๊ะเขียนแบบอยู่ตรงข้าม สามคนนั้นไม่ต่างจากซีนในภาพยนตร์ยุคเก่าเลยสักนิดเดียว
นันท์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ขโมยตังมาอีกที ไอ้เจ้าของตัวจริงน่ะหลับไปแล้ว ไม่เข้าใจอีกเหมือนกันว่าทำไมไม่กลับไปนอนที่ห้องก่อนสักตื่น เห็นบอกว่างีบแป๊ปเดียวเลยขี้เกียจวนไปมาแต่ที่เห็นก็สองชั่วโมงกว่าแล้วไม่ใช่หรือไง
เด็กสถาปัตย์ฯนี่เข้าใจยากจริงๆ ให้ตาย
“เอาอะไร กูจะลงไปซื้อ” เขาประหม่านิดหน่อยตอนเมษากับจินเจอร์เงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกันเหมือนเจอตัวประหลาด คงต้องขอบคุณสีหน้าราบเรียบที่มันคงอยู่อย่างเดิมเก่งเหลือเกิน เพื่อนใหม่ที่ตอนนี้ยังไม่สนิทกันเท่าไหร่เลยจับไม่ได้ว่าเขาก็เขินประมาณนึง
ก็ถ้าไม่เข้าหาก่อนบ้าง...คงไม่ได้สนิทกันสักทีสิน่า
“ช็อกโกแลตปั่นจ้า”
“‘เมกาโน่ไม่ใส่น้ำตาล”
“เป๊ปซี่ไม่ซีโร่เพราะเราซีเรียส!”
“เป๊ปซี่ซีเรียสด้วยอีกหนึ่ง!”
นันท์รีบหยิบโทรศัพท์เพื่อเปิดโน้ตจดอย่างน่าตลก ลืมคิดไปหน่อยว่าสถานการณ์คงไม่พ้นแบบนี้ เลยลุกลี้ลุกลนพลางขยับปากแบบไม่ออกเสียงทวนออเดอร์อีกครั้งนึง
“ถือไหวหรือไง?”
นันท์เงยหน้าจากความวุ่นวายและพบว่าคนถามกำลังค่อยๆ ประคองศีรษะเมษาให้นอนพิงกระเป๋าผ้าที่มีขวดน้ำข้างใน ถอดแจ็ดเก็ตไปคลุมขาให้อีกทีโดยที่ทั้งหมดนั้นมันดูธรรมชาติเหมือนเป็นเรื่องทั่วไป
“กูไปด้วยแล้วกัน”
เขาจำจินเจอร์ได้ขึ้นใจจากตอนนั้นล่ะมั้ง
ท้องฟ้าเริ่มแต้มสีส้มแล้วตอนที่พวกเขาเดินออกมาจากห้องที่ทุกคนนั่งๆ นอนๆ กองกันมั่วซั่ว นันท์ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจของคนข้างกาย เดาว่านอกจากใจดีแล้วอีกเหตุผลคืออยากออกมาเดินเล่นผ่อนคลาย อีกคนเลยอาสาออกมาเป็นเพื่อนกัน
“พวกมึงงานเยอะอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ?” เป็นเขาที่เริ่มบทสนทนาขึ้นมาก่อนตอนเรากำลังข้ามถนนไปร้านกาแฟเจ้าประจำอีกฝั่ง จนรถสีดำขับผ่านไปและเราก้าวถึงรั้วกั้น บทสนทนาที่เกิดก็ยังไม่ถูกตอบกลับ
นันท์กำลังจะหันไปมองคนที่ไม่ยอมคุยกันเพื่อจะเจอเหตุผลที่ทำอย่างนั้น ทว่ารอยยิ้มมุมปากกับสายตาที่ทอดเอื่อยบนป้ายผลักบนบานประตูก็หยุดปากเขาเสียก่อน
“ตอนแรกกูก็จะตอบว่าเยอะอยู่หรอก”
กลิ่นกาแฟลอยคลุ้งในบรรยากาศกับประโยคทักทายซ้ำซากทำให้นันท์ต้องคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโน้ตแล้วยื่นให้พนักงาน ธนบัตรสีม่วงถูกวางลงไปอย่างไม่คิดอะไรนักเพราะความสนใจถูกดึงไปไว้กับอีกคนที่อยู่ข้างกัน
“แล้วตอนนี้?”
“ช็อกโกแลตปั่นไม่ใส่วิปครีมนะครับ”
แต่ดูเหมือนจินเจอร์จะไม่ได้กระตือรือร้นอยากคุยกับเขาขนาดนั้น
“เมื่อกี้ว่ายังไงนะ?”
“สรุปจะบอกว่าเยอะหรือไม่เยอะ?” นันท์เพิ่งรู้สึกว่าที่พูดออกไปมันดูหาเรื่องตอนได้ยินเสียงตัวเอง เขาเผลอเม้มปากด้วยความกังวลแต่เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งกับหัวเราะออกมา รอยยิ้มจากปากและดวงตาทำให้เขาคลายความรู้สึกยุ่งยากทิ้งไปภายในไม่กี่วินาที
“ก็เยอะมั้ง หรือมึงอาจจะว่าง เห็นตังทำงานทีไรก็มาตลอด” จินเจอร์พิงสะโพกลงกับเก้าอี้บาร์ ท่าทางคล้ายยืนมากกว่านั่งแต่นั่นไม่ใช่ประเด็กสักหน่อย
“ก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้น”
“เด็กบริหารเขาไม่มีงานทำกันบ้างเหรอ?” การเลิกคิ้วพร้อมกับเอี้ยวหน้ามาถามแบบที่อีกคนทำมันเรียกว่าการกวนประสาทแน่ๆ เขาหลบสายตาก่อนจะเผลอหลุดยิ้มบ้าๆ ออกไป
ไม่รู้สิ...แต่หมั่นไส้ชะมัดเลย
“งานของกูมันไม่ต้องใช้เวลาเยอะเหมือนมึงไง เน้นอ่านเคส วิเคราะห์”
“อ่าฮะ”
“มึงนี่...”
จังหวะนั้นจินเจอร์หันมาสบตา ทำหน้าซื่อๆ ใส่ทั้งที่ริมฝีปากขยับขึ้นชัดเจนว่ากำลังสนุกกับการแก้ตัวของเขา
“กวนตีนเหมือนกันนะ”
คนโดนกล่าวหาหัวเราะเสียงใสและนันท์ก็ไม่คิดว่าการกลั้นยิ้มเป็นเรื่องจำเป็นอีกต่อไปแล้ว ดวงตายิบหยีนั่นหันมองลำดับคิวบนบอร์ด ก่อนเจ้าตัวจะถอนหายใจเฮือกใหญ่และเอื้อมมาแตะข้อมือเขาเพื่อชวนไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ข้างกัน
“แวะซื้อของกินขึ้นไปหน่อย น้ำค่อยมาเอา”
นันท์พยักหน้า เดินตามคนที่เพิ่งเห็นว่าเตี้ยกว่าไม่กี่เซนฯ เขาไม่รู้ว่าการเลือกเสื้อที่ขนาดใหญ่กว่าตัวเป็นเทรนด์สำหรับนักศึกษาคณะศิลป์แบบนี้หรือเปล่า แต่มันก็เข้ากับอีกคนจริงๆ นั่นแหละนะ
เชิ้ตไหล่ตกกับปกเสื้อที่หลวมนิดหน่อยพร้อมกับท้ายทอยสีน้ำผึ้ง
“ไถเกรียนอย่างนั้นเลยนะ” รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่จิ้มนิ้วไปบนหลังคออีกฝ่ายและจินเจอร์ก็สะดุ้งจนตัวโยน ที่นันท์หมายถึงคืออันเดอร์คัตที่เล็มผมทางด้านหลังออกเกือบหมด เหลือไว้แค่ปลายผมสีแอชบราวน์ที่ปรกหน้าเวลาก้มเขียนภาพในห้อง
อืม...เขาก็มองจินเจอร์บ่อยอยู่เหมือนกัน
“มันร้อน” คนตอบขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนอยากจะด่า คงเป็นเพราะว่ายังไม่สนิทพอฝั่งนั้นเลยทำแค่หยิบตะกร้าใส่ของแล้วเดินหนีไป
“มึงจะซื้อเปปทีนไปให้ใครกิน น้ำเยอะแยะ”
“กูกิน แล้วกูก็ไม่ได้สั่งน้ำ”
แต่ถึงมองบ่อยแค่ไหน ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่นันท์ยังมองไม่เห็นอยู่ดี
“ไม่น่าเชื่อว่ามึงกินอะไรพวกนี้”
“กูก็ไม่เชื่อว่ามันดี แต่น้องบังคับ”
“มึงมีน้อง?”
“น้องสาว” อากาศเย็นเฉียบจากตู้แช่ทำให้มือที่เปื้อนรอยดินสออยู่ตรงสันลูบศอกตัวเอง นันท์มองตะกร้าที่พาดบนแขนขวาของอีกคนแล้วแย่งมาถือ ดึงมืออีกข้างให้จินเจอร์เดินออกมาในเมื่อเห็นกันอยู่ว่าหนาวจนหลังมือเป็นรอยจ้ำ
“ก็ว่า...ดูแลเมษาเก่งขนาดนั้น”
“หือ?” คนที่หันมาง่วนกับเชลฟ์ขนมกรุบกรอบเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจเลย์กับคารามูโจ้ต่อ นันท์เผลอกลอกตา ใครจะไปคิดว่าท่าทางผู้ใหญ่แบบนั้นจะมีมุมเด็กน้อยกับเขาด้วยเหมือนกัน
“กูนึกว่ามึงเป็นแฟนกัน” เขารวบทั้งสองห่อนั่นใส่ตะกร้าและลากจินเจอร์มาโซนขนมปัง ถ้าจะกินก็ควรกินให้เป็นเรื่องราวหน่อยไม่ใช่หรือไง เลือกแต่ขนมอะไรก็ไม่รู้
“กับเมษอ่ะเหรอ?”
“ไอ้เนมั้ง”
หัวเราะอีกแล้ว จินเจอร์หยิบขนมปังมาโยนใส่อีกหลายแบบหลังจากยืนพลิกดูสักอย่างบนฉลาก คนอารมณ์ดีหันมายิ้มแฉ่งให้ คล้ายจะพอใจที่กวนประสาทเขาจนเขาหลุดกวนกลับไปได้สำเร็จ
“ใครๆ ก็พูดแบบนั้น”
“แล้วใช่มั้ย?”
“หมายถึง?”
“เป็นแฟนกับเมษาเหรอมึงน่ะ?”
จินเจอร์ชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนแววตาคู่เดิมจะฉายแววซุกซนเหมือนเด็กที่เขาอยากจับมาตีก้นให้เข็ดหลาบ นันท์แยกเขี้ยวใส่คนที่ลอยหน้าลอยตา หยิบขนมแท่งๆ สักอย่างมาเคาะหน้าผากด้วยความหมั่นไส้
“แล้วกูจะดูแลกันแบบเพื่อนไม่ได้หรือไง?” ประโยคนั้นถูกพึมพำแต่คนที่อยู่ใกล้อย่างนันท์ได้ยินชัดเจน เขาเดินตามอีกคนไปยังโซนของใช้ มองตามว่าจะซื้ออะไรแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว
“ที่กันรองเท้ากัด?”
“ของไอ้เมษ”
“ฝากซื้อ?”
“เปล่า เห็นใส่รองเท้าใหม่แล้วข้อเท้ามันเป็นแผล”
“โคตรแฟน”
“ไร้สาระ” นันท์ก้าวเท้าเอื่อยเฉื่อยต่อหลังคนที่เดินมาเคาน์เตอร์ได้สักที ดูเหมือนฝั่งนั้นจะรำคาญคนแซวเรื่องเมษาพอสมควร สงสัยคงโดนถามแต่เรื่องเดิมจนเบื่อแล้วล่ะมั้ง
“ก็ดูพวกมึงทำตัวกันดิ ไม่แปลกมั้ยถ้าคนอื่นจะมองว่าใช่อ่ะ”
“แล้วไปห้ามไม่ให้มองตอนไหน”
“เอ้า”
“รำคาญคนที่เอาแต่ถามว่าใช่ไม่ใช่ต่างหาก ขี้เสือก”
“กูเต็มๆ เลยนะที่พูด” เขาจะหยิบกระเป๋าตังค์เมื่อถึงคิว นึกอยากขำคนที่ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้แต่ก็เก๊กฟอร์มว่าตั้งใจจะด่าเขาจริงๆ นั่นแหละ
“เออ มึงก็วุ่นวาย” อีกฝ่ายชิงวางเงินไปก่อนตอนที่พนักงานพูดบอกราคา เขาโคลงหัว ปล่อยตามใจเลย อยากทำอะไรก็เอา
“เพื่อนมึงยังแซวกันเลย ไปโกรธพวกมันด้วยดิ”
“โอเค ไม่โกรธแล้วก็ได้”
“ง่ายแบบนั้นเลย?” เขาถามตอนที่หันไปซื้อถุงผ้าเพราะดูแล้วไม่น่าถือไหว ตลกจินเจอร์ที่พยายามจะแบกทุกอย่างไปด้วยตัวเองจนเกือบหัวเราะออกมา
“ก็พอเข้าใจได้ไง ไม่โกรธละ”
“มึงนี่นะ”
ความจริงจินเจอร์ก็ไม่เคยโกรธหรอก มีรำคาญบางนิดหน่อยเท่านั้นแหละ
“เพื่อนทั้งนั้นอ่ะ ขี้เกียจโกรธ”
รวมกับประโยคที่ได้ยินเข้าไป นันท์เลยตัดสินใจแล้วว่าเพื่อนใหม่คนนี้น่ะ
“เดี๋ยวกูถือน้ำเอง ได้แล้วมั้ง”
ใจดีกว่าใครเลย
__________
เปลือกตาสีน้ำผึ้งจางหลับลงระหว่างที่หัวคิ้วถูกกดนวดด้วยนิ้วชี้และโป้ง จินเจอร์พิงตัวลงกับพนัก เหนื่อยจะมองจอตรงหน้าแล้วเลยกวาดสายตาไปรอบห้อง ครามกับไมโลนอนฟุบอยู่บนโต๊ะหน้าประตู เนกำลังพิมพ์งานต๊อกแต๊กอยู่ตรงข้ามเขา ส่วนมุมขวาสุดเป็นตังที่พูดเรื่องอะไรสักอย่างไม่หยุดและเพื่อนใหม่คนนั้นที่ัวันนี้มีแว่นกรอบบางอยู่บนปลายจมูก ก้มหน้าอ่านกระดาษเป็นปึกที่เขาไม่รู้รายละเอียดหรอก แต่เดาว่าคงเป็นเคสที่ต้องนั่งวิเคราะห์อย่างที่เจ้าตัวเลยบอกให้ฟังล่ะมั้ง
เชื่อแล้วว่าไม่ว่าง แต่ก็มาอ่านหนังสือที่คณะคนอื่นไม่หยุด
เหมือนจินเจอร์จะเผลอพักสายตากับใบหน้าเคร่งเครียดนั่นนานเกินไปหน่อย เด็กบริหารคนเก่งถึงได้เงยหน้าขึ้นสบตากัน ก่อนคิ้วที่ขมวดนิดหน่อยจะคลายลงและส่งรอยยิ้มจางๆ มาให้
“หิวข้าวว่ะ”
เขามองกลับด้วยท่าทางประมาณว่า ‘บอกกูแล้วอิ่มเหรอ?’ ทั้งที่ความจริงอยากจะยิ้มขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ เพื่อนสนิทก็นั่งอยู่ข้างๆ ทำไมจะต้องมาบอกคนที่นั่งห่างมาขนาดนี้
กวนประสาท
“เนกินไรป่ะ?”
“จะลงล่างเหรอ?”
“อืม หิวแล้ว”
เจ้าของผมสีดำสนิทเงยหน้าเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากเขา นัยน์ตาอ่อนล้าจากงานจ้องค้างคล้ายกำลังประมวลผลอะไรสักอย่างก่อนจะหันไปทางเพื่อนต่างคณะคนนั้น
ไม่ใช่แล้วมั้ง, เป็นความคิดที่ดังขึ้นมาในหัว
“ไม่ มึงไปกันเลย” แต่เนไม่คิดจะพูดออกมาเป็นคำเพราะความจริงมันก็ไม่ได้มีอะไร ทว่าพักหลังเขาเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศเฉพาะระหว่างจินเจอร์และอีกคน มันเป็นมวลสารบางอย่างที่เจือจางรอบตัวสองคนนั้น เป็นแค่เวลาที่อยู่ด้วยกันและเนก็อดคิดไม่ได้ว่ามันต่างจากปกติ
บางอย่างในสายตาของจินเจอร์ เนไม่เคยเห็นมาก่อน
“ตังมึงหิวยัง?”
“ไม่อ่ะ ไอ้ครามซื้อโดนัทมา หวานถึงวันพรุ่งนี้”
“ตายเพราะเบาหวานแหละพวกมึงน่ะ”
“เออ เหลือแต่ไอ้เจอร์อ่ะ เป็นบุญชิบหายไม่กินของหวาน”
สายตาสองคู่สบกันอีกครั้ง แล้วก็เป็นจินเจอร์ที่ผละออกมา ก้มลงหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าเงินและยืนขึ้นเพื่อบอกฝั่งนั้นว่าพร้อมแล้ว
“ไปด้วยดิ” ครั้งนี้เป็นเขาที่เริ่มบทสนทนาแบบออกเสียงพูดขึ้นมาให้ได้ยินกันทุกคน เห็นเนเหลือบมองจากหางตาและตังที่พยักหน้าโดยไม่ได้คิดอะไร
คงมีแต่นันท์ที่ยิ้มมุมปากคล้ายจะรู้ทันว่าความจริงเขาตกลงไปกินข้าวด้วยกันตั้งนานแล้ว ตกลงผ่านสายตาตั้งแต่ได้เห็นคำว่าหิวข้าวแบบไม่มีเสียงของเจ้าตัว
มันเป็นเหมือนโค้ดลับหรือสักอย่างที่ทำให้เขารู้สึกสนุกขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ จินเจอร์ชอบที่เวลาเราอยู่ท่ามกลางเพื่อนเป็นสิบคนจะมีจังหวะไม่ตั้งใจที่ได้สบตา เป็นการกระทำที่ทำให้พบว่าเราเผลอพักสายตาเอาไว้กับอีกฝ่ายอยู่บ่อยๆ
แล้วก็นี่อีก ไอ้การเลิกคิ้วหรือทำท่ากวนประสาทแล้วเข้าใจความหมายโดยไม่ต้องบอกออกมาน่ะ
เจ๋งเป็นบ้าเลย
“มึงไม่ชอบกินหวานเหรอ?” คำถามนั้นดังขึ้นตอนที่เรานั่งลงบนโต๊ะที่ถูกปูด้วยโปสเตอร์เป๊ปซี่ เก้าอี้พลาสติกฝั่งนันท์ดูไม่ค่อยแข็งแรงและมันก็เป็นเหตุผลให้วันนี้คนที่ปกตินั่งตรงข้ามย้ายมาอยู่ข้างขวามืออย่างช่วยไม่ได้
“อืม กินแล้วท้องมันตื้อ”
“พลาดมาก” นันท์หยิบกระดาษกับปากกาที่เสียบเอาไว้ เคาะหัวกดกับโต๊ะอยู่สองสามทีคล้ายกับนึกว่าจะกินเมนูไหน แต่พอเขาจิ้มนิ้วลงบนผัดขี้เมาไก่มันก็ถูกเขียนลงไปด้วยเลขสองตามหลัง
“ขี้ลอกว่ะ”
“คิดไม่ออกว่าจะกินอะไร”
“มานี่ กูเอาไปส่ง” เขารับกระดาษมาจากคนที่เท้าคางมองมา แถมโดนอีกฝ่ายกวนประสาทซ้ำด้วยการชี้ว่าให้หยิบน้ำมาด้วยสองแก้ว
มันน่านัก
“ได้ทีแล้วสั่งใหญ่” นิ้วยาวที่เกี่ยวหูของแก้วพลาสติกสีชืดปล่อยมันลงบนโต๊ะ ส่ายหัวให้คนที่ยิ้มชอบใจที่อ้อนเท้ากันได้สักนิดหน่อย
“มึงไม่กินหวานอ่ะ”
“แล้วมันทำไม?” จินเจอร์เกือบจะขำออกมาตอนเห็นว่าคำพูดคำจาและสีหน้าอีกคนมันไร้สาระแค่ไหน
“พลาด”
“พลาดจากการเป็นเบาหวานเหมือนมึงไง”
“กินแล้วก็ออกกำลังกายดิ”
“ไม่กินง่ายกว่ามั้ย”
“กล้าแลกดิ กลัวไร”
“จ้า พ่อเด็กบริหารที่ไม่กลัวความเสี่ยง”
“ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนนะครับ”
“ช่วงนี้เรียนหนักเหรอ โคตรติ๊งต๊องเลย” เขาโยนทิชชูสีชมพูที่เคยได้ยินมาว่าไม่ใช้จะสะอาดกว่าใส่หัวนันท์ เจ้าตัวฟุบลงกับโต๊ะ แนบหน้าบนแขนจนแก้มบี้แม้ทุกวันนี้ไ่ม่ค่อยมีเนื้อหนังเท่าไหร่
“อือ เหนื่อย” อีกคนปัดกระดาษเปื่อยๆ นั่นออก เอามาหย่อนใส่กระเป๋าเสื้อเขาจนสุดท้ายต้องเอามารองแก้วน้ำ
“โห คุณพัทธนันท์เขาบ่นเหนื่อยว่ะ”
“ก็นี่พัทธนันท์ ไม่ใช่กัปตันอเมริกานะมึง” จินเจอร์หัวเราะร่วน เท้าคางพลางก้มมองคนที่กองตัวเองอยู่บนโต๊ะแล้วถามต่อ
“ถ้าบอกให้พักจะทำได้มั้ย?”
“อันนั้นไปบอกอาจารย์เถอะ ไม่ต้องมาบอกกู”
“งั้นก็อดทน ที่ผ่านมามึงก็ทำได้ตลอด ครั้งนี้ก็เหมือนกันแหละ”
ผัดขี้เมาไก่ราดข้าวสองจานถูกวางลงตรงหน้าเพราะเวลานี้ลูกค้าไม่เยอะเท่าไหร่ น่าเสียดายที่มันอาจจะมาเร็วเกินไปเพราะเจอร์ไม่ทันได้เห็น
รอยยิ้มที่ถูกซ่อนไว้กับแววตาอ่อนแสงของใครบางคนนั่นน่ะ
“แล้วมึงอ่ะ ไม่หมดแรงบ้างเหรอ?” นันท์ยันตัวเองขึ้นมานั่งดีๆ ตอนที่ช้อนกับส้อมถูกยืนมาให้ คิดในใจไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ว่าจินเจอร์เทคแคร์คนอื่นเก่งชะมัดเลย
“นอนตื่นมาก็หายเหนื่อยแล้ว”
“ดีว่ะ”
“ใจมันอยู่ตรงนี้ไง มันเลยเหนื่อยแค่ร่างกายเฉยๆ” พูดจบแก้มข้างขวาก็ดูน่าบีบขึ้นมาเพราะจินเจอร์เคี้ยวข้าวข้างเดียว ตาคมกริบมองภาพนั้นนิ่งๆ แล้วก็รู้สึกจริงๆ ว่ามันน่าบีบให้บุบ
แล้วคนอย่างนันท์
“โอ๊ะ! ไอ้เวร!”
ยับยั้งชั่งใจเป็นที่ไหน
“เหมือนไอ้ลูกๆ อ่ะ”
“ลูกที่หน้ามึงเหอะ” จินเจอร์ด่ากลับ กลืนข้าวลงคอเร็วๆ พร้อมกับดื่มน้ำตาม เมื่อกี้เกือบสำลักเลย...ไอ้บ้านี่เล่นอะไรปัญญาอ่อน
“ลูกนั้นมันเรียกว่าอะไรนะ?” แล้วก็เป็นแบบเดิมคือพอนึกคำที่อยากพูดไม่ออกก็จะไม่หยุดคิด นันท์สะกิดเขาก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น ไม่สนใจจะกินข้าวแล้วเพราะสงสัยจนทำอย่างอื่นไม่ได้
ให้มันได้อย่างงี้สิ
“ลักษณะ?” ถามว่าสุดท้ายแล้วใครที่ต้องมาช่วยค้นสมองตัวเองไปตอบคำถามอีกฝ่ายถ้าไม่ใช่เขา จินเจอร์ที่เพิ่งถูกขยำแก้มข้างขวาตักใบมะกรูดไปกองที่อีกฝั่งของจานก่อนจะตักข้าวคำถัดไป
“ที่มีของข้างใน”
“กาชาปอง?”
“เออ กาชาปอง” พอรู้คำตอบก็ไม่ได้ดีใจมากขนาดนั้นจนบางทีเขาก็งงว่านันท์จะตั้งใจมากมายไปเพื่ออะไร
เข้าใจยากจริงๆ เลยพัทธนันท์
__________
ย้อนรอยตามสัญญาาา
หลายคนสงสัยว่าจินเจอร์ไปรักนันท์ได้ไง
เราก็สงสัยเหมือนกันค่ะ อ้าว55555555
มารอดูด้วยกันเนอะ
#เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่ใช่รักกันต่างนานละหรอออ