ตอนที่ 3 : ลบสาม
“กูให้โอกาสมึงสารภาพ”
“สะ สารภาพอะไรของมึง”
“พวกแม่งหาเรื่องมอมเหล้ากูมาเกือบชั่วโมงละ เพื่อ?”
เนกำลังโมโหพระเจ้าที่ขยันผลักให้เขาตกที่นั่งลำบากอยู่เรื่อย สายตาบังคับปนกดดันทำให้เขาถอนหายใจเฮือก
“เออๆๆ อยากรู้นักมึงมานี่” เจอร์เดินตามหลังเพื่อนสนิทออกจากห้องครัว สองมือเต็มทั้งหมดเพราะถุงน้ำแข็งจากเซเว่น ส่วนคนที่เดินนำหิ้วแพ็กโซดาข้างนึง เบียร์เย็นๆสองกระป๋องอีกมือนึง
โชคดีที่คราวนี้เขาชนะเกมไพ่อะไรสักอย่างของพวกมัน เลยสั่งให้เนมาเอาเครื่องดื่มเพิ่มและตามออกมาด้วย อ้างไปว่ามีน้ำใจกลัวเพื่อนถือไม่หมดแต่ความจริงคือเขาอยากเค้นคอมัน
ก็ตามนั้นเลย ไอ้พวกตัวดีมันพยายามทำให้เขาเป็นฝ่ายโดนดื่มตลอด แรกๆยังเอาเกมเข้าอ้าง หลังๆเริ่มไม่ใช่เพราะไอ้ไมกับไอ้ตังแทบจะลุกมาเอาเหล้ากรอกปากเขา และเนื่องจากในกลุ่มใช้วิธีนี้บ่อยเลยพอเดาได้ว่ามันอาจจะอยากล้วงความลับสักอย่าง เป็นมุกที่ตื้นมากโดยเฉพาะกับคนคอแข็งแบบเขา
“เยอะเกินมันจะขมนะคราม” เจอร์พูดเสียงเรียบเมื่อเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้วเห็นว่าเจ้าของชื่อกำลังทำอะไรกับแก้วน้ำของเขา ...นั่น ฝาขวดที่มีเหล้าเกือบล้นยังคามือมันอยู่เลย
“เสียใจด้วยพวกมึง ไก่ตื่นแล้วจ้ะ” เขาอยากจะด่าไอ้เพื่อนตัวดีที่ไม่คิดปกป้องกันบ้างเลย มันทำแค่แบมือซอรี่และเดินกลับที่นั่งตัวเอง
“ว่าไง? จะเสือกเรื่องอะไรบอกมา” พูดพร้อมกอดอกมองพวกมันนิ่งๆ เบ้ปากหมั่นไส้เมื่อตังหันแท็กมือกับวาอย่างสะใจ ส่วนไอ้ไมร้องเยสเสียงดังลั่นเหมือนกองหน้าทีมโปรดยิงประตูเข้า
ถามถึงนันท์น่ะเหรอ? ไม่รู้สิ ไม่กล้ามองตรงๆหรอก
“มึงกับไอ้เมษมันยังไงวะเจอร์?” ครามถามขึ้นอย่างไร้สำนึก สรุปที่ทำหน้าสลดเมื่อกี้คือการแสดงทั้งนั้นสินะ
จินเจอร์โคลงหัว
“ไร้สาระ” มองหน้าเนเพื่อถามว่าประเด็นเมษานี่ผุดขึ้นมาได้ยังไงในเมื่อมันไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้น เขานับถือไอ้เมษเหมือนแม่พอใจรึยัง ถึงจะมีบ้างที่ชอบทำเหมือนมันเป็นแม่ของลูกก็เหอะ
และไอ้เมษก็รู้ดี มันเคยปฏิญาณด้วยซ้ำว่าถึงโลกจะแตก ฟ้าถล่มยังไง มันจะไม่เอาเขาทำผัวเด็ดขาด
2019 แล้วนะทุกคน เรื่องผู้ชายผู้หญิงเป็นเพื่อนสนิทกันได้ไหมไม่ใช่อะไรที่หาคำตอบอยากขนาดนั้น
“ไม่ต้องมามองหน้ากู มึงนั่นแหละเรียกเมียๆจนพวกมันสงสัย” เพื่อนเขายักไหล่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ เคยมีใครบอกไหมว่าไอ้เนเป็นคนที่กวนตีนได้ธรรมชาติมาก -_-
“พวกมึงอย่าเปลี่ยนเรื่อง สรุปยังไงไอ้เจอร์? มึงกับเมษคบกัน?” ตังรีบแทรกเมื่อเห็นเขาทำท่าจะตีกับเพื่อนสนิท นี่ก็จะรู้ให้ได้เลยจริงๆ
“อืม กูคบกับเมษ” เขาส่งยิ้มหวานจับใจให้เพื่อนๆรวมถึงคนที่สนิทสุดที่ช็อกตาค้างไปเรียบร้อยแล้ว
“...เหมือนที่คบกับเน คบกับพวกมึง^^” ร่างสูงเพรียวย้ายมานั่งขัดสมาธิในวงบ้าง ปล่อยให้เพื่อนประมวลผลและรับเศษกระดาษทิชชู่ที่ถูกปาใส่หน้า
เอ้า...ก็คบไง เพื่อนมันก็เรียกคบป่ะวะ
“ไอ้สัสกวนตีน”
“เล่นแม่งเลยวาวา กูพร้อมบวก”
“อ่ะเอางี้ๆๆ” ครามยกมือห้ามทัพวาที่แท็กทีมกับไมโลจะลุกมาแหกอกเขา เริ่มสงสัยแล้วนะว่าการไม่พูดถึงเรื่องของตัวเองให้ชาวบ้านฟังมันผิดร้ายแรงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไอ้เจอร์มึงตอบแค่ ‘ใช่’ กับ ‘ไม่ใช่’ เคป้ะ?”
“คนคลุมเครือ2019ว่ะ หล่อมากมั้ง” ตังยังหาเรื่องมาแดกดันไม่เลิก เอาเข้าไป แล้วนี่ไม่คิดจะมีใครอยู่ข้างเขาบ้างเลยจริงดิ ให้ตายเถอะ
“กูขอก่อน มึงคบกับเมษาเป็นแฟนใช่มั้ย?” เป็นครามที่เริ่มก่อนอย่างเร็วเหมือนเตรียมคำถามมาจากบ้าน เขากลอกตา โอเค จะเล่นก็มา!
“ไม่ใช่” และไม่มีทางใช่ในชาตินี้เลยไอ้เวร!
“แต่มึงก็ไม่ได้บริสุทธิ์ใจกับไอ้เมษใช่ป้ะ?”
“ไม่บริสุทธิ์ใจอะไรของมึงวะไม” นั่นสิ เขาทำหน้างงเหมือนวาเดี๊ยะๆ
“ก็แบบ...เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไรงี้” เจอร์แทบจะหัวเราะออกมาเสียงดังตอนไอ้เนสำลักเบียร์เลอะเสื้อไปหมด มันมองค้อนคนถามด้วยความหงุดหงิด
แม่ง! ใช้คำซะน่ารักจนเห็นภาพพี่นุ่นพี่ซันนี่เลยมึง
“ไม่ใช่” ตอบเสียงเรียบแบบไม่ต้องคิดไปอีกข้อ
“คือมึงมองเมษเป็น ‘แค่เพื่อน’ งี้เลยช้ะ แบบว่า...ไม่มีพิเศษใส่ไข่อะไรเลยสักนิดนึง?” ตังถาม
“เฮ้ยๆๆ! รอบนี้แม่งมีกระตุกว่ะ!” และครามก็ขยี้ทันทีที่เห็นเขาชะงักไปสองวินาที
“เออ มีทำหน้าคิดนิดนึง มันยังไงอ่ะคุณเจอร์~” ไมโลเริ่มยกยิ้มกวนประสาท หันไปยักคิ้วจึ้กๆกับวาอย่างได้ใจ
ก็จะบอกว่าไม่พิเศษมันก็ไม่ใช่
เขาสนิทกับไอ้เมษมากพอๆกับไอ้เนจนแทบจะนับเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว
“มันไม่—”
“อ๊ะๆๆ มึงไม่ต้องมาโกหก เพื่อนที่ไหนมีซื้อกะปิหวานให้กัน” ไอ้เชฟขัดเขาด้วยข้อโต้แย้งสุดปัญญาอ่อน งั้นที่ซื้อปลาเค็มฝากแม่ด้วยนี่คือแอบรักแฟนพ่อ? มันใช่เรื่องเหรอวะ -*-
“เป็นการบอกรักทางอ้อมไงมึง แบบเติมความหวานกันหน่อยไรงี้”
“เกินเยียวยาไอ้เหี้ย” เนพูดขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวอย่างปลงตก ไอ้ตังนี่มันก็ยังจะชงต่อได้อีก เติมความหวานกันด้วยกะปิหวานอ่ะนะ? โรแมนติกที่สุดเลยเว้ยแก, เนกลอกตารำคาญจับจิต
“แต่เดี๋ยวก่อนมึง...มันไปคบกันตอนไหน เมษาพึ่งโสดได้ไม่ถึงปีเลยหนิ” วาที่รู้จักกับหญิงสาวประมาณนึงไม่ค่อยกล้าเรียกไอ้เมษเหมือนพวกเนกับตัง แต่ถึงไม่กล้าเรียกก็ยังกล้าเสือกเรื่องเขาเต็มที่นะครับผม!
“เออว่ะ”
และทุกสายตาก็จับจ้องมาที่เขา
“อย่าบอกนะว่ามึง...” ครามทอดเสียงยียวน หันหาพวกอย่างไมโลและตังที่ทำหน้าตื่นเต้น
“ตีท้ายครัวไอ้เมษ!”
คราวนี้จินเจอร์และเนอดไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาสองคนปาน้ำแข็งก้อนใส่ไอ้แก๊งสี่ตัวที่เชื่อมโยงทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมด ปากก็ก่นด่าความบ้าบอของเพื่อนจนตังเริ่มตอบโต้ สุดท้ายจึงเกิดเป็นสงครามน้ำแข็งปนกระป๋องเบียร์ หัวข้อสนทนาเป็นอันตกไปด้วยข้อสรุปที่เป็นเท็จ
“เอ้าไอ้นันท์ รับไป!” เนยื่นถุงน้ำแข็งที่ยังไม่แกะให้คนเดียวที่นั่งนิ่ง เพราะว่ายังไม่ได้ร่วมต่อสู้กับฝ่ายไหนเลยโมเมไว้ก่อนว่ามันอยู่ข้างเขากับไอ้ตัวก่อเรื่อง
ที่มีอยู่สองคนนี่ก็เสียเปรียบชิบหาย!
“...” ทว่าสายตาคมเฉียบนั้นกลับเหลือบมองของที่ถูกส่งให้โดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับมือมารับ แต่เนไม่มีเวลาสนใจเพราะไอ้ครามมันทำน้ำแข็งหล่นลงในคอเสื้อจนสะดุ้งโหยง เย็นพุงหมดแล้วโว้ย!
“ฮ่าๆ ไอ้ไมมึงแค้นอะไรส่วนตัวกู” เจอร์หัวเราะเสียงดังเมื่อไมโลตวัดมองอย่างเคียดแค้น สงสัยเมื่อกี้เลือกก้อนใหญ่ไปหน่อย ได้ยินว่าดังปั้กเลยมั้งน่ะ
“ไอ้เจอร์ แม่งโกง!” เพื่อนร่วมทีมเขารีบร้องบอกเมื่อเห็นวากับตังแวบหายเข้าครัวก่อนกลับออกมาพร้อมถังใส่น้ำแข็งใบใหญ่ ไอ้สองซี้ที่พัลวันอยู่กับเขาทั้งคู่ก็รู้งาน รีบมาล็อกตัวให้กลายเป็นฝ่ายกระทำโดยสมบูรณ์
“มะ มึงใจเย็นไอ้วา” เขาเริ่มเอาคำพูดเข้าช่วยพอเห็นว่าหมดทางหนีแล้ว ส่วนไอ้เนก็งับหัวอยู่กับไม ไม่ได้สนใจว่าจะโดนทุ่มด้วยขั้วโลกเหนืออยู่รอมร่อ
“กูเย็นเจี๊ยบเลยจ้ะตอนนี้ :)” คุณเชฟปาดหยดน้ำออกจากหน้าที่มีรอยแดงหน่อยๆจากแรงกระแทก ถึงเขาจะมีน้อยกว่าแต่ก็ปาแม่นอยู่พอตัว และดูเหมือนว่าจะโดนวาเป็นส่วนใหญ่
ขอขมามันทันไหมเนี่ย?
“เดี๋ยวๆๆ” เนหลับตาปี๋พยายามห้ามคนที่ย่างสามขุมเขามาใกล้ ชาแน่ๆ โดนถังนี้เข้าไปชาแน่ๆ
“พอได้ละพวกมึง”
เขากับเนหันไปมองคนพูดเป็นตาเดียวด้วยความรู้สึกที่แกต่างกันสุดขั้ว คนนึงมองเหมือนเห็นแสงสว่างนำทางชีวิตที่กำลังดิ่งลงเหว ส่วนอีกคน...
มองด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นผิดไปและหัวสมองที่ว่างเปล่า
คำว่า ‘ปกป้อง’ มันฟังดูรู้สึกดีชะมัด ถึงแม้ว่าจะเป็นคำที่เข้าข้างตัวเองอย่างไม่น่าให้อภัยก็เถอะ
“เลอะเทอะ เดี๋ยวก็ต้องมาเก็บกันยาวอีก” เหมือนทุกครั้งที่คำพูดของนันท์มีพลังลึกลับกับเพื่อนๆเสมอ ทุกคนถึงได้หยุดการกระทำอันไม่เข้ากับอายุเลยสักนิดและก้มมองรอบตัวที่เริ่มเปียกเพราะความเย็นกำลังละลายหายไป
“มึงคนเดียวเลยไอ้เจอร์” ตังโบ้ยเขาอย่างกวนประสาท
“วางถังในมือก่อนมั้ย?” เขาเลยแซะกลับไป เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้เป็นอย่างดี
หลังจากสติเริ่มกลับเข้าร่างทุกคนก็ตัดสินใจว่ากระเพาะไม่ต้องการอาหารอีกต่อไปแล้ว การเก็บกวาดเลยเป็นงานเดียวที่เหลือสำหรับคืนนี้ ถึงแม้จะชอบมีวลีประจำกลุ่มว่า ‘วาทำวาเก็บ’ แต่พอถึงเวลาพวกเขาก็จะช่วยๆกันตามความสามารถที่มี คนล้างจานคล่องๆอย่างเพื่อนเชฟและไมโลก็จะมีที่ประจำในครัว หน่วยเก็บกวาดสถานที่เลยมีเขา เน และนันท์ ส่วนตังกับครามจะเคลียร์อาหารกับเหล้าที่เหลือ แยกเก็บอันที่กินได้กับที่ต้องทิ้งเพื่อยกจานต่างๆไปให้ฝ่ายล้างอีกที
“โอ้โห...” เขาหันมองเนที่ยกผ้าชุ่มน้ำขึ้นมาให้ดู เจอร์นึกขำที่ตอนเล่นไม่เคยคิด มาสำนึกได้ตอนต้องทำความสะอาด
“มึงทำงั้นมันก็หยดหมดสิครับ” สุดท้ายก็ต้องลุกไปหาคนที่ง่อยงานบ้านที่สุดอย่างไอ้เน เอาผ้าที่ยังพอหมาดในมือรวบผืนที่ชุ่มจนเช็ดอะไรต่อไม่ได้ของเพื่อน
“นู่น เอาขยะไปทิ้งไป” นิ้วเรียวชี้ไปที่ถุงพลาสติกใบใหญ่ก่อนจะต้องชะงักเมื่อใครอีกคนกำลังจะก้มลงจับมันพอดี ยิ่งเผลอสบตาคมเฉี่ยวคู่นั้นยิ่งทำหน้าไม่ค่อยถูก
“...ตรงนั้นยังไม่ได้เช็ด กูทำเอง” ท้ายประโยคคนพูดหมายถึงถุงขยะในมือ เนเหลือบมองเขาเล็กน้อย หันไปพยักหน้ากับนันท์พลางพึมพำว่าจะหยิบผ้ามาใหม่
สุดท้ายสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดอย่างการเหลือแค่นันท์กับเขาแค่สองคนก็เกิดจนได้
“...” เจอร์ก้มลงเช็ดพื้นต่อ มองๆดูแล้วก็เลือกที่จะเดินเข้าครัวเพื่อเปลี่ยนผ้าผืนใหม่บ้างแม้ว่าที่มีอยู่ยังพอใช้ได้
บรรยากาศมันอึดอัดเหมือนอยากผลักให้เขาออกจากตรงนี้เสียที
“เจอร์”
คนถูกเรียกสะดุ้งเฮือก แต่ก็รีบตีสีหน้าให้เป็นปกติยามที่หันหลังมาเพื่อรอฟังว่า ‘เพื่อน’ มีอะไรจะพูดด้วย
นันท์มองมานิ่งๆ ไม่ยอมพูดอะไรอยู่เกือบครึ่งนาที และที่เขารู้ก็เพราะกำลังทำให้ตัวเองใจเย็นด้วยการนับเลขไปเรื่อยๆ
“โทรศัพท์มึง” บอกพร้อมกับพยักเพยิดทางโซฟาเดี่ยวที่พวกเขากองโทรศัพท์รวมกันเอาไว้ตอนเล่นเกมอะไรสักอย่าง เจอร์มองตาม ความจริงคือพยายามหาจุดวางสายตาที่ไม่ใช่คนตรงหน้า
เขาตอบแค่ ‘อ้อ...’ สั้นๆบ่งบอกว่ารับรู้แล้วพลางเดินไปทางที่นันท์บอก ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ห่างจากจุดที่เจ้าตัวยืนอยู่เท่าไหร่
เขาไม่เข้าใจความรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้อีกฝ่ายของตัวเอง ค้นหาสาเหตุที่พอจะเป็นไปได้ก็พบเพียงความกลัวข้อเดียว
กลัวว่าคำต่อไปของนันท์จะเป็นสิ่งที่เขาทนฟังไม่ได้ กลัวว่าถ้ามองสายตาอีกคนนานๆจะเห็นบางอย่างที่เปลี่ยนไป
ไม่ได้เห็นเขาเป็นเพื่อนอย่างที่ผ่านมา ...แต่ว่าเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“..?” เจอร์เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อหน้าจอแสดง missed call ก่อนจะเบิกตากว้างพอเห็นว่าเจ้าของชื่อที่โทรเข้าเป็นใคร
“เวรละ” นันท์ได้ยินอีกคนสบถตอนที่เขากำลังผูกปากถุงสุดท้าย ยังไม่ได้ถามว่ามีอะไรรึเปล่าเจอร์ก็เดินเร็วๆออกนอกบ้านพร้อมกดมือถืออย่างรีบเร่ง
เขาทำเป็นไม่ใส่ใจความอึดอัดที่แทรกระหว่างกัน ถึงจะเป็นปกติที่เขาไม่ค่อยร่วมวงเล่นอะไรติ๊งต๊องกับเพื่อนแต่ก็ยังหัวเราะเฮฮาไม่ได้เงียบขนาดนี้ ...โดยเฉพาะกับจินเจอร์
เห็นทุกครั้งว่าเวลาเผลอสบตา อีกฝ่ายจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“...” คนตัวสูงถอนหายใจเฮือก รวบของที่ต้องเอาไปทิ้งไว้ในมือ ฟังเสียงความคิดถกเถียงกันในใจว่าควรจะทำอะไรต่อกับเรื่องนี้
“พี่มาเที่ยวกับพวกไอ้เน โทษทีครับที่รับสายเราช้า”
ขาที่กำลังจะพาตัวเองเดินไปตรงถังขยะชะงักกึกเมื่อเสียงของคนที่กำลังคุยโทรศัพท์ดังชัดเจนให้ได้ยิน นันท์มองจินเจอร์ที่ยืนอยู่อีกฟากของสระว่ายน้ำ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้
“คิดมาก มีเด็กแสบให้ดูแลทั้งคนจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ?” ประโยคนั้นทำให้คน (แอบ) ฟังขมวดคิ้ว ทั้งสรรพนามและน้ำเสียงที่ใช้บ่งบอกว่าปลายสายไม่ใช่เมษา แต่เป็นใครบางคนที่น่าจะสำคัญกับเจอร์มากกว่านั้น
แล้วมันหมายความว่ายังไง? ในเมื่อเมษา—
“เอ้อ วันนี้พี่ไปตลาดโต้รุ่งมา ซื้อกะปิหวานมาฝากเราด้วย”
ถ้าเป็นไอ้ไมหรือตังมันคงจะแซ็วเรื่องอาหารเจ้าปัญหานั่นอย่างสนุกสนาน ทว่านันท์กลับขำด้วยไม่ออก ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแม้รู้ดีแก่ใจว่าการแอบฟังคนอื่นมันเสียมารยาทขนาดไหน
คนหลายใจต่างหากที่ทุเรศกว่า
“อืม แล้วเราโทรหาพี่มีอะไร...นี่มันยังเช้าอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?” ร่างสูงเพรียวสมส่วนละมาดูเวลาบนหน้าจอมือถือต้อนท้ายประโยค นันท์แค่นยิ้มเมื่อลองคำนวณตามไทม์โซนที่เป็นไปได้แล้วรู้ว่าปลายสายคงอยู่ต่างประเทศที่ไกลพอสมควร
คลาสสิกดีหนิ มีคนอื่นเพราะว่าอยู่ใน long distance relationship
นัยน์ตาคมกริบจ้องมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของจินเจอร์อย่างค้นคว้า อยากจะรู้ว่าทำใจให้สบายขนาดนั้นได้ยังไง
“จริงจัง?! อย่ามาให้ความหวังกันนะบอกก่อน”
ทั้งท่าทางตื่นเต้นดีใจ น้ำเสียงสดใสอ่อนโยนที่ใช้คุยอยู่แบบนั้น ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดเหรอที่ทำเหมือนๆกันกับใครอีกหลายคน
“ทำงานดึกอีกแล้ว? ...พี่ไม่อยู่ด้วยก็ดูแลตัวเองหน่อยสิ มันเป็นห่วงครับ” นันก์กำมือแน่น ความหงุดหงิดแล่นริ้วขึ้นมาจนต้องย้ำกับตัวเองให้เย็นลงอยู่หลายรอบ พยายามบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องของเขาสักนิด
อย่าเอาอะไรที่เคยเจอมาปนกับเหตุการณ์ปัจจุบัน
เกือบห้านาทีถัดมาไม่มีคำพูดใดใดจากคนทางนี้อีก เหมือนว่าเจอร์กลายเป็นฝ่ายรับฟัง หัวเราะรับคำไปตามประสาจนทุกอย่างดำเนินมาจนบทสนทนาสุดท้าย เขามองเห็นรอยยิ้มกว้างลดลงเป็นเพียงริมฝีปากที่ยกขึ้นบางเบา นัยน์ตาคู่เดิมฉายแววเอ็นดูอย่างที่คนอยู่ห่างออกมาหลายเมตรยังสังเกตได้
“คิดถึงเราเหมือนกันนั่นแหละ”
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สนิทกับเจอร์เหมือนอย่างเนหรือคนอื่น แต่ตอนนี้มีหนึ่งอย่างเกี่ยวกับคนตรงหน้าที่เขารู้ดี
ว่าคนคนนี้น่ะ...โกหกเก่งยิ่งกว่าใคร
เขาเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้งพอเห็นว่าเจอร์กำลังสอดมือถือลงในกระเป๋ากางเกง รอยยิ้มจางชะงักไปเล็กน้อยตอนคนถูกแอบฟังหันมาเห็นเขา นันท์มองกลับนิ่งๆและเห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้ดูตกใจอะไร ออกจะสงสัยมากกว่าว่าทำไมเขาถึงยังยืนอยู่ตรงนี้
“...กูช่วยมั้ย?” ไม่รอฟังความเห็นของเขาอีกฝ่ายก็เดินเข้ามาหยุดตรงหน้า คว้าถุงไปสองสามใบจนมีเท่าๆกันทั้งสองคน
“...” คงเพราะว่าเขาเงียบและไม่มีท่าทางจะต่อบทสนทนาด้วย เจอร์ถึงหมุนตัวเดินนำไปจุดทิ้งขยะ เดินฉับเหมือนอยากจะรีบกลับเข้าในตัวบ้านเต็มแก่
เขาเดินตาม มองแผ่นหลังในเสื้อทรงโอเวอร์ไซส์ หัวก็คิดไปต่างๆนานา
อย่างเช่นเรื่องเมษา คนที่อยู่ปลายสายเมื่อกี้นี้ ...และตัวเขา
“กูไม่คิดว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้” แม้แต่นันท์เองก็ยังตกใจตอนได้ยินประโยคนั้นถูกเปล่งออกไปเป็นคำ คนที่กำลังเดินนำหยุดกึก หันมามองเขาเต็มตัวแม้ว่าถ้าเดินต่อไปอีกก้าวก็คงจะได้ทิ้งขยะและจบช่วงเวลาน่าอึดอัดนี่ไปแล้ว
“หมายความว่าไง?” เจอร์ถามเสียงเรียบทั้งที่อวัยวะในอกเริ่มเต้นถี่รัว คนที่มีชนักติดหลังอย่างเขากำลังกลัว ยิ่งเห็นสายตาข้องใจสงสัยจากนันท์ยิ่งพาลให้ปลายนิ้วเย็นเฉียบขึ้นมา
“ในฐานะเพื่อน กูขอพูดอะไรอย่างนะเจอร์”
“...” เจ้าของชื่อรอรับฟังด้วยหน้าผากชื้นเหงื่อ ไม่แน่ใจว่าเพราะอากาศหรือการทำงานของร่างกายในสภาวะอารมณ์ผิดปกติ
“อย่าทำแบบนี้เลยว่ะ” นันท์เลือกจะพูดในสิ่งที่ตั้งใจไว้ต่อจนจบ อาจจะเริ่มต้นแรงไปหน่อยแต่โดยรวมแล้วมันเป็นไปด้วยเจตนาที่ดีของเพื่อนคนนึง
ยังไงจินเจอร์ก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่เขาสนิท ไม่มากก็น้อย
“กูทำอะไร?” ถามกลับอย่างกล้าหาญจนนึกตลกตัวเอง ทำตัวปากเก่งทั้งที่มืออีกข้างกำลังสั่นแท้ๆ
“ถ้าเมษสำคัญกับมึงจริงก็หยุดเรื่องผู้หญิงคนอื่นไปเถอะ หรือถ้าไม่ใช่ไอ้เมษก็บอกมันให้จบๆ พวกมึงรู้จักกันมานาน” ประโยคยาวเหยียดที่สื่อมาหาทำเอาเจอร์งุนงงไปหมด พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวว่าอีกคนกำลังหมายถึงเรื่องไหน แต่ความคิดทั้งหมดก็ต้องหยุดไปเมื่อถูกอีกประโยคกระแทกใส่หน้า
“มึงเลือกเอาสักคน อย่าเห็นแก่ตัวทำร้ายคนที่รู้สึกดีด้วยแบบนี้”
ความสงสัยระคนหวาดหวั่นแปรเปลี่ยนเป็นขั้วอารมณ์ที่ปะทุรุนแรงกว่า หลังบางอย่างสร้างร่องรอยชวนเจ็บปวดลงบนความรู้สึก
ทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ไม่เคยรู้เลยสักนิด...
ก็ยังกล้าตัดสินกันอย่างใจร้าย มองเจอร์ในภาพลบเหมือนกับว่าหลายปีที่ผ่านมาไม่รู้จักว่าเขาเป็นคนยังไง
นันท์มองคนตรงหน้าที่ระบายยิ้มหยันบนริมฝีปาก ให้ความรู้สึกเดียวกับตอนที่อีกฝ่ายบอกว่าเขาแค่ ‘ฝันไป’ ในห้องนั่งเล่นของเช้าวันนั้น เรือนร่างสมส่วนหันหลังเดินต่อ โยนขยะทิ้งลงในถังอย่างไม่ไยดี ไม่คิดจะพูดอะไรแม้แต่ตอบรับในสิ่งที่เขาพูดออกไปไม่กี่วินาทีก่อนหน้า
เจอร์วกกลับมาทางเดิมเพื่อจะกลับเข้าในตัวบ้าน ครั้งนี้สบตากับเขาแน่วแน่ไม่คิดจะหลบหนีทางไหน
“ขอบคุณที่หวังดี” นันท์ควรจะรู้สึกดีขึ้นเพราะคำนั้น ทว่าสีหน้าและน้ำเสียงของคนพูดทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่งด้วยหัวสมองว่างเปล่า
“แต่นี่มันเรื่องของกู”
แวบแรกที่ไหล่ของอีกคนกระแทกเข้ากับส่วนเดียวกันของเขามันให้ความรู้สึกชา
นันท์ยังคงหยุดค้างอยู่ที่เดิมตอนต้นแขนข้างที่เจอร์ ‘จงใจ’ เดินชนก่อนจากไปเริ่มปวดแปลบขึ้นมาเล็กน้อย
“หึ...” เขาแค่นหัวเราะ เดินต่อเพื่อทำสิ่งที่ตัวเองควรทำเสร็จตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนพลางปล่อยให้คำพูดเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้าเล่นวนซ้ำอยู่ในหัว
นั่นสินะ เป็นเขาเองต่างหากที่โง่เง่า
จะเข้าไปยุ่งกับ ‘เรื่องที่ไม่ใช่ของเขา’ ให้มันได้อะไรขึ้นมา
_________________________________________________________________
:นี่ขิงหรือมะพร้าว?
:ทำไม?
:มันห้าวสุดๆเลยเว้ยแก!
เราควรเพิ่มแท็กคอมเมดี้ให้เรื่องนี้ดีมั้ยเพื่อน? #เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มันช้ำใจ๋