ตอนที่ 21 : ศูนย์ยี่สิบเอ็ด
จินเจอร์เป็นคนใจแคบ
เขารู้จักตัวเองดีว่าไอ้ความขี้หวง การอยากได้เป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ที่มันถูกเก็บซ่อนเอาไว้น่ะมีมากตั้งเท่าไหร่ ...เพราะแบบนั้นก็เลยไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ยึดติดกับของชิ้นไหนหรือใครเป็นพิเศษ
ตอนเด็กเขาจะยกของเล่นให้น้องทั้งหมดเพื่อตัดปัญหา ลามมาตอนโตคือการรักษาระยะห่างและไม่ยอมผูกมัดกับทั้งคนและสิ่งของ แน่นอนว่าห้ามยังไงสุดท้ายก็มีข้อยกเว้น มีคนที่แหกทุกกฎของเขา ทำลายระเบียบและระบบป้องกันตัวเองจนพังเละ
“มาเร็วจังรถไม่ติดเหรอ? อ้าวจินเจอร์! ไม่เจอนานเลย”
ถ้าเขามองนันท์เป็นของเล่นที่ยกให้ใครต่อใครได้ง่ายๆโดยไม่ต้องรู้สึกอะไรก็คงดี
“หวัดดีจริน หนังสือใหม่เป็นไงบ้าง?” รอยยิ้มเดิมที่พักนี้ไม่ค่อยถูกใช้โดนดึงออกมาประดับริมฝีปาก จินเจอร์เลือกหาที่วางสายตาของตัวเองอย่างรวดเร็ว รู้ดีว่าถ้าไม่ทำแบบนั้นก็จะต้องเห็น...แววตาที่ดุดันได้กับคนทั้งโลกแต่กลับอ่อนแสงลงเมื่อมองไปที่คนคนเดียว
เป็นคนเดิมเสมอมา
“เขียนสนุกมาก~ จรินไม่เคยจับแนวท่องเที่ยวมาก่อนแต่เหมือนจะติดใจแล้วเนี่ย” น้ำเสียงนุ่มหู ท่าทางสดใสจนดูสว่างไสวทำหัวใจคนมองปวดหนึบ เหมือนยิ่งถูกตอกย้ำถึงความแตกต่าง ยืนยันว่าเขานั้นไม่ได้ใกล้เคียงคนที่เป็นเจ้าของความรักของนันท์เลยสักนิด
“รุ่นน้องที่ทำงานเราก็ชอบจรินมาก ถ้ารู้คงฝากขอลายเซ็นแน่ๆอ่ะ”
“เฮ้ยเอาป่าว? ได้นะ เดี๋ยวให้เครดิตเจอร์ด้วย”
มีเสน่ห์ น่ารัก ทุกองค์ประกอบรวมกันจนหมดข้อข้องใจว่าทำไมใครต่อใครถึงชื่นชม
ยังไม่ทันได้ตอบกลับหญิงสาวก็ก้มเลือกหนังสือในถุงกระดาษใบใหญ่ คัดเล่มสำหรับตวัดหมึกปากกาลงไปเป็นของขวัญสำหรับรุ่นน้องที่เขาพูดถึง จินเจอร์เหลือบมองคนข้างตัวที่ตั้งแต่เข้ามายังไม่พูดอะไร เริ่มคิดเหมือนกันว่าเขาเองอาจจะเป็น ‘M’ ก็ได้ถึงชอบทำร้ายจิตใจตัวเองนัก
ทว่าสายตาดุดันที่ภาพในหัวควรจะมองไปที่หญิงสาวตัวเล็กกลับกลายมาสบเข้ากับเขา ทอดมองอย่างอ่อนโยนเจือกังวลชัดเจนจนต้องเบือนหน้าหนี
“เราชื่อคล้ายกันเลยอ่ะเจอร์ เพิ่งสังเกตแฮะ”
จริน กับ จินเจอร์
ว่ากันว่าบางคนก็ชอบแต่อะไรเดิมๆ หรือไม่ก็หาคุณสมบัติข้อเดิมจากคนใหม่
เขานึกอยากตัดพ้อกับใครสักคนจริงๆที่ผลักให้ต้องมานั่งปวดใจไม่เลิกแบบนี้ ถ้าแปะป้ายบนหน้าผากว่ากำลังอยู่ในช่วงอ่อนไหวจะมีใครสงสารช่วยลดความบังเอิญอย่างตลกร้ายที่เกิดขึ้นกับเขาไหมนะ?
“ก็คล้ายกันแค่นั้น” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป ดึงสายตาของอีกสองคนที่เหลือให้มองยังคนพูดโดยอัตโนมัติ
“แค่ชื่ออย่างเดียว” สีหน้าจริงจังและคำหนักแน่นในคำพูดส่งตรงถึงจินเจอร์และมันปั่นป่วนความรู้สึกอย่างหนัก สิ่งที่ได้ยินแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากการที่นันท์ต้องการบอกเขาให้มั่นใจ
ว่าไม่ใช่ตัวแทน
จรินเริ่มรู้สึกคุ้นกับบรรยากาศตรงหน้าอย่างประหลาด ริมฝีปากสวยในลิปแมตเนื้อสบายยกยิ้มน้อยๆพลางนึกถึงวลีฝรั่งเศษติดหู
‘Déjà Vu’
สองพี่ชายน้องชายบ้านนี้ก็ขยันชวนเธอมาเอี่ยวกับปัญหาหัวใจเสียจริง หากหนังสือเล่มหน้าเขียนออกมาเป็นคู่มือความรักอะไรเทือกนั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลย
“นันท์ดูสดใสขึ้นนะ” เป็นเธอทุกทีสิน่าที่ต้องทำหน้าที่ตัดบทและคลายมวลอารมณ์เข้มข้นที่ถูกสื่อออกมาอย่างไร้ศิลปะโดยสิ้นเชิง มีอย่างที่ไหนไปพูดอย่างนั้นต่อหน้าคนที่ตัวเองชอบทั้งที่มีคนอื่นอยู่ด้วย หัดคิดถึงใจคนจะเขินหน่อยสิว่าคงกระอักกระอ่วนแค่ไหน
แล้วสายตาน่ะ...มองจากดาวอังคารยังเห็นเลยว่า head over heels ไปแล้วคุณอาจารย์
“อือ มีเรื่องดีๆนิดหน่อย”
“หืม? ปูมาขนาดนี้ต้องเล่าแล้ว” เพราะงี้สินะถึงได้พาอีกคนมาเจอกัน หญิงสาวลอบยิ้มพลางโคลงหัวอย่างเอือมระอา ทำอะไรอ้อมโลกสมกับเป็นพัทธนันท์เขาเลยจริงๆ
“นันท์จีบคนนึงอยู่”
“อ่าฮะ— อ้อ! ละ แล้วเป็นยังไง ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย?” จากที่รับคำด้วยการพยักหน้าน้อยๆต้องรีบสับเปลี่ยนเป็นท่าทีตกใจใหญ่เพราะสายตาสงสัยจากคนผิวน้ำผึ้ง แม้ในใจสิ่งที่หญิงสาวอยากทำจะเป็นการเบ้ปากใส่ไอ้ฝ่ายเจ้าแผนการก็เถอะ
ไปทำเขาไว้เยอะแน่ๆ ชัดเจนขนาดนี้จินเจอร์ถึงยังไม่คิดว่านันท์เลิกรักเธอไปแล้ว
อื้อ...นันท์เลิกคิดกับเธอแนวนั้นตั้งนานแล้ว
ถึงเจ้าตัวจะไม่รู้แต่จรินก็จับสังเกตได้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่หลักเหตุการณ์พี่แทนและมิน การแสดงออกและเทคแคร์มองผิวเผินอาจจะไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ แต่สายตาบวกกับระดับความรู้สึกที่ส่งผ่านมาให้มันค่อยๆลดลงจนจางหายมาสักพักแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้คือความเป็นเพื่อนแบบสนิทใจเท่านั้นเลย
“นันท์เริ่มต้นกับเขาไม่ค่อยดี เริ่มมาจีบจริงจังก็เกือบสองเดือนที่แล้ว” บุคคลที่สามในบทสนทนาแต่นั่งอยู่ติดกับคนพูดในความเป็นจริงอยากจะลุกหนี สับสนกับท่าทางของหญิงสาวอยู่นิดหน่อยแต่นาทีนี้ไม่อยากสนใจแล้ว
ถ้าทนฟังไปเรื่อยๆหน้าของเขาต้องร้อนขึ้นจนแดงแจ๋อย่างมีพิรุธแน่นอน
“ยากเลยสิ”
“ก็พยายามอยู่” เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอพลางระบายยิ้มแกนๆส่งไปให้สายตาซุกซนของหญิงสาว อยากจะคิดว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นแววขบขันปนมาในนั้น ทั้งที่ถ้าสังเกตสักหน่อยคงเห็นถึงความประหลาดที่จรินไม่เอ่ยถามถึง ‘ชื่อ’ หรือ ‘ลักษณะ’ ของคนที่นันท์พูดถึงสักนิด
เพราะไม่อยากทำให้อึดอัด และอีกอย่างก็เห็นอยู่เต็มสองตาว่าคนของนันท์เป็นยังไง
“รู้ใช่มั้ยว่าต้องค่อยๆ ใจเย็นๆ” อดห่วงไม่ได้เลยว่าคนใจร้อนจะเผลอทำอะไรบุ่มบ่ามให้ทุกอย่างยุ่งยากกว่าเดิม ทว่าพอได้เห็นท่าทางอ่อนลงยามอีกฝ่ายเหลือบมองเจอร์กับอาการหางลู่หูตกเหมือนหมาพันธุ์ใหญ่รอฟังเจ้าของดุตอนทำผิดก็นึกอยากขำออกมา
“อืม รอได้”
“ระหว่างรอก็ทำให้คนนั้นเขาเห็นนะนันท์ รู้สึกตั้งขนาดนี้แล้ว” จรินไม่ได้ทราบรายละเอียดทั้งหมดแต่ก็พอตีความสีหน้ายุ่งยากใจของคนที่ถูกกล่าวถึงแบบอ้อมๆได้ออก คนที่ไม่ลังเลจะไม่สับสนแบบนี้
แปลว่าในความไม่รักก็ยังมีความรักปนอยู่
“ทำอะไรมากไม่ได้หรอก กลัวลำบากใจ” คิ้วทรงสวยเลิกขึ้นก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ จากคนไม่ยั้งคิดเท่าไหร่กลายเป็นผู้ชายช่างคิดเยอะไปเสียแล้ว
“ฝากนันท์ด้วยนะเจอร์ ...หมายถึงช่วยตบๆหน่อย มีความรักแล้วเพ้อน่าดู”
“เอ่อ—”
“ความจริงนันท์ปรึกษาเจอร์ก็ได้นี่ เจอร์เทคแคร์คนเก่งมากเลย”
“จะมีแฟนไม่ได้มีน้อง ถามเจอร์ไปก็ไม่ได้เรื่อง”
“นี่มึง..!”
“แล้วรับมือเก่งหรือไง เวลาโดนจีบน่ะ?”
“...”
“เห็นเดินหนีตลอด”
จรินเท้าคางมองคนที่เผลอปล่อยไก่โดยไม่รู้ตัวกับคนที่มัวแต่ถลึงตาดุเพราะโดนสบประมาทแล้วระบายยิ้มบางเบา สงครามขนาดย่อมจบลงด้วยหูแดงๆของคุณขิงผสมรอยยิ้มมุมปากของผู้ชนะ ความรักครั้งนี้ดูแล้วคงหมดพลังไปกับการตีกันสลับกับนั่งเขินอย่างนี้ล่ะมั้ง
เป็นไดนามิกที่ลงตัวแบบประหลาดดี
สุดท้ายหนังสือที่อุตว่าห์หอบหิ้วมาให้มินก็ถูกสองหนุ่มช่วยยกไปเก็บจนเสร็จอย่างรวดเร็ว หญิงสาวที่ยืนคอยอยู่ตรงเชิงบันไดกอดอกพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอดีที่นันท์เดินลงมาเพื่อยกกองสุดท้ายเลยได้จังหวะรั้งแขนอีกคนไว้แล้วบอกความในใจสักหน่อย
“ดีใจนะที่นันท์เริ่มต้นใหม่ได้สักที”
“ขอบคุณที่ช่วย” ท่าทางประหม่าชัดเจนบ่งบอกว่านันท์เองก็กังวลเรื่องที่ดึงเธอเข้ามาเกี่ยวแบบนี้เหมือนกัน แต่จรินเลิกคิดถือสาผู้ชายบ้านนี้เสียแล้ว ความจริงก็สนุกดีที่ได้มานั่งดูคนรักกันทำอะไรให้มันยุ่งยาก
“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
หากอยากลองเขียนเรื่องความรักเมื่อไหร่ก็เตรียมใจไว้เลยว่าเธอก็มารีเสิร์ชกับคุณชายพวกนี้นี่ล่ะ
“แอบแช่งด้วยซ้ำว่าอย่าให้เขาใจอ่อนกับนันท์ง่ายๆ”
“จริน” เสียงดุกดต่ำเหมือนทุกครั้งที่เริ่มไม่พอใจ เจ้าของชื่ออยากบอกเหลือเกินว่าการขู่เตือนอย่างนั้นมันหมดความน่ากลัวไปแล้วล่ะค่ะอาจารย์ ตั้งแต่ที่เห็นหน้าตาหงอๆรอความเห็นใจจากจินเจอร์ก็มองนันท์เป็นคนโหดต่อไปไม่ได้แล้ว
“Karma’s only a x if you are… เคยได้ยินมั้ยคะ?” เธอหัวเราะร่วนเมื่อเพื่อนทำท่าเหมือนอยากเข้ามาขย้ำหัวกันเต็มทน ติดตรงที่คนในใจเดินลงบันไดมาเสียก่อน เด็กขี้โมโหเลยต้องเก็บไม้เก็บมือทำเจี๋ยมเจี้ยมต่อไป
อ่า...เห็นแบบนี้จรินก็ขี้แกล้งนะจะบอกให้ :)
ร่ำลากันอีกคำสองคำหญิงสาวก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ ทิ้งให้สองคนที่เหลือยืนทำหน้าไม่ถูกแถมทำตัวเกะกันกันเกือบห้านาที จนจินเจอร์สะดุ้งเพราะว่าโทรศัพท์มีข้อความเข้านั่นแหละนันท์ถึงคิดได้ว่าควรขยับตัวได้แล้ว
“มึง...มีไปไหนต่อรึเปล่า?” นันท์มองสีหน้ายุ่งยากใจของคนข้างตัวและก็เข้าใจได้ เป็นเพราะเขาบอกให้เจอร์มาด้วย ตอนนี้อีกฝ่ายเลยไม่มีรถเป็นของตัวเอง
“ไม่ ทำไม?”
“กูต้องไปหาลูกค้าที่เซ็นเวิลด์ฯ” จะไม่ขมวดคิ้วตามหรอกถ้าไอ้คำว่า ‘ลูกค้า’ ของคนพูดมันฟังดูอึกอักชอบกล ซึ่งประเด็นเก่าๆที่ทำให้เขาขุ่นใจบ่อยครั้งก็บอกใบ้จนเดาไม่ยากว่าใครน่าจะเป็นคนที่ถูกซ่อนชื่อเอาไว้ด้วยสถานะน่าหงุดหงิดนั่น
“คนไหน?”
“ไปส่งหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวกูกลับเอง”
“กูถามมึงอยู่จินเจอร์”
“คุณเบล พอใจ?”
“จะรอรับกลับบ้าน”
“อย่ามางี่เง่าดิวะ” คนที่กำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีกลายเป็นหงุดหงิดจนหน้าบึ้งตึง เกลียดคำที่จินเจอร์ใช้ชะมัดเพราะมันฟังดูเหมือนกับเขาเป็นเด็กน้อยที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่เลย
เขาเข้าใจ...รู้หมดทุกอย่าง
แค่อยากให้สนใจความรู้สึกกันบ้างเท่านั้นเอง
“เพิ่งหายป่วย อยากไข้กลับเหรอ?” อ้างจนเบื่อจะอ้างแต่ก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว คนตรงหน้าเขาดื้อเก่ง เลี่ยงเก่งซะต้องหาเหตุผลร้อยแปดมางัดด้วยกว่าจะยอมฟังกันแต่ละที ปากอยากบอกว่าเป็นห่วงแล้วก็โคตรหวงแต่ดันทำไม่ได้อีก เวรกรรมมีจริงอย่างที่จรินตอกหน้าเขาไปเมื่อครู่นั่นแหละ
“คุณเบลรู้จักบ้านกู”
“แล้วรู้ได้ไงว่ามันจะว่างไปส่ง”
“อย่าหยาบคายนะนันท์” นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมตวัดขู่แม้รู้ว่าคงไม่คมสู้เขาได้ และมันน่าหงุดหงิดเป็นบ้าเลยที่เจอร์พยายามปกป้องคนที่ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
“กูบอกมึงแล้วว่ากูไม่ชอบ”
“เขาเป็นลูกค้า”
“มันชอบมึง จะให้กูสบายใจได้ไง?”
“ความสบายใจของมึงมันควรขึ้นอยู่กับความไว้ใจที่มึงมีให้กูรึเปล่าวะนันท์?”
น้ำเสียงอ่อนล้าปนน้อยเนื้อต่ำใจเล่นเอาคนที่พยายามทำตัวมีเหตุผลนิ่งอึ้ง ริมฝีปากสีชมพูซีดโดนกัดเม้มเมื่อเจ้าของรู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา
ถ้าบอกให้ไว้ใจ...ก็แปลว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะเลือกเขาอย่างนั้นใช่ไหม?
“จินเจอร์—”
“ขึ้นรถได้แล้ว กูไม่อยากสาย”
“เรายังคุยกันไม่จบ” จากที่ฝึกใจเย็นมาพักใหญ่เริ่มไม่เหลือร่องรอย ความตื่นเต้นผสมดีใจอย่างลิงโลดผลักให้เขารั้งแขนอีกคนเอาไว้ กลับมาเอาแต่ใจเพราะหากได้ยินคำตอบของจินเจอร์ตอนนี้คงทำให้เขาลอยได้เลยจริงๆ
“...”
“ที่มึงบอกให้กูไว้ใจ...” เขาเว้นช่วงเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของคนที่เอาแต่หลบตากัน ไม่ได้คิดมากไปเองใช่ไหม แบบนี้แปลว่าเลือกเขาแล้ว ให้โอกาสแล้วจริงๆ
“แปลว่ามึงยัง—”
“ไม่ใช่ตอนนี้”
หัวใจหล่นวูบตอนโดนปฏิเสธกลับมาเสียงเรียบ นันท์ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ถึงขนาดนี้แล้วทำไมจินเจอร์ยังเอาแต่ผลักไสกันอยู่ได้?
“แต่มึงรักกู” เอาอีกแล้ว คนฟังได้แต่เบือนหน้าหนีให้กับประโยคตอกย้ำว่าสุดท้ายตัวเองก็เข้มแข็งได้ไม่ถึงไหน ที่สำคัญคือยังคงพ่ายแพ้ให้คนเอาแต่ใจที่ไม่รู้ว่ามีอะไรดีนักหนาเหมือนกันถึงดึงเขาให้ตกอยู่ในลูปเดิมซ้ำๆสำเร็จ
“ไม่คือไม่ ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง?”
“อะไรวะจินเจอร์? เหลืออะไรที่กูยังไม่ชัดเจนเหรอว่าทั้งหมดนี้คือรักมึง?”
“พอได้แล้วนันท์”
“กูมีแต่มึงได้ยินมั้ย? มีมึงคนเดียว—”
“หยุดสักที!”
ขอบตาแดงก่ำกับไหล่บางที่สั่นไหวดึงสติของใครบางคนกลับมา นันท์นึกอยากดึงความอ่อนแอนั้นมากอดและขอโทษที่เผลอกดดัน แต่สัญญาณเตือนในแววตาที่มองมาทำให้เขาทำได้แค่ยืนโง่ๆอยู่ที่เดิม นึกโมโหที่การเปลี่ยนนิสัยน่ารำคาญของตัวเองเป็นเรื่องยากเย็น ก่นด่าถึงความไม่ได้เรื่องที่โวยวายไร้เหตุผลใส่คนตรงหน้าไป
“กูขอเวลา...ยังไม่ใช่ตอนนี้” เสียงแผ่วเบาจนแทบกลืนไปกับอากาศทำให้นันท์กำมือแน่นอย่างเจ็บปวด
เขามันบ้าบอชะมัด...
“ไหนมึงบอกว่ารอได้?” คำถามปนความไม่พอใจและรอยยิ้มเยาะบนริมฝีปากยิ่งทวีความรู้สึกผิดให้ทับถมจนแน่นทั้งอก แต่นันท์เองก็น้อยใจไม่ต่างกันหรอก พออารมณ์ด้านลบเกิดขึ้นมันก็ตีรวนและพาโลไปหมดจนควบคุมลำบาก
“ใช่กูรอได้ แต่ระหว่างที่รอขอกำลังใจให้กูบ้างได้มั้ย?”
สุดท้ายความวุ่นวายในหัวเลยกลั่นออกมาเป็นประโยคขัดแย้งอย่างอดไม่อยู่
“ถ้าสุดท้ายมึงจะเลือกกู ใจดีกับกูกว่านี้อีกหน่อยนะจินเจอร์” คนที่กำลังอ่อนไหวใจเต้นตึกจนปวดไปหมด ฝ่ามือสีน้ำผึ้งยกขึ้นมาลูบหน้าคล้ายกับเพลียเหลือเกิน ทว่าความจริงมันคือการซ่อนอาการตกประหม่าฉับพลันที่เกิดจากการอ้อนอย่างกะทันหันของไอ้คนเอาแต่ใจนั่นต่างหาก
ไม่เคยเห็นมาก่อน...ไม่ว่ากับใครนันท์ก็ไม่เคยทำ
นี่มันชักจะมากเกินไปแล้ว
_____________
ร่างสูงเดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมาย ลมร้อนแทรกตัวตามเนื้อผ้าจนอยากเลี้ยวเข้าที่ไหนสักจุดที่มีเครื่องปรับอากาศ ทว่าขายาวยังคงก้าวเอื่อยไม่สนใจความต้องการในหัว นันท์ก้มมองนาฬิกาบนหน้าจอมือถือและถอนหายใจ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว...
เขากำลังฟุ้งซ่านที่สุด บางอย่างเต้นเร่าในตัวเขา มันพลุ่งพล่านและทำให้การสงบสติอารมณ์ที่พยายามทำอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องยาก
จะไม่หวงขนาดนี้เลยถ้าจินเจอร์ยอมรับความรู้สึกเขาสักที
ริมฝีปากได้รูปถูกเม้มเข้าหากันเหมือนอยากประท้วงกับดินฟ้าอากาศ พูดออกมาได้ยังไงว่าเขาไม่ไว้ใจ..? ความอดทนและมั่นคงของไอ้คนดื้อนั่นเขาเห็นมาตั้งเท่าไหร่ แถมยังรักเขามาเนิ่นนานทั้งที่นิสัยไม่ได้น่ารักเลยสักนิด ...ทุกอย่างที่เจอร์ทำ เขารับรู้ทั้งนั้น
แต่จะให้เอาตรงไหนมาสงบจิตสงบใจในเมื่ออีกคนเอาแต่ประกาศปาวๆว่าอยากเลิกรักกันเต็มแก่
ลองให้จินเจอร์รับความรู้สึกเขาสิ บอกมาว่าเชื่อใจคนอย่างเขามากพอที่จะเริ่มต้นใหม่แล้ว นันท์สาบานเลยว่าเขาจะไม่งุ่นง่านขนาดนี้แน่
นัยน์ตาคมเฉี่ยวเข้มลึกเนื่องด้วยตกอยู่ในภวังค์ความคิดต่างๆนานา ไม่ได้เห็นเลยว่ามีผู้ชายสองคนกอดคอกันซุบซิบให้กับสภาพเหม่อลอยนั่น ความรับรู้หายไปอยู่ในหัวถึงขนาดที่จะถูกเดินชนอยู่รอมร่อก็ไม่รู้สึกตัว
“อาการหนักจริงว่ะ”
“พวกมึง..?”
“แต่ยังจำเราได้คือพอไหวป้ะ?”
“ไอ้คราม ไมโล” เขาเรียกชื่อเพื่อนที่เจอด้วยความบังเอิญด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายไม่ปิดบัง พวกนี้มันเป็นตัววุ่นวายและเสียงดังเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้คนเดียว แค่คิดก็รู้สึกอยากเดินหนีไปให้ไกลแล้ว
“ทำหน้าเซ็งใส่คืออะไร ไมมึงดูดิ”
“ไม่ได้ชื่อจิน—”
“ชื่อ?” ดวงตาคู่คมตวัดฉับไปมองคนที่รีบปิดปากหลังรู้ว่าหลุดอะไรออกมา ทว่าช้าเกินไปแล้ว คนที่ความสนใจโฟกัสอยู่กับอย่างเดียวมาเป็นเดือนอย่างนันท์ไม่มีทางปล่อยผ่านชื่อนั้นแน่นอน
“โอ๊ยแม่ง ดุจังเลยกับพวกกูอ่ะ เวลาอยู่กับเจอร์มึงเผลอกินหัวมันบ้างมั้ยถามจริง?”
“ไอ้ไม!”
“มึงจะแอ๊บทำไมคราม? คนเขารู้กันทั้งสามย่านแล้วเหอะ” ทั้งที่น่าจะกังวลแต่คนหน้าดุกลับยกยิ้มมุมปากคล้ายพึงพอใจ แปลว่ารู้กันหมดแล้วสินะ...
ไม่ถามเพราะไม่ได้อยากรู้ว่าไปเอามาจากไหน แค่เห็นเพื่อนในกลุ่มเข้าใจทิศทางความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นก็พอแล้วสำหรับนันท์
เวลาใครถามจะได้ตอบชัดๆไปเลยว่าจินเจอร์ไม่ว่างให้จีบแล้ว และนัดกินข้าวครั้งหน้าจะได้มีคนช่วยดูไม่ให้ ‘เรื่องน่ารำคาญใจ’ เกิดขึ้นอีกเหมือนที่ผ่านมา
“แล้วมาทำอะไรกัน ว่าง?”
“โอ้โหดูทำหน้า หมั่นไส้ชิบหาย” เขายักไหล่นิ่งๆเมื่อครามยื่นมือมาผลักอกเขากึ่งจริงกึ่งเล่น ตบท้ายด้วยรอยยิ้มยียวนที่เกิดจากความอารมณ์ดีล้วนๆ
“ไอ้วาเรียกมาเลี้ยงข้าว มึงไปด้วยกันมั้ยล่ะ?” เป็นไมโลที่ตอบคำถามอย่างเอาเรื่องราวอยู่คนเดียว แต่เขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธกลับไปแบบไม่ต้องคิด
“รอเจอร์อยู่” เท่านั้นไอ้สองคนตรงหน้าก็โฮ่ร้องเหมือนชนเผ่าสักอย่าง เรียกสายตาคนรอบข้างให้มองมาด้วยสนใจหรือไม่ก็รำคาญปะปนกัน
“โรงแรมเพื่อนคือห้านาทีถึงมันก็ไม่แวะเว้ย”
“กะว่าเค้าออกมาละต้องได้เจอหน้าเลยไง” คู่ซี้รับส่งคำแซวกันโบ๊ะบ๊ะโดยไม่ได้รู้เลยว่าสถานะระหว่างพวกเขายังไม่ได้ลงตัวขนาดนั้น แต่นันท์ไม่แก้ไขความเข้าใจผิดครั้งนี้หรอก และถ้าเจอร์จะว่ากันเขาก็จะเถียงกลับว่าไม่ได้ยอมรับสักหน่อย
แค่ปล่อยให้พวกมันคิดกันไปเองก็เท่านั้น
“เฮ้ยมาว่ะๆ”
“ตายยากสัส”
“ห้ามล้อ” คนที่รู้ว่าตัวเองหน้าดุแค่ไหนใช้มันให้เป็นประโยชน์ บวกกับคำสั่งเสียงนิ่งทำให้ครามกับไมโลยอมยกสองนิ้วเหมือนเวลาปฏิญาณลูกเสือสำรอง โลกมันแคบหรือยังไงไม่ทราบแต่จินเจอร์เดินออกมาและอยู่ในสายตากลุ่มเขาพอดี
อ่า...หันมาแล้ว
“มันอยู่กับลูกค้า” สำทับเหตุผลปลอมๆไปอีกเพราะไม่ค่อยไว้ใจลูกอีช่างแซวตรงหน้าเท่าไหร่ เห็นเพื่อนพยักหน้าหงึกหงักรับคำแล้วก็ถอดถอนใจ ไม่อยากให้เจอร์โกรธจนต้องทะเลาะกันเลยถ้าหากฝ่ายนั้นรู้ว่าสองหน่อนี้มันรู้แล้วว่าระหว่างเรามันยังไง
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะวะ
“คราม ไอ้ไม” คนที่เพิ่งคุยงานเสร็จพยักหน้าทักทายเพื่อนก่อนจะหันไปแนะนำให้ลูกค้าที่ตามมาทำไมไม่รู้ได้ทำความรู้จัก เบลเหลือบมองเขานิดหน่อยแต่ก็ไม่แสดงออกหยาบคายตามภาษาคนมีมารยาท ทำแค่ระบายยิ้มน่าหงุดหงิดและเริ่มบทสนทนาทั่วไปกับสองซี้
เออดี คุยไปเลยนะไม่ต้องมายุ่งกับคนของเขา
“อยากกินขนม” นัยน์ตาสีน้ำตาลหันมาสบตากันทันทีที่เขาพูดคำนั้นออกไป นันท์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะตีระยะห่างระหว่างเขากับเจอร์และกลุ่มเพื่อนอย่างเนียนๆ แน่นอนว่าคนรู้คิวอย่างครามกับไมก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ชวนเบลคุยนู่นนี่จนฝั่งนั้นปากไม่ว่างนัก
“แล้ว?”
“ไปกินขนมกัน” สมองของนันท์กำลังทำงานด้วยความเร็วแสง ประมวลผลหาร้านของหวานที่จินเจอร์น่าจะไปนั่งทานด้วยได้
“อารมณ์ไหน?”จังหวะที่คนตรงหน้าเลิกคิ้วถามเขาก็คว้าแขนเรียวและดึงให้เดินตามมา บอกลาแก๊งเพื่อนสั้นๆอย่างที่ไม่สนใจฟังว่าพวกมันจะตอบกลับยังไง
“นันท์ อะไรมึงเนี่ย?”
“มึงกินฮันนี่โทสต์ใช่ป้ะ?”
“อืม— ฮะ ใครตกลงกับมึง เดี๋ยวนันท์! กูเพิ่งกินชานมมา”
คนที่เพิ่งได้ข้อสรุปถึงร้านที่จะไปชะงักกึก แรงจับที่ข้อมือแผ่วลงจนฝ่ายที่เดินตามมาแบบงุนงงขมวดคิ้ว
“เฮ้ย! โทษทีครับเพื่อนผมไม่ค่อยสบาย” จินเจอร์ก้มหัวขอโทษคนที่เดินตามมาด้านหลังปลกๆเพราะทางนั้นเกือบจะชนกับนันท์ที่จู่ๆก็หยุดเดินกะทันหัน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววกังวลชัดเจนยามไล่สำรวจคนที่ดูเหมือนสติหลุดไปแล้ว นิ้วเรียวพลิกกลับมาจับข้อมือแกร่งแน่น กึ่งลากกึ่งจูงให้พ้นรัศมีทางเดินออกมาด้วยอารมณ์หงิดหงิดนิดๆ
“หยุดแบบนั้นอยากเจ็บตัวหรือไง?”
“...” คนตรงหน้าไม่ต่อปากต่อคำอย่างผิดวิสัยจนเขาต้องย่อตัวลงคาดคั้น หวังจะสบตาดุดันก็ถูกเจ้าของมันเบือนหน้าหนีไปเสียก่อน
อะไรกัน? ขามายังดีๆอยู่เลยไม่ใช่เหรอ..?
“นันท์”
“...”
“พัทธนันท์” ไม้ตายที่เคยใช้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล จินเจอร์เกาหัวแกรก หันซ้ายหันขวาระหว่างหาทางออกว่ามันเกิดอะไรและเขาจะแก้ปัญหาเด็กยักษ์งอแงนี่ยังไงดี
ร่างเพรียวถอนหายใจเฮือกก่อนจะกระชับกระเป๋าหนังในมือ
“แล้วจะไปร้านไหน? กูไม่รู้จักพวกขนมหวานแถวนี้นะ”
“แหงดิ ปกติมึงไม่ชอบกินนี่” ข้อเท็จจริงที่ถูกนำมาถ่ายทอดอย่างประชดประชันทำเอาคนที่กำลังง้อปวดหัวหนักกว่าเดิม
“ใช่ไง แล้วสรุปร้านไหน ตรงนี้มันร้อน” เร่งด้วยการกระพือคอเสื้อยืนยัน เห็นนัยน์ตาเฉี่ยวนั่นเหลือบมองมานิดหน่อยแต่ก็แค่วูบเดียวแล้วหันหนีไปอย่างเดิม
“กลับเหอะ มึงไม่ชอบ”
“เร็วๆได้มั้ย กูร้อน”
“แต่—”
“ถ้ายังลีลากูจะพาไปกินกาแฟ เอายังไง?” สุดท้ายต้องงัดเอาเสียงเข้มปนกระแทกกระทั้นมาใช้ คนตัวใหญ่แต่ใจนิดเดียวถึงได้ยอมเดินลากเท้าไปทางที่ควรจะต้องไปสักที
ที่ยอมให้ไม่ได้ใจอ่อนหรอกนะ ก็แค่ ‘รำคาญ’ เท่านั้นแหละ
อือ รำคาญ โคตรน่ารำคาญเลยจริงๆ...
_________________________________________________________________
งอนอะไรอ่ะนันท์ เจอร์ก็แค่กินชานมป้ะ?
แค่อยู่ดีๆคนที่กินแต่กาแฟกับน้ำเปล่าก็กินชานมเฉยๆเอง
แล้วก็เป็นชานมที่คุณเบลเลี้ยงแค่นั้นเอง
มีตรงไหนน่างอนไหนตอบซิ? ¯\_(ツ)_/¯
#เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พันธนันท์ขี้ใจน้อยไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย 5555555555555555