ตอนที่ 20 : ศูนย์ยี่สิบ
“อืม...” เสียงทุ้มเจือแหบครางอื้อในลำคอ งอแงกับแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาว่ายังไม่อยากเริ่มต้นวันสักเท่าไหร่ ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศจางลงจนจินเจอร์ต้องพลิกตัวออกจากผ้าห่ม พยายามปรือตาขึ้นมองเลขแสดงอุณหภูมิสักพักก่อนจะถอนหายใจเมื่อหน้าจอดิจิตอลกลายเป็นสีดำ
อีกแล้ว...
คนขี้เซามุดหน้าลงกับหมอนใบโต บิดขี้เกียจอยู่บนเตียงพลางปาดป่ายหามุมที่ยังลงเหลือความเย็นอยู่
“ตื่นแล้วก็ลุกไปอาบน้ำ” ทันทีที่จบประโยคผ้านวมผืนนุ่มก็ถูกคนบนเตียงดึงมาคุมโปลงทันที
น่ารำคาญ
“จะนอนใช่มั้ย?” เขายอมอดทนหายใจแบบไม่ค่อยถนัดอยู่ใต้ผ้าผืนใหญ่ดีกว่าต้องต่อปากต่อคำกับไอ้คนวุ่นวายที่พยายามเข้ามาสร้างระบบใหม่ในชีวิตเขาได้เกือบสามอาทิตย์แล้ว
“ได้”
คนเราแม่งต้องเรียนรู้ที่จะตัดใจป่ะวะ?
“นันท์!” น้ำหนักที่โถมทับลงมาทำเอาจุกจนคิดคำด่าต่อไม่ออก ปราการชิ้นเดียวโดนกระชากลงพื้นข้างเตียง เผยให้เห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากชวนเสียวสันหลังของคนบนร่าง
“ไอ้เหี้ย กูหายใจ—” การเฝ้าถนอมริมฝีปากของใครบางคนส่งผลให้การบดจูบรุนแรงไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป และแม้จินเจอร์จะฝืนปิดปากแน่นนันท์ก็ไม่ต้องห่วงว่าถ้ากัดพอแสบสักนิดหน่อยจะทำให้อดลิ้มรสความหวานไปอีกพักใหญ่
เหมาะเจาะพอดีที่เจ้าของบ้านชอบนอนดึกจนติดเป็นนิสัย นั่นหมายความว่ากว่าคนใต้ร่างจะจัดการตัวเองและขึ้นเตียงพักผ่อนมักเกินเวลาเที่ยงคืน แปลอีกทีคือปากของจินเจอร์ยังสะอาดแถมบางวันอย่างเช่นวันนี้มีรสหอมเย็นติดปลายลิ้นมาด้วย
“เมื่อคืนนอนกี่โมง?”
ถึงชอบแต่ก็ไม่ดีเท่าไหร่ นันท์กระซิบถามในจังหวะที่เว้นให้ใครบางคนหายใจก่อนจะเป็นลมพับไปเสียก่อน
“ตีสา— อึก!” ลำคอระหงถูกกัดด้วยความมันเขี้ยว พอเริ่มใช้เวลาด้วยกันเยอะอีกฝ่ายก็ชักจะเผลอไผลทำตัวน่าแกล้งหนักขึ้นทุกที จินเจอร์คงไม่รู้ตัวว่าพักหลังตอบคำถามไร้สาระของเขาบ่อยแค่ไหน และอนุญาตให้คนอย่างนันท์เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวลึกขึ้นมากเท่าไหร่
ข้อเสียของเขาคือความใจร้อน แต่ถ้าปักใจกับอะไรแล้วก็จะได้เห็นข้อดีที่พอจะมีอยู่บ้างตามมาด้วย
ความสม่ำเสมอ
และสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมันมักนำไปสู่ความคุ้นชิน จนสำหรับบางคนกลายเป็นเสพติด ถลำลึกจนไม่อยากให้ขาดหายไป
นันท์รู้ว่าฟังดูไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่สมดุลเท่าไหร่นัก แต่เขาเองไม่ใช่คนมีจุดกึ่งกลาง สเปกตรัมของเขาคือปลายสองข้างระหว่างรักมากและไม่รักเลยเท่านั้น
“นันท์...อื้อ” ชอบที่สุดเวลาที่ลมหายใจของเราทั้งคู่รินรดกัน ของเหลวสีใสผสมเลอะลงที่มุมปาก ใบหน้าแดงก่ำเหมือนกับว่าต่างคนต่างซับสีจากอีกฝ่ายมาไว้บนหน้าตัวเอง
ชอบ...เวลาที่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันในทุกทาง
“ยะ อย่า” เสียงสั่นพร่าพร้อมกับแรงขืนเล็กน้อยเกิดขึ้นยามที่ฝ่ามือหนาไล้ลงต่ำ ซุกซนอยากเข้าไปสัมผัสบางส่วนที่ห่างหายกันไปนาน ซึ่งนั่นก็มากพอแล้วที่จะทำให้นันท์หยุดการล้ำเส้นที่จินเจอร์ขีดชัดเจนอย่างเต็มใจ ผละออกมากดจูบลงบนหน้าผากและนอนสบตากันภายใต้ความเงียบ
นัยน์ตาสีน้ำตาลลอบมองท่าทีของคนที่หันหน้าเข้าหากันพร้อมกอดเอวเขาไว้หลวมๆเผื่อจะเห็นร่องรอยความไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ ทว่าสิ่งที่ได้รับมีเพียงรอยยิ้มจางกับสายตาเข้าใจที่มองมาจนรู้สึกถึงมวลสารอบอุ่นในอก
“...วันนี้ทำอะไร?” ในที่สุดก็ทนจ้องกลับไม่ไหวจนต้องเปลี่ยนเรื่อง คนจมูกไวแอบได้กลิ่นนมปนบางอย่างจากเสื้อยืดตัวใหญ่ที่พักนี้มาให้เจอหน้าบ่อยเกินความจำเป็น
“ไข่คนกับบรอกโคลีผัดกุ้ง” นี่ก็เป็นอีกอย่างที่นันท์ทำให้โดยที่ไม่ได้ร้องขอ แต่คนรับรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะโหยหาถ้าหากวันนึงมื้อเช้ากับคนที่มานั่งทานข้าวด้วยกันหายไป
“ไปอาบน้ำได้แล้ว กูหิว”
“อืม”
รอยยิ้มดีใจถูกระบายขึ้นเมื่อแผ่นหลังของใครอีกคนถูกกั้นบังด้วยประตูห้องน้ำ นันท์ทดลองมาหลายครั้งแล้วกับการแทรกตัวเองลงไปในเงื่อนไข และจินเจอร์ก็มักจะยอมทำตามง่ายขึ้นจนบางครั้งง่ายกว่าการเอาผลประโยชน์ของเจ้าตัวเองมาล่อ
อย่างเช่นถ้าบอกว่าหิว อีกฝ่ายก็จะรีบจัดการตัวเองให้เสร็จเพราะรู้ว่ายังไงเขาก็รั้นรอทานพร้อมกัน
ถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองบอกว่าง่วงดูบ้าง ดึกๆเจอร์จะได้เลิกหมกตัวเองอยู่กับงานและยอมปิดไฟนอน
อ่า...แต่อย่างนั้นคงต้องรอให้เจ้าของบ้านเขาอนุญาตให้มานอนด้วยก่อนน่ะนะ
.
.
.
หยดน้ำจากเส้นผมที่ถูกขยี้พอหมาดหล่นลงบนเสื้อยืดสีครีม ดวงตาคมเฉี่ยวไล่มองคนที่ไม่ค่อยใส่ใจตัวเองเท่าไหร่และโคลงหัวอย่างเอือมๆ
“ผ้าเช็ดผมอยู่ไหน?”
“ข้างบน ลืมหยิบ” มือที่กำลังจะตักข้าวคำแรกเข้าปากชะงักเมื่อพ่อบ้านจำเป็นลุกพรวดจากโต๊ะอาหารก่อนจะเดินหายไปบนชั้นสาม จากที่หิวและกำลังจะแพ้ให้กลิ่นนมข้นจืดที่แทรกตัวในเนื้อไข่สีนวลจึงกลายเป็นใจแข็ง ทำทีเป็นหยิบน้ำขึ้นมาจิบด้วยอาการ ‘ไม่ได้อยากกิน’ สักเท่าไหร่
“ขี้เกียจนักก็เป่าๆไป แป๊บเดียวแห้ง”
“มันเซตยาก”
“เลือกขี้เกียจสักอย่างดิ มึงจะขี้เกียจกับทุกเรื่องไม่ได้” ไม่รู้ว่าพูดขำๆหรือดุจริงจัง แต่คนฟังก็ทำแค่ยักไหล่และลงมือตักอาหารขณะที่ศีรษะของตัวเองมีใครบางคนดูแลอยู่
“ก้มลง”
“ฮะ?”
“กูบอกให้มึงก้มหน้าลงมา” จินเจอร์ใช้ส้อมจัดข้าวและกับจนพอดีคำก่อนยื่นไปจ่อปากคนที่โน้มตัวลงมาอย่างงงๆ เพียงครู่เดียวคนขี้บ่นก็ยิ้มออก อ้าปากรับมื้อแรกของวันพร้อมกับยักคิ้วอารมณ์ดี
“เออ แล้วบ้านนั้นใกล้เสร็จยัง?”
“บ้านไหน?”
“อย่ามากวนตีนจินเจอร์ มึงรู้ว่ากูหมายถึงบ้านไหน” ปากดุแต่ก็ไม่วายกินข้าวที่อีกฝ่ายสลับป้อนอย่างขัดแย้ง คนถูกถามได้แต่ถอนหายใจปลงตก ตอบจนเมื่อยปากมาทุกอาทิตย์แล้วก็ยังไม่เลิกราเสียที
“เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์”
“ทำงานชักช้า”
ก็คุณเบลจ้างเขาสร้างบ้านทั้งหลังนี่นะ จะให้เสร็จได้ไวแค่ไหนเชียว
“ต่อยกับกูมั้ย?”
“เอากุ้งหน่อยดิ” คนเอาแต่ใจเฉไฉพอโดนจับได้ว่ากำลังงี่เง่า ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อยๆดีขึ้นทีละนิด แม้ยังไม่มีคำพูดที่ชัดเจนออกมาจากปากแต่การกระทำทุกอย่างก็สื่อความหมายหมดแล้ว
ว่าต้องการกันแค่ไหน
แต่แน่นอนว่านันท์ยังไม่พอใจกับความคาราคาซังนี่หรอก เขาต้องการสิ่งที่ชัดเจนและมั่นคงกว่านี้ ซึ่งบางทีมันก็ต้องใช้คำพูดเข้ามาผูกทุกอย่างเข้าด้วยกัน การจะทำแบบนั้นได้ต้องใช้เวลา
เขารอได้นั่นแหละ จนกว่าจินเจอร์จะพร้อมเริ่มต้นอีกครั้ง
การกินข้าวฉบับยากลำบากจบลงเมื่อผมสีเข้มแห้งสนิท นันท์เดินวกกลับไปที่อีกฟากของโต๊ะอาหาร ลงมือรับประทานส่วนที่ใครบางคนแอบแบ่งไว้ให้โดยไม่รู้ตัว ก็เป็นซะอย่างนี้ไง จะให้เขาไปหาใครคนอื่นได้อีก
จินเจอร์น่ะร้ายจะตายไป
บทสนทนาไร้แก่นสารถูกหยุดลงชั่วคราวเมื่อโทรศัพท์ของใครบางคนส่งเสียงเรียกเข้า พอดิบพอดีเหลือเกินที่ชื่อคนติดต่อชัดเจนในสายตาของทั้งสองคน และนั่นทำให้บรรยากาศอุ่นๆเมื่อครู่กระจัดกะจายหายไปทันที
“ฮัลโหล...จริน” รับสายพลางเหลือบมองคนตรงข้ามที่ยกน้ำขึ้นจิบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง สมาธิกลายเป็นเรื่องนามธรรมที่หาไม่เจอเมื่อเห็นนิ้วเรียวรวบช้อนทั้งที่อาหารยังเหลือเกินครึ่ง
“นันท์ไม่ได้อยู่บ้าน” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีที่นอกจากจานของเจ้าตัวแล้ว กับข้าว แก้วน้ำ รวมไปถึงจานของเขาก็ถูกทยอยยกไปเก็บที่หลังครัวด้วย
คือจะงดข้าวเขาเหรอ?
ระหว่างที่กำลังไม่เข้าใจนันท์ก็ไม่ได้โวยวายอะไรออกมา หนึ่งคือเขาถือสายของจรินอยู่ และสอง...เขาไม่คิดจะแสดงออกแบบไร้ความคิดแล้วมานั่งเสียใจทีหลังอีกแล้ว
“รีบมั้ย?” จริงอยู่ที่ตามปกติเขามักตอบกลับสั้นๆไม่ว่าคู่สนทนาจะเป็นใคร แต่คราวนี้ต้องยอมรับว่าตัวเองสงบปากสงบคำผิดวิสัยพอเห็นจินเจอร์อยู่ในสายตา
มือเรียวเช็ดทำความสะอาดโต๊ะที่ไม่ได้เลอะขนาดที่ต้องก้มหน้าก้มตาทำ นันท์กำลังประหม่ามากๆเหมือนตัวเองกำลังทำอะไรผิดสักอย่าง ลึกลงในใจรู้ดีว่าประเด็นนี้เขายังไม่ได้เคลียร์ให้ชัดเจน และมันก็คงเป็นตะกอนผลึกใหญ่ตกค้างในความรู้สึกจินเจอร์
“อ่า...ถ้าจรินฝากไว้กับคนที่บ้านไม่ได้เหรอ?”
!!!
นัยน์ตาคมเฉี่ยวเบิกกว้างอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็น เกือบหลุดสบถออกมาด้วยซ้ำ ยังดีที่ยั้งปากได้ทันเสียก่อน
ก็จะอะไรล่ะถ้าไม่ใช่—
“มะ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะครับ?” เสียงทุ้มต่ำขาดห้วงเมื่อคนที่นึกซนยังไงไม่รู้ยกขาขึ้นไขว่ห้างก่อนจะเท้าคางมองเขาด้วยสีหน้าไร้เดียงสาเหมือนกับกำลังดูข่าวสักเรื่อง
และทั้งหมดนั่นน่ะ...บนโต๊ะอาหาร ตรงหน้าเขา
เพราะความสูงที่ต่างกันทำให้เขาต้องเงยหน้าส่งคำถามผ่านสายตาว่าจินเจอร์กำลังจะทำอะไร ซึ่งคำตอบก็มีเพียงรอยยิ้มเล็กๆถูกจุดขึ้นบนมุมปากที่ช่วงนี้บวมกว่าปกตินิดหน่อย และพอจับมันมารวมกับการกระตุกยิ้มแบบนั้นยิ่งน่ากัดเป็นบ้า
เพิ่งเชื่อว่าเวรกรรมมีจริงก็วินาทีนี้เลย
“ถ้างั้นเดี๋ยว—” คนที่เคยเป็นฝ่ายรุกทุกครั้งที่มีโอกาสสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายนิ้วอุณหภูมิต่ำกว่ากันเล็กน้อยไล้กรีดกรอบหน้าเขาแผ่วเบา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววสนุกกับปฏิกิริยาตอบรับที่ได้
“เดี๋ยวนันท์ไป” ประโยคที่ควรจะยาวกว่านั้นโดนตัดลงด้วยริมฝีปากฉ่ำล่อสายตา และคนไม่มีสมาธิก็เผลอเปิดปากรับอย่างเป็นธรรมชาติ มือซุกซนของจินเจอร์ย้ายไปสอดแทรกกับกลุ่มผมของเขา ขยำกระตุ้นให้บดเบียดริมฝีปากหนักขึ้นอีกนิด
เสียงเรียกย้ำๆผ่านโทรศัพท์ดึงความรับรู้ที่แทบไม่เหลือของเขาให้กลับมา ทว่าความร้อนรุ่มไม่มีที่ไปมันดึงดูดจนไม่อยากผละออก หลักฐานยังคาเอวอีกฝ่ายอยู่เลย เขาสอดมือไปลูบเนื้อเนียนใต้เสื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“สักครึ่ง—!” พอเอี้ยวหลบมาจุ๊บต้นคอให้อีกคนใจเย็นๆก็กลายเป็นว่าตัวเองแย่กว่าเก่า น้ำหนักเน้นกดลงกลางลำตัวทำให้นันท์ต้องก้มลงมองก่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นฝ่าเท้าสีน้ำผึ้งวนเวียนอยู่ตรงนั้น
“ครึ่งชั่วโม—” แรงเค้นคลึงส่งผลให้ใบหน้าคมเงยเริดพลางเม้มปากแน่น เขาไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองสักเท่าไหร่หรอก แต่นี่มันเหมือนกับว่าอีกคนไม่ยอมให้เขาละความสนใจไปไหนนอกจากเจ้าตัวเลยให้ตายสิ
ทั้งที่ก็น่าจะรู้ว่าเขาไปสนใจใครที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
“อีกสองชั่วโมงนันท์น่าจะถึง แค่นี้นะครับ” ทันทีที่ตัดสายร่างเพรียวก็ยันตัวเองลงจากโต๊ะอาหาร ...ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าการตวัดรวบเอวของนันท์ไปเพียงเสี้ยววินาที
“ทำอะไร?” คนที่ใจเต้นตึกถามเสียงขรึม มือยังไม่ปล่อยให้ฝ่ายที่โดนขังอยู่บนตักหนีรอดไปง่ายๆ
“ทำอะไร?” จินเจอร์เลิกคิ้วเลียนคำถาม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ราวกับเมื่อครู่ไม่มีเหตุการณ์ใดใดเกิดขึ้น โชคดีที่นันท์มัวแต่ตกใจ ไม่อย่างนั้นร่างกายคงจะตอบสนองให้ได้กระดากอายกันทั้งคู่
โตขนาดนี้แล้วยังเล่นอันตรายไม่รู้เรื่องเลยนะจินเจอร์
“ไม่หนัก?” เขาซ่อนรอยยิ้มกว้างของตัวเองด้วยการซุกหน้าลงกับไหล่คนถาม แทนที่จะบอกให้ปล่อยกลับมาทำหน้ากวนประสาทถามกันอย่างนั้น เห็นแล้วคันเขี้ยวชะมัดเลย
“จรินโทรมา”
“...”
“จะฝากหนังสือให้มิน” นันท์อธิบายเสียงอู้อี้เพราะยังกดๆหอมๆบนตัวของจินเจอร์ไม่หยุด กลิ่นสบู่เจือกลิ่นกายผสมจนลงตัว มันสบายจมูกเสียจนอยากเอาไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา
แต่ก็ทำได้แค่เก็บความอยากไว้ในใจนั่นแหละ เดี๋ยวอีกไม่กี่วินาทีอีกฝ่ายก็คงผลักเขาออกแล้วเดินขึ้นไปทำงานไม่มาสนใจหรอก...
นัยน์ตาคมดุพาดแววน้อยใจวูบหนึ่งเมื่อสถานการณ์เป็นจริงอย่างที่คิด หากตอนกำลังจะเบือนหน้าหลบไปตัดพ้อกับตัวเองก็พบว่ามีฝามือเรียวอย่างคนจับปากกาเป็นส่วนใหญ่มารั้งให้สบตาเสียก่อน
ริมฝีปากนุ่มนิ่มกดลงมานับครั้งไม่รู้แล้วว่าเท่าไหร่และนันท์เริ่มแปลกใจที่ตัวเองไม่คิดเบื่อเลย เหมือนกับโลกของเขาถูกหมุนเหวี่ยงตอนที่ลิ้นอุ่นหวานแทรกเข้าในปากอย่างเอาแต่ใจ แม้ไม่รู้ถึงเหตุผลที่จินเจอร์จูบ ไม่มีตัวเลือกให้เดาว่าทำไมเจ้าตัวถึงเปลี่ยนจากนั่งตักมาคร่อมเขาแล้วหันหน้าเข้าหากัน
ไม่รู้เลยสักอย่าง...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้
คนขี้โมโหที่ชอบเก็บเงียบแบบนั้นน่าจะเห็นได้แล้วว่าเขาพ่ายแพ้ยับเยินขนาดไหน
“!” นันท์สะดุ้ง เผลอกำเสื้อยืดที่ปกปิดร่างบนตักจนยับยู่เมื่อจินเจอร์ขบกัดหยอกล้อ กระแสไฟฟ้าแล่นวาบไปถึงปลายเท้า และเป็นตอนนั้นเองที่เขาดันไหล่คนที่ชักจะขี้เล่นเกินไปแล้วออก
“...” หน้าตาดื้อๆกับท่าทางขัดใจนั่นเกือบทำให้สำนึกยับยั้งชั่งใจไร้ความสำคัญ เขานึกอยากจะกดลำตัวของอีกคนลงบนโต๊ะด้านหลัง ดึงทึ้งเสื้อยืดสีครีมน่ารำคาญออกไปให้พ้นสายตาและใช้ปากไล่ละเลียดผิวน้ำผึ้ง ผสมมันให้เลอะรอยจ้ำกลีบกุหลาบ
ใครบางคนต้องขุดเอาความอดทนทั้งหมดที่มีมาควบคุมจังหวะหายใจให้กลับเป็นปกติ
“ไม่หยุดตอนนี้คือไม่หยุดแล้ว” เสียงของนันท์ยังแหบพร่าและเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ ดวงตาดุดันดูเข้มขึ้นยามที่เหลือบมองคนที่อยู่เหนือกว่ากันเล็กน้อย คล้ายจะบอกให้ระวังแต่ก็มีประกายชวนลุ่มหลงชวนถลำลึกลงไป
“จินเจอร์!” เจ้าของชื่อแค่นหัวเราะเมื่อเขาแทบจะคำรามตอนที่ปลายจมูกโด่งโน้มลงมาเกี่ยวกันอย่างน่าตีที่สุด
“ไม่ได้เหรอ?” มากกว่านั้นคือเอาลมหายใจจากประโยคเมื่อครู่มาเป่ารดข้างแก้ม พอเห็นว่าเถียงไม่ออกก็เน้นคำถามเดิมและเฉียดริมฝีปากกับใบหูให้ตัวเกร็งไปหมด
“ไม่ได้จริงๆเหรอ?”
“ที่ทำอยู่คือหึง?”
“...”
“หึงเหรอครับจินเจอร์?” ประโยคที่ถูกลอกโครงสร้างอย่างชัดเจนถูกถ่ายทอดด้วยโทนแตกต่างกัน นันท์ถามในแบบที่ต้องการคำตอบ ไม่มีการล้อเล่นอะไรทั้งนั้น
สุดท้ายต้นฉบับจึงกลายเป็นฝ่ายแพ้ จินเจอร์เสมองนาฬิกา พึมพำโดยไม่คิดชายตามาที่คู่สนทนาของตัวเอง
“เหลือชั่วโมงครึ่ง อยากสายหรือไง?” ถ้าตีความตรงเป๊ะแบบไม่แคร์ภาษากายและสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนันท์คงคิดว่าจินเจอร์ไม่ได้เดือดร้อนสักเท่าไหร่กับการที่เขาจะไปหาจริน แต่นี่เขาเห็น...ทุกความเคลื่อนไหวในแววตาที่ห่างกันไม่กี่คืบนั่น
บ่นเรื่องปากแข็งก็ไม่ได้อีก เพราะเขาเองก็พอกัน
ระลอกความรู้สึกบนนัยน์ตาสีน้ำตาลไหววูบยามที่อ้อมกอดแน่นรอบเอวค่อยๆคลายออก จินเจอร์ลุกขึ้นยืนเองอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องสั่ง เหนื่อยจะฟังคำปฏิเสธเป็นคำพูดเลยเลือกเดินจากมาก่อนดีกว่า
ชัดเจนเท่าไหร่ไม่เคยพอ ตราบใดที่ยังไม่มีการยืนยันออกมาชัดเจนเป็นคำ
มวลสารร้อนรุ่มในอกเปลี่ยนเป็นสิ่งเย็นเฉียบกัดกร่อนความรู้สึก จินเจอร์คงต้องยอมรับแล้วว่าเขาไม่เคยเรียนรู้ ไอ้วลีตลกๆอย่าง ‘มูฟออนเป็นวงกลม’ น่ะเชื่อเถอะว่าไม่มีใครเข้าใจมันไปมากกว่าเขา
“เจอร์”
ยังหยุดเหมือนเดิม หันกลับไปหาคนเดิม
ย่ำอยู่ที่เดิม
“ขับรถให้หน่อย” พวงกุญแจถูกโยนส่งและรับตามสัญชาตญาณ เขาก้มมองวัตถุสีดำแซมเงินในมือด้วยการรับรู้ที่เบลอด้วยความไม่เข้าใจ
ไม่ทันได้คิดว่าจุดเดิมที่ยืนอยู่ จะมีอีกคนก้าวมาหยุดข้างกัน
ไม่ทันคิดเลยจริงๆ...
_________________________________________________________________
ถ้าโมโหให้จุ๊บจุ๊บจุ๊บ~
#เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

บรรยากาศกำลังจะดีแล้วเลย แง้ๆ เอาให้ชัดเจนจริงๆสักทีนะนันท์ แต่ตอนจินเจอร์กวนนันท์นี่มันเขี้ยวมาก
ฮืออออออ
ดูจินเจอร์หึง
น่ารักแบบอยากจุ้บหัวจินเจอร์รัวๆๆๆๆ