ตอนที่ 18 : ศูนย์สิบแปด
อาจเป็นเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะโต้เถียงอะไรอีกต่อไป
เพราะไม่แคร์หรือใส่ใจแล้วว่าต้องพังกันอีกแค่ไหน
หรือบางทีก็อาจเป็นเหตุผลง่ายๆอย่างการ ‘แพ้’ ยอมให้อยู่แค่คนเดียว
สุดท้ายนันท์ถึงได้จับกุญแจรถคุณหนูคันเล็กของเขา ขับกลับมาที่คอนโดของอีกฝ่าย และดันไหล่ให้เขานั่งลงบนโซฟาตัวเดิมที่เกลียดแสนเกลียดอย่างในปัจจุบันที่เป็นอยู่
นัยน์ตาสีน้ำตาลมองก้นแก้วใสกระแทกกับผิวโต๊ะวางของเล็กๆอย่างขบขัน ทั้งที่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ...สี่? หรืออาจจะมากน้อยกว่านั้นที่ได้มาเหยียบห้องเจ้าตัว แต่กลับไม่เคยเลยที่จะถูกต้อนรับตามมารยาทเหมือนเป็นแขกคนนึงจนกระทั่งวันนี้ วันที่มีความตั้งใจเต็มเปี่ยมว่าคงต้องตัดขาดความรู้สึกทั้งหมดแล้ว
เพื่อนน่ะ...ไม่เป็นก็ได้ถ้ามันลำบากยากเย็นเหลือเกิน
“เลิกร้องได้แล้ว” อยากถามว่าเป็นใครเหรอถึงนึกมาสั่งคนอื่นเขา แต่จินเจอร์ก็ทำแค่นั่งเงียบ มองวงคลื่นบนผิวน้ำที่ค่อยๆคลายไปตามแรงกระทบที่ลดลง
เหมือนว่าพอได้ปล่อยให้ตัวเองได้ร้องไห้สักครั้งหลังจากที่ฝืนเก็บมานานเขาเองชักหยุดไม่ได้
ทั้งที่ทำตัวเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทว่าน้ำตากลับไหลให้เช็ดป้อยๆเหมือนเด็ก และเพราะสถาะนะมันมาไกลเกินกว่าจะรู้สึกอายกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ จินเจอร์เลยทำแค่ปล่อยไปโดยไม่แสดงความเห็นโต้ตอบอะไร
“เสียใจมากเลยเหรอ?” คำถามที่ได้ยินฟังดูโง่จนน่าหัวเราะออกมา คิดว่าที่เขามีสภาพอย่างที่เป็นเพราะว่ามีความสุขหรือซึ้งใจมากนักหรือไง? ในหัวของใครบางคนเต็มไปด้วยคำถามประชดประชันตามแรงอารมณ์ในขณะที่เจ้าของห้องบนที่นั่งไม่ไกลนักไล่มองสีหน้าเหนื่อยอ่อนและขอบตาแดงก่ำ
ก็เพิ่งรู้ว่าถ้าทำเจอร์เสียใจแล้วจะรู้สึกแย่ได้ตั้งขนาดนี้
“ไม่ แค่ผิดหวัง” จินเจอร์ยกน้ำแก้วนั้นขึ้นมาจิบหลังมองจนพอใจ เสียงเย็นชาที่บ่งบอกว่าเหนื่อยจะโกหกหนำซ้ำยังต้องการไปจากตรงนี้ทำให้นันท์ใจเสีย
“เรื่องจริน—”
“ไม่อยากรู้แล้ว”
“แต่—”
“นันท์ กูไม่อยากรู้จริงๆ” ตอกย้ำหนักแน่นว่าไม่สนใจอีกแล้วกับการที่นันท์จะไปทำอะไรหรือมีใครใหม่ ความเจ็บปวดเป็นเรื่องของเขา และทุกคนที่เคยผ่านมาต่างบอกว่ามันจะต้องจางหายในสักวัน เพราะงั้นจินเจอร์ก็จะปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปพร้อมกับเวลา
“แต่กูมีอีกเรื่องที่อยากบอกให้มึงรู้”
“...” ทำแค่เลิกคิ้วกับไปว่าได้ยินแต่ชัดเจนตรงไม่คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญ วูบนึงที่การกระทำของจินเจอร์พาดการตัดพ้อลงบนแววตาของนันท์ แต่เมื่อทำใจยอมรับว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ไปเรียกร้องอะไรได้คนพูดจึงทำได้เพียงกัดฟันข่มความรู้สึกปวดแปลบแล้วพูดต่อ
“กูรักมึง”
ใครบางคนขมวดคิ้วคล้ายไม่เข้าใจในประโยคที่มีแค่ประธาน กิริยา และกรรมเรียงกันอย่างเรียบง่าย แต่ผ่านไปไม่กี่วินาทีจินเจอร์ก็กลับมามีสีหน้าเฉยดังเดิม หยุดปลายนิ้วที่ไล้ขอบปากแก้วเล่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมารับคำ
“อืม แค่นี้?”
“เจอร์กูรักมึง”
“เมื่อกี้ได้ยิน จะพูดซ้ำทำไม?”
ฝ่ายที่ย้ำประโยคเพราะปฏิกิริยาตอบรับที่ได้เรียบเฉยจนใจวูบโหวงตอนนี้เม้มปากแน่นจนซีด คำที่เขาเฝ้าทบทวนและลังเลอยู่นานกลับกลายเป็นบางอย่างที่แทบไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับคนฟัง
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูกลับนะ”
“จินเจอร์”
“กูก็รักมึงเหมือนกัน”
“...”
“อยากให้ตอบแบบนี้?” จินเจอร์มองสายตาของนันท์ที่ประนามกันว่าใจร้ายแค่ไหนอย่างเย็นชา คิดดูแล้วสิ่งที่พูดก็ไม่ใช่เรื่องโกหกหรอก แต่มันเป็นความจริงที่กำลังจะเปลี่ยนไป
เพราะว่ากำลังเลิกรัก
“มึงรักกู” ดูเหมือนความอดทนของใครบางคนจะหมดแค่นี้ นันท์เถียงกลับอย่างดื้อรั้นพร้อมกับจ้องเขาอย่างไม่ยอมแพ้
“มันจะไม่ใช่แบบนั้นแล้ว”
“แต่มึงยังรักกู” ขมวดคิ้วไม่พอใจให้คำพูดตอกย้ำถึงความอ่อนแอที่ยังตัดไม่ขาด จินเจอร์ผ่อนลมหายใจอย่างข่มอารมณ์
“ก็ใช่”
“เพราะงั้น—”
“แต่ไม่ได้เต็มใจสักหน่อย”
เขาน่ะ...เหนื่อยจนไม่อยากจะมีความรู้สึกอะไรสักด้านให้นันท์อีกแล้ว
ที่เป็นแบบนี้ก็ขัดแย้งในตัวเองจนน่าปวดหัวที่สุด ถ้ามันง่ายอย่างความตั้งใจและปากพูดเรื่องอาจจะจบลงเร็วกว่านี้ก็ได้ จินเจอร์กอดอก ทิ้งตัวลงกับพนักพิงเมื่อดูแล้วคงจะไม่ได้ออกจากที่นี่ง่ายๆประมาณจากความงี่เง่าของเจ้าของห้อง
“จินเจอร์”
“ทำยังไงดีล่ะนันท์ กูไม่อยากรักมึงแล้ว” เขาเชิดปลายคางอย่างกวนประสาท มั่นใจว่าสิ่งที่นันท์รู้สึกคงไม่มากพอจะฝืนอดทนพูดดีกับเขาไปได้มากกว่านี้
“ได้” ปลายนิ้วยาวแอบกำเสื้อแน่นเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากที่คิดมากนัก ใช่แล้ว...ปฏิเสธเขาออกมาเสียที บอกว่ารำคาญก็ได้แล้วไล่ให้เขากลับไป
“กูจะทำให้มึงอยากรักกูเองจินเจอร์”
ใครบางคนคิดผิด
นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความตกใจอย่างปิดไม่มิด นันท์ยังฉายแววรั้นระคนเจ็บปวดบนสีหน้าและแววตา หากแต่ไม่มีร่องรอยว่าจะยอมแพ้ปรากฏให้เห็นเลยสักเสี้ยวเดียว
ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจินเจอร์จะเรียกสติตัวเองกลับมาได้ รอจนการทำงานของหัวใจกลับมาเป็นปกติ คนผิวสีน้ำผึ้งพยักหน้ารับรู้ราบเรียบอย่างเก่าก่อนจะหยัดตัวขึ้นยืน มองกุญแจรถของตัวเองที่นอนแอ้งแม้งอยู่กลางโต๊ะเพื่อบอกให้ฝ่ายที่อยู่ใกล้กว่าหยิบส่งให้ ทว่าคล้ายกับการมองเห็นถูกสีดำสาดจนมันเลอะด่างเป็นจุด ยิ่งอาการมึนหัวที่จู่โจมกันอีกรอบก็ทำให้ทรุดลงไปนั่งที่เดิมอย่างช่วยไม่ได้
เดาไม่ยากว่าเป็นเพราะร่างกายไม่ได้รับการดูแลที่ควรจะเป็นติดต่อกันหลายวัน ช่างนาโมโหจริงๆที่เขาละเลยจนมันต้องประท้วงด้วยการแสดงออกแบบนี้
แถมยังเป็นต่อหน้าคนที่ไม่อยากให้เห็นที่สุดอีกด้วย
“ทำไมถึงเป็น?” น้ำเสียงฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ดังขึ้นใกล้จนต้องพยายามกระพริบตาถี่ๆและมองรอบข้างให้ชัดเจนขึ้นอีกนิด นันท์ที่ควรจะนั่งอยู่ตรงข้ามย้ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ คิ้วเข้มที่ขมวดยุ่งเหยิงเหมือนอยากดุแต่ก็เป็นห่วงทำให้จินเจอร์นิ่งงัน
ก็เพราะว่าไม่เคยคาดหวังเลยอย่างที่พูด...
“สภาพนี้คงขับรถไหวหรอก”
เขาถึงตั้งรับไม่ได้, ไอ้ความรู้สึกที่เต็มตื้นขึ้นมาในอกแบบนี้
“อย่าเว่อร์น่า” แขนซ้ายบิดออกจากสัมผัสอุ่นๆของมือที่ใหญ่กว่ากันจนไม่เข้าใจ ทั้งที่ความสูงก็ใกล้เคียงแต่ทำไมโครงสร้างหลายส่วนถึงได้ต่างกันตั้งมากมายก็ไม่รู้
พวกเขาเลยเข้ากันได้ดีเกินไปตอนที่...—
“ถ้าจะกลับเดี๋ยวกูไปส่ง”
“มึงไม่มีรถ”
“แต่มึงขับรถไม่ได้” นันท์จริงจังจนคนฟังเกือบจะเชื่อว่ามันเป็นความจริงเหมือนกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก แม้ตัวเองจะเป็นเจ้าของร่างกายและพอจะเดาได้ว่าอาการที่เกิดไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น
“ถ้าไม่ให้กูไปส่งก็นอนนี่” อยากจะผุดลุกขึ้นทันทีที่จบประโยคนั้นแต่คงเป็นการกระทำที่คิดน้อยไปหน่อย จินเจอร์เลยค่อยๆทิ้งน้ำหนักลงบนฝ่ามือที่กดกับเบาะ ทรงตัวยืนเชื่องช้าก่อนจะเผลอกัดปากเมื่อคนข้างกายรีบเข้ามากอดไหล่เอาไว้
ไม่รู้หรอกว่าถ้าไม่ทำตามเงื่อนไขของนันท์โลกจะแตกหรือยังไง ...ไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับระบบความคิดของเขา
โทษว่าเป็นเพราะความดันต่ำจะฟังดูงี่เง่าเกินไปไหม?
.
.
.
บ้านเดี่ยวสามชั้น สมบัติชิ้นสำคัญที่พ่อกับแม่สร้างเอาไว้ให้เขากับน้องปรากฏแก่สายตา คุณหนูถูกชะลอลงและหยุดนิ่งหน้ารั้วเหล็กเรียบๆสีดำพอดิบพอดี เสียงปลดเข็มขัดของคนข้างตัวดังขึ้นดึงจินเจอร์หลุดออกจากพื้นที่ความคิดในหัว แต่พอหันมาเห็นภาพนันท์ที่กำลังจับพวงมาลัยพลางเข้าเกียร์จอดก็นึกอยากจะชัตดาวน์ตัวเองอีกครั้ง
ตั้งแต่มีคุณหนูมาก็ไม่เคยมีใครได้ขับนอกจากเขา
ดังนั้นการเห็นอีกฝ่ายมาก้าวก่ายของส่วนตัวมันเลยรู้สึกประหลาดนิดน่อย
“มึงกลับยังไง?” ถามไปตามมารยาทที่ห่วงว่าคนช่วยเหลือจะเดือดร้อน แต่ดูเหมือนคนทำดีหวังผลที่ใจร้อนที่สุดในโลกของจินเจอร์จะตีความหมายเป็นอย่างอื่น
“ไล่เก่ง” ซ่อนสีหน้าน้อยใจด้วยการเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับอ้อมไปเปิดฝั่งข้างคนขับให้ด้วย มากกว่านั้นคือการยืนรอเพื่อคอยระวังไม่ให้เจ้าของบ้านตรงหน้าล้มพับไปเพราะเหตุผลอะไรอีก
ก็หวังให้จินเจอร์ตอบรับความรู้สึกนั่นแหละ แต่ที่ทำทั้งหมดมันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติจนสมองยังไม่ได้ประมวลถึงขั้นนั้น
เอาเป็นว่าที่ทำ...ก็เพราะห่วงล้วนๆเลย
บรรยากาศของบ้านที่มีเจ้าของสองคนแต่อาศัยจริงแค่คนเดียวเต็มไปด้วยกลิ่นอายของจินเจอร์ ตั้งแต่ความเรียบง่ายของห้องรับแขกด้านหน้า โซนทานข้าวที่ใช้พื้นที่เล็กน้อยและดูสะอาดราวกับว่าไม่ค่อยได้ถูกใช้ ลามไปถึงบันไดขึ้นชั้นสองที่ไม่มีการตกแต่งใดใดนอกจากกรอบรูปขนาดใหญ่ที่มีคู่หญิงชายยืนยิ้มให้กล้องในชุดแต่งงาน
“มึงหน้าเหมือนแม่” เป็นประโยคที่นันท์เผลอหลุดปากไปตอนเดินผ่านห้องทำงานชั้นสองแล้วเห็นภาพที่แสดงโชว์ตามชั้นวาง จินเจอร์ทำแค่ครางอือในลำคอตอบรับ มัวแต่กระอักกระอ่วนจนไม่คิดว่าการต่อบทสนทนานั้นเหมาะเท่าไหร่
สุดท้ายก็มาถึงชั้นสามที่เป็นห้องนอนของเขาและน้องสาว ถึงแม้พิ้งไม่ค่อยได้กลับมาใช้แต่ทุกอย่างยังคงถูกดูแลอย่างดี ส่วนนึงเป็นเพราะชอบมองไปแล้วเห็นอะไรสบายตา อีกส่วนคือการได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ของคนที่คิดถึงมันก็ช่วยให้เบาใจดี
“เอาไป” เขายื่นกุญแจรถที่ถูกกำแน่นและเลอะเหงื่อจากฝ่ามือตัวเองให้คนตรงหน้าหลังจากนั่งลงบนปลายเตียงผ้าปูสีเทา นันท์แค่นยิ้มพลางรับมันเอาไปใส่กระเป๋ากางเกงเอาไว้
ก่อนจะถอยไปนั่งไขว่ห้างที่เก้าอี้ชุดตรงริมหน้าต่าง
“อะไร?” แถมยังไม่วายเลิกคิ้วถามอย่างกวนประสาทว่าเขาจะหันไปมองและจ้องค้างตัวเองทำไม
“ไม่กลับ?”
“นานแค่ไหน?” นันท์เมินประโยคนั้น เปลี่ยนเรื่องด้วยการตั้งคำถามขึ้นมาใหม่โดยไม่ทันคิดเลยว่าคนฟังจะตามทันรึเปล่า
“หมายถึง?”
“มึงรักกูมานานแค่ไหนแล้ว?” จินเจอร์เลี่ยงที่จะตอบด้วยการดึงผ้าห่มที่เก็บอย่างดีออกมาเตรียมตัวนอน ถ้าอีกคนอยากอยู่นักก็อยู่ไป อยู่คนเดียวเล่นกับตัวเองแล้วกันเพราะเขาจะหลับ
“...”
“แต่ถ้าเป็นกู ก็คงหลังจากเซ็กส์ครั้งสุดท้ายของเรามั้ง”
สาบานเลยว่าถ้าเมื่อกี้มีน้ำอยู่ในปากเขาต้องสำลักและขาดอากาศหายใจตายไปแน่ๆ โชคดีที่สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงจังหวะชะงักเล็กน้อยก่อนคนผิวน้ำผึ้งจะพาตัวเองไปนั่งพิงหัวเตียงสำเร็จ
“ตอนเรียกกู...เหมือนมึงใจจะขาด” จินเจอร์กอดอกหลับตา ขยับหามุมที่ลงตัวนิดหน่อยและพิงแผ่นหลังกับหมอนนุ่มๆที่ไม่คิดเอามารองคอเพราะมันสูงเกินไป
“แต่พอจบมึงก็กลับมาเย็นชาใส่” คนฟังนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองอีกฝ่ายที่เท้าคางพลางใช้สายตาค้นหาอาการผิดปกติที่อาจจะแปลความหมายได้ว่าตัวเองยังมีอิทธิพลมากพอกับความรู้สึกของจินเจอร์อยู่
“กูไม่เข้าใจเลย”
“ก็แค่ทำตามกฎของมึง ไม่เห็นมีอะไรยาก” นัยน์ตาสีน้ำตาลลืมขึ้นเชื่องช้า ไม่ต่างจากใบไม้ช้ำๆที่ร่วงหล่นบนพื้นหลังจากพายุสงบลง
“ไม่ใช่มึง แต่กูไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องหงุดหงิดที่มึงกลับไป”
“...”
“กูก็แค่อยากให้มึงอยู่”
อ่า...นี่ชักจะเกินความสามารถของคนใจแข็งไม่จริงอย่างเขาเสียแล้ว
“มึงไม่ได้แสดงออกให้กูรู้สึกอย่างนั้น”
“ถึงต้องพูดไง เพราะการที่กูไม่รั้งมึงไม่ได้แปลว่าไม่อยากให้อยู่” มือที่กุมกันอยู่ใต้ผ้าห่มเปลี่ยนเป็นกำแน่นจนชา คำถามข้อเดิมไล่วนย้ำๆถึงเหตุผลของเวลา ...ทำไมมาเกิดเอาป่านนี้
“มึงเองก็ปากแข็งจินเจอร์ ถ้ามองย้อนกลับไปจะไม่เข้าใจกูจริงๆเหรอ?”
“...”
“กูกำลังซื่อสัตย์กับมึงและตัวเองอยู่ ถ้าไม่รู้ก็รู้เอาไว้” จังหวะที่ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนใครบางคนผวาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด นันท์หยักยิ้มบาง อย่างน้อยกำลังใจในวันนี้ก็อะไรมาเติมไม่ให้มันหมดลงง่ายๆ
“กูจะไปซื้อของ บ้านมึงไม่มีของสดเลยใช่มั้ยล่ะ?”
“มึงไม่—”
“มีรถแล้วไง มึงให้ใช้” นันท์ทำเป็นโมเมว่าประโยคเมื่อครู่หมายถึงอีกอย่างที่ไม่ใช่การปฏิเสธ นิ้วยาวเกี่ยวพวงกุญแจในกระเป๋าขึ้นมาควงเล่นก่อนจะยักไหล่
“นันท์”
“นอนไปดิ เดี๋ยวล็อกบ้านให้”
สรุปคือจินเจอร์ต้องเอาเวลานอนมานั่งคิดใช่ไหม, วิธีการรับมือกับไอ้คนช่างยุ่งนั่นน่ะ?
_____________
ครั้งสุดท้ายที่ประหม่าขนาดนี้คือเมื่อไหร่วะ?
คนตัวสูงยืนจ้องอาหารบนเคาน์เตอร์ที่สูงเกือบเท่าเอว จ้องนานอย่างกังวลจนน่ากลัวว่าที่มันไม่อร่อยเป็นเพราะเย็นชืดไปเสียก่อน เป็นเพราะส่วนตัวมองข้าวต้มเป็นอาหาร cliché ที่ถ้าตัวเองป่วยก็คงไม่อยากกิน เลยกลายเป็นข้าวญี่ปุ่นร้อนๆกับปลาแซลมอนย่าง มีเครื่องเคียงนิดหน่อยพอแก้เลี่ยน
“...” นันท์ตัดใจยกทุกอย่างใส่ถาดหลังจากเถียงกับตัวเองจนชนะว่าที่ชิมไปแล้วรสชาติพอโอเคเป็นเพราะมันโอเคจริงๆ ไม่ใช่เพราะเทสต์หลายครั้งจนลิ้นชาไปแล้ว
ก็นะ...ไม่ได้ทำตั้งนานแล้วเลยไม่มั่นใจเท่าไหร่
เขาเดินขึ้นบันไดไปปลุกคนที่พอกลับจากซื้อของก็ผล็อยหลับไปแล้ว ความจริงนอนกลางวันมันไม่ค่อยดีต่อระบบพักผ่อนเท่าไหร่ แต่นี่จินเจอร์คงไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาสักพักแล้ว ถือเป็นข้อยกเว้นคงพอได้อยู่
“เจอร์ กินข้าว” และที่มาตามให้ไปนั่งกินดีๆก็เพื่อให้อีกคนได้ขยับตัวสักหน่อยเผื่อจะสดชื่นขึ้น นันท์นั่งยองลงข้างเตียง เอื้อมมือสะกิดไหล่คนที่พลิกตัวหนีไปอีกครั้ง
“จินเจอร์”
“...”
“เจอร์” ยังไม่มีเสียงตอบรับจนนันท์เริ่มลังเลว่าจะปล่อยให้หลับยาวไปถึงตอนเช้าเลยดีไหม แต่ข้าวกลางวันคนตรงหน้าเขาก็ไม่ได้กิน ถ้าไม่ตื่นมาแล้วปวดท้องตอนดึกก็คงหิวจนนอนไม่สบายอยู่ดี
“ขิง”
“...”
“คนเก่ง”
“อือ รำคาญ” นันท์ลุกขึ้นยืน มองคนที่หันหลังให้กันแล้วโคลงหัวเบาๆ
“ตื่น ลงไปกินข้าวก่อน”
“เออๆๆ”
“ลุกนะจินเจอร์”
“รู้แล้วน่า” คนตาดุยืนมองอีกสักพักก่อนจะถอนหายใจและเดินนำลงไปด้านล่าง ถ้าอีกห้านาทีไม่ตามลงไปสงสัยคงต้องยกข้าวมาไว้ข้างบน เพราะมัวแต่ใช้เหตุผลอยู่กับตัวเองแบบนั้นเลยพลาดอาการหัวเสียของใครบางคนที่เผลอตื่นเพียงได้ยินสรรพนาม ‘น่ารำคาญ’ นั่นอย่างช่วยไม่ได้
“ขนลุก”
เป็นคำนิยามความรู้สึกที่สมควรไหม? คนใช้ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่เลย
เดินตามกลิ่นอาหารลงไปจนเห็นภาพโต๊ะยาวที่ปกติจะมีเมนูง่ายๆกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้เต็มจานเล็กจานน้อยไปหมด จินเจอร์ถอยเก้าอี้และทรุดตัวนั่งจังหวะเดียวกับที่นันท์ยกแก้วน้ำสองใบมาวาง เขาแอบมองหาอาหารอีกชุดที่คิดว่ามีแต่กลับไม่พบอย่างอื่นนอกจากสายตาลุ้นระคนไม่มั่นใจจากคนตรงข้าม สุดท้ายเลยขี้เกียจคิดมากและตักเนื้อปลาเข้าปากด้วยหน้าตาเรียบนิ่ง
“เค็ม” พูดแค่นั้นก่อนจะเดินหายไปในครัวให้คนปรุงหูตก นันท์ทำได้ยิ้มเนือยๆกับตัวเอง พยายามเทียบว่าถ้าเป็นเขาคงไม่ปล่อยให้คนนิสัยแย่อย่างนี้เข้าบ้านมาตั้งแต่แรก
เท่านี้จินเจอร์ก็ใจดีมากแล้ว
ระหว่างที่ชั่งใจกับการกลับบ้านและการหน้าทนอยู่ต่อ เก้าอี้ตรงข้ามก็ถูกจับจองด้วยเจ้าของคนเดิม ยังไม่ทันได้อ้าปากขอโทษให้ความไม่ได้เรื่องของอาหาร จานพร้อมช้อนส้อมอีกชุดก็ถูกดันเข้ามาอยู่ในระยะสายตาเสียก่อน
นันท์เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้มีแค่ภาพคนผิวน้ำผึ้งตัดแบ่งชิ้นปลากับข้าวนุ่มๆใส่จาน...ของเขา?
“เค็มอย่างนี้กินหมดคงไตวายพอดี” คนพูดยกน้ำขึ้นจิบก่อนจะลงมือทานอาหารต่อ ไม่ต้องรอให้มีคำอธิบายมากกว่านั้นนันท์ก็หลุดยิ้มกว้างและเริ่มทานไปพร้อมกัน ทำยังไงได้ ตอนซื้อของดันนึกถึงแต่จินเจอร์ พอมาทำก็ไม่ได้คิดเลยว่าคงจะหิวเหมือนกัน
มื้อเย็นดำเนินไปเงียบๆโดยมีบรรยากาศขมปนหวานตัดกันอย่างลงตัว ฝั่งนึงคงสีหน้าราบเรียบไม่สนใจอะไรแม้กระทั่งเสียงกระทบกันแผ่วเบาของช้อนกับส้อม อีกฝ่ายได้แต่กลั้นยิ้มพลางท่องวนไปวนมาว่าอย่าแสดงออกมากเกินไปจนทำให้คนตรงหน้าอึดอัด
ขัดแย้ง...แต่ก็นั่นแหละ เรื่องอารมณ์ความรู้สึกจะคาดหวังให้มีแบบแผนได้ยังไง?
“เจอร์”
“...” เจ้าของชื่อเหลือบมองกันครู่หนึ่งเป็นเชิงว่ากำลังฟังอยู่ นันท์มองข้าวที่พร่องลงไปเกินครึ่งและพยายามเชื่อในความรู้สึกที่ตอนนี้ยังหลงเหลือ ถึงไม่แน่ใจว่ามันจะมากพอให้เดินหน้าต่อไหมก็ไม่เป็นไร
สุดท้ายถ้าต้องเริ่มต้นจากศูนย์ใหม่เขาก็จะทำ
“พรุ่งนี้...กูมาได้มั้ย?” แน่ล่ะไอ้เรื่องเอาแต่ใจไม่ยอมฟังคนอื่น แต่ถ้าการเอาแต่ใจของเขาทำให้จินเจอร์รู้สึกไม่ดีนันท์คงต้องฝึกวางความต้องการเอาไว้และไปให้ความสำคัญกับคนที่อยากรักษาให้อยู่ในชีวิตบ้าง
ความเปลี่ยนแปลงภายในระยะเวลาสั้นๆหลังจากเหตุการณ์ไม่ดีทั้งหลายไม่สามารถสร้างความเชื่อใจกลับคืนมาง่ายดาย จินเจอร์เม้มปาก อวัยวะในอกซ้ายของเขากำลังล่อลวงให้กระโจนลงไปในความคาดหวังและภาพเลือนรางของความสุขที่จะได้รับเมื่อทำแบบนั้น ทว่าสมองก็ยังเตือนให้ระวัง
เพราะคนที่ต้องรับแรงกระแทกทั้งหมดจากการตัดสินใจ ...มันคือเขาทั้งนั้น
อาจจะไม่ใช่ทิฐิก็ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากการเรียนรู้และสร้างกลไกบางอย่างขึ้นมาป้องกันตัวเองก็เท่านั้น
“ตอบกูตรงๆเลยเจอร์”
“...”
“กูไม่อยากให้มึงต้องใช้ความคิดขนาดนั้นเวลาอยู่กับกู”
แค่อยากให้จินเจอร์เป็นจินเจอร์ ไม่ต้องพยายามอะไรเลย
คนเสนอระบายยิ้มฝืดเฝื่อน รู้ดีว่าถ้าหากคนตรงหน้าทำตามที่เขาบอกขึ้นมาก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เจอร์จะทำร้ายกันเพราะเขาเองที่เป็นคนอนุญาต
“ไม่...กูไม่อยากให้มึงมา”
ดวงตาเรียวรีมีเพียงแค่ความเข้าใจ เจ็บปวดแต่ก็เข้าใจถึงสาเหตุทุกข้อที่ผลลัพธ์สุดท้ายกลายเป็นแบบนี้
“อืม มึงกินต่อเหอะ เดี๋ยวกูล้างให้”
“ขอบคุณมึงมาก แต่ไม่เป็นไร”
ยอมรับว่ามันบั่นทอนจนทำให้ท้อ แต่นันท์ตั้งใจแล้วและจะไม่มีทางยอมแพ้
“กูทำเองได้”
“อืม”
“...”
“งั้นกูกลับนะ” เพราะฝืนกินต่อหรือนั่งรอให้อีกคนทานเสร็จก็ดูไม่ใช่ทางเลือกที่ดีทั้งคู่
“เอารถไป”
“ช่างกูเถอะน่า” เขาเลยทำได้แค่ยิ้ม ยิ้มเนือยๆแต่ก็ยังอยากยิ้มให้คนมองได้รู้ว่าไม่เป็นไร
“แล้วแต่” จินเจอร์ยักไหล่ กวาดเม็ดข้าวรวมเป็นคำสุดท้ายก่อนจะนิ่งฟังประโยคถัดไป
“นี่...”
“...”
“ยังไงมึงพยายามนอนหน่อย ถ้าไม่ง่วงก็ลงมาอุ่นนมกินก็ได้ กูซื้อมาไว้”
“...”
“แล้วถ้าวันนี้กูทำให้มึงอึดอัดหรือรู้สึกแย่อีก ขอโทษนะจินเจอร์ กูจะระวังให้มากกว่านี้”
นัยน์ตาสีน้ำตาลสบกับแววตาเรียวสวยที่ไม่มีความดุดันปนอยู่เลยแม้แต่น้อย
“แค่นี้แหละ กลับละ”
จินเจอร์ก็คงต้องยืนยันคำเดิม
ว่านี่มันไม่ยุติธรรมเลย...ไม่ยุติธรรมกับเขาเลยจริงๆ
_____________
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ประโยคท้ายๆของนันท์หงอยเลย แต่ก็นะ... พยายามต่อไปนะนันท์ สู้ๆ
เจ็บทั้งคู่เลย