ตอนที่ 16 : ศูนย์สิบหก
ยอมรับว่าตกใจตอนที่เปิดประตูบ้านออกมาแล้วเจอใครบางคนยืนรออยู่
“...” จินเจอร์ก้มมองนาฬิกา มันถือว่าไม่เช้าแต่ก็ไม่ได้สายมากขนาดที่เดินทางสักเก้าโมงจะมาถึง
แล้วพอนึกคำนวณเวลาย้อนกลับไปก็ต้องเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น การที่ต้องตื่น อาบน้ำแต่งตัว ไหนจะขับรถมาในระยะความไกลเท่านี้
ใช้ความพยายามไม่น้อยเลย
“จะไปส่ง” เขาเลิกคิ้วให้คนที่บอกความต้องการใส่กันหน้าตาย กุญแจคุณหนูยังเกี่ยวกับนิ้วยาวของเจ้าบ้าน แกว่งไปมาอย่างไม่มั่นคงในตอนที่เจ้าตัวตอบกลับเสียงราบเรียบ
“ขับรถเป็น”
นันท์ชะงักก่อนจะกลับมาตีหน้านิ่งเหมือนเก่า รู้หรอกว่าอีกฝ่ายไม่ไว้ใจและไม่ได้มีความรู้สึกด้านบวกมากพอที่จะใช่เวลาร่วมกันสักนาที
แต่ให้ถอยก็ไม่ได้ไง
รู้ตัวแล้วว่าชอบ
“บอกทำไม?” คนที่ตอนนี้มีคะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินถึงทำเป็นถามกลับ ไม่ใส่ใจความหมายแฝงที่จินเจอร์สื่อว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือ
“นันท์”
“ขึ้นรถ หิวข้าว”
“กูไม่ได้มีเวลาเยอะขนาดนั้น” หมายถึงการทานอาหารไม่ได้อยู่ในโปรแกรมตั้งแต่แรก และปฏิเสธทับอีกครั้งกลายๆเรื่องก่อนหน้า
“แล้วจะปล่อยหิวจนถึงกี่โมง?”
“...”
“แวะซื้ออะไรกินง่ายๆ ไม่ถึงสิบนาทีหรอก”
.
.
.
อยากถามเหมือนกันว่าคนที่ชอบกินอะไรหนักท้องตอนเช้าจะยอมแวะร้านกาแฟ เลือกขนมปังที่ไซส์ไม่ได้เกินกว่าฝ่ามือไปทำไม
แต่คงต้องถามตัวเองมากกว่าว่าเพราะอะไรถึงเก็บกุญแจคุณหนูลงกระเป๋ากางเกงแล้วยอมขึ้นรถชาวบ้านเขามา
ขี้เกียจเถียงเหรอ? อย่าหลอกตัวเองหน่อยเลยจินเจอร์
“เสร็จเย็นเหมือนเมื่อวานเลยรึเปล่า?”
กี่ปีๆก็แพ้คนเดิม รู้อยู่แก่ใจ
“ขิง” เขาสะดุ้งสุดตัวตอนที่ความคิดเลื่อนลอยถูกขัดลงด้วยชื่อน่าหงุดหงิด คิ้วเข้มยิ่งขมวดยุ่งกว่าเก่าเมื่อเห็นรอยยิ้มมุมปากของสารถีจำเป็นแม้เพียงแวบเดียว
“ไม่รู้”
“โทรบอกแล้วกัน”
“ทำไมต้องบอก?”
“เพราะจะมารับ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวคุณเบล—“
“ขอ”
คำสั้นๆคำเดียวที่ทำให้เขาลืมคำต่อไปของประโยคที่กำลังพูด
นันท์ไม่อธิบายเพิ่ม แต่สิ่งที่เคยได้ยินกลับวนเข้ามาขยายความจนชัดเจน
‘กูอยากขอโอกาส...’
‘อย่าเพิ่งเลิกรักกูเลยนะ’
ก็เป็นซะแบบนี้
อ่อนไหวจนน่ารำคาญ
“กูขอบ้างได้มั้ย?”
คงจริงอย่างที่คุณเบลบอก เขาเองไม่ใช่คนอ่านยากสักเท่าไหร่ ไอ้การที่วาดรอยยิ้มขื่นๆผสมกับกำกระเป๋าสะพายใบโปรดน่ะเป็นอาการเดิมทุกครั้งตอนกำลังจะปกปิดบางอย่าง
และการที่จ้องตาอีกคนไม่ได้นานๆก็เพราะเหตุผลดาษดื่นที่ใครทุกคนต่างรู้
แววตาไม่เคยโกหก
“เลิกให้ความหวังกูสักที”
ไม่รู้แล้วว่าจะต้องทำยังไงกับเหตุการณ์นี้ สุดท้ายเลยใช้วิธีของคนอ่อนแออย่างการวอนขอ ในเมื่อโกหกแล้วไม่มีอะไรดีคงเหลือเพียงข้อเดียวที่ทำได้คือการพูดความจริง แม้จะเจ็บปวดทุกครั้งที่ปล่อยให้มันหลุดออกจากปากก็เถอะ
ยิ่งพูดสีหน้าคนฟังก็ยิ่งตอกย้ำว่าไม่มีความหมาย
ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไร...
“จะให้”
“...”
“หวังได้”
เขาโกรธตัวเอง
โกรธที่ไม่ปัดมือที่เอื้อมมากุมกันเอาไว้คล้ายจะกักขังไม่ให้หนี โกรธที่ไม่หลบสายตาโอนอ่อนทว่าหนักแน่นจนใจสั่นของคนตรงหน้า
และโกรธ...ที่ไม่เบี่ยงหลบสัมผัสแผ่วเบาบนริมฝีปาก
นันท์เป็นคนใจร้อน
“จริงๆ”
เอาแต่ความต้องการตัวเองไว้ที่หนึ่ง ความรู้สึกของเขาเป็นลำดับสุดท้าย
“นะ...นันท์”
ชอบบังคับ ตัดสินคนอื่นจากเรื่องราวแค่มุมเดียว
“อื้อ!”
ปากร้าย
จูบที่ได้รับยังคงหนักแน่น รุกล้ำ เอาแต่ใจ นันท์ชอบกัดเม้มริมฝีปากของเขาไม่ว่าจะย้ำไปสักกี่ครั้งว่าให้เลิกทำได้แล้ว ซึ่งเหตุผลลึกๆที่จินเจอร์ห้ามไม่ใช่เพราะความเจ็บ
แต่เป็นเพราะมันอันตรายมากเกินไปกับการที่นันท์แสดงออกว่าต้องการกันจนทนไม่ไหว จนทำให้การบดเคล้าริมฝีปากซ้ำๆยังเติมเต็มไม่พอจนต้องฝังเขี้ยว
บังคับให้เขาหลุดร้องต่อต้านผ่านเสียงสั่นเครือ
“ตอนเย็นจะมารับ” เนื้อนุ่มคลอเคลียอยู่กับปากฉ่ำ ลมหายใจอุ่นแตะร้อนทำให้จินเจอร์ต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สมองเหมือนถูกแช่แข็งยามที่ดวงตาทรงดุไล่มององค์ประกอบบนใบหน้าของเขาอย่างใจเย็น
“เสร็จแล้วโทรบอก”
“ไม่ต้อง”
“อย่าให้คนอื่นไปส่ง”
“ฟังที่กูพูดบ้างมั้ย?”
“ถ้าไม่โทรจะมารอ”
“นันท์ กูไม่ตลกนะ”
“จริงจังเหมือนกัน”
จินเจอร์ถอนหายใจ คงจะเป็นเวรกรรมจากชาติไหนสักชาติที่ผลักแต่คนดื้อดึงหน้าตายมาในชีวิตของเขา
“มึงล้ำเส้น”
“...” กลายเป็นนันท์ที่เงียบลงหลังจากเขาพูดประโยคนั้นด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“หยุดบังคับให้กูทำอะไรตามใจมึงได้แล้ว ยิ่งมึงทำ กูก็ยิ่งเห็นว่ามึงไม่เข้าใจความหมายของคำพูดตัวเองเลย”
เขาชอบการพูดยาวยืดเป็นอีกเท่าตัวเมื่อรู้ว่ามันช่วยเรียกสติกลับมาได้
“มึงขอโอกาสกู แต่พอกูไม่ทำอย่างที่มึงบอกมึงก็เป็นแบบนี้”
“...ขอโทษ”
“ใช้บ่อยจนฟังไม่มีน้ำหนักแล้วคำนั้นน่ะ” การตัดบทอย่างไร้เยื่อใยทำให้คนมองใจเสียหนักขึ้น
“ไม่บังคับแล้ว” สายตาดื้อดึงไม่เพิ่มความน่าเชื่อถือให้สิ่งที่เจ้าตัวบอกสักนิด จินเจอร์เงียบไปชั่วอึดใจ พยายามคิดข้อพิสูจน์ว่านันท์จะทำได้อย่างที่กล่าวสักแค่ไหนเชียว
“ตอนเย็นคุณเบลไปส่ง” วูบนึงที่ความรั้นปรากฎในแววตา แต่นันท์ทำได้เพียงเบือนหน้าหนีไปสงบสติอารมณ์ก่อนจะพยักหน้ารับแกนๆ แสดงว่าไม่ได้พอใจข้อตกลงที่ได้ยิน
“งั้น...กูไปนะ” อันที่จริงมันไม่ใช่หน้าที่ของเขากับการทดสอบอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อตอนสุดท้ายแม้นันท์จะสอบผ่านเขาก็คงไม่มีรางวัลอะไรให้
ความรู้สึกที่เคยเก็บไว้ก็กำลังโยนทิ้งไปทุกวัน
เป็นวินาทีที่จินเจอร์กำลังจะปิดประตูรถลงสนิทอย่างเฉียดฉิวที่นันท์รั้งข้อมือบางเอาไว้
“จะพยายามไม่เอาแต่ใจ” หน้าตาจริงจังช่างไม่เข้ากับประโยคเด็กชายเกเรที่กำลังกลั้นใจทำตัวดีของคนพูดเลยแม้แต่น้อย โชคดีที่ไม่มีใครรู้ว่าคนฟังใจอ่อนยวบไปแค่ไหน
“สัญญา”
เสียงกระแทกลงล็อกของกลไกสักอย่างที่บานประตูดังกลบเกลื่อนบางอย่างที่สั่นคลอนความรู้สึกของจินเจอร์ได้อย่างดี เขาต้องหายใจเข้าลึกหลายต่อหลายครั้งกว่าจะพาให้นิ้วสั่นๆของตัวเองกดออดแสดงตัวว่ามาถึงแล้ว
“สวัสดีค่ะพี่เจอร์”
คนแก่กว่าเอ่ยทักทายตอบอย่างเลื่อนลอย ในหัวมีเพียงคำกริยาสั้นๆที่ความหมายมากมายและมีอิทธิพลจนน่ากลัว คงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่มองแค่นันท์เสมอมาอย่างเขาจะรู้
รู้ว่านายพัทธนันท์คนนั้นไม่ชอบผิดคำพูด
และถ้าได้สัญญาออกมาแล้ว...
“ทานอะไรมารึยังคะ?”
ก็แปลว่าสำคัญ
_____________
วันนี้คุณสถาปนิกคนเก่งดูเหม่อลอยอย่างผิดวิสัย
เบลเท้าคางฟังอีกฝ่ายที่ยังอธิบายงานคล่องแคล่วเหมือนอย่างเคย หากแต่แววตาและน้ำเสียงฟังดูต่างออกไปจนแน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง
“พักมั้ยคุณ?”
“อ่า...ได้ครับ” คนถูกถามตอบพร้อมท่าทางเสียดายอย่างปิดไม่มิด แม้ตัวเขาเองยังไม่ได้เหนื่อยอะไรมากก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ลูกค้าต้องการพักผ่อน
คนนึงห่วงส่วนอีกคนเกรงใจ ความหมายผ่านๆอาจดูดีแต่ในความเป็นจริงมันเท่ากับระยะห่างที่มองไม่เห็น
จินเจอร์ขีดเส้นไว้แต่แรกโดยไม่รู้ตัว
บางคำที่เบลอยากจะพูดถูกหยุดเอาไว้ด้วยโทรศัพท์ที่สั่นครูดไปกับโต๊ะ เจ้าของมือถือขออนุญาตเขาเสียงแผ่วก่อนจะพลิกมันขึ้นมารับสาย อาจเป็นเพราะความสนใจถูกผูกขาดไว้กับจินเจอร์ การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยอย่างแววตาที่วูบไหวกับปลายนิ้วที่กำเข้าหากันแน่นขึ้นถึงได้ชัดเจนสำหรับเขานัก
เวลาใจเรากลายเป็นของใครสักคนมันมักจะน่าหงุดหงิดแบบนี้เสมอ
โดยเฉพาะเมื่อใจเขาไม่ใช่ของเราและเจ้าตัวหยิบยื่นมันให้คนที่ไม่คิดดูแล
“ผมขอตัวแป๊บนึงนะครับ”
“อืม”
รู้สึกพ่ายแพ้เพราะทำอะไรไม่ได้เลย...
.
.
.
|บ่ายสองแล้ว| คำขานเวลามีความหมายกว้างจนคนที่ไม่กล้าคาดการณ์อะไรล่องลอยได้แต่ยืนเงียบ สะกดกลั้นความหวังที่ถูกจุดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉยและน้ำเสียงเย็นชา
“มีอะไร?”
บางทีทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือแสดงออกตรงข้ามกับความรู้สึก
แข็งกร้าวเพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ตั้งแต่แรก
|กินข้าวเที่ยงหรือยัง?|
เพราะเมื่อระยะห่างลดลงเท่าไหร่
|ไม่ตอบแปลว่ายังใช่มั้ย?|
จะไม่เหลืออะไรที่ควบคุมได้อีก
“วุ่นวายอะไรนักหนากับเรื่องแค่นี้?”
|มึงเป็นเหมือนกู| จินเจอร์ขมวดคิ้วฉับ ต่อต้านในใจว่าไม่เห็นจะมีตรงไหนใกล้เคียงสักหน่อย เขากับไอ้คนเอาแต่ใจนั่นน่ะ
|ตอนนั้นงานยุ่ง เหลือแค่มึงกับกูที่ไม่ยอมไปกินข้าว|
ภาพเก่าเลือนรางสมัยมหาฯลัยผุดขึ้นมาในหัวของคนช่างจำ ครั้งนั้นเป็นงานกลุ่มที่ต้องนั่งทำด้วยกันที่สโมของคณะ เหลืออีกแค่ไม่กี่ส่วนก็จะเสร็จตามเป้าหมายที่ทุกคนวางแผนเอาไว้ ชุดนักศึกษาชายของนันท์ถูกปลดไทและกระดุมออกจนดูผิดระเบียบ มันเป็นแบบนั้นเสมอจนเป็นเรื่องชินตา อีกอย่างคืออาจารย์ก็ไม่ได้มาสนใจเพราะแค่เรียนให้รอดก็ลำบากมากแล้ว
‘ตรงอ้างอิงครามจะเคลียร์ให้?’ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหลุบมองกระดาษในมือเมื่ออีกคนที่มุมห้องเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถาม
‘อือ ของมึงอีกเยอะมั้ย?’ กรอบแว่นเหล็กเส้นบางถูกดันขึ้นคาดผมที่ยุ่งนิดๆของนันท์ เขาจำได้ว่าต้องกลืนน้ำลายลงคออยู่พักใหญ่กว่าจะคุมให้เสียงไม่สั่นได้ในบทสนทนานั้น
‘ไม่ค่อย’ พอใจแข็งพอจะสบตาก็ถูกท้าทายด้วยรอยยิ้มจางตรงมุมปากที่ส่งมาอย่างรู้ทัน นันท์ในวัยสิบเก้าปีเท้าคางมองเขาและพยักหน้ารับ
‘เหมือนกัน’
บทสรุปคือผ่านไปกว่าชั่วโมงจนเพื่อนของพวกเขาต้องโทรมาตาม ถามว่าต้องการให้ซื้ออะไรเข้าไปประทังชีวิตมนุษย์บ้างานซึ่งก็คือเขาและอีกฝ่ายบ้างหรือเปล่า
ก็ยังจำได้อีกนั่นแหละ ที่ใครบางคนเลิกคิ้วสงสัยยามได้ยินเขาตอบปฏิเสธ
‘เดี๋ยวห้องมีกลิ่น’ อธิบายสั้นๆพลางเสยผมกลบเกลื่อนกระเพาะที่เริ่มจะปะท้วงขึ้นมาเนื่องด้วยขาดสิ่งที่ต้องการนานเกินกว่าที่ควร
‘ไม่หิวเหรอ?’
‘เสร็จค่อยไป’
‘เออ กูก็คงใกล้ๆกับมึง เรียกด้วยแล้วกัน’
‘อืม’
ความจริงคือจินเจอร์ไม่ชอบทานอาหารผิดเวลา
ในตอนนั้นก็แค่กลัวว่าถ้าหนีไปกินก่อนแล้วจะไม่เหลือข้ออ้างไว้ชวนอีกคนไปพัก
เหตุผลมันก็แค่นั้น
|อย่าปล่อยให้ท้องว่างนานๆ เมื่อเช้ามึงกินไปน้อย|
“ถ้าไม่มีอะไรสำคัญจะวางนะ ลูกค้ารอ”
|ชอบทำงานจนลืม อยากเป็นกระเพาะหรือไง?|
ไม่จริงหรอก เขาไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น
ไม่รู้ยังไง...ก็ยังไม่รู้เหมือนเคย
และเขาเองก็คงไม่คิดเฉลยอะไรให้ทุกอย่างยืดเยื้อกว่าที่เป็น
“แค่นี้”
|ตอนเย็น...|
คนที่ขู่จะตัดสายกลับรอฟังอย่างเผลอตัว เลขแสดงวินาทีฟ้องว่านันท์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจหนักๆและประโยคสุดท้าย
|บอกลูกค้ามึงให้ขับรถดีๆ เมื่อกี้ดูข่าวฝนน่าจะตก|
“...”
|ไม่กวนมึงแล้ว|
เป็นนันท์ที่จบบทสนทนาในครั้งนี้
ทิ้งคนที่รู้สึกมากกว่าไว้กับคำถามว่าหากที่ผ่านมา การที่อีกฝ่ายจะรับรู้และรับรักคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แล้วการที่เขาจะหยุดและลืมทุกอย่าง ทิ้งมันไว้ในอดีตแล้วก้าวผ่าน...
คือสิ่งที่เป็นไปได้จริงๆน่ะเหรอ?
_________________________________________________________________
ชีวิตช่วงนี้ก็คือลุ้นว่าจากนศพ.จะกลายเป็นศพเมื่อไหร่ วรั้ยยยย
แต่ไม่เป็นไรค่ะเรายังมีที่ให้พักผ่อนหย่อนใจตรงนี้และทุกคนอยู่
ขอบคุณจริงๆสำหรับเพื่อนที่รอ ยังแวะเข้ามาอ่านกันถึงเราจะมาไม่บ่อยเหมือนก่อน
คือเราก็เป็นคนอ่านเหมือนกัน เข้าใจฟีลน้องมารอพี่ที่ท่าน้ำอยู่พอสมควร
ยังไงขอบคุณอีกครั้งนะคะ ถึงตรงนี้จะเป็นมุมเล็กๆแต่ก็เป็นมุมเล็กที่ดีต่อใจเรามากเลย
ตอนหน้ามาเจอกั๊นนนน #ลดลงเหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หนูทั้ง2คน เฮ้อออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออหมดคำจะพูด เข้าใจทั้งคู่เห็นใจทั้งคู่แต่ก็สมควรได้รับทั้งคู่
อีกคนพยายามจะตัด ส่วนอีกคนะพยายามรักเศร้ามากเลยค่ะไรท์
สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้