ตอนที่ 15 : ลบสิบห้า
ขายาวพาดกับเบาะผ้าเนื้อสาก กดแผ่นหลังตัวเองให้จมลงบนพนักพิงโซฟาคล้ายจะเก็บกอดกลิ่นอายของใครบางคนที่อาจหลงเหลือ
นันท์รู้ว่ามันเป็นเพียงการหลอกตัวเอง
ตอนนี้ไม่มีอะไรลงตัวในความรู้สึก แอร์ที่กำลังทำงานก็เย็นเกินไป หมอนที่หยิบขึ้นมากอดไม่ได้ให้สัมผัสที่ต้องการ
มวลสารสักอย่างในอกค่อยๆกัดกินเขา ประโยคที่ถูกกรอซ้ำไปซ้ำมาว่าเรื่องราวทั้งหมดต้องหยุดลงบอกกับนันท์ถึงความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
จินเจอร์กำลังจะไป
แม้พยายามหาเหตุผลของการรั้งอีกฝ่ายเอาไว้อย่างงี่เง่าจนเจอก็ยังไม่อยากยอมรับ เขามีประสบการณ์มาก่อน ทั้งเหตุการณ์ในคลับและเหตุการณ์เมื่อครู่กระทบบางสิ่งในตัวเขาอย่างแรง
ความไม่ชอบที่ถูกจุดขึ้น ลุกลามได้เร็วจนน่ากลัวยามที่เจอร์แตะต้องคนอื่นคือ ‘หึงหวง’
ส่วนก้อนน้ำแข็งที่เย็นจนปวดแสบตรงอกซ้ายเมื่อเจ้าตัวหันหลังให้กันคือ ‘โหยหา’
แต่ที่น่าสับสนคือทั้งสองอย่างนั้นเป็นผลมาจากสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดว่าได้มอบให้ผู้หญิงคนหนึ่งไปเมื่อนานมาแล้ว นานจนไม่คิดถึงความเปลี่ยนแปลงเพราะไม่เคยเปิดโอกาสให้ใคร
มันถึงว้าวุ่นไปหมดเมื่อจู่ๆความรักที่ควรต้องอยู่กับจรินย้ายไปหาอีกคน
“...” ดวงตาคมเฉี่ยวหลับลงพลางถอนหายใจยาว ทั้งที่ไม่เคยมีบทสนทนาดีๆด้วยกันบ่อยขนาดนั้น เจอหน้าก็เอาแต่ประชดประชันก่นด่า หนักสุดคือทำร้ายร่างกายจนต่างฝ่ายต่างได้แผล
แล้วความรู้สึกที่เปราะบางตั้งมากมายมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่..?
มือหนาลูบหมอนใบโตบนตักขณะใช้ความคิด พอจะเข้าใจน้ำเสียงที่ร้องขอกันให้เขาพาไปที่อื่นเมื่อครั้งก่อน อารมณ์โมโหสั่งให้เขารุนแรง และเนื้อผ้าบาดผิวขนาดนี้คงทำแผ่นหลังสีน้ำผึ้งขึ้นรอยแดงหรือถลอกบ้างบางส่วน
คำว่า ‘หลง’ ถูกขีดฆ่าไปกลางอากาศ จริงอยู่ที่ถึงจุดนึงร่างกายเขาเรียกร้องจินเจอร์จนควบคุมไม่ได้ แต่นันท์ในตอนที่สติครบถ้วนต้องการมากกว่านั้น เขาอยากทำความรู้จัก อยากได้พูดคุยกันดีๆ ซึ่งคนโลภมากอย่างเขายังหวังจะได้มองรอยยิ้มกว้างทั้งที่ปัจจุบันมีแต่ขอบตาแดงก่ำให้เห็น ไม่ได้ใกล้เคียงสักนิด...
ที่สำคัญคือเขาต้องเป็นเจ้าของรอยยิ้มจินเจอร์ เพราะไม่ได้ใจกว้างพอจนยอมให้ใครมามีอิทธิพลกับอีกฝ่ายเยอะแยะ
ครืด
ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะประคองตัวเองขึ้นมากวาดสายตาหาต้นเสียง มือถือน่าสงสารที่โดนปัดตกบนพื้นแข็งสีเบจมีร่องรอยการแตกบนหน้าจอ นันท์ไม่ใส่ใจกับมันเท่าไหร่ด้วยไม่จำเป็นต้องทำ เครื่องสี่เหลี่ยมนั่นไม่มีไฟล์งานหรือใช้ตอบเมลสะดวกเหมือนแล็ปท็อปเสียหน่อย
“แทน?”
|อืม อยู่ไหน?| คำถามแรกก็บ่งบอกแล้วว่าพี่ชายอยากจะถามหาใคร ดวงตาคมเฉี่ยวกลอกมองบนอย่างรำคาญ
“ห้อง ทำไมไม่โทรหามิน?”
ชัดเจนแบบที่มองจากดาวอังคารก็เห็น คิดถึงแฟนเด็กแต่ทำตัวซับซ้อนเดือดร้อนคนอื่น
|ไม่อยากกวน|
“ก็เลยกวนฉันแทน” เขาแค่นหัวเราะ พอเห็นหน้าตายิ้มแย้มของเด็กนั่นเวลาอยู่กับคนปลายสายแล้วชักพาลหน่อยๆ ถึงจะบอกกับตัวเองว่าคงหมั่นไส้ทั่วไปแต่ลึกๆก็รู้ว่ากำลังอิจฉา
เออ...โคตรอิจฉาเลย
|พ่อแม่สบายดี?| คนเป็นพี่เองก็เริ่มรู้ว่าน้องมีอาการหงุดหงิดจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง แม้หัวข้อฟังดูสุ่มเสี่ยงกว่าเดิมก็เถอะ ให้ทำยังไงได้ แทนห่วยแตกกับการสนทนานอกเหนือเรื่องงานมาแต่ไหนแต่ไร
“สงสัยก็กลับมาดูเอง” นันท์ตอบปัดเสียงห้วนแต่คนตีความเก่งก็ยังพอเดาความหมายได้ มาแนวนี้ก็คงเหมือนเดิมไม่มีอะไรให้ห่วง การย้ายมาอยู่ต่างแดนได้สักพักใหญ่ไม่ได้ทำให้ลืมคนสำคัญที่บ้าน และระยะห่างทำให้แทนเห็นคุณค่าของหลายอย่างมากขึ้น
|จะหาเวลาแล้วกัน|
“แทน”
|ว่า?|
“...” กลายเป็นคนน้องที่ดึงเปลี่ยนเรื่องแต่ลังเลอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ปกตินันท์ไม่ใช่คนให้เวลากับการเรียบเรียงคำพูดเท่าไหร่ เอาให้ง่ายคือเขาพูดไม่คิด แต่ประเด็นที่อยากปรึกษามันจับต้นชนปลายลำบาก และเขาเองไม่ค่อยมีโอกาสคุยกับแทนเรื่องนี้บ่อยเท่าไหร่
หัวข้อนี้ในชีวิตเขาไม่เคยมีปัญหา...จนมีคนชื่อเดียวกับสมุนไพรไทยหน้าตาเหลืองๆแง่งๆนั่นเข้ามาทำให้วุ่นวายไปหมด
“ตอนจีบมิน ทำไง?”
โชคดีที่เลือกสื่อสารแบบได้ยินแค่เสียงเพราะปลายสายที่เป็นฝ่ายจ่ายค่าโทรแพงลิบทำน้ำอุ่นกระฉอกจนเสื้อชุ่มทั้งอก แทนเป่าๆไล่ความร้อนทั้งที่น้ำตาคลอเบ้าแต่ก็โวยวายไม่ได้เพราะไก่จะตื่นจนฟาดงวงฟาดงา (?) แล้วชิงตัดสายไปก่อน มากสุดเลยกระแอมเรียกฟอร์มพลางตอบด้วยเสียงปกติ
|ไม่รู้|
“แก่จนจำไม่ได้แล้วหรือไง?” แน่นอนว่าฝ่ายที่รอคอยตัวช่วยขัดใจกับความไร้ประโยชน์ที่ได้รับ แทนหลุดยิ้มกับตัวเองขณะกระพือคอเสื้อเพื่อทำให้มันแห้ง
|ไม่รู้จริงๆ มินเป็นคนจีบ|
นันท์เบ้ปากและกำลังหมดความอดทนกับคู่รักต่างวัยนี่ลงเรื่อยๆ นิ้วยาวคงตัดสายทิ้งอย่างไม่แคร์โลกไปแล้วถ้าพี่ชายไม่เอ่ยประโยคถัดไปขึ้นมาแก้เกมเสียก่อน
|แต่พอรู้ตัวว่าชอบก็แสดงออกให้เขาเห็นมากขึ้น|
“...ยังไง?” ถ้าการสื่อสารของแทนมีคะแนนติดลบ การแสดงออกของนันท์คงจัดว่าติดโปร
และกำลังจะโดนรีไทร์อยู่รอมร่อ
|มันก็แค่...ถ้าอยากเห็นมินหัวเราะก็จะหาเรื่องแกล้งหรือชวนคุย อยากให้ไม่ป่วยก็ชวนกินอาหารดีๆแล้วก็ไปเดินเล่นด้วยกันตอนเช้า ช่วงไหนมินต้องนอนดึกติดกันก็ไปนั่งทำงานเป็นเพื่อนแล้วแอบชงนมอุ่นไปให้ แป๊ปเดียวเดี๋ยวเริ่มง่วงเองนั่นแหละ แล้วถ้า—|
“พอ ขี้เกียจฟัง” อาจารย์คนเก่งคิ้วขมวดกันจนแทบเป็นเงื่อนตาย ทนเก็บข้อมูลไม่ไหวจนต้องเบรกปลายสายที่พูดเป็นวรรคเป็นเวร รู้แล้วว่ารักกันปานจะกลืนกินแต่มันรำคาญ
“ทำอะไรวกวน นอนดึกก็บอกให้นอนเร็วไปดิ แล้วถ้าสุขภาพตัวเองยังไม่รักษาก็ปล่อยป่วยไปเหอะ”
|ไม่รู้ดิ มันห่วง ถ้าไม่มีเวลาตัวเองเดี๋ยวดูแลให้ก็ได้|
“สปอยล์”
|ก็อยากให้เขามีความสุขเยอะๆจะให้ทำไง ไปบังคับบอกให้ต้องมีความสุขมันก็ไม่ใช่รึเปล่า?|
ประโยคนั้นทำให้คนฟังนิ่งไป นันท์ก็พอจะรู้ว่าตัวเองชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่จุกจิก ทุกอย่างถูกเป๊ะตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ และบางทีมันก็ทำให้เขาคาดหวัง พบกับความผิดหวัง จนสุดท้ายเรียนรู้ที่จะปรับตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
กับเจอร์เขาก็ทำแบบนั้น วาดภาพในหัวว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ กว่าจะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ซับซ้อนพอกันก็เป็นตอนที่นายขิงไม่ยอมอยู่ให้เขาตีกรอบแล้ว
และจะไปบังคับให้อยู่ก็คงไม่ได้ผลจริงๆนั่นแหละ
|แกเหอะถามทำไม?| แทนแกล้งถามกลับเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเหมือนคนกำลังอับจนหนทางเต็มที
“ทำวิจัย แค่นี้นะ”
แล้วก็กลายเป็นฝ่ายนั่งขำจนต้องกุมท้องหลังจากบทสนทนาถูกตัดจบแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ได้ข่าวว่าสอนบริหารไม่ใช่หรือไง อะไรคือการทำวิจัยเรื่องคนจีบกัน
สงสัยก่อนมินกลับต้องให้ช่วยไปส่องๆไอ้น้องช่างแถนี่บ้างแล้ว
_____________
เป็นการตัดสินใจนาทีสุดท้ายตอนที่นันท์เลี้ยวรถเปลี่ยนเส้นทางไปยังสวนสาธารณะกลางเมืองใหญ่ ปล่อยให้ร้านกาแฟของเมษาตกไปด้วยความเสียดายหน่อยๆ
ได้แต่ปลอบตัวเองว่าอย่าใจร้อน รีบยังไงก็คงเร่งความรู้สึกของใครไม่ได้อยู่ดี
บรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินทำให้ทุกอย่างดูช้าลงสำหรับเขา คนที่ไม่ค่อยได้หยุดมองรอบข้างถึงมีโอกาสได้เดินลากเท้า ฟังเสียงวิ่งไกลๆในพื้นหลังด้วยหัวสมองที่เกือบว่างเปล่า
ถ้าไม่ติดว่ามีภาพของผู้ชายผิวน้ำผึ้งกับขอบตาสีแดงจางชัดเจนในความคิดน่ะนะ
อากาศเย็นปนความชื้นหน่อยๆตามประสาเมืองร้อนไม่ใช่สิ่งที่ทำให้สบายตัวนัก นิ้วยาวถึงต้องปลดกระดุมข้อมือและพับเชิ้ตขึ้นมาถึงศอก นันท์ไล่สายตาเล่นเรื่อยเปื่อยพลางเรียบเรียงความคิดทุกอย่างโดยค่อยเป็นค่อยไป ราวกับเลโก้ที่กระจัดกระจายได้ถูกต่อขึ้นทีละนิดจนเห็นเป็นรูปร่าง แม้ชิ้นส่วนอีกมากยังเหลือจนดูน่าท้อแท้แต่เขาจะไม่ยอมรามือง่ายๆหรอก
“..?” เสียงดินสอขีดกระดาษและลายเส้นสะดุดตาทำให้ขาทั้งสองข้างหยุดชะงัก นันท์เพ่งมองบางส่วนของใบหน้าที่ก้มอยู่ไม่ถึงนาทีได้คำตอบว่าเคยได้เห็นเด็กสาวตรงหน้าจากที่ไหน
“เจอกันอีกแล้วนะคะ”
“ไม่คิดว่าจะจำได้”
ไอด้าไม่ตอบ เธอทำแค่เงยหน้าและระบายรอยยิ้มสวยไม่ต่างจากพี่ชายให้คนตัวสูงกว่า ซ่อนความแปลกใจไว้ในสีหน้าเมื่ออีกฝ่ายนั่งลงข้างกัน
“วาดอะไร?”
“ยังไม่ได้ตั้งชื่อค่ะ” นันท์เปลี่ยนเป็นทอดมองพื้นปูนด้านหน้าหลังจากได้รับคำตอบยียวนชวนหงุดหงิด ภาพที่เจ้าตัววาดอยู่มันเป็นรูปร่างชัดเจนอยู่แล้วก็น่าจะรู้นี่ว่าเขาแค่หาเรื่องคุยด้วยเฉยๆ
“...”
“พี่เจอร์สบายดี?”
“...ไม่รู้ เธอไม่ได้คุยหรือไง” ใครบางคนพยายามเฉไฉออกจากบทสนทนาอย่างเห็นได้ชัด ไอด้าคิดเช่นนั้นและพลิกยางลบบนหัวดินสอมาจัดการกับเส้นส่วนเกิน
“ตั้งแต่วันที่คุณต่อยพี่เจอร์ก็ไม่ได้คุยเลยค่ะ” รอยยิ้มหวานๆตัดกับเนื้อหาทำให้นันท์ขมวดคิ้วมุ่น เด็กนี่ชักจะกวนอารมณ์เขาขึ้นทุกที
ในจังหวะที่กำลังจะลุกเดินหนีเพราะกลัวขีดความอดทนของตัวเองจะหมดลง คนข้างตัวกลับเอ่ยรั้งเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเรียบอย่างเคย
“พวกพี่ทะเลาะกันบ่อยเหรอ?”
นันท์ใช้เวลากับคำถามนั้นนานจนถ้าเป็นคนอื่นคงจะเลือกเปลี่ยนเรื่องไปแล้ว
แต่เพราะเป็นไอด้า เด็กสาวที่เขาเองก็เดาไม่ออกว่าระหว่างภาพวาดและบทสนทนาไร้แก่นสารที่เกิดขึ้น อะไรดึงความสนใจของเธอได้มากกว่ากัน
“ก็...หลายครั้ง”
“แปลก”
“แปลกยังไง?”
“พี่เจอร์ดูใจเย็น ไม่น่าจะเถียงกับใครได้”
ทันทีที่จบประโยคนั้นคนพูดก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งหลังได้ยินเสียงหัวเราะแกนๆต่อท้าย
“มันเถียงเก่งจะตาย”
“เพราะคุณกวนประสาทรึเปล่า?”
“เพราะมันมองเธอเป็นน้องสาวมากกว่า ถึงไม่ได้เห็นด้านแบบนั้นของมัน” รอยยิ้มเยาะที่ส่งให้คล้ายจะอวดว่ารู้จักจินเจอร์ดีกว่าทำให้ไอด้าหลุดขำออกมาบ้าง
“แล้วพี่เจอร์มองคุณแบบไหนเหรอคะ ถึงทำ ‘ด้านแบบนั้น’ ให้คุณเห็น?” ถามพร้อมกับเอียงคอน้อยๆรอฟังคำตอบ คนแก้กว่าเลยทำได้แค่เม้มปากเพราะพลาดท่าเข้าให้แล้ว
“การ์ดที่เธอฝากให้เจอร์...” นันท์ทำเป็นมองข้ามรอยยิ้มขำของเด็กสาวในตอนที่เขาพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“จริงรึเปล่า?”
“หมายถึงพี่เจอร์ชอบประโยคนั้นจริงรึเปล่าน่ะเหรอ?” ไอด้าทวนคำพูดที่ควรจะยาวกว่านั้นเพื่อความแน่ใจ พออีกฝ่ายพยักหน้าเธอเลยยักไหล่
“ไม่รู้ว่าชอบมั้ย แต่ตอนที่พี่เจอร์เห็นครั้งแรกก็อ่านซ้ำๆไม่หยุดเลย”
‘You broke my heart, but I still love you with all the pieces.’
“อาจจะไม่ได้ชอบ แค่รีเลทกับเรื่องของตัวเองก็ได้เหมือนกันนี่”
“...”
“คุณเอง...ก็เป็นประธานของประโยคนั้นไม่ใช่หรือไง?”
ไอด้ายังคงรอยยิ้มเล็กๆเอาไว้แม้เนื้อหาของสิ่งที่พูดจะไม่เข้ากันเท่าไหร่
“ไม่คิดบ้างเหรอว่ามันนานเกินไปแล้ว?”
“...”
“ถ้าไม่คิดจะรักตอบ ก็ปล่อยให้พี่เขาไปเจอคนอื่นเถอะค่ะ”
“หมายถึงพี่เธอน่ะเหรอ?”
“หมายถึงคนที่รักพี่เจอร์ได้เหมือนที่เขารักคุณต่างหาก”
นันท์คงต้องยอมรับว่าเขาคงไม่มีวันต่อปากต่อคำกับเด็กหญิงข้างตัวได้สำเร็จ
ระหว่างที่เขาพยายามตะเกียกตะกายขึ้นจากห้วงความคิดของตัวเอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่ระดับความดังต่ำกว่าครึ่งก็ดังขึ้นมาให้ตกใจเล่นเสียก่อน
“เฮีย” ไอด้ารับคำสั้นๆพลางเปิดซิปกระเป๋าผ้าทรงยาวเพื่อเก็บดินสอ
“อยู่กับ—” นัยน์ตากลมเหลือบมองเขานิดหน่อยก่อนจะต่อประโยคจนสมบูรณ์ “เพื่อน”
กลายเป็นฝ่ายที่อายุห่างไปหลายปีที่ขมวดคิ้วกับสถานะใหม่ของตัวเอง
“ไม่ต้องหรอก หนูกลับเองได้” เด็กสาวเหน็บมือถือด้วยไหล่กับแก้มอันน้อยนิดยามที่หยิบเป้หน้าตาเลอะเทอะแบบน่ามองขึ้นมาสะพายบนบ่า
“งั้นเดี๋ยวให้เพื่อนไปส่ง” นันท์เงยหน้ามองรอยยิ้มเล็กๆที่ดูเจ้าเล่ห์พิกลของคนที่ยืนคุยโทรศัพท์ตรงหน้าเขา ไม่ถึงนาทีอีกฝ่ายก็วางสายและถือโทรศัพท์เครื่องนั้นเอาไว้ในมือ กระพริบตาปริบๆมองกันอย่างกวนประสาท
“รบกวนด้วยนะคุณเพื่อน :)”
.
.
.
ไม่รู้ว่าเพราะยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นหรือไอด้าเป็นเด็กประหลาด คำว่า ‘Age gap’ เลยดูไม่มีผลกับพวกเขาเท่าไหร่ระหว่างทางกลับบ้านของเจ้าตัว บทสนทนาที่มีนั้นไหลลื่นพอปราศจากหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับคนในความคิดของนันท์มาหลายวัน
และใช่ สุดท้ายนันท์ก็ยอมมาส่งเพื่อนตัวดีถึงบ้านตามคำขอ สงสัยพลังงานสมองของเขาถูกใช้กับเรื่องจินเจอร์ไปจนหมด การตัดสินใจด้านอื่นเลยดูไม่มีเหตุผลเท่าไหร่
“รั้วสีน้ำตาลซ้ายมือด้านหน้า ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
“เดี๋ยว”
“..?” นันท์แตะเบรกพร้อมกับมองหน้าไอด้าอย่างเอาเรื่อง อยากจะแยกเขี้ยวใส่เด็กที่นั่งมองตาใสทั้งที่ปากยังยิ้มกวนอารมณ์อย่างชัดเจน
“นั่นมัน—”
“อ๋อ ช่วงนี้พี่เจอร์เข้ามาคุยงานกับเฮียที่บ้าน”
“ไอด้า”
“แต่คงเสร็จแล้วมั้ง เหมือนเฮียกำลังจะไปส่งพี่—”
นันท์ไม่เสียเวลาอยู่คาดคั้นเด็กที่ฉลาดจนน่าหงุดหงิดต่อบนรถ ร่างสูงเปิดประตูลงมาอย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นว่าเบลกำลังจะเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้จินเจอร์
“ขิง” เขาถือวิสาสะเรียกชื่อใหม่ที่ใครบางคนหวงนักหนาโดยไม่สนใจนัยน์ตาคู่สวยที่มองกันเหมือนกับเห็นผี ขายาวก้าวเข้าไปจับข้อมือของจินเจอร์เป็นเชิงห้ามไม่ให้ไปกับใครคนอื่น
นอกจากเขา
“คุณมาได้ยังไง?”
“อ๋อ พี่เขามาส่งหนูค่ะเฮีย” คนตอบคำถามกลายเป็นหญิงสาวตัวเล็กที่มายืนยิ้มเผล่อยู่ข้างเขา นันท์ไม่ได้คาดหวังเลยว่าไอด้าจะเลือกทำแบบนี้ แต่นั่นก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่เขาจะไม่ต้องรับมือกับไอ้หน้ายิ้มนี่คนเดียว
“ไอด้า?”
“เหมือนม๊าเรียกกินข้าวแล้วเฮียได้ยินมั้ย? วันนี้ขอตัวนะพี่เจอร์ พรุ่งนี้เจอกันค่ะ” ผู้หญิงคนเดียวไม่สนใจว่าจะมีใครงงแค่ไหน เธอแค่ทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อในความเป็นไปได้อันน้อยนิดที่มีอยู่และความเป็นจริงที่เห็นทุกวันจนชินตา
...ไม่ว่าเบลจะทำดียังไงเจอร์ก็คงไม่รู้สึกต่อกันไปมากกว่านี้
“ทำไมไม่เอารถมา?” คล้อยหลังสองพี่น้องนันท์ก็เปิดประเด็นถามคนตรงหน้าตัวเองทันที เจอร์เหลือบมองเขานิดหน่อยก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“คุณเบลไปรับ”
“ไม่ใช่เหตุผลเลยขิง”
“เลิกเรียกแบบนั้นได้แล้ว”
“ขึ้นรถ” คนดื้อดึงตวัดสายตามองไปยังรถสีดำสนิทของตัวเองเป็นเชิงย้ำว่าความจริงจินเจอร์ควรกลับกับใคร ทว่าเจ้าตัวกลับยืนนิ่ง ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันมาสบตากันเป็นครั้งแรกของวัน
“จะเอาอะไรอีก?”
“ขิง—”
“ยังสงสัยตรงไหนก็ถามมาเลย จะตอบให้หมดแล้วก็เลิกมายุ่งสักที”
“จินเจอร์” นันท์เรียกชื่ออีกคนเสียงนิ่ง แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงสายตาไม่เข้าใจและแขนที่บิดออกจากการกอบกุมของเขา จินเจอร์ก้าวไปที่รถและนั่งที่เบาะด้านหน้าพร้อมคาดเข็มขัดตามคำสั่งก่อนหน้า แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิดเดียว
“เจอร์คือกู—”
“กลับบ้าน” น้ำเสียงหนักแน่นและสายตาที่เน้นย้ำปลายทางทำให้นันท์ได้แต่พยักหน้ารับ มันไม่ใช่จังหวะที่ดีเลยที่จะพูดในสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ และดูเหมือนเจอร์เองก็ไม่อยากเปิดทางให้เขาได้กล่าวอะไรทั้งนั้น
แต่นั่นก็คงเป็นเรื่องปกติของคนที่อยากจะลืมกันอยู่แล้ว
ท้องฟ้าในสายตาของจินเจอร์มีสีหม่นและทึบลงเรื่อยๆ บรรยากาศน่าอึดอัดปิดปากให้เขานั่งเงียบมาตลอดทางและเฝ้ารอที่จะถึงบ้านอย่างใจจดใจจ่อ ไม่นึกอยากทำควมเข้าใจหรือคาดเดาสถานการณ์ไปมากกว่านี้เพราะรู้ดีว่าคงไม่มีประโยชน์กับตัวเอง
“ห้านาที” เสียงแหบต่ำหยุดมือที่กำลังจะเอื้อมจับที่เปิดประตูของเขาเอาไว้ จินเจอร์กัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บแสบราวกับจะขู่ร่างกายว่าจะเจ็บมากกว่านี้อีกหลายเท่าถ้าคิดทำอะไรไม่เข้าท่า
“มึงจะไม่ให้โอกาสกูจริงๆเหรอ?” นันท์ยื้อด้วยคำถามที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่งเมื่อเห็นว่าเขาทำท่าจะหันหลังให้ดังเดิม
“...”
“ที่ผ่านมามึงคือเพื่อนกู มันเป็นแบบนั้นมาตลอด”
เหมือนกับสมองจะสมน้ำหน้าเขาที่ยังอยู่รอฟังคำพูดเสียดแทงครั้งแล้วครั้งเล่า
“พอเรา...ล้ำเส้นไปบบนั้นกูเลยสับสน ยิ่งมารู้ว่ามึง—”
“เข้าใจแล้ว” จินเจอร์ตัดบทเพราะไม่อยากได้ยินสิ่งที่ตัวเองเก็บงำมาเนิ่นนานหลุดมาจากปากของคนตรงหน้า มือบางกำกระเป๋าถือของตัวเองแน่น คราวนี้ไม่ลังเลที่จะเปิดประตูออกไปสัมผัสกับอากาศร้อนๆที่ให้ความรู้สึกดีกว่าแอร์เย็นเฉียบในรถมากมาย
“กูอยากขอโอกาสให้กูได้มองมึงแบบที่ไม่ใช่เพื่อนบ้างได้มั้ย?”
เสียงตะโกนทำให้ประโยคนั้นยิ่งกระแทกใจคนฟังที่อยู่ไม่ไกลเข้าไปจนเจ็บ จินเจอร์ชะงักค้าง มือที่ถือกระเป๋าอ่อนแรงจนทำมันหล่นลงกับพื้น เอกสารและแบบบ้านของคุณเบลหลุดออกจากช่องเก็บที่ปิดไม่สนิทจนเลอะฝุ่นไปหมด
“อย่าเพิ่งเลิกรักกูเลยนะ”
ช่างเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวสมกับเป็นพัทธนันท์ของเขาจริงๆ เจอร์ได้แต่แค่นยิ้มกับตัวเองโดยที่อีกฝ่ายไม่มีทางมองเห็น
“ทั้งที่มึงก็ยังไม่รู้ว่าจะรักกูได้มั้ยน่ะเหรอ?”
“...”
“ไม่ต้องฝืนหรอกนันท์ ช่างมันเถอะ” รวมกันเป็นคำพูดยาวที่สุดที่เขาได้มอบให้อีกคนในวันนี้
“กูไม่ได้ฝืน” มือหนาจับไหล่ของเขาให้หันกลับไปมองกันตรงๆ แต่เพราะไม่อยากเห็นสายตาดุดันที่อ่อนลงแบบนั้นจินเจอร์ถึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเช่นเดิม
“กูเองยังไม่เคยขอโอกาสอะไรจากมึงเลย” เขาระบายรอยยิ้มบางเบาเพื่อหวังว่ามันจะคลายความรู้สึกบีบรัดในอกลงได้
“ทำไม..?”
“เพราะกูไม่คาดหวังไง ไม่คาดหวังเลย” ...ว่ามึงจะรับรู้และมาแคร์อะไรอย่างนั้น
“...”
“ให้มันจบๆไปเถอะ กูขอเวลาหน่อยแล้วกัน” เสี้ยวหน้าของจินเจอร์ที่นันท์มองเห็นมีรอยยิ้มฝืดเฝื่อนอยู่ยนริมฝีปาก
“ถ้ามึงยังโอเคที่มีกูเป็นเพื่อน—”
“กูไม่โอเค” ประโยคที่ถูกตัดแทรกทำเอาคนพูดแทบจะกลืนความรู้สึกขมขื่นเอาไว้ไม่ทัน
“งั้นก็ทางใครทางมัน”
“ไม่”
จินเจอร์เถียงต่อไม่ไหวเพราะเมื่อกี้เสียงของตัวเองก็สั่นจนน่ากลัวมากแล้ว สิ่งที่ทำได้เลยเหลือแค่มองคู่สนทนาด้วยความไม่เข้าใจระคนเจ็บปวดอยู่อย่างเดิม
“ถ้ามึงไม่เป็นแฟนกูก็ไม่ต้องเป็นอะไรกันทั้งนั้น”
นั่นสินะ...อีกฝ่ายเอาแต่ใจตั้งแค่ไหน
ลืมได้ยังไงกัน
คำแรกที่อยากบอกทุกคนเลยคือขอโทษ TT
ความจริงกำหนดจบเรื่องนี้คือก่อนเปิดเทอมมหาฯลัยแต่เค้าคำนวณพลาดเอง ฮรืออ
ยอมรับเลยว่ายัง handle กิจกรรมและการทวนเลคในฐานะเด็กน้อยปีหนึ่งไม่ค่อยลงตัว
เราเสียใจจริงๆที่ทำตามที่บอกไว้ไม่ได้
แต่ยืนยันเลยว่ายังไงก็ไม่ทิ้งนายขิงแน่นอน ตอนนี้เราไฟต์เต็มที่มาก
อาจจะมาได้ไม่บ่อยเท่าไหร่แต่เราจะพยายามที่สุดนะคะ
ยังเยิฟๆทุกคนและดีใจที่มีคนคิดถึงนายขิงน้า
แล้วเจอกันตอนหน้า เย่ะ! #ลดลงเหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เราชอบคำพูดน้องไอด้า ฟาดเต็มๆไปเลยอะ // แบบนี้นันท์ต้องไปลองถามพี่สะใภ้แล้วล่ะ 5555
สงสารขิงงง
เจ้อเห็นอะไรดีในตัวนันเหรอ ถามจริง ทำไมเราไม่เห็นเลย
มันดูอบอุ่นอ่า