ตอนที่ 14 : ลบสิบสี่
“ใครเป็นคนคิด?” น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยกับสายตานิ่งๆนั่นยิ่งทำให้เนรู้สึกหมั่นไส้เพื่อนสนิทตัวเองเพิ่มเป็นกอง โชคดีที่บันไดที่กำลังพาพวกเขาไปยังชั้นสองมืดกว่าส่วนอื่นของคลับ จินเจอร์เลยไม่เห็นว่าอีกฝ่ายคว่ำปากไปกี่รอบแล้ว
“ครามมันอยากลอง”
“จะคอยดูว่าอยู่ได้กี่ชั่วโมง”
ทั้งที่เจ้าตัวใส่แค่เสื้อยืดสีขาวแบบโอเวอร์ไซส์จนคอมันกว้างและผ้าที่เหลือทิ้งตัวอย่างน่าฉีกกระชาก ทับในยีนส์ดำขายาวกับเข็มขัดแบรนด์ดังเส้นโต บวกรองเท้าถุงเท้าคือไม่น่าเกินหกชิ้น
แต่ทำไมมันดูดีจังวะ?
“มองแบบนั้นคือไร?”
“รำคาญมึง” เนพูดแค่นั้นก่อนผลักประตูห้องส่วนตัวที่ใครสักคนในกลุ่มจองเอาไว้ล่วงหน้า พอเห็นสภาพแล้วอยากจะหัวเราะให้ฟันหัก ไหนบอกเปลี่ยนบรรยากาศ โบกมือลาทริปขี้เกียจเหมือนคนแก่
อีกนิดคือเอาสลาฟมานั่งเล่นได้เลยนะนั่น
“ตรงเวลาที่สุดแล้วเค้าอ่ะ”
“ตัวติดกันยิ่งกว่าฝาแฝด รักเว่อ” คนผิวขาวสว่างมองเจ้าของวันเกิดและคู่หูประจำกายอย่างไมโลที่พยายามสร้างอารมณ์ ‘เมาๆ’ ตามฉบับคนไม่เที่ยวกลางคืนอย่างพวกมันแล้วได้แต่ถอนหายใจเพลียจิต หันไปพยักหน้าทักทายตังรวมถึงเลยหาวาสักสองทีก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาที่ยังว่าง
“เอาเลยเหรอวะ?” เชฟประจำกลุ่มที่ยังนั่งเผาหัวด้วยค็อกเทลขนาดน่ารักมองจินเจอร์ที่มาถึงก็ล่อของหนักเลยด้วยสายตางุนงง แม้ปกติกลุ่มนี้ไม่ใช่สายเที่ยวแต่เรื่องดื่มจัดว่าค่อนข้างบ่อย
ถึงได้รู้ว่าความจริงเจอร์เป็นสายชิลล์ ไม่ได้รีบน็อกอย่างที่เห็นอยู่
“รออะไร?” ทว่าคนถูกถามกลับเลิกคิ้วตอบกวนประสาท ผมที่เซ็ตลงมาปรกหน้านิดหน่อยทำให้เจ้าตัวดูไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่นแสบๆคนนึงสักเท่าไหร่
“เชี่ยยย พี่เจอร์อย่างแบด ใจสั่นไปหมด”
“เลิกอวย หยิบนั่นมาดิ้” เนที่ทนกระแสจินเจอร์คนฮอตไม่ไหวตัดสินใจโบกหัวไมโลด้วยความรำคาญก่อนชี้นิ้วสั่งเครื่องดื่มที่ต้องการ ถึงเพื่อนสนิทจะตั้งใจทิ้งตัวหลังจากจบงานเนก็ไม่คิดเซฟตัวเองเพื่อดูแลมันหรอก คุยกันแล้วว่าคืนนี้จะเป็นยังไง
ตัดสินใจไปแล้ว ห้ามอะไรได้..?
“ไอ้อาจารย์ไปไหน?” คงไม่มีใครสังเกตว่าหลังจากครามเอ่ยคำถามนั้น สายตาที่ตังใช้มองเจอร์คาดหวังบางอย่างแค่ไหน ทว่าคนเจ้าแผนการกลับต้องแปลกใจเมื่อพบเพียงความว่างเปล่าและความสนใจไม่กี่วินาทีก่อนอีกฝ่ายจะจิบเครื่องดื่มในมือต่อด้วยท่าทีปกติ
“โดนฉุดป่ะเนี่ย ยิ่งไทป์พระเอกจำเลยรักอยู่”
กลายเป็นเนที่เฉลยคำตอบให้ด้วยการเลิกคิ้วถามเพื่อนสนิทของตัวเอง และผลลัพธ์คือรอยยิ้มบางเบาคล้ายบอกว่าไม่เป็นไร
ตังจะยอมลดเปอร์เซ็นต์ความรุนแรงของคำด่า ‘โง่’ ที่เขามอบให้นันท์ลงสักนิดนึงก็แล้วกัน ถ้าโจทย์ที่ต้องแก้ซับซ้อนได้ขนาดนี้
“มันไปสูบบุหรี่ เดี๋ยวมา” ทุกสายตาจับจ้องคนพูดอย่างสนอกสนใจ ตังยิ้มแกนๆให้พลางแก้สถานการณ์ด้วยแก้วในมือตัวเอง ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าตอบไปงั้นเพื่อนจะได้เลิกสงสัยดันกลายเป็นจุดประเด็นซะได้
“เลิกขาดไปเป็นปีแล้วไม่ใช่เหรอ?” ของเหลวเย็นจัดที่เกือบถูกกลืนเป็นอึกที่สองหยุดลงตรงริมฝีปากราวกับโดนสาป จินเจอร์คือคนสุดท้ายที่ตังคิดว่าจะร่วมบทสนทนาในเมื่อหัวข้อมันเกี่ยวข้องกับนันท์
เขาวาดยิ้ม ตอบปัดด้วยท่าทีสบายทั้งที่แววตาสื่อความหมายชัดเจน
“ช่วงนี้มันเครียด”
คนที่ถูกมองอย่างรู้ทันได้แต่หลบสายตาน่าอึดอัดที่ได้รับ ปลายนิ้วยาวประคองแก้วอย่างแน่นจนขึ้นสีซีด กระทั่งเสียงพูดคุยถูกเปลี่ยนเข้าสู่เรื่องราวอื่นนั่นแหละ เด็กเลี้ยงแกะของนันท์ถึงได้หายใจหายคอคล่องกว่าเก่า
ยิ่งดึกบรรยากาศด้านล่างก็เริ่มคึกคัก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มไล่ตามแสงสว่างวูบวาบตกกระทบลงบนฝูงคนกลุ่มใหญ่ ขี้เกียจหลอกตัวเองแล้วว่าไม่ได้กำลังรอใครบางคนอย่างใจจดใจจ่อ เพราะสมองเอาแต่ตั้งคำถามแทบทุกห้านาทีว่าสมาชิกคนเดียวที่ยังขาดอยู่ที่ไหน
“กูอยากกินเค้ก” เขาหันมองครามที่เริ่มงอแงหาสัญลักษณ์ประจำวันเกิดที่เพื่อนเชฟลงทุนทำมาให้ไม่ต่างจากเด็กสามขวบ ทุกคนครางฮือเห็นด้วยอย่างที่รู้กันว่าแม้จะทำของหวานไม่บ่อย ฝีมือวามันเด็ดดวงขนาดไหน
“โทรเหอะตัง เดี๋ยวละลาย” ฝ่ายที่เอาแต่นั่งฟังยิ้มขำให้ความพยายามมีเหตุผลของไมโลทั้งที่สายตายังจับจ้องไปที่กล่องสี่เหลี่ยมมุมห้องตาละห้อย ก่อนริมฝีปากจะค่อยๆกลับมาสู่สภาพปกติเมื่อตังสบสายตากันอีกครั้ง
คงไม่แปลกถ้านันท์ไว้วางใจเล่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาให้อีกฝ่ายฟังเหมือนที่เขาทำกับเน
จินเจอร์ก็แค่...ไม่รู้ว่าควรทำหน้ายังไง
ไม่รู้ว่านันท์จะเอาตัวเขาไปพูดต่อด้วยความรู้สึกแบบไหน
แสงไฟเปลี่ยนสลับเป็นสีโทนร้อนดึงสายตาคู่เดิมกลับไปที่เก่า ทำนองดำดิ่งเริ่มเล่นขึ้นมาตัดด้วยบีตแน่นบีบคั้นอารมณ์หยุดทุกคนที่กำลังเคลื่อนไหวร่างกายไปเสี้ยววินาที ก่อนเสียงโห่ร้องอย่างชอบใจของคนฟังจะดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆราวกับเกลียวคลื่น เจอร์มองใครบางคนที่เดินเข้ามาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขาอย่างพอดิบพอดีจนน่าหมั่นไส้ ก็ดวงตาคมเฉี่ยวกับสีหน้าแบบนั้นมันเข้ากับเนื้อหาเพลงเสียเหลือเกิน
หนำซ้ำมันยังฉายภาพ ‘คืนนั้น’ ชัดเจนจนเขาต้องเป็นฝ่ายหลบตาก่อน
ใช่ นันท์กำลังเล่นเกมจ้องตากับเขาอยู่
“‘จารย์มาแล้ว ตัดเค้กๆ”
“เชี่ยมึง ข้างล่างคือสุดๆ!” ไมโลพูดขณะที่สายตายังจับจ้องไปยังภาพกลุ่มคนบนชั้นหนึ่งที่เต้นอย่างบ้าคลั่งเหมือนพร้อมใจกันปลดปล่อยสัญชาตญาณดิบของตัวเองออกมา เขาละสายตาจากภาพดังกล่าวขึ้นมาเพื่อจิบเครื่องดื่มในมือต่อ แน่นอนว่าการกระทำทั้งหมดยังคงไม่พ้นสายตาของนันท์
จะว่าไปพวกเขาก็โรคจิต ชอบมาเที่ยวที่แบบนี้แต่ไม่ชอบอยู่ในจุดเสียงดังและคนพลุกพล่าน มากี่รอบเห็นจองห้องส่วนตัวเก็บเสียง มีกระจกให้พอเห็นบรรยากาศและบางส่วนของเพลงดังลอดเข้ามา
“เจอร์ มึงจะเมา” เนพูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ ไม่ได้ห้าม แต่แค่บอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขายังไม่หยุดทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่
จินเจอร์เลยหันไปยกยิ้มมุมปากและกระดกจนเหลือเพียงแก้วชอตใสๆให้เพื่อนเห็นเต็มตา
คนผมสีดำสนิทไหวไหลไม่สนใจและทำแบบเดียวกัน นั่นเป็นอีกอย่างที่เขาชอบเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้
เนให้พื้นที่กับเขา เตือนให้รู้ตัวและเมื่อเห็นว่ารับฟังแล้วก็ปล่อย
มันบอกว่าพวกเราโตกันเกินกว่าจะมาจ้ำจี้จ้ำไชจนน่ารำคาญ
“กูอยากไปข้างล่าง” ประโยคนั้นทำให้ทุกคนตาโต
จะไม่มีใครตกใจเลยถ้าคนพูดไม่ใช่ตัง คนที่เกลียดความวุ่นวายจนทุกคนเคยโหวตให้ไปบวช
จินเจอร์หรี่ตามองอีกฝ่ายที่สบตากับเขาอย่างมีความหมาย ตังหยักยิ้มลึก เลิกคิ้วท้าทายเขาพร้อมกับรอคำตอบโดยไม่มีคำเชิญชวนใดใด
“เอาดิ” แต่เขารู้ถึงสิ่งที่ถูกสื่อมา แม้จะไม่เข้าใจว่าตังทำแบบที่ทำอยู่ทำไมก็ไม่สำคัญ เจอร์เองอยากลองปลดปล่อยสัตว์ร้ายในตัวของเขาออกมาวิ่งเล่นบ้าง
เผื่อว่ามันจะลดทอนความรู้สึกร้อนรุ่มที่ไหลเวียนในเส้นเลือดทุกค่ำคืนลงได้ สักนิดก็ยังดี
“เดี๋ยวเจอร์ เอาดิของมึงคือมึงด้วย” ครามถามเสียงหลงพอเห็นว่าเขาทำท่าจะลุกยืนตาม เสี้ยวนึงที่หันมองคนตรงข้ามก็พบว่าสายตาที่มีให้เข้มขึ้นและดูดุดันกว่าปกติ นั่นทำให้เขากระตุกยิ้ม ไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร รู้แค่ว่ามันน่าพอใจยังไงพิกล
“อืม มึงจะเอามั้ยล่ะคราม?” เขายียวนเสียงนิ่งก่อนจะหลุดขำเมื่อคนโดนแกล้งทำหน้าแหยง ก็บอกแล้วว่ากลุ่มเขาเกลียดสถานที่ที่มีคนยั้วเยี้ย และข้างล่างตอนนี้มันคือนิยามของทุกอย่างที่พวกเขาเลี่ยงตลอดหากเลือกได้
แต่ครั้งนี้เขาจะลองเดินเข้าหามันสักครั้ง
สุดท้ายจึงมีเพียงเจอร์กับตังที่เดินลงบันไดมาด้านล่างเมื่อทุกคนโบกมือปฏิเสธกิจกรรมใหม่ล่าสุดของเขาสองคน
“นึกยังไง?” เขาตัดสินใจกระซิบด้วยระดับเสียงที่ชวนเจ็บคอ อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงใจกลางความวุ่นวายทั้งหมดของที่นี่ สปอร์ตไลต์สาดผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเขามองไม่ทันว่าอีกคนกำลังมีสีหน้าแบบไหน
“อยากเห็นคนเป็นบ้า”
เจอร์ไม่ได้ยินคำตอบกับรอยยิ้มร้ายๆของเพื่อนตัวเอง ก้าวสุดท้ายพาเขามาอยู่ตรงศูนย์กลางทุกอย่าง ไม่แน่ใจว่าแทรกผ่านถึงลึกขนาดนี้ได้ยังไง เพราะตอนนี้ร่างของเขาถูกบดเบียดทุกทิศทางจนการขยับปลายนิ้วยังเป็นเรื่องยาก
เห็นผ่านตาว่าตังถูกดันไปอีกด้าน แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องจับมือกันเดินแต่แรกอยู่แล้ว จินเจอร์เลยพยายามสัมผัสบรรยากาศและปล่อยตัวเองไปกับมัน
ทิ้งเหตุผลทั้งหมดและเริ่มขยับตัว
ไม่นานความร้อนรวมถึงเนื้อหนังที่เบียดเข้ามาทุกตารางนิ้วก็ไม่ใช่อุปสรรค เขายกยิ้มพลางวาดแขนลงบนเอวบางของใครสักคนเพื่อเพิ่มพื้นที่รอบข้าง อีกฝ่ายเปิดทางให้โดยการยกแขนคล้องคอเขาก่อน เจอร์เลยทำตามบ้างแม้จะเป็นคนละส่วนของร่างกาย
“มาคนเดียวเหรอ?” เขาอำนวยความสะดวกให้คนเตี้ยกว่าด้วยการก้มหน้าลงพร้อมเฉียดใบหูกับริมฝีปากนุ่มนิ่ม ท้ายประโยคถึงได้ยินเสียงหัวเราะคิกตามมาน้อยๆ
“เห็นคนอื่นมั้ยล่ะ?” เจอร์ทำแบบเดียวกันกลับไป นึกสนุกขึ้นมาเมื่อเห็นเธอเริ่มเลียนท่าทางเขา เอียงใบหน้าเล็กให้การพูดคุยเป็นเรื่องง่ายขึ้น
และการได้กลิ่นน้ำหอมดึงดูดจนต้องก้มลงสูดหายใจเข้าตรงหลังใบหูอีกรอบถนัดกว่าเก่า
ไม่มีบทสนทนาต่อจากนั้น มีแค่เสียงเพลงที่ถูกเร่งจังหวะขึ้น ดนตรีไม่เหลือเค้าเดิมเหมือนว่าใครบางคนถอดแยกทุกชิ้นส่วนและจัดเรียงมันใหม่ เจอร์หลับตาเงยหน้าเปิดประสาทสัมผัสส่วนอื่นให้ชัดขึ้น รอยยิ้มเล็กๆแต้มมุมปากเมื่อมีปลายนิ้วคนตรงหน้าลากหยอกเย้าตั้งแต่สันกราม ลำคอ และไล่ตำลงเรื่อยๆ
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มลืมขึ้นจังหวะเดียวกับที่เธอแตะหัวเข็มขัด
ท่าทางซุกซนทำให้เขามองตาอีกฝ่ายเหมือนอยากลองใจ มือของเขายังอยู่บนเอวบางไม่ห้ามอะไร อย่างรู้ว่าหญิงสาวจะเอายังไงต่อ
เจอร์หัวเราะออกมาเมื่อเธอเปลี่ยนเป็นกรีดปลายนิ้วลงบนอกของเขาและปลดกระดุมไปสองสามเม็ด
“ของจริงมันต้องอย่างนี้” เขายกยิ้ม แตะหน้าผากตัวเองลงบนหน้าผากมน เธอเงยหน้าสบตาเขาอย่างดื้อรั้นแม้มือบางจะวางแนบกับอกกว้างเพราะเจ้าตัวไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหน ก็พ่อคนตรงหน้าน่ะร้ายเหลือเกิน
แค่สบตาท้าทายนั่น...ยืนให้ตรงยังลำบากเลย
มือหนาลูบวนตรงสะโพกในชุดเดรสสั้น นึกชมคนออกแบบที่ทำเนื้อผ้าออกมาลื่นมือ สิ่งที่ตั้งใจไว้เลยง่ายกว่าที่คิด เจอร์ตะปบนิ้วยาวลงบนช่วงเอวจนคนโดนกระทำสะดุ้ง เหมือนว่าจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาเลื่อนไปแตะตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาผละมือข้างนึงออกมาลากปลายนิ้วลงบนต้นขาเนียนเหมือนที่เธอทำกับเขา ยิ่งฝั่งนั้นเริ่มกลับมาเต้นอีกครั้งรอยแหวกของชุดก็ยิ่งกว้างขึ้นจนนิ้วยาวปาดป่ายโดนเนื้อนิ่มไปทั่ว
“เนี่ยเหรอของจริง?” หญิงสาวเขย่งตัวพูดข้างหูเมื่อเขารั้งเอวเธอให้แนบชิด เจอร์หัวเราะก่อนจะไล้ปลายจมูกกับแก้มสีแดงจาง พูดประโยคถัดไปส่งผลให้ริมฝีปากเฉียดกับผิวของอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้
“งั้นทำยังไงดี? มีตัวอย่างให้ผมดูมั้ย?”
เธอดันตัวเขาออกก่อนจะคว้าข้อมือหนาเอาไว้ เจอร์เลิกคิ้วเป็นเชิงถามทว่าหญิงสาวกลับยิ้มยั่วใส่ ดึงเขาให้ห่างจากความวุ่นวายตรงไปยังบาร์ที่พอจะมีเก้าอี้ทรงสูงว่างอยู่สองสามตัว
และผลักเขาให้นั่งลงเพื่อกดริมฝีปากลงมา
ประสบการณ์สั่งให้เจอร์เปิดปาก รับความรุ่มร้อนที่เกี่ยวกระหวัดอย่างน่าสนใจ ยื่นมือรั้งคนที่กำลัง ‘กระทำเขา’ ให้แทรกเข้ามาระหว่างหัวเข่าที่แหวกออก เก้าอี้แบบนี้เล็กเกินกว่าจะดึงให้เธอขึ้นมานั่งด้วยกัน
“ต้องลุกให้คุณผู้หญิงนั่งมั้ยครับ?” เขาแซวเสียงพร่าหลังแย่งอากาศเธอหายใจไปหลายนาที อีกฝ่ายตวัดสายตามองอย่างไม่ยอมแพ้ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นลำคอของเขา
การกระทำนั้นทำให้เจอร์นิ่งไปเมื่อมันเตือนเขาถึงใครบางคน
ความเจ็บจี๊ดตรงต้นคอทำให้เขาหลุดครางออกมาเสียงต่ำ ใบหน้าดุดันในความคิดสลายไปในพริบตา มือหนาลูบไล้ทุกส่วนเว้าโค้งเพื่อระบายอารมณ์ที่ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
“ต่อที่อื่น” คำยื่นคำสั่งสั้นกระชับและเธอทำตามโดยดี
เขาโอบเอวบาง กดจูบลงไปอีกครั้งเพราะโคตรรู้สึกดี เธอเองก็คงไม่ต่างกันเพราะระหว่างที่เดินไม่ยอมปล่อยแขนเขาเลย มากกว่านั้นคือเปิดปากพร้อมเอียงหน้าในองศาที่พอดีที่สุดจนเขาต้องเม้มความนุ่มนิ่มย้ำๆให้เป็นรางวัล
“ไอ้เจอร์ เจอร์!” เสียงเรียกตามหลังทำให้เขาขมวดคิ้วก่อนจะยอมผละออกจากสัมผัสนั้นอย่างเสียดาย แต่ยังยกยิ้มพอใจเมื่อเห็นสายใยสีใสระหว่างมุมปากเขาและเธอ
“...” เขาหันมองนิ่งๆพลางเช็ดร่องรอยจากกิจกรรมเมื่อครู่ด้วยหลังมือ ตังเดินเข้ามา ขมวดคิ้วนิดหน่อยเมื่อมองไปยังคนในอ้อมแขนของเขา หญิงสาวเองก็ดูหัวเสียพอสมควรที่โดนขัดจังหวะ
“ไอ้ไมกับครามจะกลับแล้ว พวกกูด้วย” เพื่อนเขายกโทรศัพท์ให้ดูถึงเห็นสายที่ยังไม่ตัดไป ชื่อคนโทรเข้าทำให้เจอร์รู้สึกเย็นวูบที่สันหลังแปลกๆ
“อืม กูไปต่อนะ” แต่เขาก็ปัดความรู้สึกงี่เง่าพวกนั้นทิ้งไป ตังหน้าเครียดกว่าเดิมเมื่อฟังทางเลือกของเขา
“แล้วไอ้นันท์—”
“รถเนว่าง” เขาพูดเสียงห้วน เริ่มไม่พอใจนิดๆที่ตังทำเป็นไม่สนใจว่าเขากำลังอยู่ในสภาพไหน ยังดีที่คนข้างตัวยืนรอโดยไม่บ่นอะไรให้รำคาญใจกว่าเดิม
บ้านทางเดียวกันแล้วยังไง อายุตั้งเท่านี้กลับเองไม่ได้ให้มันรู้ไปสิ
ถึงเป็นเรื่องปกติที่เขากับนันท์กลับด้วยกันก็ไม่ได้แปลว่าเขาต้องยืนยันจะทำแบบนั้นต่อไปนี่
“ไปส่งนันท์ก่อนดิ มึงก็กลับห้องไง” คราวนี้เจอร์เม้มปากอย่างหงุดหงิดชัดเจน เพื่อนทุกคนรู้ว่าเขาไม่ชอบพาคนแปลกหน้าเข้าห้อง และการพานันท์กลับด้วยก็เท่ากับการปฏิเสธหญิงสาว
จะมีใครบ้างที่โอเคกับการมีบุคคลที่สามติดรถไปด้วย
“เจอร์”
“เออ...ขอโทษนะเธอ” ท้ายประโยคหันไปบอกคนที่เขากำลังคลายอ้อมกอดลงเชื่องช้า เห็นสายตาตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นโมโหของอีกคนแล้วได้แต่ถอนหายใจ ปล่อยให้หญิงสาวเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปโดยไม่รั้งไว้อีก
“พวกมึงแม่ง” เขายีหัวอย่างอารมณ์เสีย ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากกวนประสาทของตังยิ่งอยากต่อยให้คว่ำ
.
.
.
“เสือเจอร์อย่างร้าย”
“โคตรฮอตไอ้เหี้ย!”
และอีกสารพัดคำทักทายเมื่อเขากับตังเดินกลับขึ้นมาด้านบน เจอร์มองสองคนที่กำลังโวยวายลั่นด้วยสายตาขำขัน รอยยิ้มนั้นจางลงนิดหน่อยเมื่อหันมาสบตากับเนและอีกฝ่ายแค่นหัวเราะมาให้
“นั่นดิ กูนึกว่าจะกินกันกลางร้านซะแล้ว เสียดาย” เพื่อนผมดำโคลงแก้วพลางยักคิ้วให้เขา เจอร์อยากจะด่ามันสักสองสามคำกับท่าทางกวนตีนแบบนั้น
“มึงเว่อร์”
“โอ้โห ไม่มีอะไรเกินจริงเลยครับคุณเจอร์ กูนี่นึกว่ามึงจะรีโนเวตบาร์เป็นโรงแรม” ไมโลผิวปากแซว แท็กมือกับครามที่หัวเราะอย่างชอบใจ
“ไม่มีความเห็นเหรอเพื่อนนันท์ เพื่อนเราแม่งธรรมดาที่ไหน” ตังทิ้งตัวลงบนที่วางแขนบนโซฟาของเจ้าของชื่อ เขาสบนัยน์ตาคมเฉี่ยวนั่นด้วยท่าทีปกติแม้หัวใจทำงานผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มบางบนริมฝีปากพร้อมสายตาที่เหมือนกำลังรอคำตอบ
“กลับ”
ทุกคนหัวเราะครืนเมื่อนันท์พูดขึ้นและเบือนหน้าหนีเขา โดนคู่หูนรกล้อว่าอิจฉาบ้างล่ะ เลยเวลากินนมนอนจนหงุดหงิดบ้างล่ะจนคนตัวสูงลุกขึ้นยืน ตวัดสายตามองเขาก่อนจะย้ำคำเดิมเป็นครั้งที่สอง
“เจอร์ กลับ”
_____________
อาจจะผิดจากแผนที่วางไว้สักหน่อยก็ไม่เป็นไร
ทุกอย่างควรยืดหยุ่นได้ตามจังหวะและโอกาส เจอร์บอกตัวเองแบบนั้น
“กูไม่เข้าใจ” นิ้วยาวที่เกี่ยวสาบเสื้อตัวเองเล่นคล้ายรอว่ามันจะถูกเปลื้องออกจากลำตัวของเขาเมื่อไหร่ชะงักนิ่ง เจอร์เงยหน้าพลางเลิกคิ้วถามหาคำอธิบายจากนันท์ มือที่ยังว่างยันกับเบาะโซฟาตัวเดิมที่เกลียดผิวสัมผัสแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปแบบของมันสวยดี
“มึงทำแบบนั้นทำไม?”
“กูทำอะไร?” เขายังเล่นบทคนโง่ต่อไปเมื่อเหนื่อยกับการคาดเดาความหมายในทุกประโยค
ทั้งที่ถ้าออกแรงคิดสักนิดก็จะเห็น
แต่ ‘หึงหวง’ ช่างเป็นคำตอบที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของเขาเอาเสียเลย
“มึงจงใจยั่วโมโหกู” การโยนความผิดใส่ทั้งที่เป็นนันท์เองที่จัดการความรู้สึกไม่ได้ทำให้เขานึกโกรธ คนที่ไม่เคยเข้าใจตัวเองอย่างนันท์กล้าดียังไงมาทำเป็นรู้ความคิดของเขา
“คิดว่าสำคัญขนาดไหน ทุกอย่างที่กูทำถึงต้องเกี่ยวกับมึง?”
ความจริงคือเขาไม่ได้อยากปั่นประสาทใคร
ก็แค่อยากเริ่มใหม่ ปลดตัวเองออกจากกรอบที่เคยตีเอาไว้เพื่อใครคนหนึ่ง
มันอาจดูงี่เง่า แต่สำหรับเขาที่ไม่มีสายตาเพื่อคนอื่นเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา
แค่นี้ก็น่าภูมิใจมากแล้ว
“ไม่สำคัญจริงใช่มั้ย?”
“...” และความกล้าทั้งหมดที่พยายามเค้นออกมาก็ถูกสั่นคลอนอย่างง่ายดาย
“กูไม่เคยมีความหมายอะไรกับมึงเลย?”
ถ้าได้ถามแบบนี้ก็แปลว่านันท์รู้แล้ว สิ่งที่เขากำลังจะโยนทิ้งและตัดขาด
ความรู้สึกรัก
จินเจอร์เบือนหน้าหนี อารมณ์ขุ่นมัวทำให้กัดฟันแน่นอย่างหงุดหงิดตัวเอง
ความหวังโง่ๆว่าอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเมื่อนันท์ได้รู้จักเขามาขึ้นอีกนิดถูกลบด้วยเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นบนโซฟาตัวนี้ คำพูดเจ็บแสบและความรุนแรงที่เคยได้รับ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่สั่นไหวเริ่มกลับมาเฉยชาดังเดิมเมื่อคิดได้ว่าทุกการกระทำชัดเจนเสมอ
และสิ่งที่หลอกตัวเองอยู่ไม่มีทางเป็นไปจริง
“ขิง”
“!” ชื่อที่มักจะเก็บไว้ให้คนใกล้ชิดกลับสร้างมวลอากาศประหลาดตอนมันออกมาจากปากของนันท์ เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจและเผลอสบสายตาอีกคนที่ยืนยิ้มมุมปากอย่างได้ใจที่ทำเขาเสียอาการได้
“มึงแทนตัวเองแบบนั้นครั้งนึง...”
สาบานได้ว่าเจอร์ไม่นึกว่านันท์จะจำรายละเอียดอื่นได้นอกจากความสุขสมทางกาย
ถึงครั้งล่าสุดมันเจือความอ่อนโยนอย่างผิดวิสัยเขาก็ไม่คิดอะไรมากไปกว่าอารมณ์ชั่ววูบ
“ตอนที่กอดกู” เจอร์มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ รอยยิ้มมุมปากประกอบกับใบหน้าที่กดมองกันทำให้สันหลังเย็นวาบเหมือนกำลังถูกต้อนให้จนมุม
“จูบกู เรียกหาแต่—”
“มึงจะพูดอะไร?” เขาขึ้นเสียงตัดประโยคนั้นอย่างน้อยครั้งนักที่จะทำ นันท์ดันลิ้นกับกระพุ้งแก้มอย่างยียวน ตอกย้ำเข้าไปอีกว่าเขาตกเป็นเบี้ยล่างที่ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากไล่ตามความต้องการของเจ้าตัว
“บอกหน่อยดิว่าคนชื่อขิงเขาคิดยังไงกันแน่?”
และแน่นอน อีกฝ่ายไม่หวนคิดถึงความรู้สึกเขาสักนิดเดียว
“รู้สึกยังไงกับกู?”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเสหลบไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ นี่เป็นจังหวะเวลาที่แย่ที่สุดที่เขาจะพูดคำนั้นออกมา เจอร์กำลังบังคับตัวเองให้ออกจากลูปอันน่าอึดอัดนี้และเริ่มก้าวแรกได้เกือบจะสำเร็จ แต่นันท์ที่ไม่รู้อะไรสักอย่างเดียวและไม่คิดจะเรียนรู้เอาแต่บีบเค้นเขา
เอาแต่ความสงสัยของตัวเองมาเป็นที่หนึ่ง
“ใช้คำพูด เพราะตอนนี้การกระทำของมึงมันชัดพอแล้ว” รอยยิ้มฝืดเฝื่อนแต่งแต้มลงบนริมฝีปากเมื่อเจอร์หาเหตุผลมาเข้าข้างคนตรงหน้าได้อีกครั้ง
บางทีเขาอาจจะโล่งใจขึ้น...ถ้าได้คืนมันให้เจ้าของด้วยตัวเขาเอง
“พูด”
“...แล้วยังไง?” เขาหยักยิ้ม สายตาเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าจนคนมองเริ่มอยู่ไม่สุข เซนส์อันน้อยนิดที่พอเหลืออยู่ตะโกนบอกนันท์ว่ากำลังจะต้องเสียใจกับคำตอบของคำถามที่อยากรู้นักหนา
“สุดท้ายถ้ากูรักมึงแล้วยังไง?”
เจอร์หมดแรงเกินกว่าจะปิดบังความอ่อนล้าและสิ้นหวังของตัวเอง จึงทำได้แค่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น เอ่ยประโยคถัดไปแผ่วเบาทว่าปล่อยให้มันดังก้องในใจซ้ำๆ
“รู้ไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี”
ก็เพราะนันท์ได้สิ่งที่ไขข้อข้องใจไปแล้ว คำอธิบายของทุกการกระทำที่เขามักโกหกเสมอด้วยความที่ไม่กล้าพอจะแลกคำว่า ‘เพื่อน’ ด้วยสิ่งที่อยู่ในใจมาเนิ่นนาน
และพอเขาเฉลยทุกอย่างอีกคนก็คงจะโยนทิ้งหมดซึ่งความหมายใดใดอีก นันท์ก็แค่คนที่ไม่ปล่อยผ่านหากยังไม่เจอเหตุผลรองรับที่ดีพอ
ทั้งที่รู้ว่าต้องจบแบบนี้
ทั้งที่รู้...
“และเรื่องที่มึงกับกูทำกัน” ไหนๆนี่คงจะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่เจอร์มีแรงพูดความจริงมากมายต่อหน้าของอีกคน
“...”
“ต้องหยุดแล้วนะ”
“...ขิง”
“กูมีคนคุย” เขามองข้ามชื่อเรียกที่ฟังดูเว้าวอนจนอันตรายต่อความรู้สึก โกหกคำโตออกไปเพื่อปิดท้ายความสัมพันธ์ที่มีแต่เรื่องไม่จริงและความเจ็บปวดเต็มไปหมด
“ไม่ให้ไป” ริมฝีปากถูกเม้มกัดจนแสบยามที่ใครบางคนรั้งแขนเอาไว้แน่นราวกับจะยืนยันว่าไม่มีทางให้หลุดพ้นไปไหน
“พรุ่งนี้มีงานที่บริษัท” เขาทำเป็นพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ตัวเองควรจะต้องถึงบ้านและเข้านอนได้แล้ว หากทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าความหมายที่นันท์ต้องการสื่อคืออะไร
“นอนค้างที่นี่” แต่คนที่ดื้อดึงยังยื้อที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเจอร์คิดจะเล่นเกมเฉไฉแบบนี้เขาก็จะทำบ้าง
“มึงพูดเอง...” รอยยิ้มเพลียถูกระบายขึ้นขณะที่นิ้วที่พยายามรวบข้อมือถูกแกะออกจนหมด
“ห้ามนอนค้าง”
_________________________________________________________________
ถ้าลองเอาทุกลบมารวมกันจะได้ -79 พอดี
อีกนิดพี่นันท์จะได้เกรดสี่ (แบบติดลบ) แล้วน่ะเนี่ย
ปล. เรื่องวันอัปเดตคือเซ็งตัวเองมาก
คิดอยู่ว่าจะเอาตรงหน้าสารบัญออกดีมัั้ยเพราะทำไม่ได้หลายครั้งแล้ว
แต่ขอเราพยายามอีกสักครั้งนะ ต้องทำให้ดีขึ้นดิเนอะไม่ใช่ลดมาตรฐานลงมา
ฮึบๆกันทุกคนนนน
#เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แบบไหนของเจ้อใกล้เคียงกับคำว่าตัดใจ เดินหน้า1ก้าว ถอยหลัง3ก้าววนๆไป เค้าเรียกก็มา เค้าให้กลับ ก็กลับ ถ้าเจ็บก็สมน้ำหน้าซ้ำแล้วตอนนี้ ไม่เหลือความสงสาร เมษกับเนเป็นเพื่อนที่เทพมาก เพราะถ้าเป็นเราคงสมน้ำหน้าซ้ำพร้อมยุส่ง ไม่รอปลอบด้วย รำคาญสุด //แกรถึงไม่มีเพื่อนไง
ปล. เราเชื่อว่าไรท์เข้าใจ