ตอนที่ 13 : ลบสิบสาม
เสียงโทรทัศน์ที่ไม่ได้ยินมานานหลายเดือนดังเรื่อยอยู่ในพื้นหลังทว่าคนที่เอกเขนกอยู่บนโซฟาก็ยังนอนเหม่อให้เปลืองค่าไฟเล่น ใจนึงคืออยากแก้แค้นเมษาที่จับคนว่างไม่เป็นอย่างเขามาขังไว้ในห้องโดยขโมยคุณหนูไปใช้ อีกใจแค่ต้องการเปิดอะไรแก้เหงาระหว่างหากิจกรรมทำในหัว
ปกติวันเสาร์เจอร์มักจะหมกตัวอยู่ในห้องทำงานชั้นสองที่บ้าน ไม่ก็แวะเวียนไปเปลี่ยนบรรยากาศที่ร้านของเพื่อนสนิท แต่แสงแดดและอุณหภูมิสามสิบกว่าองศาในวันนี้ทำให้ความคิดที่จะใช้ขนส่งสาธารณะต้องถูกล้มเลิก ถึงเคยทำหลายอย่างที่เป็นการทรมานตัวเอง แต่การแปลงสภาพเป็นขิงอบคงต้องขอยกเว้นจริงๆ
ภาพดาราชื่อดังกำลังให้สัมภาษณ์บ่งบอกว่ารายการข่าวคงจะดำเนินมาถึงพาร์ทบันเทิงแล้ว ขายาวเหยียดตรงอย่างเบื่อหน่าย พิงหลังกับเบาะที่นิ่มจนเหมือนอยากดูดกันให้จมหายลงไป
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังจะเบือนหนีจากจอสี่เหลี่ยมตามความเคยชินกลับเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นคนคุ้นเคยปรากฏแก่สายตา ผมที่เมื่อก่อนสั้นประบ่าดูยาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และแม้เจ้าตัวจะใส่เสื้อผ้าสีเรียบ ความโดดเด่นก็ยังคงอยู่บนรอยยิ้มสดใสนั้นเสมอ
“...รู้สึกยังไงบ้างคะที่กระแสตอบรับดีขนาดนี้ตั้งแต่มีข่าวว่าโปรเจคน่าจะเสร็จทันช่วงสัปดาห์หนังสือ?” ตราสัญลักษณ์ของช่องทีวีดิจิตอลบนไมค์ใหญ่จนบังปลายคางมน เจอร์รับรู้ถึงแรงกระแทกในหน้าอกที่ค่อยๆเบาลงอย่างน่ากลัว สายตาเหมือนถูกตรึงอยู่ที่เดิมด้วยแรงประหลาดบางประการ
“ดีใจมากเลยค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ซัพพอร์ต...” ผู้หญิงที่เขาจดจ้องยืนอยู่เกือบริมสุด ทำแค่ตั้งใจฟังคนที่อยู่ตรงกลางและดูอาวุโสกว่าเล็กน้อยพูดตอบนักข่าว น่าแปลกที่เขาจำน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดีแม้เธอจะไม่ต้องกล่าวอะไร
เขารู้ตัวว่าปลายนิ้วของตัวเองมันชาจนไร้ความรู้สึกตอนที่ก้มลงมอง ความว่างเปล่าในครั้งนี้ระเบิดตัวรุนแรงในช่องอก ลามไปถึงระบบความคิดที่จับต้นชนปลายไม่ถูกสักอย่าง จินเจอร์นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าได้รูปถูกแสงจากจอสี่เหลี่ยมพาดผ่านสลับไปมา หากสายตากลับไม่โฟกัสเนื้อหาข้างในเลยสักนิด
“...” เขากระพริบตาถี่รัวหลังได้ยินใครบางคนกดออดห้องของเมษา พยายามนึกว่าได้สั่งอาหารตอนไหนรึเปล่าก็ไม่มีคำตอบ ขายาวเลยก้าวไปทางประตูบานเดิม ไม่คิดจะส่องตาแมวอย่างที่ควรทำเพราะแค่หายใจยังรู้สึกว่าลำบาก
“เป็นไรวะหน้าซีดๆ?”
“ต้องทำ...ยังไง?”
เนขมวดคิ้วมองเพื่อนที่เหมือนกับใช้เรี่ยวแรงมากมายในการเปิดปากพูด กวาดสายตาดูรอบห้องคร่าวๆว่ามีอะไรผิดปกติให้น่าเป็นห่วงหรือเปล่า
“ขิง มองหน้ากู” คนมาใหม่เรียกให้เพื่อนโฟกัสตัวเองกว่านี้เมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มดูเลื่อนลอยแปลกๆ โล่งอกขึ้นมาหน่อยพออีกฝ่ายได้สติและดันไหล่เขาเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดประตู ตามหลังมานั่งเก้าอี้ตรงโต๊ะทานข้าวที่เนกำลังวางถุงอาหารที่ซื้อมาเผื่อ
“เน”
“อืม ว่า?” เขาแสร้งทำตัวปกติทั้งที่รู้มาก่อนจากเมษาแล้วว่าทำไมเพื่อนตัวดีถึงมาอยู่ที่นี่ ตอนแรกก็คิดว่าอาการไม่หนักมากอย่างทุกครั้ง
เห็นทีเขาคงคิดผิด
“ทำยังไง...ถึงจะตัดใจได้ทัน?” คนฟังขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าขณะทรุดตัวลงข้างจินเจอร์ ข้อมูลที่ไม่ปะติดปะต่อทำให้ยากเกินกว่าจะเข้าใจความหมายที่สื่อมา
“ทันอะไร? ขะ ขิง” เนตกตะลึงกับขอบตาแดงก่ำและร่องรอยความสิ้นหวังที่อีกฝ่ายมอบให้เขา นึกถึงวลีที่เคยได้ยินจากเพลงโปรดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
Die trying, พยายามที่สุดจนถึงนาทีสุดท้าย
มันน่าตลกตรงที่ตอนนี้เพื่อนเขาเหมือนจะตายจริงๆไม่ใช่การเปรียบเทียบ ตายทั้งที่แววตาดื้อรั้นนั้นยังคงชัดเจนไม่มีเปลี่ยน
“จรินกลับมาแล้ว”
คนของนันท์
คนที่อยู่ในสายตาของนันท์ตลอดมา
เข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนถึงมีท่าทีคล้ายกับกำลังบังคับให้ตัวเองตัดใจอย่างที่เป็นอยู่
เพราะสุดท้ายการดึงดันมันก็มีขีดจำกัดให้เราต้องหยุด
เนไม่คิดสรรหาคำพูดปลอบใจทั้งนั้นในเมื่อความจริงไม่มีทางเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าจินเจอร์รู้ทุกอย่างแต่แค่ยังรับไม่ได้
ก็ถ้าเรื่องที่อยากจะทำมันยากนัก การ ‘หักดิบ’ และใช้ตัวแปรอื่นมาช่วยควบคุมอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“ทนหน่อยนะมึง”
ส่วนข้อเสียคือเจอร์คงต้องกัดฟันยอมรับความเจ็บมากกว่าวิธีอื่นเท่านั้นเอง
_____________
รองเท้าหุ้มข้อสีเข้มพาให้เรือนร่างสูงโปร่งหยุดลง ตาคู่คมหยุดมองคลิปวีดิโอที่มีใครบางคนอยู่ในนั้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง นันท์กำลังรู้สึกไม่พอใจตัวเองที่กลายเป็นคนเฉยชา
ทั้งที่ปกติเขาควรต้องรู้สึกมากกว่านี้
“เพิ่งตื่นเลยนะนั่น ยังมึนอยู่เลย” หญิงสาวที่หน้าตาเหมือนกับคนหลังไมค์สัมภาษณ์ทุกประการยกยิ้มให้เขาและจูงข้อมือให้เดินต่อหลังจากที่นันท์ยืนเกะกะชาวบ้านมาเกือบนาทีแล้ว
“...”
“นันท์ส่งจรินตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่กายมารับ”
“ให้รอเป็นเพื่อนมั้ย?” เขาถามขึ้นแม้รู้ว่าผู้จัดการส่วนตัวที่ชื่อกายตรงเวลาแค่ไหน ซึ่งคำตอบก็คือใบหน้าน่ารักที่ส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
“งั้นนันท์ไปนะ นัดกับตังไว้”
“เดี๋ยวก่อน”
สายตาคมเฉี่ยวที่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยความดุดันเหลือบมองคนตัวเล็กกว่าที่รั้งเอาไว้ ท่าทางลังเลทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว
“มีอะไรรึเปล่า?” อดรนทนไม่ไหวจนต้องถามเร่งออกไป ยอมรับว่าไม่เคยชอบเวลาเห็นจรินไม่สบายใจ ถึงจะปลอบคนไม่เก่งแต่อย่างน้อยเขาก็รับฟังได้เป็นอย่างดี
“ช่วงนี้นันท์...มีเรื่องเครียดหรือเรื่องที่อยากเล่าให้จรินฟังมั้ย?”
“ทำไมถามแบบนั้น?” แปลกใจปนระแวงคล้ายกับคนที่มีความผิดติดตัว นันท์มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาจัดให้อยู่ในหมวดเรื่องเครียด และมันคือการที่ใครบางคนตกลงมีความสัมพันธ์กับเขาทั้งที่ใจร้ายใส่ไม่รู้กี่ครั้ง
ก็มีแต่เรื่องของเจอร์...
“ทั้งหมดในทริป จรินบอกว่าชอบที่ไหนที่สุดนะ?” คำถามไม่มีที่มาที่ไปทำให้นันท์งงไปครู่หนึ่งแต่ก็พยายามหาคำตอบ
“โคเปนเฮเกน?”
“อิลลูลิสแซทค่ะ เห็นมั้ยว่านันท์เหม่อ ปกติเวลาเล่าอะไรให้ฟังนันท์แทบจะเอาสมุดขึ้นมาจดด้วยซ้ำ”
“เว่อ” นัยน์ตาคู่เดิมเบือนหนีอีกคนที่รู้ทันและไล่ต้อนเขาได้เก่งจนต้องยอมแพ้
“สรุปนักศึกษาคนไหนมาทำให้อาจารย์เครียดคะเนี่ย?”
“ไม่ใช่นักศึกษา”
ริมฝีปากแต้มทินท์สีจางขยับเหมือนอยากถามว่าถ้าไม่ใช่เรื่องงานแล้วจะมีอะไรที่ทำให้เขากังวลได้แทบตลอดเวลาแบบนี้ หากโทรศัพท์ในมือของเจ้าตัวไม่ดังขึ้นพร้อมแสดงสายจากผู้จัดการส่วนตัวเสียก่อน จรินลังเลจนเกือบจะไม่รับแต่เป็นเขาเองที่พยักหน้าให้ทำทุกอย่างตามที่ควรทำ
“อ่า...งั้นถ้าว่างจรินไลน์หาอีกทีนะ”
“อืม” ท่ามกลางความสับสนทั้งหมด รอยยิ้มเจือจางยังคงถูกระบายให้กับคนคนเดิม
ถึงไม่ใช่คนยิ้มยากก็ไม่ได้แปลว่าจะมอบมันให้กับทุกคน
นันท์เลือกแล้ว และมันเป็นจรินตลอดมา
.
.
.
“อ่ะ คืน” ก้อนสี่เหลี่ยมแข็งๆสีขาวที่เขาเคยใช้เป็นข้ออ้างชวนบางคนมาทะเลาะที่ห้องถูกยื่นมาตรงหน้า นันท์มองอะแดปเตอร์ในมือของตัง วูบนึงในความคิดรู้สึกรังเกียจตัวเองที่ย้อนแย้งได้ถึงขนาดนั้น
บอกว่าเกลียดคนโกหก แต่เขาเองกลับเป็นฝ่ายหลอกลวงบ่อยที่สุด
ทุเรศชะมัด
“ความจริงศุกร์หน้าค่อยเอาก็ได้ป่ะวะ ครามมันนัดเลี้ยงวันเกิด” ตังพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเพื่อนเงียบลงไปราวกับติดอยู่ในความคิดของตัวเอง คิ้วเข้มที่เลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างที่บอกไม่ได้ว่าสนใจหรือรำคาญการเจอหน้ากันบ่อยๆของเพื่อนฝูงทำให้ตังยกยิ้ม
“มึงไป?”
“เขาก็ไปกันทุกคนอ่ะครับ’จารย์ มึงไม่ต้องหาเรื่องเบี้ยว” นันท์เสมองไปทางอื่นเพื่อปิดบังอาการประหลาดที่เกิดขึ้นตอนได้ยินคำว่า ‘ทุกคน’ ไม่สนใจอีกฝ่ายที่นั่งจิบกาแฟดำชอบอกชอบใจตรงหน้าเพราะคิดว่าดักทางเขาได้สำเร็จ
และพอความเงียบเริ่มปกคลุมรอบข้างก็กลายเป็นนันท์เองที่อยู่ไม่สุข
“เมื่อเช้ามึงเจอเมษ?”
ตังมีเซนส์จับได้ทุกครั้งถ้าเขามีอะไรที่อยากพูด และมันจะทำตัวน่ารำคาญมากที่สุดด้วยการรออย่างเงียบเชียบ หรือในกรณีนี้คือคนกาแฟเล่นเพื่อปล่อยให้เขาทนไม่ไหว
ซึ่งนันท์ความอดทนต่ำยิ่งกว่าอะไร
“เออ ไอ้เจอร์ด้วย เหม็นความรัก”
“มันคบกันจริงเหรอ?”
“หัดเป็นคนขี้เสือกตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“...” เขากลอกตาเป็นเชิงว่าเหนื่อยใจจะต่อปากต่อคำเพิ่มอีก เท่านั้นแหละคนที่รักในการบอกเล่าเรื่องชาวบ้านถึงรีบตอบคำถาม
“กูก็ไม่รู้หรอก มันเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่ม.ปลายแล้ว เคยถามไอ้เนหลังไมค์เหมือนกัน” แล้วตังก็ยังกวนประสาทด้วยการหยุดประโยคครึ่งๆกลางๆเอาไว้เท่านั้นและหันไปสนใจอากาศรอบตัวต่อ เขาที่เข้าใจว่าเพื่อนต้องการอะไรเลยได้แต่ถอนหายใจหนักๆก่อนจะทำในสิ่งที่ตังอยากได้
“เนว่าไง?”
ยอมทนมองไอ้การเลิกคิ้วกวนประสาทเหมือนแซวว่า ‘อยากรู้ขนาดนั้นเลย?’ ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
เพราะอยากรู้จริงๆ...
อยากจะเข้าใจให้หมดทุกอย่าง
“บอกว่าเจอร์ติดน้องสาวมาก เวลาเจอผู้หญิงที่อายุไม่ห่างกันมากก็เลยเทคแคร์เหมือนพิ้งหมด” ข้อนั้นก็พอรู้จากการได้เจอเด็กผู้หญิงที่ว่ารอบที่แล้ว สายตาจินเจอร์อ่อนโยนชัดเจนอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนยังสัมผัสได้
“แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ใจดีเรี่ยราดนะ กูเห็นบางคนเจอร์จะเฉยๆ บางคนถึงดูแล ไม่รู้เลือกจากอะไร”
อ่านยาก
ยังยืนยันคำเดิมตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ว่าถ้าเป็นจินเจอร์ เขาจับทางไม่ค่อยได้เลย
“เคยมีแฟนมั้ย?” เป็นคำถามที่ชวนให้ใจกระตุกอยู่เหมือนกัน ข้อเสียของเขาอีกอย่างคงจะเรื่องที่ปล่อยวางไม่เก่งนี่ล่ะ ทั้งที่เหตุการณ์มันจบไปแล้วในอดีตแต่ก็ยังมีความรู้สึกลบถ้าตังเกิดตอบว่าใช่
ไม่รู้ว่าลบเพราะอะไร รู้แค่ไม่อยากให้ออกมาเป็นแบบนั้น
“หมายถึงเมษ?”
“เจอร์”
“เดี๋ยวๆๆ หยุดก่อนเลย อารมณ์ไหนเนี่ยมานั่งสืบประวัติเพื่อนกู?”
“กูไม่ใช่เพื่อนมึงรึไง?”
“ไม่ต้องโมโหกลบเกลื่อน มึงมีอะไร? กูเห็นพวกมึงสองคนแปลกๆตั้งแต่ที่ทะเลละนะ”
“...” ครั้งที่สองของความรู้สึกคล้ายเด็กที่แอบทำเรื่องผิดลับหลังผู้ใหญ่แล้วถูกจับได้ ทว่าครั้งนี้นันท์เกร็งน้อยลงกว่าเก่าพอสมควรเพราะหน้าตากวนประสาทของผู้ใหญ่ตังที่นั่งจ้องเขาตาแทบถลน
“นันท์”
“เออ กูมีอะไร” เขาสูดหายใจเข้าลึก บางทีความสามารถที่มีอาจจะน้อยเกินกว่าปัญหาที่ต้องแก้
“ฮะ?”
ถึงคนตรงหน้าไม่ได้ดูเป็นจริงเป็นจังเท่าไหร่ อย่างน้อยถือว่าได้ระบายก็แล้วกัน
“กูมีอะไรกับเจอร์”
“คะ คืนที่มึงเมา?”
“แล้วก็หลังจากนั้น”
“หลังจากนั้นเหี้ยไร?! แปลว่าไม่ใช่แค่ครั้งเดียว?” ตังอ้าปากเหมือนอยากด่าแต่ก็ต้องห้ามใจไว้เพราะยังฟังเรื่องราวทั้งหมดไม่จบ ยิ่งเห็นแบบนั้นมันยิ่งตอกย้ำเขาว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไกลห่างจากคำว่าถูกต้องและเหมาะสม
นันท์ไม่เคยชอบช่วงเวลาที่ทุกอย่างเย็นลงแล้วมองกลับไปเจอแต่ซากปรักหักพัง
อารมณ์ชั่ววูบของเขา กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว...
“อืม”
“ไม่อืมไอ้นันท์ มึงอธิบายมาเดี๋ยวนี้”
“กูทะเลาะกัน เจอร์บอกว่าที่ยอมเพราะไม่ได้คิดอะไร ก็แค่อยากทำ กูโกรธมาก”
“มึงเลยปล้ำมัน?!”
“มันประชดกูกลับ” เขามองตังที่ทึ้งหัวตัวเองคล้ายกับพยายามวิ่งตามโลกที่หมุนเร็วเกินไปด้วยสายตานิ่งเฉย ความทรงจำในวันเก่าย้อนกลับมาช้าๆ นันท์ยังจำได้ดีว่าเหตุผลที่เจอร์ไม่ปฏิเสธก็เพราะอยากพิสูจน์ให้เขาเห็น
...ว่าไม่ต้องคิดอะไรเลยก็ทำได้
ริมฝีปากหยักแค่นยิ้มเหยียด, ไม่คิดอะไร ไม่รักเลยสักนิดจริงๆน่ะเหรอ?
เอาแต่โกหก
“พวกมึงเล่นเหี้ยอะไรกัน? เป็นเพื่อนประเภทไหนวะถึงได้—”
“มันบอกว่ากูไม่ใช่เพื่อน” เขาแย่งตัดประโยคทันทีที่ได้ยินสถานะน่ารำคาญนั่น จินเจอร์ยืนยันกับปากเองว่าเขาไม่ใช่และไม่ได้รู้จักเจ้าตัวมากพอ เพราะงั้นถ้าไม่อยากให้เป็นเขาก็จะไม่เป็น
ไม่ได้รั้นเหมือนใครบางคนนี่
“ถามหน่อย”
“..?” นันท์เลิกคิ้ว
“ที่บอกว่ายอม มึงรู้ใช่มั้ยว่าคืนนั้นมันไม่ได้เมา”
“รู้”
คนเมาที่ไหนจะ ‘ทำให้’ ได้ตั้งขนาดนั้น
“โกรธเจอร์ขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”
เขาเงยหน้ามองตังที่ไขว่ห้างถามด้วยสายตาสงสัยจากใจจริง มันซื่อตรงจนเขาที่ไม่เคยคิดถามตัวเองยังหวั่นไหว
“คนโกรธกันทำแบบนี้เหรอ?”
เพราะปกติเวลาที่โมโห...เขาจะเป็นฝ่ายเดินหนีออกไปก่อน
ไม่เคยย้ำคิดย้ำทำอยู่กับเรื่องเดิม วุ่นวายกับคนที่เป็นต้นเหตุของอารมณ์นานถึงขนาดนี้
“แล้วที่พวกมึงเป็นกันอยู่มันเรียกว่าอะไร?”
“...เซ็กส์เฟรนด์”
เสียงที่เปล่งออกมาเบากว่าตอนที่ตอบกับเจอร์เป็นไหนๆ
นันท์เกลียดความสับสน เพราะมันทำให้รู้สึกว่าเขากำลังพ่ายแพ้
“รู้ใช่มั้ยว่ามันแปลว่าอะไร?” ตังจี้ย้ำเมื่อเพื่อนมีท่าทีเอนเอียงใกล้จะล้ม รู้ดีว่าคนอย่างนันท์กดดันจนถึงสุดทางยังไม่พอ ต้องผลักให้ตกหน้าผาลงไปและสัมผัสความเจ็บปวดด้วยตัวเอง
ถึงไม่แน่ใจเท่าไหร่แต่ก็เดาได้ว่าเจอร์กำลังมีอิทธิพลกับนันท์มากๆโดยที่เจ้าตัวยังคาดไม่ถึง
ในเมื่อเพื่อนยอมเปิดให้ฟังขนาดนี้ตังก็ต้องลงไปมีส่วนร่วม
“มันแปลว่าถ้าเจอร์มีใครเป็นตัวเป็นตนเมื่อไหร่มึงต้องหยุด”
คนแบบนี้พูดดีๆไม่มีทางรู้เรื่องหรอก
“และหลังจากนั้นพวกมึงก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก”
ในเมื่อถอยหลังกลับไม่ได้แล้วก็ต้องไปต่อจนถึงที่สุด
จนถึงจุดทางแยกที่ทั้งสองคนต้องตัดสินใจ...ว่าจะยังไปต่อด้วยกันอยู่หรือเปล่า
_________________________________________________________________
ทุกคน เราขอโทษที่ห่างหายไปนาน
คือฟันคุดมันลุนแลงกับใจเลามากเลยว่ะเพื่อนๆ ฮรือออ
ต่อไปจะพยายามทำให้ได้ตามสัญญาค่ะ สุ้ววว!
มากอดนายขิงกับเราหน่อยเร้ววว #เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เห็นด้วยกับที่ตังพูดเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่อะ ตรงใจมาก
จุกๆไปจ้า เฮ้ออออออออออออออ ก็ยังอ่าต่อ เพราะลุ้นว่าเมื่อไหร่มันจะดีขึ้น
ตังฟาดมากกกก
ฟาดมันตัง ฟาดเลย เอาให้ตาย!
//เราเข้าใจค่ะ เรื่องฟันคุด มันเหมือนมาเพื่อจองเวรจองกรรมเราปต่ชาติปางก่อนจริงๆ โดยเฉพาะอิ2ซี่ล่าง
สงสารทั้งคู่เลยค่ะไรท์แต่นันท์ใจร้ายเลยสงสารขิงมากกว่า
อ่านไปละปวดใจเหมือนตัวเองโดนกระทำฮืออออออออ
ไรท์พูดเรื่องฟันคุดเราก็กลัวเหมือนกันเพราะเราจะได้ผ่าเดือนหน้านู้นเลยยยย
เป็นกำลังใจให้ไรท์นะคะสู้ๆ
รักษาสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ