ตอนที่ 12 : ศูนย์สิบสอง
“กูไม่โอเค”
“เมษ”
“ไม่ต้องมาเรียก แล้วมึงอ่ะเป็นบ้าเหรอ ยืนเฉยๆให้มันต่อยเนี่ย” เจอร์ร้องโอดโอยเสียงดังเมื่อเพื่อนสาวเพิ่มน้ำหนักมือบนรอยช้ำที่เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆ เมษาจิ๊ปากขัดใจก่อนจะแกะสำลีออกมาอีกแผ่น กล่องปฐมพยาบาลมันเต็มจนจะเปิดคลินิกได้อยู่แล้วมั้ง ช่างหาเรื่องเจ็บตัวเหลือเกินไอ้เพื่อนเวร
หลังจากคุณเบลพาไอ้ตัวดีมาส่งที่ร้านก็ต้องขอตัวกลับ ความจริงอีกฝ่ายจะไปตั้งแต่แรกแล้วแต่ดันเจอชอตเด็ดซะก่อนเลยต้องลำบากหอบหิ้วจินเจอร์มาส่ง หญิงสาวโยนยาสำหรับทาแผลในปากใส่ตักคนข้างตัว ดูก็รู้ว่าเนื้อข้างในต้องแตกจนกินข้าวไม่อร่อยไปอีกหลายวันแน่
“กูก็เคยต่อยมัน”
“แปลว่าสิ่งที่พวกมึงทำถูกต้องแล้วหรือไง?” คนที่พยายามทำให้เธอใจเย็นลงหน่อยจำต้องปิดปากเงียบอีกครั้งเมื่อโดนสวนทันควัน
“อย่าโกรธดิ”
“หัดห่วงตัวเองให้ได้เท่าที่กูห่วงมึงบ้างเหอะขิง” หญิงสาวทำท่าจะลุกหนีไปสงบสติอารมณ์สักพักแต่ก็โดนมือสั่นๆของใครบางคนจับเอาไว้ เมษาได้แต่ถอนหายใจ ท่องกับตัวเองว่าเพื่อนก็คงไม่อยากได้ยินอะไรแย่ๆไปมากกว่านี้
“ขอโทษ”
อยากจะบอกว่าเก็บไว้พูดหน้ากระจกเถอะแต่ก็ต้องเม้มปากห้ามใจ เธอทิ้งตัวลงนั่งข้างคนที่ยังจับข้อมือกันแน่นไม่ยอมปล่อย ยังไม่อยากหันไปมองเต็มตาเท่าไหร่เพราะกลัวใจอ่อนกับใบหน้าหมาหงอยของเจอร์จนไม่กล้าดุใส่
“ทำไมต้องยอมขนาดนี้ด้วย” คำพูดนั้นเหมือนกับต้องการบ่นขิงข่ามากกว่าจะหาคำตอบจริง เจอร์เลยทำแค่นั่งเงียบ บีบนิ้วเรียวเล็กเล่นไปเรื่อยเผื่อจะช่วยทำให้เมษาอารมณ์ดีขึ้นมาได้
“ถามคำเดียว รู้ตัวใช่มั้ยว่ากำลังทำอะไร?”
“อืม”
“ที่บอกว่าจะตัดใจคือยังเหมือนเดิม?”
“กูพยายามอยู่...จริงๆเมษ” เธอมองหน้าเพื่อนที่ย้ำท้ายประโยคด้วยสายตาไม่เชื่อถือ แล้วมันมีตรงไหนให้ไว้ใจกันเล่า รอบแรกก็โดนกัดมาจนช้ำทั้งคอ รอบนี้ดันยืนเฉยๆปล่อยให้เขาต่อยปากอีก
“เหลือตรงไหนให้ยังรักวะ”
อดสงสัยไม่ได้เลยจริงๆ
หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะบีบมือที่ใหญ่กว่ากลับไปเป็นเชิงปลอบ แววตาหม่นหมองของคนข้างตัวชัดเจนว่าความรู้สึกดียังคงฝังแน่นจนแทบกลายเป็นส่วนหนึ่งของเจอร์ และมันคงเจ็บปวดที่ต้องเฉือนเนื้อหนังของตัวเองทิ้งไปเพื่อเริ่มต้นใหม่
เมษาเข้าใจ และรู้เหมือนกันว่าวันนึงแผลทุกรอยของเจอร์จะต้องหาย
อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว เรื่องแบบนี้ก็เคยมีผ่านมาบ้าง อาจจะไม่ลึกซึ้งเท่าที่เจอร์เป็นแต่ก็พอจินตนาการออก
“วันนี้ไปนอนห้องกู” ไม่สนใจท่าทางงงงวยให้เสียเวลา เธอลุกขึ้นเดินไปเก็บกระเป๋าหลังเคาน์เตอร์ คุยกับเจ้เจิงว่าวันนี้ขอกลับก่อนเวลานิดหน่อยอีกฝ่ายก็โบกมือไล่อย่างเข้าใจ
เหมือนทุกคนบนโลกจะรักจินเจอร์ ยกเว้นอยู่คนเดียวที่มันอยากให้รักตอบที่สุด
“เมษคือ—”
“ชุดนอนมึงกูซักไว้แล้ว เดี๋ยวก่อนเข้าแวะซื้อข้าวเอา ขี้เกียจทำ” ไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธเธอก็ร่ายยาวพร้อมจ้องกึ่งบังคับจนคนตัวสูงกว่ายอมลุกขึ้น ดูสภาพก็รู้ว่าถ้านันท์โทรมาตอนนี้มันจะต้องพาร่างตัวเองไปถวายถึงที่แน่นอน
ไอ้ความสัมพันธ์ ‘เพื่อนนอน’ ของมันน่ะนอกจากเป็นอะไรที่โคตรโง่...
เจอร์ก็น่าจะรู้ได้แล้วว่ามันไม่ช่วยทำให้ลืมเลยสักนิดเดียว
.
.
.
ห้องเมษาก็ยังคุมโทนสีขาวและเขียวแก่ที่เจ้าตัวชอบนักหนาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เจอร์พยายามนึกว่าครั้งล่าสุดที่มาคือเมื่อไหร่ มีความทรงจำเลือนรางในช่วงสองเดือนที่แล้วผุดขึ้นมาในหัว คงเป็นตอนที่เมษากับลูกหยีเมาเละและเขาต้องหามสองคนมาส่ง
“คู่หูภาพตัด...” เขายิ้มขำพลางเช็ดปลายผมตัวเองที่ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ประปราย พาตัวเองมาที่โซฟารับแขกกลางห้อง กดรีโมตทีวีขึ้นมาเปิดแก้เหงาระหว่างรอให้คุณหญิงเขาปรนนิบัตรผิวอยู่ในห้องนอน
เสียงก๊อกแก๊กตามมาด้วยสิ่งมีชีวิตที่ทำให้เขาสะดุ้งจนเกือบตกโซฟา มือหนายกกุมหัวใจตัวเองที่เต้นถี่รัวด้วยความกลัวขึ้นสมอง ถึงจะไม่ใช่คนเชื่อในสิ่งเร้นลับแต่ให้มาเจอต่อหน้าตรงๆแบบนี้ก็ไม่ไหว
“ทะ ทำไมเจอร์? มึงตกใจอะไร?”
เขาพรูลมหายใจจากปากก่อนจะซบหน้าลงกับฝ่ามือ
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย...” สบถเบาๆและลูบหัวลูบไหล่ตัวเองให้กลับเข้าสู่โหมดปกติ
“?”
“มันไม่ได้ไงเมษ”
“อะไรไม่ได้?”
จินเจอร์ปลดล็อกหน้าจอมอถือตัวเองและเปิดกล้องหน้า หันเข้าคนที่ขยันหาไอเทมที่ก็ไม่รู้จำเป็นแค่ไหนมาเล่นกับตัวเอง เมษาถอนหายใจเฮือก
แผ่นมาส์กหน้าลายการ์ตูนสีฟ้าเนี่ยนะที่เกือบทำให้เพื่อนเธอช็อกตาย
“อุ๋งๆกูผิดอะไร” เจอร์มองมือเล็กที่แปะๆส่วนตรงกรอบหน้าที่ไม่แนบสนิทกับผิว พิจารณาสิ่งที่ควรจะเป็นแมวน้ำแล้วก็ต้องล้มเลิกเพราะดูแล้วคงไม่มีวันเข้าถึง
“ขอร้องเลย”
“ที่จริงมันต้องยี่สิบนาทีนะเนี่ย” เขาโคลงหัว หายใจคล่องขึ้นมาหน่อยพอเมษลอกสิ่งบนหน้าออก รอให้เจ้าตัวตบแก้มตัวเองอย่างมีจริตพร้อมอธิบายเกี่ยวกับการเปิดปิดของรูขุมขนโดยไม่สนว่าเขาอยากรู้รึเปล่า
“ยังเจ็บมั้ย?” คำถามคล้ายคลึงกับที่ไอด้าเคยถามทำให้เจอร์หลุดยิ้ม ทว่าครั้งนี้เขาตอบด้วยการส่ายหน้าเบาๆพร้อมคำว่าไม่เป็นไร
“เหม็นสะตอ!”
“อ้าว” ชายหนุ่มหน้าเหวอเมื่อนั่งอยู่ดีๆก็โดนด่า เมษาเบ้ปากแถมด้วยการกลอกตา รำคาญเหลือเกินไอ้ร่างคนเก่งทนไม้ทนมือของเพื่อนสนิท
“กูอนุญาตให้มึงโกหกทุกคนรวมถึงตัวมึงเอง แต่ยกเว้นกู” นิ้วชี้ที่เล็บเป็นสีชมพูอ่อนสุขภาพดีและถูกตัดสั้นตามประสาคนทำขนมจิ้มลงตรงกลางอกของเขา สื่อว่าประโยคนั้นคือคำสั่งซึ่งเขาต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข
“เออ ยังปวดนิดหน่อย พอใจ?”
“แล้วตรงนี้” เจอร์เลิกคิ้วไม่เข้าใจก่อนจะทำหน้าเลี่ยนใส่เพื่อนที่ยังกดปลายนิ้วลงกับร่างกายส่วนเดิม เพิ่มเติมคือเยื้องมาทางซ้ายมือเล็กน้อย
“ลิเกมาก” มือหนาปัดมือของเมษาออกพลางเบือนหน้าหนี
“ขิง ถามจริง”
“เจ็บ” เสียงทุ้มดังแผ่วหลังปล่อยให้ความเงียบกินเวลามาเกือบนาที
“...”
“แต่เดี๋ยวคงชา”
ขอบตามันชักจะร้อนผ่าวตอนที่โดนเมษาโถมตัวกอดจนล้มหงายบนโซฟา เจอร์เลยพยายามดันไหล่เล็กออกแถมด้วยการบ่นว่าตัวหนักขนาดนี้ใครจะไปซึ้งลง ซึ่งแน่นอนผลกรรมคือการโดนมือของเพื่อนฟาดต้นแขนดังป้าบ ตามมาด้วยคำด่าสารพัด
“กูเกลียดมึงอีข่า!”
“รักหน่อยดิ้ หนูกำลังต้องการความรัก” จินเจอร์หน้ายู่เพราะถูกมือของอีกคนผลักอย่างไร้เยื่อใยเพียงเขาทำปากจูจุ๊บใส่กวนประสาท เล่นมวยปล้ำกันอยู่อีกสักพักใหญ่จนเมษาเหนื่อยหอบและยกธงขาวยอมแพ้ถึงได้หยุด เขาทิ้งหัวลงกับพนักพิง เงยหน้ามองเพดานสีสะอาดพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างหมดแรง
เมษาเองก็เปลี่ยนเป็นนอนหงายโดยใช้ขาของเขาแทนหมอนหนุน ท่าทางเดิมๆที่ใช้มาตั้งแต่สมัยเรียนและหารหอกันอยู่ ถ้าจะให้ครบสูตรหน่อยก็คงต้องเพิ่มเนมานอนเปิดเพลงที่อีกมุมนึงของห้อง
เป็นช่วงเวลาที่ทำให้นึกเชื่อว่าโชคดีอาจมีอยู่จริงก็ได้
“ขอบคุณนะมึง” พวกเขาไม่ใช่คนที่ใช้คำพูดเก่งเลย เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีใครสักคนอยู่ในโหมดต้องการกำลังใจ ฝ่ายที่พอจะมีและพร้อมให้จึงทำได้แค่อยู่ข้างๆ ย้ำเตือนว่าภายใต้เรื่องราวน่าปวดหัวทั้งหมดยังมีคนยินดีรับฟัง หรือไม่ก็ทำให้ลืมปัญหานั้นด้วยเรื่องไร้สาระแม้จะแค่ชั่วคราว
“ไอด้าฝากของมาให้” เมษาทำแค่สบตาเป็นการบอกว่าได้ยินคำขอบคุณของเขาแล้ว ก่อนเจ้าตัวจะพยักเพยิดไปทางกระเป๋าเปื่อยๆที่อยู่ใกล้เจอร์มากกว่า อนุญาตผ่านสีหน้าให้เปิดและหยิบมันออกมาเองได้ตามใจ
แผ่นกระดาษที่เมษาเห็นเป็นครั้งที่สองทำให้ใครบางคนนิ่งงัน เจอร์ถอนหายใจยาวยกมันขึ้นส่องกับหลอดไฟบนเพดานทำให้โปร่งแสง ไล้ปลายนิ้วกับตัวอักษรแปลกตา
“ถ้านันท์รู้ว่ามึงรัก...จะมีอะไรเปลี่ยนไปมั้ยวะขิง?” เมษามองตามประโยคนั้น ความหวังริบหรี่ที่ไม่ได้อยากจุดขึ้นมามันดันเกิดเมื่อเห็นคำที่ถูกใครต่อใครใช้จนเลี่ยน
รัก, บนโลกนี้จะมีใครใจร้ายพอจนทำร้ายคนที่หยิบยื่นมันให้จริงๆน่ะเหรอ?
“ไม่รู้ดิ ไม่เคยคิดว่ามันจะรู้เหมือนกัน”
ให้โดยที่ไม่คาดหวังว่าต้องถูกรับด้วยซ้ำไป
นั่นอาจเป็นจุดที่ทำให้ขิงเสียศูนย์ เพราะว่าเอาแต่เททั้งหมดให้คนที่ปล่อยทิ้งขว้าง มองข้ามความคาดหวังด้วยการหลับหูหลับตา เมษาอยากขีดเส้นบอกเพื่อนถึงจุดที่ควรพอ แต่ในความเป็นจริงก็รู้ดีว่าไม่มีใครตัดสินใจเรื่องนี้ได้นอกจากตัวของอีกฝ่ายเอง
เสียงเรียกเข้าและหน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมาดึงคนทั้งคู่ออกจากห้วงความคิด เป็นหญิงสาวที่เอื้อมมือไปกดปิดพร้อมคว่ำมันลงเพื่อเจ้าของตัวจริงจะได้ไม่ต้องเห็นชื่อเดิมค้างอยู่อย่างนั้น เธอไม่ตัดสายแต่ก็ไม่กดรับเช่นเดียวกัน
แค่รอเวลาให้มันหยุดลงไปเอง
“ทำให้ได้อย่างที่ปากพูดหน่อย” เมษารู้ดีว่าไม่ควรตัดสินความพยายามของใครสักคนจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แต่เธอก็ต้องการเตือนว่านี่อาจยังไม่พอ และเจอร์เองต้องเพิ่มความเด็ดขาดเข้าไป
“จะมีอะไรรึเปล่า?” สายตากังวลของคนที่กำลังนอนหนุนตักทำให้เธอขมวดคิ้ว โมโหกับท่าทางหลอกตัวเองที่เห็นจนตัดสินใจพูดตอกหน้าอย่างหยาบคาย
“จะมีอะไร? มันก็เรียกมึงไปเอาไง”
อารมณ์ไม่คงที่ทำให้เมษาไม่คิดยั้งปากตัวเองเอาไว้ มองข้ามท่าทางตกใจระคนเจ็บปวดของเจอร์
“ที่บอกว่าเป็นเซ็กส์เฟรนด์กันมันใช่จริงๆเหรอขิง? ร่างกายมึงมีความสุขเหรอเวลาทำกันโดยที่รู้แก่ใจว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเลย” เพราะว่าพื้นฐานของเธอคือคนใจอ่อนแม้จะปากร้ายและเอาอารมณ์นำหน้าในบางที การที่เห็นขอบตาแดงๆกับหัวไหล่สั่นไหวจากเพื่อนจึงทำให้สงบลงไม่ยาก
“...”
“ขิง ขอโทษ”
“ขอโทษทำไม? ที่มึงพูดมันก็จริง” รอยยิ้มฝืดเฝื่อนยิ่งส่งให้คนพูดดูย่ำแย่ เมษารีบลูบไหล่เพื่อนพร้อมกับดึงเข้ามากอดให้แน่น ครั้งนี้จริงจังและสื่อความหมายว่าไม่จำเป็นต้องแบกรับอะไรไว้คนเดียว
“มึงไม่ควรถูกใครทำร้ายเลย ไม่ว่าจะกูหรือใคร ทั้งทางคำพูดหรืออย่างอื่น”
ถึงจะช่วยแบ่งเบาได้ไม่เท่าไหร่แต่อย่างน้อยเวลาอยู่ด้วยกัน...
“เมษ”
ไม่ต้องฝืน
“มึงมีค่ามากกว่านั้น” เมษากลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอยามที่แขนสั่นเทากอดตอบคล้ายต้องการที่พึ่ง จะมีคนร้องไห้พร้อมกันสองคนไม่ได้ เอาแต่ท่องไว้ในใจซ้ำๆ
เพราะตอนนี้จินเจอร์กำลังร้องไห้
“กูรักมึง และมึงก็เคยรักตัวเองมากกว่านี้”
“ฮึก...”
“ผ่านเรื่องนี้ไปมึงจะกลายเป็นคนที่เข้มแข็ง” เธอยังคงสัมผัสแผ่นหลังและไหล่กว้างอย่างอ่อนโยน ตรงข้ามกับแรงกอดรัดที่มากขึ้นราวกับพยายามบอกว่าเจ็บปวดแค่ไหน
“และเชื่อกูเถอะ มันจะผ่านไปแน่นอน”
_____________
กลิ่นต้มเลือดหมูเจ้าดังทำให้จินเจอร์อยากเอาช้อนเย็นๆที่แปะตาทั้งสองข้างไปจ้วงกระเพาะชิ้นโตเข้าปาก
“คือต้องนานแค่ไหน?”
“เอามาดู” เขามองเมษาที่เคี้ยวข้าวจนแก้มป่องอย่างมีความหวัง ท่าทางพินิจพิจารณาไม่น่าสนใจเท่าผักกาดที่คงนุ่มน่าดูในชามใบสวย
“ยังบวมอยู่ อีกสักห้านาที”
“กูหิวข้าวววว”
“แล้วใครใช้ให้มึงร้องเป็นบ้าเป็นบอขนาดนั้น”
“วันนี้ก็ไม่ต้องเจอใครป้ะ จะขังกูอยู่แล้วหนิ”
“บริษัทมึงหยุด เพราะงั้นก็อยู่ห้องไป”
“เมียเมษ~”
“กูไม่มีผัวค่ะ” หญิงสาวกลอกตาอย่างระอาเต็มทน เลื่อนเอาข้าวอีกถ้วยไปไว้ตรงหน้าเพื่อหาอะไรยัดปากให้เพื่อนเงียบลง นาฬิกาบนผนังห้องบอกว่าอีกไม่กี่นาทีก็ควรออกไปร้านได้แล้ว บางทีก็นึกอิจฉาคนที่ทำงานเป็นเวลาอย่างเจอร์เหมือนกัน
เจ้าของกิจการมันเท่ากับงานยี่สิบสี่ชั่วโมงนั่นแหละ หลับยังฝันว่าตัวเองนั่งคุยกับนมวัวเลย
เพลียจิต
“ให้ขับรถไปส่งป้ะ?”
“ไม่ต้อง”
“อยากกินกาแฟ”
“กูชงไว้ให้แล้ว เทนมใส่กินได้เลย” เลิกคิ้วถามกวนๆว่าจะหาอะไรมาอ้างอีก ความจริงไม่อยากทิ้งให้เจอร์อยู่คนเดียวที่ห้องอย่างนี้หรอก แต่ทำไงได้ เมื่อเช้าเจ้เจิงโทรมาเล่าเรื่องลูกค้าตาดุที่อุตส่าห์ยืนรอตั้งแต่ห้างเปิด แล้วคนที่เป็นประเด็นตอนนี้ก็ยังตรงตามคำบรรยายเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว
เจอร์ควรต้องมีช่องว่างให้ตัวเองบ้าง
“กูต้องไปละ อยากกินไรก็ไลน์บอก”
“สั่งไลน์แมนง่ายกว่า ไม่อยากคุยกับมึง”
“ขนมจีนน้ำยาปูมึงอด”
“คุยต่อสักสองชั่วโมงมั้ย? กูว่างนะ” เธอส่ายหน้าเอือมๆก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายใบเดิมเป็นการเตรียมพร้อม ต่อปากต่อคำจนถึงหน้าประตูห้องเจอร์ก็ยังไม่เลิกรา
ไม่รู้ว่าควรจะดีใจมั้ยที่พอมันเริ่มสดใสก็กลับมากวนประสาทจนน่าตบ
“ต้องจูบลามั้ย?”
“ลามปาม”
“เมียเมษ~” สรรพนามที่ใช้ทุกครั้งเวลาหมดคำเถียงและรู้ว่าเธอจะสู้อะไรกลับไม่ได้ทำให้ถอนหายใจเฮือก กำลังจะปิดประตูใส่หน้าพร้อมภาวนาให้ทับนิ้วก้อยเท้าของมันสักหน่อยก็ถูกใครบางคนทักทายเสียก่อน
“อ้าวเมษ เจอร์?”
“วันนี้ตื่นเช้านะตัง” เธอยิ้มทักทายเพื่อนอีกคนที่มีสถานะเพิ่มเติมคือเพื่อนร่วมคอนโดเดียวกันมาหลายปี
“แหนะ”
“อยากด่าว่าแหนะหาพ่อแต่เห็นคุยโทรศัพท์อยู่เลยไม่ดีกว่า” จินเจอร์หัวเราะร่วนเมื่อได้ยินเธอแสดงความเกรงใจจนอีกฝ่ายทำท่าจะยกมือไหว้ เห็นแล้วก็อยากแกล้งอีกหน่อยเลยกอดคอเมษาพร้อมทำตาหวานใส่
“รีบกลับนะครับ คิดถึง”
“จะอ้วกไอ้สัส”
“โสดแล้วพาลเหรอวะ?” เขาตะโกนไล่หลังตังที่เดินคุยโทรศัพท์หนีไปแล้วแต่ยังไม่วายยกนิ้วกลางเพื่อชมกันว่าเยี่ยมมาก เมษยิ้มขำก่อนจะโบกมือลาพร้อมกำชับเบอร์ของใครต่อใครที่เขาควรรู้อีกรอบ และเพราะมัวแต่คุยงุ้งงิ้งกันอย่างนั้นเลยไม่ทันได้สนใจบทสนทนาของคนโสดที่พวกเขาว่า
“มึงว่าอะไรนะนันท์? อ๋อ...เมื่อกี้เจอร์กับเมษ สงสัยมาค้างคืนมั้ง สวีตจนกูอยากตบแย่งเลยแม่ง”
ตังจะแย่งคนไหนพูดมาดีๆ
ปล. เห็นคุณคนอ่านบอกว่า 'แซว' เขียนแบบนี้ได้เราเลยลองไปค้นดู
สรุปคือราชบัณฑิตปี54 เขาพิมพ์ผิดนิเอง
ขอบคุณมากน้าที่มาบอกกัน เราจะเอามาแก้ไขในตอนต่อๆไปจ้า
#เหลือศูนย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คือจะหน่วงไปทั้งเรื่องเลยสินะ สงสารอารมณ์ตัวเองมาก ไม่ได้ฮิ้วใจฉันเลย ฮือออออออออออออออออ
ทุกคนที่อยู่รอบตัวเจ้อ มีความผัวสูงหมด ยกเว้นพระเอก ก็งงเหมือนเมษว่ามันมีอะไรให้รักนักหนา และตอนนี้มันเหลืออะไรให้รัก อ่านไปรอลุ้นไป ให้เจ้อรักตัวเองสักที พระเอกแบบนี้ไม่มีก็ได้ พรูดเรย
แบบห่วงขิงใจจะขาดแต่เค้าก็รักของเค้าอ่ะ
อยากเอาขิงมาจุ้บปลอบใจนันท์ใจร้ายตลอดเลยยยย