คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 5 เปลื้องมหาตรุอันธิกา
บทที่ 5
เปลื้องมหาตรุอันธิกา
เด็กหนุ่มร่างบางวัยสิบสองขวบเดินออกมาจากตรอกที่ตนอยู่ด้วยชุดมาสคอตแมวสีขาวปุกปุย เนื้อผ้ากำมะหยี่นุ่มฟูทำให้ร่างเล็กที่สวมอยู่รู้สึกถูกใจไม่น้อย
นี่เป็นชุดที่โรซให้เป็นของขวัญอายุครบสิบเจ็ดปีเต็มเมื่อหลายเดือนก่อนเขาชอบมันมาก ๆ เลยละ!
เวลาออกมาเที่ยวเล่นก็มักจะใส่มันตลอด
ถึงโรซจะขี้บ่นเป็นเจ้าเข้าเเต่ก็น่ารักไม่เเพ้กันเลย ข้างกันยังมีเจ้ามังกรตัวจ้อยเช่นกันที่อยู่ในขุดมาสคอตเเมวตัวเล็ก
สิ่งนี้ที่ทำให้ร่างเล็กถูกใจที่สุด หน้าของโคลอี้นั้นเหวอไปเลยตอนที่รู้ว่าโลลิต้านั้นเอาชุดมาให้ตนด้วย มีมังกรเท่ ๆ ที่ไหนเขาใส่ชุดมาสคอตเเมวกัน
แต่โคลอี้เเล้วหนึ่งอะที่ใส่...
ภายในตลาดต่างมากมายไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอย
สกุลเงินใช้เป็น
‘เอซมาร์’
สกุลเงินนี้เป็นสกุลเงินที่ใช้ทั่วกาเเล็กซี
ร่างเล็กเดินเล่นมาเรื่อย ๆ จนมาถึงร้านเเผงลอยร้านหนึ่ง
“เอาอันนี้ อันนี้ เเล้วก็อันนี้ครับ”
เจ้าของน้ำเสียงใสเอ่ยออกไปอย่างคล่องเเคล่ว
คนขายที่ได้ยินดังนั้นก็เผยยิ้มกว้างออกมาก่อนจะหยิบผลไม้เคลือบน้ำตาลสีสันน่าทานออกมาสามไม้ใส่ห่อยื่นให้กับลูกค้า
(พาร์ซกินของหวานเยอะ ๆ ไม่ดีนะ)
เสียงประท้วงของโคลอี้ดังขึ้นมาในหัว เพราะแค่เพิ่งมาถึงคนร่างเล็กก็สั่งน้ำตาลเป็นก้อนมาทานเล่นเสียเเล้ว
(โคลอี้ก็กินเป็นเพื่อนฉันสิ)
พาร์เซย์ตอบกลับไปด้วยกระแสจิตเช่นกัน
เอ่ยจบก็ยื่นผลไม้หน้าตาประหลาดสีฟ้าอ่อนที่เคลือบด้วยน้ำตาลเป็นชั้นหนา ๆ ไปตรงหน้าของโคลอี้ที่เวลานี้ใคร ๆ ที่ผ่านไปมาต่างมองอย่างเอ็นดูที่มีร่างเล็กในชุดมาสคอตเเมวขาวป้อนผลไม้เคลือบน้ำตาลให้จิ้งจก? ใส่มาสคอตเช่นเดียวกับตน
ภาพที่เห็นน่าเอ็นดูไม่น้อยเลย
การพูดคุยด้วยกระแสจิตเป็นการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลอย่างหนึ่ง แต่ในบางครั้งหากมีคนที่มีพลังจิตที่สูงกว่าก็อาจล่วงรู้ความลับนั้นได้เข่นกัน
ในกรณีของพาร์เซย์นั้นก็เพื่อปิดบังตัวตนของโคลอี้เท่านั้นเพราะมังกรถูกจัดเป็นอสูรชั้นสูง การออกมาเที่ยวเล่น โดยถูกผู้อื่นล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ไม่เป็นผลดีเท่าไหร่นัก
อสูรที่มีความแข็งแกร่งมักมาพร้อมกับสงครามการแย่งชิงที่น่ารังเกียจ...
ทว่าพาร์เซย์ไม่ได้สนเรื่องนี้เท่าไหร่นัก หากใครมีปัญญามาเเย่งชิงโคลอี้ไปได้ก็เอาไปเลย โคลอี้ก็เเค่จิ้งจกติ๊งต๊องตัวนึง
(พาร์ซ... งับ!)
“ว๊ากกก”
พาร์เซย์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่ถูกลูกจิ้งจกกัดหูเข้าอย่างจัง
เสียงของเขาทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างมองมาด้วยความสนใจแต่เพียงครู่ทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ
(ฉันได้ยินนะเจ้าบ้า!)
น้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดของโคลอี้ทำเอาพาร์เซย์ได้แต่ยิ้มแหยออกมาเพราะความลืมตัวไปนินทาคนที่อยู่ในระยะเผาขนเสียได้
“กินของหวานเเล้วก็ต้องดื่มชานี่เเหละถึงจะถูกต้อง”
เวลานี้หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจก? ได้มาอยู่ที่ร้านน้ำชาขึ้นชื่อของตลาดแห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยเแล้ว ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในห้องส่วนตัวจึงสามารถพูดคุยกันได้อย่างปกติ
“ที่นี่มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้างน้าา”
พาร์เซย์เอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น คู่มือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในมือก็ทำหน้าที่ของมันอย่างดีเพราะในที่สุดร่างเล็กก็ได้สถานที่เที่ยวเเล้วยังไงล่ะ!
เมืองธาเทียน่า
เมืองธาเทียน่าเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกับป่าใหญ่และแอ่งทะเลสาบขนาดใหญ่
เมืองก่อนหน้าที่พาร์เซย์ไปคือเมืองเบคกี้ที่อยู่ติดกันทำให้การเดินทางมาที่เมืองเเห่งนี้ไม่ได้ยากลำบากนัก
เมืองเหล่านี้ไม่ได้มีความเจริญมากมายเท่าใดนัก เพราะเป็นเขตชนบทเเละอยู่ห่างจากเมืองหลวงค่อนข้างมาก แตกต่างจากเมืองหลวงที่มีความเจริญก้าวหน้ากว่าที่นี่อย่างเทียบไม่ติด
“เร่เข้ามา ๆ สินค้าใหม่จากป่ารูบาร์บสด ๆ ร้อน ๆ ”
เสียงโห่แข่งขันกันเรียกลูกค้าดังระงมตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในเมือง สินค้าที่ออกมาจากป่าจะถูกนำมาขายในทันทีหลังจากที่กลุ่มนักผจญภัยออกมาจากป่า ทำให้ที่เมืองแห่งนี้แม้จะอยู่ห่างไกล แถบชนบทยังไงก็ยังมากไปด้วยผู้คนอยู่ดี
วาณิชมากหน้าหลายตาต่างมารวมกลุ่มกันซื้อพวกของที่ล่ามาได้จากที่นี่ก่อนจะทำไปแปรรูปและส่งสินค้าไปเสนอขายกับชนชั้นสูงต่อไป
“ของดีเยอะมากจริง ๆ เสียดายที่มันไม่มีสิ่งจำเป็นเลยสำหรับพวกเรา”
พาร์เซย์เดินมองสินค้ามากมายที่ขนย้ายออกมาเรียงรายยังแผงสินค้านับสิบนับร้อยรอบรั้วป่าใหญ่ กระนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถตรึงใจเจ้าของร่างได้เลย
“ค่าเดินเรือ 2 เอซมาร์”
คนเฝ้าร้านเช่าเรือเอ่ยออกมาอย่างเป็นงาน
คนคนนี้มีหน้าหน้าตาคล้ายกบอยู่หลายส่วนดวงตากลมเล็ก เเก้มที่มีเยอะจนล้นสีเเดงเข้ม ทั้งยังใส่งอมไม้ไผ่อีก ผู้คนที่นี่น่าสนใจจริง ๆ พาร์เซย์คิดในใจ
พ่อค้าร้านเช่าเรือรับเงินไปก่อนที่จะปล่อยเรือลำเล็กให้หนึ่งลำสำหรับสองคนนั่งและบอกจำกัดเวลาที่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง
“น้ำใสมากเลยละโคลอี้”
น้ำเสียงสดใสเอ่ยออกมาอย่างร่าเริง
รู้สึกคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ออกมาเที่ยวเช่นอย่างนี้ ดีกว่าอุดอู้อยู่กับโรซเป็นไหน ๆ ตั้งเยอะ
มังกรตัวจิ๋วอย่างโคลอี้ก็คิดไม่ต่างกัน
ทั้งสองพายเรือไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน ซึมซับธรรมชาติของที่นี่อย่างเต็มที่ มารุตโชยเบา ๆ คลายจิตใจอันยุ่งเหยิง วารีเป็นคลื่นสลวยปะทะเรือแผ่วเบาพอให้โคลงเคลงไปกับการพายเรือของคนเจ้าสำราญ
“เหวออออ”
โคลอี้ร้องออกมาเสียงหลงเพราะอีกคนไม่ได้ว่าเปล่าเเต่กลับจับตนเเบบไม่ทันตั้งตัวลงไปมองผิวน้ำเพื่อพิสูจน์ว่าที่เอ่ยมานั้นเป็นจริงชนิดที่ว่าปลายจมูกเเตะสัมผัสผิวน้ำเเบบตัวตั้งตรงในเเนวตั้งฉากวัดพื้นเลยละ
(เกือบไป เกือบเป็นจิ้งจกน้ำไปเสียแล้ว!)
“คิกคิก ฮะ ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ ”
(หน็อย!!)
งับ!
!
โครม! ซ่าา!!
“พาร์ซ!!!”
เสียงเล็กของโคลอี้ร้องออกมาเสียงดังอย่างตื่นตระหนก
ผู้คนบนท่าเรือต่างมามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้เสียงของโคลอี้จะไม่ได้ดังมากแต่เรือที่พลิกคว่ำลงและทำให้ผู้ที่โดยสารไปนั้นหายตัวไปก็มากพอที่จะสนใจเเล้ว เพราะเรือของพาร์เซย์ไม่ได้อยู่ไกลนัก ตอนนี้นักท่องเที่ยวที่ล่องเรืออยู่ต่างกลับเข้าฝั่งไปหมดเเล้ว
เวลานี้มีคนคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ทะเลสาบที่มีแต่ความว่างเปล่า
เมืองแห่งนี้เป็นเมืองชนบทที่ขาดระบบรักษาความปลอดภัยใด ๆ มีแต่เพียงเจ้าเมืองผู้โง่เขลาที่วัน ๆ เอาเเต่หมกตัวอยู่หอนางโรมเท่านั้น ผู้คนที่นี่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะลงไปช่วยเลย เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าถ้าตัวเองลงไปจะต้องเจอกับอะไร
สายตาที่จ้องมานั้นโคลอี้รู้สึกได้ทันทีว่าจ้องมาที่ตน
ใครกัน…?!
ใครกันที่สามารถมองเห็นตนได้ พลังในการพลางกายของตนนั้นโคลอี้มั่นใจว่าเขามีความสามารถมากพอ
แต่การที่ถูกใครจ้องมองตอนนี้แสดงว่าคนคนนั้นต้องเก่งกาจเป็นอย่างมาก…
ไม่ใช่สิแม้แต่คนก็มองไม่ออกนอกเสียจากว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มาจากที่แห่งนั้น
ฝูงชนดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมีบุรุษร่างสูงที่ใส่ชุดคลุมนักเวทสี
ทมิฬตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าปรากฏตัวออกมาตรงหน้าฝูงชนที่เบียดเสียดกันอย่างสอดรู้สอดเห็น กระนั้นก็ไม่มีใครคิดที่จะลงไปช่วยแต่แต่คนเดียว
หรือคนผู้นี้จะมาช่วยผู้ประสบภัยกัน...?
เพียงปลายเท้าสัมผัสผิวน้ำที่ริมท่าเรือขนาดเล็กร่างสูงก็หายไปในพริบตา ปรากฏกายอีกครั้งในจุดที่เกิดเหตุ
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนยิ่งเกิดเสียงฮือฮาไปกันใหญ่ คนผู้นี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันแตกต่างจากโคลอี้ที่เวลานี้ได้แต่ลอยตัวนิ่งอยู่ในอากาศและใช้อุ้งเท้าคู่หน้าทั้งสองข้างขึ้นมาปิดตาทั้งสองของตัวเองด้วยอาการสั่นเทา
“…”
“เอ่อ...”
อุ้งท้าวเล็กเผยช่องว่างระหว่างนิ้วเล็กน้อยเพื่อให้ง่ายต่อการเเอบมองเเต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงถอนหายใจ ไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้เพราะคนคนนี้ใช้ผ้าคลุมปิดไว้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแค่ฟังเสียงโคลอี้ก็รู้เเล้วละว่ามันหมายถึงอะไร
คงจะหมายความว่าเจ้าจิ้งจกโง่ทำไม…
“นี่เจ้าจิ้งจกโง่ ทำไมถึงทำท่าทางซื่อบื้อเเบบนั้น ป่านนี้เจ้านายของเเกคงได้นอนเป็นศพอืดอยู่ใต้ทะเลสาบไปเเล้วมั้ง?”
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาทำเอาโคลอี้สั่นกลัวเล็กน้อย?
จิ้งจก?
มังกร?
เขาเป็นอะไรกันแน่…?!!!
เเน่นอนว่ามันต้องเป็นมังกรอยู่เเล้วสิจะมากลัวอะไรไอ้คนเสียงหล่อนี่กัน!
“นี่ไอ้คนเสียงหล่อนายพอจะกางบาเรียใหญ่ ๆ ได้หรือเปล่า?”
โคลอี้ที่ฟังจากอีกฝ่ายเอ่ยออกมาเมื่อครู่ก็รู้สึกได้ว่าน่าจะไม่มีอันตรายไม่อย่างนั้นคนคนนี้คงจะทำให้เรื่องมันวุ่นวายตั้งแต่เห็นเขาแล้วละ
“ไม่จำเป็น…”
เจ้าของเสียงหล่อของโคลอี้? เอ่ยออกมาก่อนที่จะใช้ฝ่ามือคว้ามังกรน้อยในชุดมาสคอตเเมวที่ถูกตราหน้าว่าเป็นจิ้งจกหน้าโง่? ก่อนจะพุ่งตัวลงไปในทะเลสาบอย่างรวดเร็ว
“นี่ลูคัสนายดูหมอนั่นสิ ทำตัวพิลึกชะมัด”
เสียงเล็กใสเอ่ยออกมาจากภูติสาวตัวจิ๋วที่นั่งอยู่บนไหล่ของคนที่ตนเรียกว่าลูคัสซึ่งก็คือร่างเจ้าของเสียงหล่อของโคลอี้นั่นเอง
“หึ จริงด้วย”
ตอนนี้รอบกายของทั้งสามนั้นมีบาเรียครอบร่างอยู่เช่นนั้นเวลานี้ถึงจะอยู่ใต้ทะเลสาบก็สามารถหายใจและพูดคุยได้อย่างปกติ
มังกรตัวเล็กในชุดมาสคอตที่ใช้อุ้งเท้าทั้งสองข้างแหวกอากาศและเเก้มป่อง ๆ ทั้งสองข้างที่ขึ้นสีเเดงอย่างขาดอากาศหายใจราวกับกำลังจมน้ำมันได้ทำให้คนที่มองอยู่รู้สึกหน่ายใจไม่น้อย
โคลอี้เมื่อรู้สึกตัวก็ทำหน้าตาเหลอหลาออกมา
ขายหน้าชะมัด! โคลอี้คิด
ใบหน้าของมังกรตัวจิ๋วที่ขึ้นสีด้วยความเขินอายทำให้ภูติสาวขำออกมายกใหญ่เลยทีเดียว
กระนั้นเวลขำขันไม่อาจคงอยู่ได้นาน กลิ่นอายของบางสิ่งมันได้กระตุ้นให้ทุกคนต้องเฝ้าระวังตัวขึ้นในทันทีที่ลงมาในทะเลสาบ
ไม่นานสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งก็ปรากฏออกมาให้เห็น
รอบกายต่างเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่แลดูคล้ายกับมนุษย์ ทว่าร่างกายนั้นเป็นสีฟ้าใสเส้นผมสีรัติกาลที่พันกันยุ่งเหยิง หากอยู่ในน้ำเเละไม่ทันสังเกตุดวงตาที่มีสีเเดงเรืองรองทั้งคู่นั้นก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต
เพราะสีตัวที่กลืนไปกับน้ำและเส้นผมที่ราวกับสาหร่ายใต้ทะเล ยิ่งลงมาลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งพบเจอขึ้นมากเท่านั้น
“พรายน้ำ นี่มันอะไรกัน? ทำไมที่เขตชุมชนแห่งนี้ถึงมีพรายน้ำชั่วร้ายที่มากมายขนาดนี้เกิดขึ้นได้
ถึงแม้จะอยู่ติดป่าใหญ่แต่มันไม่น่าจะมีเเรงอาฆาตที่น่าจะทำให้เกิดพรายชั่วร้ายได้เลยนี่นา”
โคลอี้เอ่ยโพล่งออกมาอย่างตะลึงที่เห็นพรายน้ำฝูงใหญ่
พวกมันกำลังมุ่งตรงมาที่พวกเขา!
ปึง! ปึง!! ปึง!!!
เหล่าพรายน้ำที่ปรากฏตัวออกมามากมายเมื่อมันเห็นสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาในอาณาเขตของพวกมันต่างก็เข้ามาโจมตีศัตรูอย่างบ้าคลั่งโดยการใช้ตัวเองเป็นอาวุธในการพุ่งเข้าชน
ใบหน้าน่าเกลียดฟันเเหลมคมที่อยู่ในปากนั้นน่าสยดสยองไม่น้อยหากถูกมันขบกัดเข้าที่ร่างกาย
ไม่อยากจะนึกคิดถึงสภาพสักนิด!
พรายพวกนี้เป็นพวกที่ไร้สติปัญญา เป็นเพียงพวกพรายปลายเเถวเท่านั้น
พรายที่มีมากขนาดนี้จะขาดราชาพรายที่มีสติปัญญาคอยควบคุมสั่งการพวกมันไปไม่ได้เด็ดขาด
เพียงลูคัสสะบัดมือพลังที่ปลดปล่อยออกมากระซัดพวกพรายที่อยู่ทั่วบริเวณโดยรอบหายไปจนหมด
“ถึงลูคัสจะไม่จัดการพวกแกก็เข้ามาในบาเรียที่ฉันสร้างไม่ได้หรอก เจ้าพวกพรายโง่ ฮิฮิ”
เกรซี่คือชื่อของภูติปฐพี เธอเป็นภูติชั้นสูงที่แข็งแกร่งมากทีเดียวเมื่อเทียบกับพรายหน้าโง่พวกนั้น
ทว่าคำว่าโง่และเสียงขำขันนี่ทำไมเธอต้องจ้องมาที่ตนด้วย โคลอี้คิดในใจ
ไม่ใช่ว่าจะด่าเขาว่าโง่อีกหรอกนะ เฮอะ!
เหล่าพรายยังคงพุ่งเข้าชนบาเรียอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถสร้างเเม้รอยขีดข่วนได้เเม้เเต่น้อยอย่างที่เจ้าของมันโอ้อวด
ในที่สุดทั้งสามก็ลงมาจนถึงเบื้องล่างของทะเลสาบ
หากไม่ลงมาครั้งนี้โคลอี้คงไม่รู้ว่ามันจะลึกถึงขนาดนี้ ระดับความลึกราว ๆ แปดร้อยมตรได้ เวลานี้โคลอี้เเยกออกมาจากลูคัสด้วยฟองอากาศขนาดเล็ก เมื่อเห็นว่าออกมาไกลพอสมควรเเล้วก็ขยายร่างกายของตนเองขึ้นทันที
ตลอดเวลาที่โคลอี้เเอบหนีออกมาเที่ยวกับพาร์เซย์ตนจะต้องผนึกพลังไว้เกือบทั้งหมดเพื่อไม่ให้โลลิต้าจับได้ เพราะด้วยพันธะสัญญาของทั้งคู่สื่อถึงกันตลอด ทว่าการผนึกพลังไว้ก็เป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งด้วย อีกอย่างโคลอี้ได้สร้างร่างแยกไว้ที่คฤหาสน์แล้วฉะนั้นโลลิต้าก็จะสัมผัสได้ว่าตนอยู่ที่คฤหาสน์ตลอดเวลาแม้จะไม่เห็นตัวก็ตาม เว้นแต่แผนการจะถูกจับได้เท่านั้น
ทันทีที่มังกรขนาดใหญ่สีขาวเงินสว่างตาปรากฏกายที่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้ เหล่าพรายน้ำที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างสลายหายไปในทันทีเมื่อเข้ามาในบริเวณที่โคลอี้อยู่
รอบกายของมังกรขนาดใหญ่มีอาณาเขตสีเงินเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
“หมอนั่นไม่ใช่จิ้งจกบินได้หรอกเหรอลูคัส?!!”
ภูติสาวน้อยประสบการณ์เอ่ยถามออกมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ไร้เดียงสาเกินไปเเล้ว นั่นเป็นมังกรที่ร้ายกาจตนหนึ่งเลยละ”
เกรซี่ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าตาเหลอหลาแลดูหวาดผวาไม่
น้อยและไปหลบซ่อนอยู่ด้านหลังของลูคัสในทันที
โคลอี้ที่มองมาที่ทั้งสองคนอย่างกระหยิ่มใจ เจ้าพวกนั้นคงรู้เเล้ว
สินะถึงความน่าเกรงขามของเขาน่ะ!
(พาร์ซ... พาร์ซนายได้ยินฉันหรือเปล่า? ทำไมถึงสัมผัสถึงเขาไม่ได้กันนะ)
โคลอี้คำรามในลำคออย่างหงุดหงิด
อย่าเป็นอะไรเด็ดขาดเลยนะ ฉันยังไม่อยากถูกโลลิต้าฉีกร่างเป็นเศษเล็กเศษน้อยบำรุงดิน
ร่างของมังกรขนาดใหญ่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วเพื่อตามหาร่างของอีกคนอย่างกระวนกระวายใจ
ทว่าเหนือทะเลสาบได้เกิดเเสงสว่างวาบขึ้นมายิ่งทำให้มีเหล่าผู้คนสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีกว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ใต้ทะเลสาบกันแน่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงไปแต่อย่างใด ได้แต่เฝ้ารอพลเมืองดีคนนั้นที่ลงไปช่วย
เวลานี้ข่าวที่มีคนตกลงไปในทะเลสาบอย่างปริศนาก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองเเล้ว เพราะวันนี้ไม่ได้มีพายุเฃแต่มีเพียงคลื่นน้ำที่นิ่งสงบเเต่กลับมีคนจมน้ำยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะมีผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์มากมายที่เห็นว่าอยู่ ๆ เรือที่เเล่นอย่างเอื่อย ๆ นั้นราวกับถูกอะไรกระชากลงไปเสียอย่างนั้น...
ดาวเคราะห์โรมาโนสามสิบแปดปีก่อน
ร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่หลับใหลมาตลอดหลายวันเวลานี้เริ่มมีการ
เคลื่อนไหวแล้ว
“ซีอาร์... ทำไมกัน?”
ไซมอนใช้นิ้วมือของตนนวดคลึงบริเวณขมับเพื่อคลายอาการง่วงซึม พลางรำพึงถึงคนรัก
“ท่านไซมอน ท่านฟื้นเเล้ว”
ลูเซียที่เฝ้าคอยการตื่นของอีกคนมาตลอดเอ่ยขึ้นมา
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่? แล้วซีอาร์ไปไหน”
ไซมอนรู้สึกร้อนใจทุกขณะเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่อาจคาดเดาสิ่งที่เป็นไปได้กับคนรักของตนในเวลานี้
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้เพคะ…”
“เจ้าไม่เคยห่วงตัวเองเลย ไม่เคยฟังอะไรพี่เลยซีอาร์...”
ไซมอนที่ได้รับรู้เรื่องราวจากลูเซียถึงกับขอบตาร้อนผ่าวราวกับของเหลวสีใสจะทะลักออกมาได้ตลอดเวลา
“ตอนนี้ซีซาร์อยู่ที่ไหนพาข้าไปหานาง”
น้ำเสียงทรงพลังเอ่ยออกมาเวลานี้ไม่มีแม้น้ำตาที่ลูเซียคิดว่าจะได้เห็น
“ทางนี้ค่ะ ท่านไซมอน...”
ลูเซียเอ่ยตอบรับก่อนจะนำทางไป ทว่า
“กรี๊ดดดด!”
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของลูเซียดังขึ้นมาก่อนที่จะฟุบร่างลงกับพื้น
“ลูเซียเป็นอะไร”
ไซมอนมองไปที่เธออย่างตระหนก
ลูเซียเป็นภูติที่เขารู้จักมานานไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเห็นเธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเช่นนี้
ลูเซียกระอักโลหิตออกมาคำโต ร่างเเยกของเธอที่เฝ้าสถานที่เเห่งนั้นถูกทำลายเเล้ว!
ใบหน้าของลูเซียที่จ้องไปที่ไซมอนเพียงนัยน์ตาสีฟ้าใสคู่นั้นจ้องมองมาไซมอนก็รับรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น...
“ลำบากเจ้าเเล้วซีซาร์”
ไซมอนเอ่ยออกมาเมื่ออยู่ตรงหน้าของซีซาร์
คนตรงหน้าก็คงเสียใจไม่เเพ้เขา อีกคนก็ครอบครัวเพียงคนเดียวที่อยู่มาด้วยกันตั้งเเต่เด็ก อีกคนก็ลูกน้อยที่ยังไม่กระเทาะเปลือกออกจากไข่ เป็นการเลือกที่ยากมากสำหรับคนคนหนึ่ง
ทว่าท้ายที่สุดเธอก็เลือกที่จะช่วยซีอาร์ สิ่งนี้ทำให้ไซมอนนั้นรู้สึกเป็นบุญคุณต่อคนตรงหน้านักและเสียใจด้วยเช่นกัน เพราะเขาก็เห็นคนตรงหน้ามาตั้งแต่เด็กไม่ต่างจากซีอาร์ มองเป็นคนในครอบครัวคนหนึ่ง
“ข้ายินดี ท่านซีอาร์ถือเป็นครอบครัวของข้าคนเดียวที่เหลืออยู่ข้าไม่อาจทอดทิ้งไปได้”
ถึงจะเอ่ยกล่าวเช่นนั้น ทว่าใบหน้าและน้ำเสียงยังคงมีความเศร้าเสียใจอยู่หลายส่วน แม้จะทำเป็นเข้มเเข็งและเต็มใจต่อหน้าไซมอนเพียงใดเขาก็มองออก อย่างที่บอกไป เขานั้นเห็นคนตรงหน้ามาเเต่เด็ก...
“อืม…”
ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไข่ใบงามอย่างอาวรณ์
“ซีซาร์ฟังข้าให้ดี ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วข้าจะให้เจ้าไปอยู่กับสวามีของเจ้าที่ดาวโลกและเจ้าจงสัญญากับข้าว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีกได้หรือไม่”
ไซมอนเอ่ยกับคนตรงหน้า มือใหญ่จับไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้มั่น การกระทำเช่นนี้มันกดดันซีซาร์ไม่น้อยเลย
“ท่านไซมอ...”
“ให้สัญญากับข้าได้หรือไม่…!”
“ดะ ได้ค่ะ!”
ซีซาร์ที่ตระหนกกับน้ำเสียงอันดุดันของไซมอนที่เอ่ยถามออกมาเสียงดังจนเผลอตอบรับออกมาเสียงดังอย่างไม่ใตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเช่นกัน
“ดี!”
เพียงร่างสูงเอ่ยจบรอบกายของซีซาร์ก็เกิดวังวนสีเพลิงขนาดใหญ่ขึ้นมา เพียงครู่วงวนสีเพลิงพร้อมร่างของซีซาร์ก็อันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่...
“ถึงราษฎรที่รักทุก ๆ คน วันนี้ข้ามีข่าวสำคัญจะมาเเจ้ง...”
น้ำเสียงจริงจังของไซมอนที่ถ่ายทอดดังไปทั่วทุกมุมเมืองทั้งจักรวรรดิและภาพฉายขนาดใหญ่ด้วยวิทยาการทางเวทมนตร์ทำให้ง่ายต่อการแจ้งข่าวสารผู้คนที่อาศัยอยู่ตามเมืองต่าง ๆ
ทุกเมืองต่างรอคอยการประกาศครั้งสำคัญ ไม่บ่อยนักที่องค์จักรพรรดิจะเป็นคนออกมาเอ่ยเช่นนี้หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่สำคัญจริง ๆ
“ข้ารู้สึกเศร้าใจนักที่จะต้องเอ่ยกับทุกท่านว่า...”
เหล่าราษฎรที่ฟังอยู่ต่างมีความรู้สึกที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป และเฝ้ารอการประกาศอย่างจดจ่อผู้คนต่างเฝ้ารอถ้อยคำที่สำคัญจากกษัตริย์ที่เคารพ
“ตอนนี้สิ่งนั้นปรากฏมาขึ้นมาที่นี่อีกครั้งเเล้ว”
!!!
พระสุรเสียงอันทรงพลังนั้นกึกก้องเข้าไปในจิตใจของผู้คน
ผู้ที่ได้ยินถึงสิ่งที่องค์จักรพรรดิประกาศถึงกับเงียบสนิทไร้แว่วเเม้เสียงลมหายใจที่จะผ่อนออกมา
“ตอนนี้ข้าอยากให้พวกเจ้าทุกคนอพยพออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไปที่ใดก็ได้ขอทุกคนรอดปลอดภัยเป็นพอ ตอนนี้ข้าเครียมค่ายกลเวทมนตร์เคลื่อนย้ายสำหรับอพยพเอาไว้หมดเเล้ว...”
เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอเเล้วไซมอนคิด
พวกเขาจะต้องรอดให้ได้มากที่สุด ไม่อาจให้มีการสูญเสียได้อีกแล้ว ที่ผ่านมาก็สูญเสียกันมามากจนเกินไปเเล้ว
“ไปที่ใดก็ได้... แล้วท่านเล่า? จะไปกับพวกเราด้วยฤาไม่พระองค์”
แว่วเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาใกล้กันกับจุดที่ไซมอนยืนอยู่
“…”
ไร้การตอบรับจากร่างสูง ไซมอนทำเพียงจ้องมองลงไปยังคนที่เอ่ยถามออกมาอย่างนิ่งเฉย
“ท่านคงจะไม่ทำเช่นองค์จักรพรรดิเอเมสต์พระองค์ก่อนใช่ฤาไม่...
หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะอยู่ด้วย ครั้งนั้นอพยพออกมาด้วยกันครั้งนี้ก็
เช่นกันข้าจะอยู่ด้วยกันเช่นเดิม...”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นทำให้เกิดเสียงฮือฮาออกมาทันที
“ข้าด้วย”
“ข้าด้วย”
“ข้าด้วย...”
“ไม่ได้! ข้าไม่อาจทำให้สิ่งที่จักรพรรดินีของข้าทำลงไปเสียเปล่าเด็ดขาด
เช่นนั้นแล้ว… พวกเจ้าทุกคนจะต้องมีชีวิตรอดให้ได้มากที่สุด!”
“จริงด้วย แล้วองค์จักรพรรดินีเล่าเหตุใดไม่เห็นพระพักตร์ของพระองค์เลย”
สตรีนางหนึ่งเอ่ยออกมาเมื่อสังเกตเห็นบางอย่าง
ทุกครั้งที่ไซมอนออกมาพบปะเหล่าราษฎรจะต้องมีองค์จักพรรดินีอยู่ด้วยตลอด แต่เวลานี้ไม่เห็นหรือที่เอ่ยว่า
‘ข้าไม่อาจทำให้สิ่งที่ราชินีของเราทำลงไปเสียเปล่าเด็ดขาด’
จะหมายถึง...!
สิ่งเหล่านี้ผู้คนต่างคิดไปในทางเดียวกัน
“ในเมื่อองค์เจ้าผู้ปกปักษ์ไม่หลีกหนีเเล้วไซร้ ราษฎรที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อกษัตริย์ที่อาวรณ์ต่อราษฎรของตนจะยืนหยัดเพื่อต่อสู้เคียงข้างท่านไม่ได้เล่า!”
น้ำเสียงอันทรงพลังเบื้องล่างของผู้คนดังเข้ามาในโสตประสาทของไซมอน ร่างสูงถึงกับนิ่งชะงักถึงสิ่งที่เหล่าราษฎรเอ่ยออกมา
“เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจคัดค้าน ใครอยากอยู่ก็ขอให้พวกเจ้านั้นจงหยัดยืนด้วยเกียรติที่ภาคภูมิ หากใครที่จะอพยพออกไปก็สามารถใช้กลไกเวทมนตร์ได้เลยไม่ต้องรอเวลา!”
“ขอปฐวีจงโอบอุ้มเมล็ดพันธุ์เพื่องอกเงยจนกลายเป็นพฤกษาที่เติบใหญ่เเลให้ร่มเงาเเก่ราษฎร... ขอเเสงสว่างจงชี้นำทางเเลอวยพรเเด่ เอเมสต์ โกลซ์เวนเนอร์ ทรงพระเจริญ!!!”
เสียงสรรเสริญยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
ไซมอนที่ได้ยินสิ่งที่ราษฎรของตนเอ่ยออกมาได้เเต่ยิ้มรับออกมาทั้งน้ำตา
เขาดีใจอย่างสุดซึ้งที่มีราษฎรที่รักเขาถึงขนาดนี้และเขาก็รู้สึกเสียใจในขณะเดียวกัน...
ยี่สิบเอ็ดปีต่อมา
อารยธรรมบนดาวเคราะห์ที่เคยรุ่งเรืองเวลานี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพังไปกว่าครึ่ง การต่อสู้ที่เกิดขึ้นทุกหนเเห่งบนดาวดวงนี้อีกไม่นานที่นี่คงไม่เหลืออะไรให้เชยชมอีกเเล้วถึงความรุ่งเรื่องที่เคยมีมา
ฉัวะ!
ฉึก!
ปัง!!
อ๊ากก!!!
ร่างของสัตว์ประหลาดหน้าขนขนาดใหญ่กำลังใช้อุ้งเท้าขนาดใหญ่ที่มีกรงเล็บที่เเหลมคทะลวงร่างของบุรุษคนหนึ่งจนร่างนั้นเละจนมองไม่ออกเลยว่าสิ่งมีชีวิตนี้เคยเป็นอะไรมาก่อน...
“ท่านไซมอนระวัง!”
ลูเซียตะโกนออกมาสุดเสียงเมื่อมีร่างร่างหนึ่งพยายามเข้าโจมตีทางด้านหลังของไซมอน
เหล่าศัตรูที่ไซมอนและลูเซียต่อสู้นั้นเป็นภูติทมิฬ พวกมันเป็นคู่ต่อสู้ที่มีสติปัญญาทำให้ยากที่จะจัดการได้
พวกมันมีเพียงสามตนเท่านั้น ด้วยเป็นศัตรูที่มีความคิดอ่านทำให้มีความยากในการกำจัดเป็นอย่างมาก เวลานี้จำนวนสัตว์ประหลาดพวกนี้มีจำนวนมากที่น่าตกใจ เวลานี้พวกเขากำลังต่อสู้กับฟรอยด์นับหมื่นตัวเเละมันเพิ่มจำนวนขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งมีการต่อสู้ที่ยืดเยื้อเท่าไหร่พวกมายิ่งเรียกพรรคพวกมามากขึ้นเท่านั้น แม้จะเเข็งเเกร่งเพียงใดก็ย่อมมีวันที่หมดแรง เพราะพวกเขามีจำนวนเท่าเดิมและลดลงทุกครั้งในการต่อสู้ แแต่พวกฟรอยด์ไม่เลย
พวกมันต่อสู้โดยไม่คิดชีวิต เเละมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ยี่สิบเอ็ดปีเเล้วที่พวกเขาต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตประหลาดพวกนี้โดยไม่หยุดพัก จำนวนนักรบของโรมาโนมีจำนวนที่น้อยลงจนน่าใจหาย
แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่คิดว่านี่อาจเป็นการต่อสู้วันสุดท้ายของตน เพราะไม่มีแม้เรี่ยวแรงในการกวัดเเกว่งอาวุธที่อยู่ในมือก็ได้มีรุจิเเสงสายหนึ่งปรากฏขึ้นมารอบกายของนักรบของโรมาโน
พลังเวทสีมรกตที่ปรากฏกับการที่ได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วนั้นมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำได้
มีเพียงเอเมสต์เท่านั้นที่สามารถทำได้!
พรึ่บ!
เสียงสะบัดชายเสื้อดังขึ้นพร้อมกับคลื่นพลังสีมรกตที่สะท้อนเหล่าสัตว์ประหลาดให้ล่าถอยออกไป จนทุกอย่างจมอยู่ในความสงบเพียงเสี้ยววินาทีที่ร่างร่างหนึ่งปรากฏสู่สายตา
“ซีอาร์...”
ไซมอนเอ่ยออกมาอย่างห่วงหาร่างบางอันเป็นที่รักคนคนนี้ที่คะนึงหามานับสิบปีที่ผ่านมาไม่มีเเม้เพียงเสี้ยววินาทีที่ไม่คิดถึง
“ไซมอน พวกท่านเหนื่อยมามากเกินพอแล้ว...”
น้ำเสียงใสดั่งสายน้ำชโลมใจของร่างบางที่เอ่ยออกมามันดังกระทบเข้าไปในทุกโสตประสาทของทุกคนอย่างน่าประหลาด
“ขอบใจเจ้ามากลูเซียที่ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้”
ร่างบางหันไปยิ้มให้กับภูติคู่พันธสัญญาของตนก่อนที่จะทำบางสิ่งที่ทำให้ลูเซียถึงกับขาดสติ นั่นคือการ
‘เรียกคืนพันธสัญญา!’
กรี๊ดดด!
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของภูติสาวในพันธะสัญญาราวกับจะแตกสลายเสียให้ได้ในตอนนั้น
“ท่าน! กรี๊ดดด!! ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
น้ำเสียงเอ่ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
การถอนพันธสัญญาโดยไม่ยินยอมนั้นจะเป็นการสร้างบาดเเผลให้กับทั้งสองฝ่าย ภูติคู่พันธสัญญานั้นจะมีความเชื่อมั่นในคู่พันธะของตนว่าจะไม่ทำร้ายกันและมอบความไว้เนื้อเชื่อใจแก่กัน การถอนพันธะในครั้งนี้เป็นเสมือนการสร้างบาดเเผลให้กับลูเซีย
“ขอโทษ...”
ซีอาร์เอ่ยออกมาเสียงเเผ่ว สิ้นคำเอ่ยกล่าวร่างของลูเซียก็กลายเป็นฟองอากาศมลายหายไปในความว่างเปล่า
ซีอาร์ส่งเธอไปยังสถานที่ที่เธอจากมาเมื่อนานมาแล้ว สถานที่ที่สูงส่งกว่าที่นี่ในเวลานี้อย่างเทียบไม่ติด
จะว่าไปแล้ว เป็นเธอเองที่นำพาทุกคนมาลำบากในวิบากกรรมของตนเอง ช่างหน้าไม่อายเสียจริง…
“ตั้งเเต่ออกมาจากเอมเมอรัล ไลท์ ข้าเฝ้าคิดมาตลอดว่าอะไรกันที่ทำให้สัตว์ประหลาดพวกนี้ต้องออกอาละวาด จนเมื่อไม่นานมานี้ที่ข้าได้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งถึงได้เข้าใจบางสิ่งอย่างถ่องแท้
นั่นคือทุกสิ่งอย่างล้วนมีสองด้านเสมอ หากยืนในที่ที่มีเเสงสว่างย่อมมีเงาตามตัว สิ่งนี้ก็เหมือนกัน มันไม่ใช่ใครที่ไหหากแต่กลับเป็นสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจของผู้คน อยู่ที่ว่าใครจะจัดการกับมันอย่างไร จะอยู่ร่วมกันอย่างสติ หรือเเก่งเเย่งกันเพื่อการมีชีวิต...
และสิ่งนี้ที่พวกท่านกำลังต่อกรอยู่ล้วนเกิดมาจากเอเมสต์ทั้งสิ้น
พฤกษาต้นใหญ่ย่อมมีร่มเงาที่ใหญ่ตามเป็นเป็นธรรมดา หลังจากนี้ข้าจะเป็นคนจบเรื่องราวทั้งหมดนี้เอง… พวกท่านเหนื่อยกันมามากเเล้ว”
พฤกษาขนาดใหญ่สีมรกตเเผ่กิ่งก้านสาขาออกไปจนสุดลูกหูลูกตา มมันปกคลุมไปยังเหล่านักรบของโรมาโนทุกคน
แสงสีทองที่เปล่งประกายออกมานั้นมันร่วงหล่นลงมากระทบร่างผู้คนมากมายที่มันโอบอุ้มอยู่ แสงสีทองเหล่านี้ได้ชำระอาการบาดเจ็บของทุกคนจนหมดสิ้น เรี่ยวแรงที่เกิดจากการสู้รบก็กลับมา ทว่าไม่นานสติของผู้คนที่เคยมีก็เลือนลางหายไป...
“ซีอาร์หากเจ้าไม่อยู่เเล้วพี่จะอยู่อย่างไร เจ้าชังพี่นักหรือยังไง ทำไมถึงต้องทิ้งพี่ไว้คนเดียวตลอดเลยที่รักของพี่...”
ไซมอนเอ่ยตัดพ้อออกมาเมื่อรู้ว่าร่างบางผู้เป็นที่รักนั้นคิดจะทำสิ่งใด
“ไม่เลยไซมอน ข้ารักท่านที่สุดเเล้ว ฉะนั้นแล้วจงรักษาชีวิตของท่านเและใช้มันเเทนข้าด้วย ปกป้องสิ่งสำคัญของเรา...”
ร่างบางของซีอาร์ปรากฏตัวเหนือยอดพฤกษาขนาดใหญ่ก่อนที่จะเข้ามาใกล้ ๆ ไซมอน
ริมฝีปากอิ่มนั้นประทับลงบนฝีปากหนาของอีกคน ไซมอนที่รู้ว่าจะ
เกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้น้ำตาที่สะกดกลั้นมาตลอดก็ไหลพรากออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
“เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะราจานี มหาพฤกษาเเห่งการสิ้นสุด...”
ซีอาร์มองไปตรงหน้าที่มีร่างของบุรุษที่มีกลุ่มควันสีดำทมิฬอยู่รอบกายอย่างหนาเเน่น ร่างนั้นไม่หลีกหนีแต่อย่างใด
ซีอาร์เผยยิ้มออกมาก่อนที่จะเข้าไปสวมกอดร่างตรงหน้าอย่างอย่างอ่อนโยน มีทางเดียวที่จะหยุดเงาของตนเองไม่ให้ทำร้ายผู้อื่นได้นั่นคือต้องรวมเป็นหนึ่งเเละจากไปพร้อม ๆ กัน...
‘เงาของเอเมสต์’
ความคิดเห็น