ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จิรัฐิติกาลหวนคืนภพ

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 4 วิกัปเจิดดรุณมนตรี

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 67



     

    บทที่ 4

    วิกัปเจิดดรุณมนตรี

     

    “เจ้าคิดว่าซีอาร์จะยินยอมเช่นนั้นเหรอ?! สิ่งนี้ไม่ต่างจากการคร่าอีกชีวิตเพื่อให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อ อีกทั้งชีวิตนั้นยังเป็นของลูกเจ้าด้วย”

    ลูเซียจากตอนแรกที่รู้สึกสนใจวิธีการของซีซาร์ กระนั้นเวลานี้เธอกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกเเล้ว

    วิธีของซีซาร์นั้นใช่ว่าจะไม่ได้ผลแต่มันต้องแลกมากับอีกชีวิตที่สำคัญของคนตรงหน้าเช่นกัน

    “ตลอดชีวิตของข้ามีเพียงท่านซีอาร์เท่านั้นที่เป็นครอบครัวของข้า หากข้าไม่ทำ...”

    “ข้าขอให้เจ้าทบทวนให้ดี แม้ข้าจะเป็นห่วงซีอาร์มากแต่เธอคงไม่พอใจเป็นเเน่...”

    สิ้นคำเอ่ยกล่าวลูเซียก็เดินจากไปในทันที ทิ้งซีอาร์เอาไว้ลำพังเพื่อให้อีกคนได้ใครคิดทบทวนตนเอง ว่าการตัดสินใจในครั้งนี้มันดีจริงแน่แล้วงั้นเหรอ…

     

    “ข้าเอ่ยเตือนเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าตั้งใจแน่วแน่แล้วจะมาเสียใจภายหลังไม่ได้แล้วนะซีซาร์”

    ลูเซียเอ่ยย้ำซีซาร์อีกครั้งเพื่อย้ำเตือนการตัดสินใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงมีสีหน้ามุ่งมั่นที่จะทำเธอก็ได้แต่พยักหน้ารับออกไป

    ณ ลานกว้างภายในพระราชวังอันโอ่อ่า เวลานี้มีร่างบางอันคุ้นตานอนอยู่กลางโถงโดยมีสตรีเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ที่นี่

    ซีซาร์เดินเข้ามาใกล้ร่างของซีอาร์ที่นอนอยู่กลางโถง ใต้ร่างของซีอาร์นั้นมีวงแหวนเวทมนตร์ขนาดใหญ่นับสิบวงซ้อนทับกันอยู่ ก่อนที่เธอจะวางไข่ใบใหญ่สีขาวเงินลงข้างกายของร่างบางที่หลับใหล

    “เอาละ เรามาเริ่มกันเถอะ…”

    ลูเซียเอ่ยออกมากับซีซาร์ก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกออกไปยืนกันคนละฝั่งและร่ายบทคาถาเวทมนตร์ชุดใหญ่ออกมา

    ทั้งสองร่ายเวทมนตร์อยู่นานกว่าสามชั่วโมงทุกอย่างจึงจะเสร็จสิ้น

    ร่างบางที่นอนอยู่กลางโถงค่อย ๆ ลอยขึ้นมาเหนือพื้นพร้อมไข่สีเงิน วงแหวนใต้ร่างค่อย ๆ ส่องสว่างออกมา พวกมันกำลังทำหน้าที่ตามกลไกที่ได้ถูกวางไว้โดยลูเซียอย่างไม่ผิดเพี้ยน

    เพียงชั่วครู่ร่างบางของซีอาร์ก็ได้กลายเป็นกลุ่มแสงและหลอมรวมเข้าไปในไข่สีเงิน

    แสงสว่างที่เกิดจากการรวมตัวกันนี้เกิดขึ้นนับชั่วโมงก่อนที่มันจะจางหายไปและกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้งเพียง แต่สิ่งที่อยู่กลางโถงกลับมีเพียงไข่สีเงินใบเดียวเท่านั้นปราศจากร่างบางของใครบางคนที่มีอยู่ก่อนหน้านี้…

     

    “ท่านซีอาร์”

    “…”

    “ท่านซีอาร์คะ...”

    “ท่านซีอาร์!”

    “ซีซาร์เจ้าเสียงดังเกินไปเเล้ว”

    “ท่านต่างหากที่เหม่ออยู่พักใหญ่ ข้าเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ...”

    ซีซาร์เอ่ย

    “เดี๋ยวนี้เจ้าก็กล้าขึ้นเสียงกับข้าฤา? เด็กน้อย”

    “ผู้น้อยมิบังอาจ ท่าน...”

    ซีซาร์ร้อนรนเมื่อได้ยินเช่นนั้น

    “ข้าเพียงแหย่เจ้าเล่นเท่านั้น”

    ซีอาร์เห็นเช่นนั้นแล้วก็ขำออกมแต่คนโดนนั้นไม่แม้แต่จะขำออกมาเช่นที่เอ่ย

    “สิ่งนั้นได้ปรากฏขึ้นมาที่นี่แล้ว ที่กาแล็กซีแห่งนี้ เมื่อสิบแปดปีก่อน...”

    ซีอาร์ที่เห็นว่าควรที่จะเข้าสู่สาระสำคัญได้แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “สิ่งนั้นหรือว่า!”

    “ใช่ สิ่งนั้นที่ครั้งหนึ่งเคยทำลายกเอมเมอรัล ไลท์ จนหมดสิ้น ปรากฏขึ้นมาที่นี่เเล้ว”

    “ท่านบอกว่าสิบแปดปีก่อน… ที่ท่านบาดเจ็บครั้งนั้นก็เพราะต่อสู้กับมันเช่นนั้นงั้นเหรอ?”

    ซีซาร์เอ่ยถามออกมาอย่างตระหนกและนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในครั้งอดีต

    “ทั้งใช่เเละไม่ใช่ ข้ามีเรื่องที่ยังบอกเจ้าไม่หมดและข้ายังมีเรื่องที่บุตรของเจ้าเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ด้วย เป็นเพียงวิฬารเด็กแท้ ๆ เเต่ฤทธิ์เยอะเสียจริง”

    ซีอาร์เอ่ยพลางทำท่าทีฟึดฟัด ก็แมวเด็กตัวดีที่พอตื่นขึ้นมาก็โมเมว่าลูกที่อยู่ในท้องเป็นลูกของตัวเองเสียอย่างนั้น แถมยังบากหน้าไปหาคนที่นอนด้วยกันอีก นอนกันเเค่ครั้งเดียวเเมวที่ไหนจะท้องได้กัน เฮอะ!

    “เรื่องที่ข้าจะบอกกล่าวกับเจ้าอย่างเเรกคือเรื่องของฟรอยด์...”

    เรื่องราวที่เอ่ยออกมาทำให้ซีซาร์นั้นจำต้องตั้งใจฟังเนื่องจากเกี่ยวพันถึงทุกชีวิตที่อาจถูกมันคร่าไปได้ทุกเมื่อ...

    เรื่องที่ซีอาร์เล่าออกมานั้นถึงกับทำให้ซีซาร์รู้สึกตั้งรับไม่ทันมันทั้งฉุกละหุกวุ่นวายไปหมด

    “จากนี้เลี้ยงดูเขาให้ดีและให้เขาเก็บสิ่งนี้ไว้กับตัว เรื่องของเขาข้าก็บอกกับเจ้าไว้หมดเเล้ว...”

    ซีอาร์เอ่ยออกมาเมื่อเธอทำการรักษาร่างของเด็กน้อยในเปลไม้จนเสร็จสิ้นเเล้วก่อนจะมอบสร้อยข้อมือสีเงินที่ตัวสร้อยมีอัญมณีสีเขียวน้ำงาม

    ประดับอยู่

    ต่อไปก็ใช้ชีวิตให้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องอาการป่วยอีกแล้วนะเซนิส...

    “ท่านซีอาร์...”

    “ยังขี้เเยไม่มีเปลี่ยนเลย เด็กน้อยเอ๋ย”

    ซีอาร์ยิ้มอ่อนโยนออกมาพลางลูบไล้ศีรษะของอีกคนอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นซีซาร์ทำท่าจะร้องไห้ออกมา

    “ไปเรียกสวามีของเจ้าเข้ามา...”

    “ซีอาร์...”

    คาลอร์สเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบาเมื่อเห็นร่างบางของบุตรีของตนตรงหน้า

    “ทั้งใช่เเละไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าคงรู้ดี เมื่อข้าตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ดวงจิตของบุตรของเจ้าก็จะหายไปจากโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์เช่นกัน

    ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อทำบางสิ่งเพื่อไม่ให้ติดค้างเท่านั้น จงมองและรับรู้ด้วยตนเองว่าต่อเเต่นี้ไป ซีอาร์ เทรเวอร์ นั้นได้จากโลกนี้ไปอย่างสมบูรณ์เเล้ว!”

    ร่างบางดีดนิ้วเพียงครั้งก็เกิดก่องเพลิงสีมรกตขึ้นมาทั่วทั้งร่าง มัน

    กำลังแผดเผาร่างบางอย่างบ้าคลั่ง…

    “อย่าเข้ามา!”

    ซีอาร์ตะหวาดเสียงดังลั่นเมื่อเห็นว่าซีซาร์กำลังจะวิ่งเข้ามาหาเธอ

    ซีซาร์ที่ได้ยินดังนั้นก็ชะงักนิ่งลง คาลอร์สที่อยู่ข้าง ๆ ก็กอดปลอบอยู่ไม่ห่าง

    คนผู้นี้มีจิตใจที่เเข็งเเกร่งไม่น้อยซีอาร์คิดในใจ

    กองเพลิงยังคงแผดเผาอยู่อย่างต่อเนื่องเมื่อร่างบางคิดว่าคงจะเพียงพอได้แล้วสำหรับเรื่องนี้จึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง

    กองเพลิงที่เผาไหม้ร่างของตนก็หายไปพร้อม ๆ กับร่างเพรียวบางที่ผู้จ้องมองทั้งสองคุ้นเคยก็หายไปเช่นกัน เวลานี้กลับปรากฏร่างของอีกคนขึ้นมาที่ทั้งสองไม่ได้เจอมานานเเทน

    ร่างเพรียวสูงระหง เรือนกายขาวผ่อง พระเกศาสีเขียวดุจหยกอันล้ำค่า นัยน์ตาสีมรกตดั่งอัญมณีน้ำงาม ใบหน้าที่นับว่างดงามจนไม่อาจมีในโลกนี้ได้ แม้คาลอร์สจะเคยเจอกับคนผู้นี้ครั้งหนึ่งตอนที่ถูกเรียกตัวไปคุยเรื่องซีซาร์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนก็ยังคงตะลึงกับความงามนี้ไม่เคยเปลี่ยน...

    “ท่านงามขึ้นอีกเเล้วท่านซีอาร์...”

    ซีซาร์เอ่ยบอกกับร่างบางพร้อมน้ำตาภายใต้อ้อมกอดของคาลอร์ส

    “ทำผิดต่อพวกเจ้าเเล้ว... สวนเเห่งนี้ข้าจะเนรมิตให้ใหม่เพราะมันเป็นสถานที่ที่บุตรีของพวกเจ้าชมชอบ เอาไว้มองดูยามที่พวกเจ้านึกถึงเธอ…”

    ซีอาร์โปรยมือไปรอบ ๆ เหล่าพืชพรรณในอุทยานเเห่งนี้ต่างตอบสนองต่อพลังของเธอ พวกมันกำลังซึบซับพลังที่ร่างบางปลดปล่อยออกมาเพื่อทำการวิวัฒนาการตนเองไปเป็นสิ่งที่สูงค่าขึ้นไปอีก

    เหล่าผีเสื้อมากมายต่างบินว่อนไปทั่วสวนใหญ่อย่างอารมณ์ดี แม้เเต่รอบกายร่างบางที่งดงามก็ปรากฏขึ้นมามากมาย พวกมันรายล้อมอย่างกับซีอาร์เป็นดอกไม้ที่ควรค่าเเก่การชื่นชม...

    ผู้คนภายนอกที่มองเห็นการเปลี่ยนเเปลงภายในอุทยานหลวงต่างเกิดความเเปลกประหลาดขึ้นในใจ

    เหล่าพืชพรรณที่กำลังขยับตัวเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ด้วยตาปล่าทั้งยังผลิดอกออกมาออย่างงดงาม สถานที่แห่งนี้นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้วไม่อาจให้ใครเข้าไปได้ ทำให้ไม่มีใครเข้าไปมองดูใกล้ ๆ แต่ก็ยังคงมองอยู่ห่าง ๆ อย่างอัศจรรย์ใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

     

    ภายในมหาวิหารอันโอ่อ่ามีร่างของบุรุษรูปงามผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทอง ใบหน้านั้นเเย้มยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี เหนือศีรษะของเขาจากที่เคยมีฝ้าเพดานเวลานี้กลับปรากฏภาพของหมู่ธาราดารามากมายที่เเข่งขันกันส่องสว่างในยามค่ำคืน

    “ดวงดาวมหาดาราที่ส่องสว่างกำลังย้อนรอยวงโคจรเดิมเช่นนี้ ผู้มาจากกาลข้างหน้าจะมาเยือนที่นี่... น่าสนุกดีว่าไหมดิออน”

    ร่างของชายหนุ่มเอ่ยกับร่างเล็กของแมวขาวตัวน้อยที่นั่งคลอเคลียอยู่กับฝ่ามือเรียวบนตักของตนอย่างออนโยน แม้น้ำเสียงจะฟังดูอ่อนโยนและฟังดูสนุกเพียงใด ทว่ามันก็ไม่อาจปกปิดนัยน์ตาที่ฉายแววเศร้าหมองออกมาได้เลย

    เพราะเวลาของเขากำลังจะหมดลง

    “เหมียว...”

     

    เวลานี้ซีอาร์ได้ออกมาจากประเทศไอซ์แลนด์เเล้วและร่างบางกำลังมุ่งหน้าไปที่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก…

    เหนือน่านน้ำของมหาสมุทรเเห่งนี้มีกลไกเวทมนตร์กำกับอยู่ มันเป็นบาเรียขนาดใหญ่ที่ปกปิดสถานที่ที่อุกกาบาตเคยตกลงมาเมื่อครั้งก่อเกิดเวทมนตร์ที่โลกแห่งนี้ในปีคริสศักราชที่สองพันหกสิบเก้า

    สถานที่เเห่งนี้เเท้จริงเเล้วไม่ใช่พื้นที่ของมหาสมุทรอันกว้างขวางเเต่

    อย่างใด ทว่าเป็นพื้นที่เกาะขนาดใหญ่ที่มีพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้และพืชพันธุ์มากมาย

    ที่ซีอาร์มาที่นี่นั้นเพราะต้องการที่จะไปเจอคน ๆ หนึ่ง ซึ่งวิธีที่จะไปเจอได้นั้นมีแค่ที่นี่เท่านั้นที่จะพาเธอไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างใจกลางแห่งโลกได้...

    พืชพันธุ์ธรรมชาติภายในเกาะเเห่งนี้ต่างต้อนรับการมาของใครบางคนอย่างอบอุ่น

    เหล่าบุพผานานาพรรณต่างเเข่งขันกันเบ่งบานและส่งกลิ่นหอมหวานของตนไปยังร่างบางที่เดินเอื่อยอยู่ภายในป่า

    ลมที่พัดโชยทำให้เรือนผมเขียวสดที่แต่เดิมผูกไว้ด้วยริบบิ้นเส้นเล็กหลุดหายไปเรือนผมงามจึงพริ้วไสวไปตามกระแสลม

    เจ้าของใบหน้างดงามที่เดินทางมาจนถึงใจกลางของป่าอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของดินเเดนแห่งนี้มหาวิหารที่ตั้งตระหง่านตรงหน้าช่างโอ่อ่านัก แต่ร่างบางก็ไม่ได้ให้ความสนใจนักเพราะตลอดชีวิตนี้ของเธอเองก็เห็นสิ่งที่มันโอ่อ่ามามากมายจนชินเสียเเล้ว

    พรึบ! พรึบ! พรึบ!

    “ข้ามาที่นี่อย่างสันติและมาเพื่อขอความช่วยเหลือเท่านั้น”

    น้ำเสียงใสที่เปล่งออกมานั้นยังเยาว์วัยมากนักทำให้เหล่าอัศวินที่ล้อมรอบร่างบางอยู่มีท่าทีเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ประมาทเด็ดขาดคนที่มาที่นี่ได้ด้วยเพียงตัวคนเดียวอีกทั้งยังเป็นถึงเเกรนด์เดียซด้วยลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นทำให้ดูออกได้ไม่ยากนัก...

    “มาขอความช่วยเหลืออย่างสันติแต่กลับปิดบังใบหน้าไม่น่าเเปลกไปหน่อยเหรอ?”

    หนึ่งในกลุ่มคนที่รุมล้อมอยู่เอ่ยออกมาอย่างยียวน

    “หากอยากเห็นใบหน้าข้าก็จะไม่ปิดบัง จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากจะปิดหรอก เเต่กลิ่นเกสรของบุพผาเจ็ดห้วงนิทรามันรุนเเรงไปหน่อย”

    ร่างบางเอ่ยเสียงอ่อยออกมาพลางปลดเปลื้องผ้าขาวผืนบางที่ปิดใบหน้าออกไป

    เบื้องหลังของผ้าบางนั้นมีเพียงรอยยิ้มขำเล็ก ๆ เท่านั้น นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เหล่าอัศวินทั้งห้าที่ล้อมรอบร่างบางของซีอาร์ไว้จะได้เห็นเเละอีกเจ็ดวันถึงจะได้สติกลับมาอีกครั้ง

    บุพผาเจ็ดห้วงนิทรานั้นเป็นดอกไม้ที่มีฤทธิ์ทำให้หลับใหลถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนมันเป็นดอกไม้ที่ไม่มีพิษเเต่หากได้รับในปริมาณที่มากก็อาจทำให้คนคนนั้นไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีกเลย

    ซีอาร์สร้างบาเรียขึ้นมาปกคลุมร่างของทั้งห้าคนเอาไว้เพราะไม่อาจทำให้ถึงเเกชีวิตได้ เธอเพียงต้องการผ่านทางเท่านั้น เพราะหากปล่อยไว้ฤทธิ์ของดอกบุพผาเจ็ดห้วงนิทราอาจทำอันตรายได้เพราะมันนั้นกำลังเบ่งบานเพื่อต้องการความสนใจจากเจ้าของร่างบางตรงหน้านี้…

    เวลานี้ซีอาร์ก็ได้มาถึงประตูทางเข้ามหาวิหารเเห่งนี้เเล้ว มหาวิหารเเห่งนี้มีชื่อสลักไว้ที่ประตูบานใหญ่ไว้ด้วยอักษรสีทองสวยงาม

    ‘สมุทรโอบธารา’

    นี่คือชื่อของมหาวิหารเเห่งนี้

    มหาวิหารอันเป็นจุดศูนย์กลางของคนทั้งโลกที่เวลานี้นั้นมีเพียงผู้นำระดับประเทศเท่านั้นที่รู้ ประชาชนทั่วไปยังไม่ทราบถึงเรื่องของสถานที่เเห่งนี้ มีเพียงวิหารที่ปกครองโดยราชวงศ์ภายในประเทศเท่านั้นที่พวกเขารู้จัก

    ทว่าสถานที่เเห่งนี้นั้นไม่ขึ้นตรงต่อราชวงศ์ใดราชวงศ์หนึ่ง เพราะผู้นำมหาวิหารนั้นจะต้องเป็นคนที่มาจากหกตระกูลราชวงค์ชนชั้นปกครองโดยที่คนที่ถูกส่งมาที่มหาวิหารแห่งนี้จะเท่ากับตัดขาดจากสิทธิ์ใด ๆ ที่มีต่อราชวงศ์ทั้งสิ้นและปกครองกันอย่างมีสิทธิเท่าเทียมกันไม่มีใครที่จะมีอำนาจที่ใหญ่ไปกว่าใครในที่นี้ เพราะที่นี่คือจุดศูนย์กลางของทุกสิ่ง

    ‘มหาวิหารสมุทรโอบธารา’

    ซีอาร์ไม่คิดที่จะเสียเวลาอีกแล้วและเวลานี้ร่างบางนั้นได้มุ่งตรงมาตามกระเเสพลังที่ตนเองสัมผัสจนมาถึงประตูหินอ่อนบานหนึ่ง

    ตัวประตูนั้นเป็นหินอ่อนที่มีลวดลายสลักอย่างปราณีตหากเป็นจอมเวทที่ขาดประสบการณ์หรือคนที่ไม่ทันสังเกตจะไม่มีทางรู้เลยว่าประตูนบานนี้เเท้จริงแล้วมีกลไกเวทมนตร์ซ่อนอยู่ เพียงสัมผัสบานประตูกลไกก็จะทำงานในทันที แต่ซีอาร์มองมันเป็นเพียงสิ่งไม่จำเป็นเท่านั้นที่จะเอามาขัดขวางเธอ ร่างบางไม่เเม้เเต่จะเปิดประตูด้วยซ้ำแต่กลับเดินทะลุมันเข้าไปในทันที

    ภายในหลังบานประตูเเห่งนี้เป็นโถงกว้างตรงกลางโถงเป็นลานศิลาเวทมนตร์ขนาดใหญ่ โดยรอบของลานมีเเท่นสำหรับผู้ทำพิธีอยู่ถึงหกจุดร่างบางของซีอาร์ตรงเข้าไปที่ลานตรงกลางในทันที เพียงร่างบางปลดปล่อยพลังออกมาศิลาขนาดใหญ่ก็ทำงานในทันที มันส่องเเสงออกมาก่อนที่ทุกอย่างในห้องนี้จะขาวโพลนไปหมดและร่างบางที่อยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ก็หายไป...

    พื้นที่ว่างสีขาวโพลนกว้างสุดสายตา ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีพื้นดิน ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า ไร้สิ่งมีชีวิตที่นี่ มีเพียงพลังเวทมนตร์ที่อัดเเน่นอยู่ในอากาศเท่านั้นที่มากมายจนทำให้รู้สึกอึดอัด

    ซีอาร์เมื่อรับรู้ถึงเเรงกดดันของพลังเวทมนตร์ก็สร้างบาเรียสีทอง

    ขึ้นมาปกป้องตัวเองในทันที

    “ดินเเดนฮาวไลต์เเห่งนี้ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ ปรากฏมานานนับพันนับหมื่นปีมาเเล้ว...”

    น้ำเสียงหวานใสก้องกังวาน ทว่าแฝงไปด้วยพลังอำนาจอันเปี่ยมล้นปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าดึงสติของซีอาร์ให้ออกมาจากห้วงภวังค์ความนึกคิด

    “ข้ามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ ท่านโปรดเมตตาด้วย”

    “เผ่าพันธุ์อันสูงส่งเช่นท่านมีเรื่องใดที่ถึงกับต้องร้องขอความเมตตาจากข้ากัน”

    เวลานี้ไม่ใช่เเค่เสียงเท่านั้นที่ปรากฏ แต่คราวนี้เสียงที่ปรากฏนั้นมาพร้อมกับสตรีร่างบางที่งดงามผู้หนึ่ง นัยน์ตาสีขาวเงิน เช่นเดียวกับสีผมเเละเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ สิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างตรงหน้าที่ปรากฏต่อหน้าซีอาร์ช่างงดงามเเละขาวสะอาดจนไม่อาจทำให้เเปดเปื้อนมลทินได้

    “ข้ามีบางเรื่องที่มีเพียงท่านที่ช่วยได้...”

    ซีอาร์ว่าพลางร่างบางก็ผายมือขวาออกไปด้านข้างในมือส่องเเสงสีทองสว่างออกมาก่อนที่จะปรากฏออกมาเป็นไข่ใบใหญ่...

    แรงกดดันที่ออกมาจากไข่ใบนั้นถึงกับทำให้สตรีตรงหน้าตกตะลึง

    “สิ่งนี้คือ...”

    “นี่คือบุตรของข้าในเวลานี้… แต่หากจะเรียกให้ถูกก็คงจะเป็นผู้มีกฤดาธิการที่ตอบรับการมาจุติในครรภ์ของข้า

    หลังจากที่ความทรงจำของข้าถูกผนึกแม้จะฟังดูตลกแต่ข้ากลับเต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งอย่างให้กับการมาจุตินี้ แม้ความทรงจำเดิมจะกลับมา

    มิอาจรู้ได้เลยว่าการมาจุติครั้งนี้เพื่อจุดประสงค์ใด ทว่าวิบากกรรมของข้าก็คงหลุดพ้นไปกับการมาจุติในครั้งนี้ ความผิดฐานละเลยหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่และลบทุกสิ่งอย่างแล้วหลบซ่อนมายังดินแดนแห่งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก ข้านั้นจะน้อมรับมันอย่างยินดี”

    “ท่าน...!”

    ซีอาร์ที่ล้มลงทำให้สตรีที่อยู่ตรงหน้าเข้ามาประคองในทันทีไข่ใบใหญ่ที่หลุดออกไปจากมือของซีอาร์ตกกระทบกับพื้นอย่างรุนเเรงมันไม่เพียงไม่มีรอยร้าวที่เกิดจากการตกกระทบเเต่อย่างใด แต่มันกลับสร้างระลอกคลื่นของพลังเวทมนตร์ขนาดใหญ่เแพร่กระจายไปทั่วสถานที่เเห่งนี้ในทันที!

    ใบหน้าของสตรีร่างเพรียวมีเหงื่อชื้นขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่คิดเลยว่าเพียงระลอกคลื่นพลังนี้จะทำให้จิตใจของเธอสั่นไหวได้

    นี่มันพลังบ้าอะไรกัน!

    และสิ่งที่เธอสังเกตเห็นอีกอย่างคือไข่ใบนั้นมันกำลังดูดกลืนพลังเวทมนตร์โดยรอบอย่างหนักหน่วง เธอจึงรีบสร้างเขตเเดนจำกัดสถานที่เเห่งนี้ในทันทีก่อนที่มันจะได้ไปกระทบต่อส่วนอื่น

    ร่างเพรียวบางของสตรีสูงศักดิ์แห่งดินแดนลอยขึ้นไปในอากาศ เช่นเดียวกับไข่ใบเขียวมรกตราวอัญมณีล้ำค่าตรงหน้า

    นัยน์ตาของเธอนั้นส่องเเสงสีเงินเรืองรองออกมาตลอดเวลา ทุกสิ่งที่อยู่ในม่านปราการณ์ที่เธอสร้างทุกสิ่งล้วนอยู่ในการควบคุมของเธอทั้งสิ้น แม้ว่าเวลานี้ที่นี่จะมีเพียงไข่ตรงหน้าใบเดียวก็ตาม

    แต่แล้วสิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น ไข่ใบนั้นกำลังดูดกลืนพลังของเธอ!

    และเธอนั้นไม่มีทางขัดขืนได้เลย…

    กรี๊ดดดด!!!

    เธอกรีดร้องออกมาเสียงดังอย่างเจ็บปวด

    นี่นับว่าเป็นครั้งเเรกที่เธอรู้สึกถึงการสะกดข่มเเละการช่วงชิงพลังไปอย่างหนักหน่วงถึงกับทำให้เธอเริ่มควบคุมสติไม่อยู่...

    แต่เมื่อเธอกลับมาตั้งสติได้อีกครั้งบางสิ่งบางอย่างที่ไหลบ่าเข้ามา

    ในหัวของเธอมากมายราวกับมันเป็นสิ่งที่เธอต้องทำหลังจากนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม...

    เธอทำได้เพียงให้ไข่ตรงหน้าดูดกลืนพลังไปเท่านั้นเพราะพลังด้านนอกอาณาเขตนั้นไม่อาจทำให้เสียสมดุลย์ได้

    “ข้า โลลิตา พรินซ์ ในนามของมหาเทพีพฤกษาแห่งแสง ผู้เป็นร่มเงาเเห่งปัถวี ขอน้อมอวยพรเเด่การจุติในครั้งนี้และขอสรรพสิ่งในผืนพิภพจงอวยพรเเด่การถือกำเนิดของผู้ชี้นำทางแห่งครรลองขัตติยะดารา...”

     

    สิบเจ็ดปีต่อมา

    โป๊ก!

    “โอ๊ยย ทำอะไรน่ะโรซ!”

    เสียงใสร้องโอดโอยออกมหลังจากถูกหญิงสาวร่างระหงใช้ปลายนิ้วดีดไปที่หน้าผากมนของตนเอง

    “ใครใช้ให้เเกกินขนมของฉันหมดกันล่ะ คราวหลังฉันจะสั่งสอนให้หนักกว่านี้เเน่”

    โลลิต้าเอ่ยข่มขู่คนอายุน้อยอย่างเหนือกว่า

    “โธ่ ผมต้องกินเพื่อดำรงค์ชีวิตนะ เเต่โรซไม่กินอะไรเป็นร้อยปีก็ไม่เป็นอะไรนี่นาโรซก็เคยพูดกับผมแบบนั้นนี่”

    “แต่ฉันก็ชอบที่จะกินอาหารอยู่ดี ใครจะเป็นคนจืดชืดไม่รับรสอาหารเป็นร้อยๆ ปีกัน แล้วอีกอย่างนะ ฉันน่ะก็เเบ่งในส่วนของนายเเละฉันเท่า ๆ กันเเล้วด้วย”

    โลลิต้าเอ่ยจบก็จับใบหน้าเล็กเจ้าของดวงตาสีคามิลเลี่ยนคู่งามมาจ้องเเละเอ่ยบางอย่างออกมา

    ” คราวหลังอย่าขโมยขนมหวานของคนอื่นอีก!!!”

    “โอ๊ยโรซอย่าเสียงดังได้ไหมผมตกใจหมดเเล้วเนี่ย”

    เอ่ยจบเจ้าตัวก็ตีหน้ามึนออกไปจากห้องอาหารในทันที

    “เฮ้อ... ซีอาร์เวลานี้ท่านจะเป็นเช่นไรบ้างนะ ข้าน่ะคอยเฝ้าดูทุกการเติบโตของเขาเเทนท่านตามที่ท่านต้องการเลยนะ

    พาร์ซน่ะเป็นเด็กดีมาก ๆ เลย แล้วก็อ่อนโยนเหมือนท่านด้วย แต่เสียอย่างเดียว หมอนั่นมันชอบเเย่งขนมหวานหลังอาหารของฉันตลอดเลยนี่สิ!”

    ทุกประโยคที่เธอเอ่ยออกมาล้วนเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มเว้นแต่ประโยคสุดท้ายที่ติดจะมีแรงอาฆาตตามมาด้วย...

     

    ภายในห้องนอนขนาดใหญ่มีร่างเล็กกำลังนอนหงายท้องกางแขนกางขาไปทั่วเตียงกว้าง ข้าง ๆ กันนั้นมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ขนาดหนึ่งกำปั้นสีเงินนอนอยู่ในท่าเดียวกันอีกด้วย

    “นี่โคลอี้ฉันเบื่ออะ ฉันว่าเราไปหาอะไรทำสนุก ๆ กันดีกว่า!”

    พาร์เซย์พลิกตัวขึ้นและคร่อมกายไว้ให้มังกรสีเงินตัวจ้อยอยู่ด้านล่างก่อนจะโพล่งออกมาเสียงดังอย่างนึกสนุก

    “เอาสิ ฉันก็เบื่อ โรซชอบบ่นฉันไม่อยากฟังฉันอยากไปเที่ยวเเต่...”

    น้ำเสียงที่เอ่ยอย่างเบื่อหน่ายนั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดเเล้วว่าเจ้าตัวนั้นรู้สึกเบื่อมากเเค่ไหน

    “คิกคิก นายว่าโรซจะจับได้เมื่อไหร่ว่าพวกเราหนีออกจากคฤหาสน์เเบบนี้”

    พาร์เซย์เอ่ยถามโคลอี้ที่บินอยู่ข้าง ๆ ตนเองก่อนที่จะมาเกาะที่ไหลเล็ก

    “คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แน่ ชิชิชิชิ”

    โคลอี้ว่าพลางหัวเราะออกมา

    “เสียงขำของนายเหมือนจิ้งจกเลยโคลอี้ คิกคิก”

    “นี่! นายว่าฉันหรอ เดี๋ยวก็เเปรทัพซะหรอก”

    เสียงของมังกรตัวน้อยขู่ฟ่อออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “โอ๋ ๆ ไม่โกรธน้าจิ้งจกน้อย เอ้ย มังกรน้อยน่ารักของฉัน ขาดมังกรผู้เก่งกาจไปเเล้วฉันจะอยู่ยังไงล่ะ”

    พาร์เซย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนออดอ้อนใส่ มังกรที่เกาะไหล่อยู่ได้เเต่ทำสีหน้าอ่อนใจเเละพยักหน้าให้

    เวลานี้ทั้งสิงนั้นอยู่ภายในห้องลับห้องหนึ่งภายในคฤหาสน์ ห้องนี้เป็นห้องที่พาร์เซย์บังเอิญเจอ

    ความจริงเเล้วห้องนี้พาร์เซย์นั้นไม่ถูกอนุญาตให้เข้าได้ เเต่โคลอี้นั้นสงสารเด็กน้อยที่อยู่เเต่ภายในคฤหาสน์มาตลอดเลยปิดเงียบไว้จากโลลิต้าเพราะอย่างไรตนเองก็ยังอยู่หากเกิดอันตรายตนเองก็ยังสามารถช่วยเหลือได้ทัน ดีกว่าให้พาร์เซย์หนีออกไปคนเดียว...

    ร่างบางหยิบอัญมณีสีเงินขึ้นมาจากโต๊ะเล็ก ๆ ข้างกระจกบานใหญ่ขึ้นมาก่อนที่จะเปลี่ยนมันให้เป็นต่างหูอันเล็กและใส่มันเมื่อใส่ต่างหูเสร็จร่างบางก็เดินทะลุกระจกไปในทันที ใช่เเล้ววิธีการหนีไปเที่ยวของพวกเราคือกระจกนี่เเหละ!

    ดาวเคราะห์ดิสคอร์เดีย

    ภายในตรอกซอยเเห่งหนึ่งปรากฏวังวลสีเงินขึ้นมาก่อนที่ร่างบางร่างหนึ่งจะออกมาจากวังวลเเห่งนั้นเเละมันก็สลายหายไปในเวลาต่อมา

    “พาร์ซคราวนี้เรามาที่ดาวอะไรกันหรอ?”

    โคลอี้เอ่ยถามร่างบางออกมาเอื่อย ๆ

    “ดิสคอร์เดีย... ใช่แล้วดาวดิสคอร์เดียน่ะ”

    พาร์เซย์นิ่งคิดก่อนที่จะเอ่ยตอบออกไป

    โคลอี้นั้นรู้สึกตะลึงทุกครั้งที่ได้ออกมาเที่ยวกับร่างบางที่ตนเกาะไหล่อยู่

    กระจกเวโรน่าของโลลิตานั้นเป็นกระจกที่สะท้อนทุกสิ่งที่เจ้าของมันนั้นเคยไปเยือน แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของพลังเวทมนต์ที่ต้องจ่ายในระยะทางด้วย เเละยิ่งเเล้วใหญ่หากต้องการเดินทางผ่านกระจก

    เเต่พาร์เซย์นั้นสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย เเละครั้งนี้นั้นตามความรู้ของโคลอี้มันอยู่สุดขอบกาเเล็กซี่มิลกี้เวย์และมันเป็นระยะทางที่ไม่ใกล้เลย…


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×