ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จิรัฐิติกาลหวนคืนภพ

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 2 ราชวงศ์ผู้ไม่อาจเอื้อม

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 67



     

    บทที่ 2

    ราชวงศ์ผู้ไม่อาจเอื้อม

     

    สามวันต่อมา

    ภายในห้องนอนที่ผ่านค่ำคืนอันเร่าร้อนมาอย่างหนักหน่วง เวลานี้มีเพียงร่างบอบบางของสตรีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงเหยียดกายหลับสนิทอยู่

    เรือนกายเล็กแต่งแต้มไปด้วยรอยดูดกัดจากกิจกรรมรักอันเร่าร้อนจนเกิดเป็นสีกุหลาบเป็นจ้ำไปทั่วเรือนร่าง

    แพขนตางามงอนเกิดการเคลื่อนไหวไปมาก่อนที่เปลือกตาจะเผยออกมาจนมองเห็นนัยน์ตาสีครามที่อัดเเน่นไปด้วยพลังเวทมนตร์มากมายมหาศาล

    หากเป็นยามปกตินี่คงเกิดการระเบิดพลังไปแล้ว ด้วยร่างบาง

    เจ้าของดวงตาคู่งามนั้นไม่มีคราใดเลยที่สามารถควบคุมพลังในกายของตนเองได้

    พลังนั้นจึงถูกผนึกไว้ตลอดมา

    ทว่าเวลานี้ผนึกนั้นกลับถูกทำลายไปจนสิ้นเสียเเล้ว

    เพียงร่างบางลืมตาตื่นขึ้นมาร่างกายที่ก่อนหน้านี้ต่างเต็มไปด้วยรอยช้ำก็เกิดการเยียวยาในทันที ร่องรอยของการผ่านศึกเเห่งกามอารมณ์มาตลอดสามวันสามคืนเลือนหายไปราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นมาก่อน

    เพียงปลายเท้าสัมผัสพื้นเบื้องล่างเรือนร่างที่ปราศจากสิ่งปกปิดก็ถูกเเทนที่ด้วยชุดที่สร้างด้วยพลังเวทมนตร์อย่างงดงาม เวลานี้เรือนผมสีเงินที่ยาวเพียงสะบักหลังก่อนออกมาท่องเที่ยวกลับยาวสลวยถึงสะโพกกลมกลึงเปล่งประกายงดงามอย่างน่าประหลาด ใบหน้าเย็นชาที่เวลานี้เจ้าของร่างแสดงออกมามันช่างเเตกต่างจากภาพจำในยามปกตินัก หากเป็นเวลาปกติร่างบางนี้คงเเย้มยิ้มออกมาอย่างเเน่นอน เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ใบหน้าของท่านหญิงซีอาร์นั้นมักจะประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานอยู่เสมอ

    “กาลเวลาช่างผาดแผลงกว่าที่ข้าคิดคำนึงนัก ชีวิตนี้เมื่อครั้งได้รับรู้ถึงพระราชประสงค์ของพระองค์ ข้านั้นรู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง เพราะมันเองก็เป็นสิ่งที่ข้าเฝ้าคอยสมปรารถนาเสมอมา

    ไฉนเลยชะตาฟ้าเล่นตลก ผู้ยิ่งใหญ่เฉกเช่นพระองค์สามารถทำให้ข้าสมปรารถนาได้ ทว่าไม่สามารถให้ข้าได้ใช้มัน…”

    เวลานี้ใบหน้าที่งดงามนั้นกลับยกยิ้มออกมาบางเบา นัยน์ตาเศร้าสร้อย ฝ่ามือบางลูบไล้หน้าท้องเเบนราบแผ่วเบาพลางเอ่ยรำพึงกับโชคชะตาของตนเอง

    “ซีอาร์ทำไมเธอถึงได้ไปอยู่ในที่เเบบนั้นล่ะ?!”

    เสียงของชายหนุ่มที่คุ้นเคยเอ่ยออกมาเสียงดัง เมื่อเวลานี้เห็นว่าสหายคนสนิทนั้นลอยตัวอยู่ในอากาศเหนือตึกเจ็ดชั้น

    เดี๋ยวสิ… นี่ไม่ใช่

    นี่ไม่ใช่ว่า...

    แม้คราเเรกจะเรียกอีกฝ่ายไปอย่างนั้นเเต่เมื่อลองมองพิจารณาสังเกตดูดี ๆ เเล้ว

    คนคนนี้กลับมีบรรยากาศรอบตัวที่แตกต่างออกไป…

    เดี๋ยวก่อน… หรือว่า!

    เมื่อคิดสิ่งใดได้ใบหน้าที่มีแววขี้เล่นตลอดเวลาของมาร์ตี้กลับเศร้าหมองลง เวลานี้ใบหน้าขาวนวลเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา

    สิ่งที่ท่านซีซาร์เคยเอ่ยเอาไว้คงเป็นเช่นนี้

    ทำไม?

    ทำไมกัน…

    ทำไมถึงเป็นตอนนี้

    ทำไมกันน!!!

    เขาคิดว่าอุตส่าห์อยู่ด้วยกันมาขนาดนี้เเล้วจะไม่เป็นอะไรเเล้วเสียอีก

    “อย่าเศร้าเสียใจไปเลยมาร์ตี้เพื่อนรัก หากนายคิดถึงฉันเมื่อไหร่ ฉันจะยังคงอยู่ที่นี่… ในหัวใจของนายเสมอ”

    ร่างที่ลอยอยู่เหนือตึกเจ็ดชั้นเมื่อรู้สึกได้ถึงตัวตนของเพื่อนชายคนสนิทบรรยาการอบตัวก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง…

    กลับมาเป็นคนคนเดิม

    คนที่มาร์ตี้รู้จัก…

    ราวกับว่าในร่างกายเล็กนั่นจะมีสองคนอยู่ในร่างเดียวกัน

    นิ้วมือเรียวเล็กของซีอาร์เกลี่ยหยาดน้ำตาอุ่นจากใบหน้าของสหายคนสนิทที่ตั้งเเต่จำความได้ก็มีกันอยู่เค่สองคนเท่านั้น

    วันนี้หากต้องจากลากันจะเกิดความเศร้าหมองก็คงไม่เเปลก

    ริมฝีปากอุ่นร้อนของร่างเพรียวบางประทับลงบนริมฝีปากของมาร์ตี้อย่างเเผ่วเบา เป็นเช่นนี้อยู่เพียงชั่วครู่แต่สำหรับคนที่ถูกจู่โจมนั้นราวกับทุกสิ่งได้ถูกหยุดเอาไว้

    ห้วงเวลาช่างเนินนานราวกันไม่อาจหาทางออกไปจากห้วงภวังค์เเห่งนี้ได้

    ใบหน้าของมาร์ตี้ขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอายเมื่อร่างบางที่เข้ามาประชิดนั้นผละออกไปด้วยที่ถูกกระทำเช่นนี้นี่เป็นครั้งแรก

    การกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีใครรับรู้ได้นอกจากมาร์ตี้เนื่องจากซีอาร์นั้นใช้เวมนตร์จำกัดอาณาเขตเอาไว้ ทำให้คนภายนอกไม่อาจรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในได้

    ยังไม่ทันที่มาร์ตี้จะทันได้เอ่ยสิ่งใดออกมาร่างบางของซีอาร์ก็ได้จากไปเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าซีอาร์ได้จากไปเเล้วชายหนุ่มก็รีบติดต่อไปที่ท่านซีซาร์ในทันที…

     

    เหนือพระราชวังอันโอ่อ่า ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

    มีร่างเพรียวบางร่างหนึ่งกำลังจ้องมองลงมายังพื้นดินจากฟากฟ้า

    ราวกับมัจจุราชที่กำลังมองหาดวงวิญญาณที่หลบหนีไปจากตน เพียงชั่วพริบตาร่างบางที่ลอยอยู่เหนือหมู่เมฆก็เลือนหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน...

    ยามนี้ภายในท้องพระโรงขนาดใหญ่อันเป็นสถานที่สำหรับว่าราชการก็ได้ปรากฏร่างร่างหนึ่งขึ้นกลางโถง

    บนกายของคนผู้นี้สวมใส่ชุดคลุมสีดำสนิทตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเเละผู้ที่นั่งอยู่ในจุดสูงสุดในที่เเห่งนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก

    ‘อีริค เคอร์ซาคอฟ’

    กษัตริย์เเห่งราชวงศ์เคอร์ซาคอฟ ประเทศฝรั่งเศส

    “ใครกันที่บังอาจหาญกล้าถึงเพียงนี้”

    เสียงอันทรงพลังที่ดังขึ้นมาทำให้ผู้คนในท้องพระโรงหันไปสนใจในทันที

    “คุณจำฉันไม่ได้หรือคะ? อีริค...”

    “บังอาจ!! ทรงเรียกพระนามของฝ่าบาทห้วน ๆ เช่นนั้นได้อย่างไร?!”

    เอ่ยไม่ทันจบประโยคดีเสียงของบ่าวผู้ซื่อสัตย์ก็เอ่ยทัดทานการใช้สรรพนามในการใช้เเทนผู้สนทนาเสียแล้ว

    “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้โหวกเหวกโวยวายเสียงดังไปถึงด้านนอกกัน”

    น้ำเสียงอันทรงพลังของสตรีสูงศักดิ์ที่แต่งกายด้วยเครื่องประดับมากมายคนหนึ่งเอ่ยดังแทรกขึ้นมา

    ท่วงท่าการเดินองอาจ

    ใบหน้างดงามอย่างสตรีชั้นสูง

    เธอคงเป็นราชินีของประเทศนี้ ซีอาร์คิดพลางมองไปยังสตรีที่เดินเข้ามาภายในโถง

    “เอาล่ะ เธอเป็นใคร มาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร?”

    อีริคเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทว่าใคร่รู้อยู่ในที

    สิ่งนี้มันช่างแตกต่างจากคราวก่อนที่เจอกันเสียจริง…

    “ฉันคงหวังมากไปว่าคุณจะจดจำฉันได้ทั้งที่เราเพิ่งจะแยกจากกันเมื่อรุ่งสางนี้เอง”

    น้ำเสียงหวานใสที่เอ่ยออกมาของซีอาร์ทำให้สีพระพักตร์ของสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของแผ่นดินที่เพิ่งจะนั่งลงในตำแหน่งของตนเองเเสดงออกถึงสีหน้าเกลียดชังออกมาได้ในทันที

    “นี่มันเรื่องอะไรกันเพคะฝ่าบาท?”

    น้ำเสียงของเธอแค่ฟังก็รู้ว่าไม่พอใจขนาดไหน เวลานี้ใบหน้าของเธอนั้นเริ่มที่จะบึ้งตึงอย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว หากไม่ใช่ว่าเพราะมีขุนนางมากมายในท้องพระโรง

    “เธอเอ่ยถึงเรื่องอะไร? เราเคยเจอที่ไหนกัน”

    อีริคเอ่ยปฏิเสธออกมาแม้ในน้ำเสียงจะมีความไม่มั่นใจอยู่ก็ตาม

    “ฉันคิดว่าเพียงน้ำเสียงของฉันคุณก็น่าจะจดจำได้ เเต่ช่างเถอะ...”

    เอ่ยจบร่างบางก็ปลดเปลื้องผ้าคลุมออกไป ปรากฏเงาร่างของคนคนหนึ่งออกมา กายผิวสีน้ำผึ้ง เส้นผมสีดำขลับกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน

    เมื่อสิ่งเหล่านี้รวมอยู่ด้วยกันมันทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในโถงนี้ต่างจ้องมองด้วยความสนใจหากมองผ่านเพียงผิวเผินคงคิดว่าคนผู้นี้หน้าตาก็ไม่ได้น่าสนใจแต่อย่างใด หากมองอย่างพินิจอีกสักนิดใบหน้านี้กลับตราตรึงไม่อาจลบเลือนไปจากจิตใจได้

    งดงาม

    คำ ๆ นี้ต่างตราตรึงเข้าไปในจิตใจของพวกเขา

    “ซีอาร์ ทำไม...”

    “ฝ่าบาท!”

    ในที่สุดอลิซก็แผดเสียงร้องของเธอออกมาดังสนั่น เมื่อพระสวามีของเธอเหมือนจะเป็นอย่างที่คนตรงหน้าเอ่ยว่าออกมาจริง ๆ

    “ทำไมที่ฉันถึงมาอยู่ที่นี่ใช่ไหม ที่ฉันมาในวันนี้ก็เพื่อที่จะมาบอกกล่าวกับคุณว่าฉันกำลัง…”

    “ท่านพ่ออ! ท่านพ่ออ!”

    คำสุดท้ายอันเป็นใจความสำคัญถูกเสียงของเด็กน้อยทั้งสองคนที่ดังขึ้นมากลบไปจนหมด มันเสียงดังมากพอที่จะดึงความสนใจจากทุกคนที่พยายามฟังสิ่งที่ซีอาร์กำลังจะเอ่ยให้หันไปสนใจ

    “ลูกของคุณเหรอคะ...?”

    ซีอาร์เอ่ยถามออกมาอย่างเหมอลอย นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองไปยังอีริค

    “ใช่เเล้ว เด็กสองคนนี้คือลูกของฉันกับฝ่าบาท”

    อลิซเอ่ยตอบกลับมาเสียงดังฟังชัดแทบจะทันที พร้อมเหยียดยิ้มออกมาบางเบา เธอนั้นได้ยินทุกถ้อยคำที่คนตรงหน้าเอ่ยออกมาเมื่อครู่ ถึงเเม้ว้ามันจะขาดตอนไปบ้าง แต่เธอก็พอที่จะรู้ว่าคำถัดไปต่อจากนี้ ที่เธอทำเช่นนี้ก็เพื่อเเสดงจุดยืนของเธอเอง

    “ท่านพ่อ ท่านไปไหนมาลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน”

    “ลูกด้วย ๆ คิกคิก”

    เด็กน้อยวัยห้าขวบครึ่งทั้งสองคนเอ่ยออกมาอย่างดีใจเมื่อท่านพ่อที่ตนเอ่ยบอกว่าคิดถึงนั้นกำลังใช้ฝ่ามือเเกร่งลูบไล้เรือนผมของพวกเขาอย่างอ่อนโยน

    หากตรงนั้นเป็นลูกของเธอก็คงจะดี… ถึงแม้จะไม่มีเเม่เเต่ต่อจากนี้ก็ยังคงมีพ่อ

    ไม่ได้!

    ถึงจะอยากให้ลูกของตนเองมีพ่อ แต่ก็ไม่อาจพรากพวกเขาออกจากกันได้…

    ฉันทำไม่ลง…

    แล้วเหตุผลที่มาที่นี่เล่าฉันมาทำไมกัน?

    “เเล้วที่เธอมาที่นี่ มาด้วยเรื่องอะไร?”

    อลิซเหยียดยิ้มเอ่ยออกมาอย่างคนมีชัยเหนือกว่าเพราะดูแล้วคนตรงหน้าไม่คิดที่จะแย่งสามีเธอเพราะเห็นว่ามีลูกน้อยอยู่แล้ว

    น่าสมเพช! หึ!

    “ใครกันที่กล้าบุกรุกเข้ามาในเขตพระราชฐานโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วผ่านทหารเข้ามาได้ยังไง?”

    น้ำเสียงอันทรงพลังอำนาจเอ่ยออกมาเสียงดังสนั่น เวลานี้ปรากฏร่างบุรุษอีกคนออกมา

    เพียงคนผู้นี้ปรากฏกายเหล่าขุนนาง ทหาร เเละองครักษ์ต่างคำนับเพื่อทำความเคารพกันถ้วนหน้า คนผู้นี้ดูเเล้วยังหนุ่มยังเเน่นหน้าตาละไม้คล้ายกับอีริคอยู่หลายส่วน... แต่เเค่หน้าตาคงไม่อาจบ่งบอกอายุที่เเท้จริงได้…

    “ท่านพ่อ? ท่านมาทำอะไรที่นี่”

    อีริคเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย เมื่อบิดาผู้ให้กำเนิดนั้นเข้ามาภายในท้องพระโรงและดูเหมือนว่าจะรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในที่เเห่งนี้ด้วย

    “เพิ่งรู้ว่าฉันจะทำอะไรก็ต้องรายงานเเกด้วยงั้นเหรอ?”

    อังเดรเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะเย็นชา ถึงเเม้เขาจะเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของราชาองค์ปัจจุบันของประเทศเเห่งนี้ ทว่าเขานั้นกลับไม่ได้สนิทกับบุตรชายเพียงคนเดียวคนนี้สักเท่าไหร่นัก

    อีริคที่ถูกตอกหน้ากลับมาเเบบนั้นก็ได้เเต่นิ่งเงียบไป ในเมื่อชายคนนี้ต้องการจะทำอะไรใครจะสั่งเขาได้นอกเสียจากภรรยาของเขาซึ่งก็คือ

    มารดาของอีริคที่เสียไปเเล้วเมื่อเจ็ดปีก่อน

    ตอนนี้เรียกได้ว่าไร้หนทาง

    “น่าสนใจ หึ ๆ กล้าไม่เบานี่ เข้ามาถึงที่นี่ได้ต้องการอะไรล่ะ? สังหารองค์ราชา หรือพระโอรสทั้งสองพระองค์ หืม?”

    คำถามที่เอ่ยออกมาไม่ได้ทำให้ซีอาร์ตกใจเเต่อย่างใด เพราะเรื่องเเบบนี้เธอเจอมันมาจนชินเสียเเล้ว แต่ประโยคต่อมาหลังจากนี้กลับทำให้นัยน์ตาของเธอเผยความดุดันออกมาไม่น้อยเพียงไม่นานก็หายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    น่าสนใจ!

    “แต่ถึงฉันจะบอกไปเเเบบนั้นเเต่ถ้าต้องการสังหารทั้งวังแห่งนี้ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายเลยไม่ใช่เหรอ?”

    สิ่งที่อังเดรเอ่ยมานั้นทำให้ทุกคนที่อยู่ในสถานที่เเห่งนี้รู้สึกตระหนกในทันที

    เพราะอังเดรนั้นเป็นผู้ที่อยู่ในจุดที่เป็นผู้ที่เเข็งเเกร่งที่สุดที่เปิดเผยตัวเองในประเทศนี้เเล้ว

    “ท่านเอ่ยอะไรออกมากันท่านอังเดร? ท่านคิดว่าเพียงเด็กน้อยคนเดียวจะมีความสามารถทำได้ถึงเพียงนั้นเชียว”

    ขุนนางคนหนึ่งที่รับไม่ได้กับคำพูดนั้นของอดีตราชาองค์ก่อนเอ่ยออกมา

    นี่ไม่ใช่ว่าเขากำลังดูหมิ่นเหล่าผู้มีอิทธิพลที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดเช่นนั้นหรอกหรือ

    “สิบนาที”

    อังเดรทอดถอนใจอย่างคนโง่งมเมื่อรู้ซึ้งถึงความคิดอันตื้นเขินของขุนนางบางกลุ่ม

    “สิบนาทีอะไรเหรอท่านอังเดร?”

    ขุนนางอีกคนถามออกมาด้วยความสงสัยกับการเอ่ยออกมาอย่างไม่มีสาเหตุของอังเดร

    “สิบนาทีที่เด็กสาวที่พวกท่านดูถูกคนนี้เข้ามาที่นี่ด้วยตัวคนเดียวโดยไม่เป็นอะไร ท่านคิดว่าใครก็เข้า ๆ ออก ๆ ที่นี่ได้เช่นนั้นเหรอ! หรือเเม้เเต่เวทมนตร์อำพรางกายของเธอพวกท่านก็ไม่อาจมองออก! หึ โง่เง่า!!!”

    อังเดรเอ่ยลั่นวาจาออกมาอย่างเหลืออด

    เหล่าขุนนางที่นั่งกันอยู่ในท้องพระโรงเเห่งนี้ต่างลุกฮือกันขึ้นมาทันทีเมื่ออังเดรเอ่ยจบ

    โง่เง่า

    นี่คือสิ่งที่อังเดรคิด คนเหล่านี้มันคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน...

    “เวทมนตร์อำพรางกาย… นี่ท่านจะบอกว่าเวลานี้คนคนนี้ไม่ได้เผยร่างที่เเท้จริงอยู่เช่นนั้นเหรอ?”

    “หากไม่เชื่อ ไม่ลองถามองค์ราชาของพวกท่านดูเล่า เขาน่าจะรู้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นเเกรนด์เดียซผู้นี้คงไม่ได้มายืนอยู่ที่นี่”

    อังเดรพูดไปก็หันไปมองอีริคที่เวลานี้สีหน้าดูจะไม่สู้ดีนัก บิดาของเขาเป็นตัวอันตรายอย่างเเท้จริง!

    หากเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาคงไม่อาจเข้ามาที่นี่ได้

    แต่หากไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาล่ะ?

    เพียงแต่อำพรางกายไว้เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นถึงแกรนด์เดียซเวทมนตร์ที่ทำให้คนในท้องพระโรงเเห่งนี้ทั้งหมดไม่อาจมองออกคนคนนั้นจะต้องเเข็งแกร่งเพียงใดกัน...

    เวลานี้เมื่อเหล่าขุนนางต่างระลึกตนได้ว่าตนเองอาจได้รับอันตรายอย่างไม่อาจคาดหมายได้ในครั้งนี้พวกเขาทุกคนต่างพุ่งตรงเข้ามารุมล้อมร่างบางไว้ในทันที

    “เก่งกาจไม่เบานี่คะ มองออกถึงขนาดนั้น หากแต่วันนี้จุดหมายที่ฉันมาที่นี่นั้นไม่ได้เป็นเช่นที่ท่านเอ่ยอ้างออกมาหรอกค่ะ อดีตองค์ราชา”

    ซีอาร์จ้องมองรอบกายเธอเองก่อนจะกลับไปมองที่อังเดรเเละเอ่ย

    ตอบออกไป...

    พวกขุนนางรอบกายเธอเองตอนนี้ที่ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างนั่งเงียบอย่างสงบในที่ของตนเองแต่เวลานี้กลับตั้งการ์ดป้องกันตนเองอย่างแน่นหนาอีกทั้งยังล้อมเธอไว้ทั้งหมดอีกนี่เป็นฝีมือของเขาทั้งหมด

    ‘อังเดร เคอร์ซาคอฟ’

    อดีตองค์ราชาของประเทศเเห่งนี้ ทั้งที่สุขภาพร่างกายยังแข็งแรงดีแต่กลับสละตำเเหน่งราชาให้กับบุตรชายเพียงคนเดียวขึ้นมาปกครองประเทศต่อจากตนเมื่อหกปีก่อน

    และหายหน้าหายตาไปจากประชาชนโลกก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งในวันนี้

    ที่นี่...

    “หากไม่ได้มีเจตนาอย่างที่เอ่ยอ้างเหตุใดต้องปกปิดตัวตน?”

    ขุนนางหนึ่งในคนที่ล้อมรอบร่างของเธอคนหนึ่งเอ่ยถามออกมาฉงนในที ทว่าก็ไม่ได้ลดการป้องกันลงแต่อย่างใด

    “ฉัน ฉันลืม...”

    ซีอาร์ยิ้มแหยออกมา มันคงเป็นความเคยชินที่เมื่อต้องไปพบเจอผู้คนเธอจึงต้องใช้เวทมนตร์พรางกายไว้ตลอดเวลา

    “ฮะ!”

    เวลานี้เหล่าขุนนางรอบกายต่างร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

    “อย่างที่อดีตองค์ราชาเอ่ยมาฉันเป็นเเกรนด์เดียซจริงและเมื่อเป็นเช่นนั้นเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจก็ต้องปกปิดตัวตนไว้นี่คะ หรือท่านพวกท่านไม่เคยทำเช่นนี้กัน?”

    ประโยคหลังซีอาร์มองที่ไปที่ขุนนางคนหนึ่งที่เป็นเเกรนด์เดียซใบหน้าของเขานั้นช่างละไม้คล้ายกับองค์ราชินียิ่งนัก

    ไหน ๆ ก็มาที่นี่แล้วถือว่ามาช่วยคนบาป? ก็แล้วกัน จะมาเสียเปล่าไม่ได้!

    “ฮาร์ฟกระต่ายที่คอยรับใช้ราชวงค์ที่เป็นเสือจากัวร์เป็นสิ่งที่ยากนักจะอยู่ร่วมกันได้? คงมีไม่กี่วิธีที่จะทำให้อยู่ที่นี่ได้เช่นตำเเหน่ง... ราชินี หึ”

    ซีอาร์มองลึกเข้าไปในดวงตาของขุนนางคนนั้นก่อนจะพบกับบางสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนจนไม่อาจทนมองต่อไปได้

    “บังอาจเอ่ยวาจาสามหาว!”

    ขุนนางที่ซีอาร์เอ่ยสบประมาทเเสดงสีหน้าเดือดดาลในทันทีที่เธอ

    เอ่ยจบ

    คาดว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นบิดาขององค์ราชินีองค์ปัจจุบัน

    “ปากเเบบนี้อย่าอยู่เลย!”

    “หยุดก่อน!”

    เเต่ก่อนที่จะได้มีการประทะกันอังเดรได้เข้ามาห้ามปรามคนของฝ่ายตนเอาไว้ก่อน

    อย่างที่เอ่ยไปข้างต้นเขานั้นไม่รู้ขีดความสามารถของคนคนนี้ หากเพียงคนคนนี้เอาจริงคงสามารถกวาดล้างคนที่นี่ได้ทั้งหมด

    สายตาของเขานั้นไม่เคยมองคนพลาดหากทำอะไรบุ่มบ่ามละก็ไม่ดีเเน่...

    “ท่าน...!”

    น้ำเสียงที่ไม่พอใจกำลังจะเปล่งออกมาเเต่เพียงถูกสายตาของคนที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าสะกดไว้จึงทำได้เพียงสงบเงียบลงไปเท่านั้น

    “ยืดเยื้อมานานเกินก็ไม่ดี คราวนี้จะบอกกันได้หรือยังว่ามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด ใครส่งมา?”

    น้ำเสียงของอังเดรเอ่ยออกมาอย่างกดดัน ทว่าอีกฝ่ายกลับเผยยิ้ม

    อ่อนออกมาราวกับไม่เดือดเนื้อร้อนใจต่อสิ่งใด

    “ฉันมาที่นี่เพียงเพราะต้องการพบคนคนหนึ่งเเละไม่มีใครส่งมาทั้งนั้นเพราะฉันมาด้วยตัวเอง”

    ซีอาร์เอ่ยตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมาใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มบางเบาเช่นเคย

    “ต้องการเจอใคร อีริค?”

    “ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้มาทำร้ายใครสักหน่อย แต่อย่างไรวันนี้เกรงว่าฉันคงหมดธุระเเล้วเเละคงไม่มาที่นี่อีก... ตลอดไป”

    “เดี๋ยวก่อน!”

    เสียงร้องเรียกดังออกมาอย่างร้อนรนราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปเมื่อเอ่ยจบ

    “หืม อีริค?”

    “ฝ่าบาททรงมีสิ่งใดจะตรัสเหรอเพคะ?”

    อีริคหันมามองราชีนีของตนที่เอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจก็ได้เเต่ทำทีหน่ายใจเเละสายพระพักตร์ออกมาอย่างไม่ต้องการต่อความ

    ” ไม่มีอะไร…”

    อีริคเอ่ยปฏิเสธออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง

    “เช่นนั้นฉันขอตัว...”

    หมับ!

    “หืม?”

    ร่างบางมองลงไปที่พื้นเมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างมาเกาะอยู่ที่ขาของเธอ

    “สวย พี่สาวสวยจังเลยครับ!”

    เด็กน้อยวัยห้าขวบเอ่ยออกมาได้ขนาดนี้ช่างออเซาะนัก

    “หึ ๆ ปากหวานเสียจริงตัวแค่นี้”

    ซีอาร์เอ่ยออกมาเเละลูบศีรษะเล็กนั้นอย่างอ่อนใจ ในสายตาไม่มีแม้เเต่ความรังเกียจเดียดฉันท์แต่อย่างใดที่เด็กตรงหน้านั้นเป็นบุตรต่างมารดากับลูกน้อยในท้องของเธอ?

    “เซนิส กลับมาเดี๋ยวนี้…!”

    อลิซเอ่ยออกมาเสียงกร้าว เมื่อเธอเห็นลูกของเธอเข้าไปกอดขาของซีอาร์เอาไว้แน่น

    เพียงคลาดสายตาชั่วครู่ก็หายไปอยู่กับอีกคนเเล้ว พวกขุนนางตา

    ขาวที่ล้อมรอบอยู่ไม่เห็นลูกของเธอเลยหรือไร ถึงปล่อยให้เข้าไปได้

    “เซนิส…!”

    คราวนี้ไม่เพียงอลิซเท่านั้นที่ร้องเรียกออกมาเสียงดังอย่างตกใจ เพราะแม้เเต่อีริคเองก็ร้องเรียกออกมาเสียงดังสนั่น

    เวลานี้เด็กชายตัวน้อยกำลังมีเลือดกำเดาไหลออกมามากมาย รอยยิ้มของร่างบางที่มีให้กับเด็กน้อยเมื่อครู่ค่อย ๆ จางหายไป...

    เลือด…

    เด็กตรงหน้ามีเลือดออกนี่ ซีอาร์ค่อย ๆ ยอบกายให้ตัวเองอยู่ในระดับเดียวกันกับเด็กน้อย ก่อนจะใช้เรียวนิ้วสวยเช็ดเลือดออกไปจากใบหน้าเล็กอย่างแผ่วเบา

    “หนูน้อยมีชื่อว่าอะไรคะ?”

    ซีอาร์เอ่ยถามออกมาด้วยเสียงหวานใสอย่างใจเย็น

    “ผมชื่อเซนิส เรียกเซสก็ได้ครับ”

    เซนิสว่าพลางก็เอามือมาเช็ดเลือดออกไปจากจมูกของตนเองอย่างไม่ใส่ใจ สิ่งนี้ที่ซีอาร์เห็นมันทำให้คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน เด็กน้อยเช็ดมันออกไปอย่างไม่สนใจราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ

    “เซสครับ เซสมีเลือดไหลตั้งเเต่เมื่อไหร่เหรอครับ?”

    “ตั้งเเต่เด็ก ๆ เเล้วครับ”

    สิ่งที่ได้กลับมาทำให้ซีอาร์ยิ้มออกมาเล็กน้อยให้กับร่างเล็ก ตอนนี้ก็เเค่ห้าขวบเองตั้งเเต่เด็กตอนไหนกัน

    เด็กคนนี้น่าจะเป็นมาตั้งเเต่เกิด...

    “พี่สาวชื่ออะไรเหรอครับ?”

    เซนิสเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง

    “หืม อยากรู้ชื่อพี่สาวเหรอคะ พี่สาวชื่อว่าซีอาร์ค่ะ”

    ซีอาร์เอ่ยตอบกลับไปพลางลูบศีรษะทุยเบา ๆ อย่างอ่อนโยน

    “พี่ซีอาาร์...”

    “ค่ะ? หึ ขี้เเกล้งนะเรา”

    “คิกคิก”

    อังเดรที่ถึงแม้จะเป็นห่วงหลานของตนแต่ก็ไม่อยากทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะตอนนี้ตนเองนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ใกล้กับทั้งสองคนนั้นมากที่สุดเเละบทสนทนาของทั้งสองเขาก็รับรู้ทั้งหมดด้วยเช่นกัน นั่นจึงทำให้เขาพอจะวางใจได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ทำอันตรายใด ๆ กับเซนิส

    อีกท้้งพลังเวทมนตร์รอบกายของซีอาร์กำลังเยียวยาหลานชายของตนอยู่ สิ่งนี้ทำให้อังเดรตกตะลึงไม่น้อย…

    “เซสอยากหายไหมคะ?”

    ซีอาร์จ้องหน้าเด็กน้อยพลางเอ่ยถามออกมา เมื่อคิดทบทวนอะไรได้บางอย่างจนแน่ใจแล้ว

    “เซสจะหายได้เหรอครับ? พี่ ๆ หมอบอกว่าเซสจะไม่หายนี่นา”

    ซีอาร์มองดวงหน้าของเด็กน้อยที่ขึ้นสีระเรื่อรอบตาเริ่มที่จะมีน้ำตาสีใสไหลออกมา

    เด็กคนนี้ต้องทรมานขนาดไหนกันถึงได้เป็นถึงเพียงนี้ เกรงว่าด้วยเป็นพระโอรสฝาเเฝดเด็กคนนี้คงเป็นที่ไม่ต้องการเเน่นอน ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เเข็งเเรงคงถูกคนในวังละเลยไม่น้อย

    ถึงเเม้ต่อหน้าองค์ราชาจะทำดีเเต่ใครจะคิดเล่าว่าลับหลังจะเป็นเช่นไร...

    “หายได้ค่ะ เซสไปอยู่กับพี่นะคะ”

    กระชับมือเล็กเอาไว้แน่น นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่จะเยียวยาเด็กคนนี้ได้ หากอยู่ที่นี่ต่อไปเกรงว่าไม่เกินสองปีเด็กคนนี้คงไม่รอดแล้ว นับว่าเป็นโชคชะตาที่ทำให้เราได้พบกัน

    “พี่ซีอาร์... อึก อึกก ฮรื่ออ”

    เซนิสที่ได้ยินคำที่ซีอาร์เอ่ยออกมาก็สวมกอดเเน่นในทันทีเด็กเอ๋ยเด็กน้อย

    “เธอจะทำอะไรกับหลานชายของฉัน”

    อังเดรที่ได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็รู้สึกร้อนรนออกมา คำที่ว่าจะเอาไปอยู่ด้วยนี่มันอะไรกัน!

    “นี่เเกคิดจะทำอะไรลูกของฉันกัน? ปล่อยลูกฉันเดี๋ยวนี้นะ!”

    “ลูกของฉันงั้นเหรอ? ลูกคนนี้ที่ท่านไม่เเม้เเเต่จะชายตามองท่านจะเรียกว่าลูกได้เช่นไร”

    ซีอาร์กดเสียงต่ำเอ่ยออกมาเมื่อเห็นอีริคเเละภรรยาของตนเวลานี้ทั้งสองนั้นได้มายืนอยู่ข้างกายของอังเดรเเล้ว

    “เเกรู้ได้อย่างไรว่าฉันไม่สนใจลูกของตัวเอง เซนิสเป็นลูกในไส้ฉันนะ”

    อลิซเอ่ยออกมาอย่างคนหมดความอดทน วันนี้เธอโดนเด็กสาวคนนี้หยามมากเกินไปเเล้ว!

    “รู้ได้เช่นไรไม่สำคัญ สำคัญที่ว่ามันจริงหรือไม่เเค่นั้น...”

    “เเก... มันจะมากไปเเล้วนะ ทหารจัดการมัน!”

    อลิซที่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วสั่งการทหารที่คุ้มกันอยู่บริเวณโดยรอบทันที

    “เดี๋ยวก่อน ตรงนั้นมีลูกของเราอยู่จะทำเเบบนี้ไม่ได้”

    อีริครีบเอ่ยออกมาเมื่อเห็นสิ่งที่ราชินีของตนกำลังจะทำ เหล่าทหารกล้าต่างหยุดชะงัก

    “ฝ่าบาท!”

    อลิซแผดเสียงร้องออกมาเสียงดังอย่างขัดใจ

    “เธออยากเห็นลูกบาดเจ็บหรือไง?”

    อีริคเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มค่อนข้างที่จะหมดความอดทนกับราชินีของตนเต็มที

    “อีกหน่อยเด็กคนนั้นก็ต้องตายอยู่เเล้วต้องสนใจด้ว...”

    เพี๊ยะ!

    ภายในโถงว่าราชการที่เงียบสงบมีเพียงเสียงของฝ่ามือที่ตบกระทบใบหน้าเนียนของราชินีผู้เป็นเเม่ของเเผ่นดินของประเทศเเห่งนี้เท่านั้นที่ดังกึกก้อง

    ผู้คนในเหตุการณ์ต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ผู้คนทั้งโถงที่นี่ต่างตกอยู่ในห้วงภวังค์เเห่งความคิด ความเร็วระดับนั้น…

    แรงของฝ่ามือที่ตบออกไปขนาดไม่ใช้พลังเวทมนตร์ยังแรงถึงเพียงนี้ หากใช้พลังเวทมนตร์เข้าร่วมด้วยเกรงว่าแม้ราชินีจะแข็งแกร่งเพียงใดก็คงบาดเจ็บไม่น้อย

    “อีกหน่อยก็ตายงั้นหรือ? ท่านกล้าพูดเช่นนี้กับลูกของตัวเองได้ยังไง!”

    ซีอาร์ตะคอกออกมาเสียงดังใส่หน้าของคนที่ตนเพิ่งจะตบไป แม้แต่อังเดรที่อยู่ใกล้ ๆ ยังนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด เพราะแม้แต่ตัวเขาเองยังตกตลึกกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้

    “ในเมื่อที่นี่ไม่มีที่สำหรับเขา ต่อไปนี้เด็กคนนี้จะเป็นคนของเรา คนของ ซีอาร์ เทรเวอร์!”

    เสียงประกาศตนกร้าวดังกึกก้องไปทั่วทั้งโถงใหญ่ เมื่อเอ่ยจบซีอาร์ก็กลับมาอุ้มเด็กน้อยที่เวลานี้ร้องไห้งอเเงอยู่ข้างหลังของเธอ

    เหตุการณ์วันนี้คงกระทบจิตใจของเด็กคนนี้ไม่น้อย

    “ตระกูลราชวงศ์เทรเวอร์งั้นเหรอ… ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”

    อังเดรเอ่ยออกมาอย่างตื่นตะลึง ทว่าก็ไม่ได้ปักใจเชื่อในทันที

    “ท่านคงไม่ว่าอันใดใช่หรือไม่อังเดร?”

    ซีอาร์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา เวลานี้เธอได้ใช้เวทมนตร์ระงับอาการเบื้องต้นของเซนิสเอาไว้แล้วและทำให้หลับไปในอ้อมแขนของตนเอง

    สรรพนามที่เปลี่ยนไปของซีอาร์ที่ใช้เรียกอดีตองค์ราชาทำให้ใครหลายคนในที่นี้เกิดความไม่พอใจ เนื่องด้วยเป็นผู้เยาว์กว่าจะเรียกคนที่มีศักดิ์สูงกว่าด้วยชื่อห้วน ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร

    “จริงอยู่ที่ท่านอังเดรเอ่ยกว่าเธอเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะพวกเราทั้งหมดได้ ทว่าการที่เธอทำตัวเสียมารยาทที่นี่มันมากเกินอภัยเเล้ว!”

    “พอได้เเล้วเอิร์ลโคเล็ตต์ ท่านไม่ควรเสียมารยาท หากสิ่งที่เธอเอ่ยมาเป็นจริงเรื่องนี้คงไม่ง่ายเช่นนั้น...”

    ขุนนางคนนี้ที่เอ่ยปรามซีอาร์คงภักดีต่ออังเดรไม่น้อย เพราะท่าทางการตักเตือนของอังเดรเเตกต่างจากขุนนางคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงเเละนี่เป็นครั้งเเรกที่ขุนนางคนนี้ได้กล่าวสิ่งที่ตนเองคิดออกมาเช่นกัน

    “แต่เด็กสาวคนนี้เอ่ยวาจาไม่เคารพท่านเเม้เเต่น้อย ท่านยังจะให้

    กระหม่อม...”

    “หากว่าเป็นเทรเวอร์จริง… ขอท่านเเสดงตัวตนที่เเท้จริงด้วย แล้ว

    กระหม่อมจะยอมให้ท่านพาตัวเซนิสไป แต่หากที่เอ่ยมาเป็นเท็จต่อให้ต้องตายก็ไม่มีใครต้องไปกับท่านทั้งนั้น…”

    อังเดรเอ่ยออกมาพร้อมค้อมกายเคารพซีอาร์อย่างนอบน้อม ที่เขาทำเช่นนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขานั้นเพียงต้องการให้ทุกอย่างจบลงอย่างสันติวิธี ไม่อาจให้มีผู้เคราะห์ร้ายที่นี่ได้ เพียงอีกคนทำตามคำขอและเป็นเทรเวอร์จริงเขาก็พร้อมที่จะทำตามคำขอของอีกฝ่าย แม้ว่าหากต้องการที่จะเอาไปโดยที่ตนไม่ยินยอมก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายก็ตาม...

    ท่าทางของอังเดรนั้นทำให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ที่นี่บางคนถึงกับเกิดความงุนงงเเละเกิดความประหลาดใจขึ้นมา บ้างเอ่ยตักเตือนอดีตองค์ราชาที่ทำตัวไม่เหมาะสมที่คำนับเด็กสาวธรรมดา

    แม้จะเป็นแกรนด์เดียซระดับสูง แต่อังเดรนั้นเป็นถึงพระราชบิดาขององค์ราชาองค์ปัจจุบันการที่จะทำเเบบนี้มันเป็นการไม่เหมาะสมและไม่ให้เกียรติบุตรชายตนเองที่ปกครองประเทศนี้อยู่

    ทว่ามีอยู่อีกส่วนหนึ่งที่เป็นขุนนางตระกูลเก่าเเก่ที่อยู่คู่บัลลังก์กษัตริย์เท่านั้นที่รู้เรื่องของตระกูลราชวงศ์เทรเวอร์ดี พวกเขาจึงคำนับลงเช่นกันเมื่ออังเดรทำความเคารพเด็กสาวตรงหน้าเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ขุนนางบางคนถึงกับเลือดขึ้นหน้าด้วยความอับอายจากการกระทำที่เกิดขึ้นจากขุนนางบางกลุ่ม

    “ก่อนหน้านี้ฉันเพียงจะใช้ตราประจำตระกูลราชวงศ์เพื่อเป็นการเบิกทาง แต่เห็นว่าท่านมีบางสิ่งต้องพิสูจน์… เพื่อความแน่ใจฉันก็จะไม่ขัดจริงหรือไม่อังเดร เคอร์ซาคอฟ…?

    ตระกูลหลักราชวงศ์เทรเวอร์ตลอดมานั้นเพียงเก็บตัวอยู่หลังม่านปล่อยให้ตระกูลรองปกครองประเทศเสมอมา ไม่บ่อยนักที่จะออกมาเผยตนต่อหน้าสาธารณะชน แต่พวกเราก็ไม่เคยหลบซ่อนแต่แรกอยู่แล้ว เพียงเฝ้ามองการวิวัฒนาการของโลกอย่างสงบเพียงเท่านั้น”

    อังเดรตระหนกเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายรู้ความต้องการของตนเองราวกับถูกอ่านใจได้อย่างไรอย่างนั้น แต่มันก็ยิ่งไม่แปลกหากอีกฝ่ายเป็นถึงเทรเวอร์ตระกูลสายหลักเพราะความสามารถที่ว่าราวกับ

    ‘อ่านใจ’

    ได้ของเทรเวอร์นั้นเป็นที่เล่าขานและน่าหวาดหวั่นของเหล่าผู้มีอิทธิพล เมื่อซีอาร์เอ่ยจบก็เกิดรัศมีเปล่งประกายเเสงสีเงินขึ้นมารอบกายของเธอ แสงสว่างสีเงินนั้นทวีความสว่างไสวไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ทำให้ทุกคนที่นี่ต่างสร้างบาเรียขึ้นมาป้องกันตัวกันอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน

    เมื่อเเสงสีเงินค่อย ๆ ลดความสว่างลงเรือนร่างที่อยู่ใจกลางของกลุ่มเเสงค่อย ๆ ปรากฏประจักษ์เเก่สายตาของคนทั้งโถงกว้างเเห่งนี้ ดวงหน้างดงาม ผิวกายขาวราวหิมะ เรือนผมสีเงินยาวสลวยถึงสะโพกงามงอน นัยน์ตาสีฟ้าครามเปล่งประกายดั่งอัญมณีล้ำค่า ทุกสิ่งที่ปรากฏเเก่สายตาต่างทำให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์...

    “หลังจากนี้ท่านจงไปพบผู้นำของเทรเวอร์สักครั้ง… แล้วคำถามที่สงสัยจะได้รับการไขกระจ่างเสียที…”


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×