ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จิรัฐิติกาลหวนคืนภพ

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 8 มหาวิทยาลัยแกรนด์เดียซ

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 67



     

    บทที่ 8

    มหาวิทยาลัยแกรนด์เดียซ

     

    ซ่าา~ ซ่าา~~

    เสียงสายน้ำอุ่นร้อนไหลผ่านฝักบัวสีเงินตกกระทบลงบนร่างเล็กที่ยืนชำระร่างกายอยู่ใต้ฝักบัวนั้นลูบไล้ผิวกายขาวเนียนอย่างแผ่วเบาแววตาเหม่อลอยราวกับมีเรื่องให้ขบคิดตลอดเวลา

    ถึงแม้จะเอ่ยว่าตนนั้นอายุสิบเจ็ดปีย่างสิบแปดปีแล้ว แต่ทว่าร่างกายที่ดูเหมือนจะหยุดเจริญเติบโตตั้งแต่อายุสิบสองขวบปีทำให้เจ้าของร่างนั้นหงุดหงิดไม่น้อย

    จะทำอะไรก็ไม่ค่อยจะคล่องแคล่วคล่องตัวนักทั้งที่ก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ในอีกไม่กี่เดือนเ กระนั้นร่างกายกลับเป็นเด็กอยู่แบบนี้มันไม่เห็นจะเท่สักนิด!

    “โคลอี้นายว่าตอนนี้คุณลูคัสจะหลับยัง?”

    พาร์เซย์เอ่ยถามออกมาฝ่าความเงียบของยามค่ำคืนเมื่อเห็นว่ามันก็ผ่านมานานแล้วที่มาห้องของลูคัส

    “ไม่รู้สิ ว่าแต่นายถามทำไม...?”

    โคลอี้เอ่ยพลางตะแคงกายเล็กของตนที่นอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ให้หันไปมองเพื่อนคนสนิทที่ตัวติดกันมาตลอดอย่างหรี่ตาเล็กจับพิรุธ

    “เปล๊าา!”

    พาร์เซย์ที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับปฏิเสธออกมาเสียงหลงในทันที

    “ไม่มีพิรุธเลยเนอะ? ช่างเถอะฉันจะนอนนายเองก็นอนได้เเล้ว”

    โคลอี้เอ่ยจบก็พลิกตัวกลับไปอีกทางเพื่อเป็นสัญญาณว่าตนจะนอนตามที่ได้เอ่ยไปเเล้วจริง ๆ

     

    ตึกตัก ตึกตัก

    เสียงของบางสิ่งที่ดังออกมาจากอกเล็กด้านซ้ายของร่างเล็กที่เวลานี้เจ้าของร่างนั้นได้แอบมังกรตัวเล็กออกมาจากห้องนอนของตัวเองโดยที่ไม่รู้เลยว่าตนนั้นถูกสายตาคู่หนึ่งในห้องนั้นรับรู้ทุกฝีก้าวของตนเองตั้งแต่พลิกกายลุกออกมาจากเตียงนอนหลังใหญ่แล้ว แต่กระนั้นเจ้าของดวงตาคู่นั้นก็ไม่ได้แสดงตนออกมาแต่อย่างใด กลับกันเพียงเฝ้ามองการกระทำนั้นอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น

    พาร์เซย์ที่เมื่อออกมาจากห้องนอนที่คิดว่าตนทำได้อย่างเงียบกริบที่สุดแล้วก็พรั่งพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะออกเดินไปที่เป้าหมายของตนอีกครั้ง

    ประตูบานใหญ่สีอ่อนที่ปิดกั้นแยกห้องห้องนี้ออกจากโซนอื่น ๆ ...

    ห้องนอนของลูคัส

    มือเล็กยื่นออกไปแตะสัมผัสลูกบิดประตูก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นลูกบิดดิจิตอลที่ต้องใส่รหัสถึงจะเข้าห้องได้ ในขณะที่คิดว่ายังไงก็คงมาได้เเค่นี้ก็สังเกตเห็นว่าประตูนั้นไม่ได้ปิดสนิท ร่างเล็กจึงค่อย ๆ เปิดประตูให้มีเสียงเบาที่สุดที่จะทำได้

    สำเร็จ!

    ภายในห้องกว้างขวางตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวสว่างทั้งหมดทุกอย่างดูสะอาดสะอ้านสมกับเป็นนักเเสดงเบอร์ต้นของประเทศจริง ๆ

    พาร์เซนย์เดินมาจนหยุดอยู่ข้างเตียงหลังใหญ่ที่มีร่างสูงหลับใหลอยู่

    เส้นผมสีดำขลับตัดสั้น แพขนตาที่ปิดสนิท ขนคิ้วสีเข้มเป็นทรง จมูกโด่งเป็นสัน ฝีปากกระจับบางทุกสิ่งเมื่อมารวมกันทำให้คน ๆ นี้หล่อเหลาแม้แต่ในหมู่แกรนด์เดียซด้วยกันเองยังหาตัวได้ยาก…

    แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับคนคนนี้นักรู้สึกเหมือนคนที่ไม่ได้

    เจอกันมาเนิ่นนาน พลัดพรากจากกันมานานแสนนานเมื่อจนได้พบพานกันอีกครั้ง

    “อึก... นี่เรากำลังร้องไห้เหรอ?”

    พาร์เซย์เอ่ยออกมาน้ำเสียงแผ่วเบา ฝ่ามือเล็กแตะสัมผัสหางตาตัวเองเบา ๆ ใบหน้าเล็กอาบไล้ไปด้วยหยาดน้ำตาสีใสที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่งาม

    จุ๊บ...

    ริมฝีปากเล็กแตะสัมผัสกับบนหน้าผากมนของลูคัสที่หลับใหลอยู่เนิ่นนานโดยที่ไม่มีการรุกล้ำแต่อย่างใดก่อนที่จะถอนสัมผัสนั้นออกมา

    ใบหน้าเล็กจ้องมองร่างสูงของลูคัสก่อนจะมีเงาร่างหนึ่งซ้อนทับขึ้นมา เป็นเงาร่างของบุรุษที่งดงามผู้หนึ่งแลดูน่าพิศวงไม่น้อยเลยเงาร่างนั้นคงอยู่ไม่นอนก่อนที่จะสลายหายไป

    “อืมม...”

    เสียงของลูคัสที่นอนอยู่ทำให้พาร์เซย์ที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ความนึกคิดได้สติกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง

    ร่างเล็กใช้มือตนเองเกลี่ยใบหน้าที่มีความเปียกชื่นออกไปก่อนที่จะเดินกลับห้องของตนไปและมันจะคงเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ เหมือนกับตอนที่เข้ามา

    “ในที่สุดก็มั่นใจได้เสียที แม้แต่ในยามนี้เจ้าก็ยังไม่ลืมพี่ดีจริง… ครั้งนี้พี่จะไม่ยอมให้เจ้าหนีไปไหนอีกแล้วน้องน้อยของพี่...”

    ร่างสูงทีควรจะหลับไหลเช่นที่พาร์เซย์เข้ามาก่อนหน้านี้กลับลืมตาตื่นขึ้นมาราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น

    ก่อนที่จะเอ่ยบางสิ่งออกมาและหลังตาลงเช่นเดิมครั้งนี้คงจะเป็นการเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเเท้จริง...

     

    “กลิ่นนี่มันอะไรกัน? หอมจังเลย”

    พาร์เซย์ที่ตื่นนอนขึ้นมาด้วยเสียงปลุกอันมาจากกลิ่นหอมหวนของอาหารที่โชยออกมาจากในครัว

    “คุณลูคัสทำอะไรหรอครับ?”

    พาร์เซย์เอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นร่างสูงของเจ้าของห้องยืนทำอะไรบางอย่างอยู่ที่เคาเตอร์ครัว

    “ตื่นแล้วเหรอครับ? นี่เป็นอาหารเช้าสำหรับวันนี้ครับ”

    ลูคัสเอ่ยตอบกลับมาพร้อมกับยกถ้วยข้าวต้มออกมาสองถ้วยมาวางไว้บนโต๊ะทานอาหารถ้วยหนึ่งวางไว้ฝั่งตัวเองและอีกถ้วยสำหรับร่างเล็กที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม

    “มีของผมด้วยเหรอครับ? ขอบคุณมากเลยนะครับ”

    พาร์เซย์เมื่อเห็นถ้วยข้าวต้มวางลงตรงหน้าเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ ลูคัสที่ได้ยินเเบบนั้นก็ยิ้มบางออกมา

    “คุณลูคั...”

    “พี่”

    น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาสั้น ๆ ทำให้พาร์เซย์ที่กำลังจะเอ่ยถามบางสิ่งกับคนตรงหน้าถึงกับต้องเก็บคำถามไว้และมาสนใจสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการที่จะสื่อแทน

    “อะไรนะครับ?”

    “เรียกว่าพี่ลูคัส”

    ลูคัสที่เห็นว่าอีกคนอาจไม่เข้าใจสิ่งที่ตนพยายามจะสื่อจึงเอ่ยขยายความให้อีกหน่อย

    “เรียกแบบนี้จะดีเหรอครับ?”

    พาร์เซย์ที่ได้ยินสิ่งที่ลูคัสเอ่ยถึงกับเกิดความประหม่าขึ้นมาถึงการเรียกสรรพนามที่สนิทสนมกันถึงเเม้เวลาอยู่คนเดียวจะเพ้อเรียกคนตรงหน้าว่าพี่บ่อย ๆ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน

    เมื่อก่อนยังเป็นคนที่รู้จักกันแค่ฝ่ายเดียวทั้งยังไม่เคยเจอกันตัวเป็น ๆ อีกแต่สำหรับตอนนี้มันไม่ใช่

    “ทำไมจะไม่ดีพี่ชอบให้ตัวเล็กเรียกเเบบนี้มากกว่า”

    ลูคัสเอ่ยออกมาเพื่อเน้นย้ำเพื่อให้อีกคนมีความมั่นใจที่จะเรียกในแบบที่ตนต้องการ

    “ตะ ตัวเล็กงั้นเหรอ…?”

    !!

    พาร์เซย์เอ่ยทวนสิ่งที่ลูคัสเรียกแทนตนเมื่อครู่ มันก็คงไม่แปลกที่ลูคัสจะเรียกแบบนั้นเพราะตนก็ดูเด็กและตัวเล็กจริง ๆ นั่นแหละ

    “เอ่อ โทษทีคงเรียกแบบนั้นไม่ได้สินะ”

    ลูคัสเอ่ยออกมาเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้บางอย่าง

    “มะ ไม่ ๆ เรียกได้ครับ ๆ แต่จะเรียกว่าพาร์ซก็ได้…”

    พาร์เซย์รีบปฏิเสธทันควันด้วยกลัวว่าจะทำให้ลูคัสเสียหน้าที่มาเรียกตนแบบนั้น

    ร่างกายเป็นแบบนี้จะไปโทษใครได้ แล้วอีกอย่างไอดอลที่ตัวเองชอบมาเรียกแบบนั้นมันจั๊กจี้หัวใจแปลก ๆ

    “ครับ พาร์ซ…”

    น้ำเสียงทุ้มของลูคัสที่เอ่ยออกมาถึงกับทำให้เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกถึงกับลมหายใจสะดุดไปช่วงหนึ่งก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติ

    “เเล้วเมื่อกี้พาร์ซจะถามอะไรนะ”

    ลูคัสที่เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเงียบไปก็เอ่ยถามออกมาอีกครั้งเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบจนเกินไป

    “พี่น่ะไม่ใช่คนของดาวดวงนี้ใช่ไหมครับ?”

    “…”

    ลูคัสจ้องมองไปที่อีกคนอย่างอึ้ง ๆ ที่ถามออกมาเเบบนี้

    ” ทำไมถึงถามเเบบนี้ล่ะ?”

    “เเล้วใช่ไหมครับ?”

    “อืม คงจะเรียกแบบนั้นได้มั้ง”

    ลูคัสนิ่งคิดก่อนจะเอ่ยตอบคำถามออกมา

    “พี่มาที่นี่เพื่ออะไรเหรอครับ? พลังอำนาจ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรืออะไรกันเเน่ ผมไม่คิดว่าคนที่มีพลังอำนาจเเบบพี่จะมาเดินเล่นในดาวดวงนี้เเน่ ๆ ”

    ลูคัสถึงกับขำออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคนตรงหน้า

    “ใช่ พี่ไม่ได้มาเดินเล่น แต่ถ้าเป็นการเดินเล่นจริงมันก็คงจะเป็นการเดินเล่นที่ยาวนานและเจ็บปวดไม่น้อยเลย”

    พาร์เซย์ที่เห็นร่างสูงตรงหน้าเอ่ยออกมาแบบนั้นก็พลันรู้สึกผิด ก่อนที่จะเอ่ยปฏิเสธความอยากรู้ของตนเองออกไปแต่ลูคัสก็เอ่ยต่อไปอย่าง

    ไม่ปิดบัง

    “พี่มาที่นี่เพื่อตามหาคนคนหนึ่งน่ะ เขาเป็นคนที่ใจร้ายกับพี่มาก ๆ เลย...”

    พาร์เซย์ที่ได้ยินเเบบนั้นก็เเสดงอาการออกมาเล็กน้อย

    “ถ้าเป็นคนที่ใจร้ายทำไมถึงต้องตามหาด้วยล่ะ คนเเบบนั้นไม่สมควรให้คนใจดีเเบบพี่ต้องมาตามด้วยซ้ำ”

    ลูคัสยิ้มขำกับท่าทางของอีกคนที่เเสดงออกมาด้วยอาการหัวร้อนน้อย ๆ

    “ทำไมถึงโมโหล่ะ? พาร์ซรู้เหรอว่าคนคนนั้นเป็นคนยังไง”

    ลูคัสเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างไม่จริงจังนักแต่ก็ยิ้มออกมาน้อย ๆ ที่มุมปากเมื่อเห็นอาการของอีกคน

    “ก็พี่บอกว่าเขาเป็นคนใจร้ายนี่นา ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร คนแบบนั้นไม่ต้องตามหา...”

    “เจอเเล้ว คนคนนั้นน่ะ พี่เจอเเล้ว”

    ยังไม่ทันที่พาร์เซย์จะเอ่ยจบลูคัสก็เอ่ยสิ่งที่ทำให้อีกคนขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิมอีก

    “ผมอยากเจอจั... เอ่อ ขอโทษครับ”

    พาร์เซย์ที่เผลอเอ่ยออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะขอโทษออกไปแต่ถึงอย่างนั้นประโยคแรกลูคัสก็ได้ยินมันเเล้ว

    “ไว้จะพาไปเจอ ยังไงก็ต้องได้เจอแน่ ๆ ”

    น้ำเสียงทุ้มของร่างสูงทำให้พาร์เซย์หันมาสนใจในทันที

    ทั้งสองยังคงคุยสัพเพเหระกันอย่างออกรสออกชาติโดยที่ไม่ได้สนใจอาหารเช้าแล้วในตอนนี้และดูเหมือนว่าพาร์เซย์นั้นจะลืมบางอย่างไปเสียสนิท

    ร่างเล็กของมังกรสีเงินที่จมอยู่ในถ้วยข้าวต้มของพาร์เซย์นั้นเป็นคำตอบได้ดีที่สุด ทิ้งไว้ในห้องต้องหาทางออกมาเองก็แล้วมากินข้าวจนจะจมน้ำข้าวต้มตายก็เเล้วก็ยังไม่ตะขิดตะขวงใจ คนเราทำกันได้ลงคอ! โคลอี้คิดในใจ

    ‘เจอเเล้ว คนคนนั้นน่ะ พี่เจอเเล้ว… เขาเป็นน้องชายของพี่เอง’

     

    โถงนั่งเล่น

    “พี่ลืมถามไปเลย พ่อแม่ของพาร์ซไม่ว่าเหรอกลับบ้านเที่ยงของอีกวันเลยแบบนี้”

    “…”

    พาร์เซย์ที่ได้ยินแบบนั้นก็นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาและเอ่ย

    ตอบกลับไป

    “พาร์ซอยู่กับพี่สาวสองคนครับพี่สาวไม่ว่า”

    “งั้นเหรอยังเด็กอยู่แท้ ๆ ทำไมพี่สาวถึงกล้าปล่อยออกมาคนเดียวกันนะตัวเล็ก เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้านไหมจะได้ไปทักทายพี่สาวด้วย”

    “มะ ไม่เป็นไรดีกว่าครับ”

    พาร์เซย์เอ่ยปฏิเสธทันควัน

    “อีกอย่างผมไม่เด็กแล้วสักหน่อยผมอายุสิบเจ็ดปีแล้วนะ ถึงเเม้ร่างกายเล็กนี่จะชวนเข้าใจผิดก็เถอะ”

    ยังไม่ลืมแก้ข่าวของตัวเองไปอีกเช่นเคย

    “งั้นเหรอ? แต่ทำไมนิสัยยังเด็กอยู่เลย หึ ๆ ”

    ลูคัสชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเเซวกลับไป

    คนที่ถูกกล่าวหาถึงกับมุ่ยหน้าพองลมจนแก้มป่องใส่คนตัวโตกว่าทันที

    “ช่างเถอะเเล้วนี่จะไปไหนต่อเหรอ?”

    “มหาวิทยาลัยแกรนด์เดียซประจำทวีปยุโรป”

    “พาร์ซจะไปเรียนที่นั่นเหรอ?”

    ลูคัสเอ่ยถามออกมาก่อนที่จะเห็นพาร์เซย์มองซ้ายมองขวาเมื่อได้

    ยินคำถามและขยับกายจากโซฟาอีกฝั่งมานั่งใกล้ ๆ กันก่อนจะขยับใบหน้าเล็กมาใกล้ ๆ ใบหูของลูคัสแล้วกระซิบออกมาเบา ๆ

    “เปล่าครับ ผมจะไปทำงานต่างหาก”

    ท่าทางที่เเสดงออกมาของพาร์เซย์ทำให้ลูคัสสนใจเล็กน้อยดูเหมือนว่าร่างเล็กที่อยู่ข้างตนจะมีความลับกับสหายของตนเสียเเล้ว

    สุดท้ายไม่ได้ไปส่งที่บ้านก็พยายามคะยั้นคะยอจนได้มาส่งที่

    มหาวิทยาลัยแกรนด์เดียซประจำทวีปยุโรปอยู่ดี พาร์เซย์ได้เเต่บ่นอุบคนตัวโตอยู่ในใจ ตอนนี้ทั้งสองคนหนึ่งตัว? ได้มาถึงที่หน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของยุโรปแล้ว

    ‘มหาวิทยาลัยเเกรนด์เดียซประจำทวีปยุโรป’

    ตั้งอยู่ที่ประเทศอังกฤษอันเป็นศูนย์กลางของทวีปแห่งนี้

    แอร์คาร์คันหรูเคลื่อนเข้าไปภายในมหาวิทยาลัย ตลอดทางที่รถเคลื่อนไหวต่างตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่สัญจรไปมาทันที

    หากไม่สนใจนั่นคงเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเสียอีก แอร์คาร์คันหรูเเบรนด์จี เป็นรถหรูของแบรนด์ดังระดับโลกที่ออกแบบมาให้สามารถสัญจรในท้องถนนได้เหมือนรถปกติและสามารถสัญจรทางอาการได้อีกด้วย…

    ซุบซิบ ๆ ~ ~

    จากที่ผู้คนให้ความสนใจอยู่แล้วก่อนหน้านี้ เวลานี้ก็ยิ่งเป็นที่ฮือฮา

    ไปกันใหญ่เมื่อเจ้าของแอร์คาร์คันหรูนั้นเป็นของนักเเสดงชื่อดังอย่าง เลโอลอน ลูคัส เลต ฮาวล์ ซึ่งนอกจากจะเป็นนักเเสดงเเล้วนามสกุลก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นตระกูลราชวงศ์อังกฤษ

    โปรไฟล์ที่ดีขนาดนี้ทำให้มีผู้คนมากมายที่พยายามที่จะเข้าหาชายหนุ่ม

    ‘นั่นใครน่ะ...?’

    ‘ทำไมถึงลงมาจากรถคันเดียวกันกับนายท่านลูคัส หรือว่า?!’

    ‘หรือว่าอะไร...’

    ‘เป็นลูกของนายท่านลูคัสเหรอ…’

    ‘เเต่นายท่านลูคัสยังไม่เเต่งงานนะจะมีลูกได้ไง...’

    ‘พ่อฉันยังไม่แต่งกับแม่ยังมีฉันได้เลย!’

    “…”

    และอีกสารพัดเสียงที่ถูกเปล่งออกมา

    พาร์เซย์รู้สึกขำขันไม่น้อยที่คนที่นี่ต่างตีความคิดไปต่าง ๆ นานาแบบนั้น

    แต่จะว่าไปก็น่าคิดนะผู้ชายตัวโตมากับเด็กน้อยวัยใสแบบตนถึงแม้จะปิดบังร่างที่แท้จริงอยู่ก็เถอะ ลูคัสที่เห็นคนตัวเล็กเดินเข้าไปในตึกอย่างรวดเร็วก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำอีกคนถูกเเฟนคลับของตนเองเข้าใจผิดได้แต่รีบตามอีกคนเข้าไปข้างในเท่านั้น

    “มาติดต่ออะไรคะหนูน้อย?”

    พนักงานสาวสวยเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจเมื่อเห็นพาร์เซย์เดินมายังช่องติดต่อเจ้าพนักงาน

    เธอคงไม่คิดว่าตนพาพี่ชายหรือพี่สาวมาสมัครเรียนหรอกใช่ไหมนั่น พาร์เซย์คิดในใจ

    “…”

    “อ้าว คุณลูคัสมาธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”

    ในขณะที่คนตัวเล็กที่มาก่อนหน้าจะทันได้เอ่ยอะไรออกมาเธอก็เปล่งเสียงที่ดูก็รู้ว่าดัดเเล้วดัดอีกต่างจากเสียงที่คุยกับตนก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง

    “ผมเอ่อ... พาน้องชายมาสมัครงานครับ”

    ลูคัสเอ่ยตอบกลับพนักงานสาวสวยด้วยรอยยิ้มฉบับมือโปรที่ดาราดังหลายท่านต่างใช้มันเมื่อพบปะเหล่าแฟน ๆ

    “ไม่ทราบว่าคนไหนเหรอคะเดี๋ยวยูริเป็นธุระให้ค่ะ”

    ยูริเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าหวานที่สุดแล้วพร้อมจ้องมองไปรอบ ๆ อย่างต้องการที่จะเจอคนที่ตนจะต้องเป็นธุระในงานครั้งนี้

    “คนนี้ครับ”

    ลูคัสเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าเธอเอาเเต่มองไปที่อื่น คนที่ถูกมองข้ามที่เงียบอยู่พักใหญ่แล้วตั้งเเต่เข้ามาทำให้ลูคัสมีอาการเล็กน้อย

    โกรธอะไรตนหรือเปล่าหรือว่าตอนที่ลงรถเมื่อครู่...

    “แต่น้องยังเด็กอยู่เลย… จะสมัครงานตำเเหน่งอะไรเหรอคะ?”

    ยูริทำท่าตกใจเล็กน้อยที่ลูคัสเอ่ยว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะมาสมัครงาน

    ถึงแม้จะตกใจแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

    ในกรณีที่มีเด็กมาสมัครงานในยุคที่เวทมนตร์และเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดนในหลายสิบปีมานี้ทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากมาย

    ผู้คนที่สามารถรับการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วสถิติล่าสุดที่เด็กสามารถจบปริญญาเอกสามใบด้านศาตร์เวทมนตร์ศาสตร์ได้คือเด็กที่มีอายุเพียงสิบแปดเท่านั้นและคนคนนั้นก็เป็นเเกรนด์เดียซชั้นสูงอีกด้วย

    แกรนด์เดียซเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่งมากสำหรับประชากรธรรมดาหรือแม้แต่ตัวเธอที่ถึงแม้จะเป็นแกรนด์เดียซแต่ก็เป็นเพียงแกรนด์เดียซที่ไม่ได้มาจากกระกูลใหญ่ ไม่ได้มีพละกำลังอะไรเหมือนเเกรนด์เดียซที่มาจากตระกูลผู้ดี

    เธอนั้นดิ้นรนชีวิตตนเองมาตลอดจนได้เข้ามาทำงานที่ มหาวิทยาลัยแกรนด์เดียซประจำทวีปยุโรปแห่งนี้ ไม่ใช่เเค่ยูริเท่านั้นที่สนใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าต้องการสมัครเข้างานตำแหน่งอะไร แม้แต่ลูคัสที่อยู่ข้าง ๆ กันก็ยืนนิ่งเงียบรอคอยคำตอบอยู่เหมือนกัน

    “มีอยู่ตำเเหน่งหนึ่งไม่ใช่เหรอครับที่ว่างอยู่ตอนนี้”

    “ตำเเหน่งที่ว่างอยู่ตอนนี้... หรือว่า?!”

    ยูริทวนคำตามพาร์เซย์ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจ

    เธอจะไม่รู้ถึงตำแหน่งที่ว่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อตำแหน่งที่ว่างอยู่นั้นเธอได้ทำงานเป็นผู้ช่วยตำแหน่งงานนั้นมาก่อน อีกทั้งตำเเหน่งนั้นเป็นตำแหน่งที่ใหญ่ไม่น้อยเลยสำหรับเด็กคนเดียวที่จะรับไว้

    กระนั้นแม้เด็กคนนี้เเม้ภายนอกจะดูไร้เดียงสาอยู่มาก เแต่ภายใต้หน้ากากที่ไร้เดียงสานั้นคงเป็นอะไรที่อันตรายไม่น้อยเลย เธอนั้นไม่อาจคิดดูถูกใครเลยแม้แรกพบก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยด้านอายุหรือเรื่องใดก็ตามที่ใครต่างโอ้อวดออกมาไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่มีเพียงการพิสูจน์ที่เห็นด้วยตาเท่านั้นที่เป็นคำตอบ

    ประสบการณ์ชีวิตของเธอนั้นได้สอนอะไรหลาย ๆ อย่างให้เเก่เธอไม่น้อย... อีกทั้งเมื่อครู่คุณลูคัสก็เอ่ยออกมาว่าเป็นน้องชาย

    แบบนี้แล้วเด็กคนนี้ก็คงจะเป็นเชื้อพระวงค์ด้วยเป็นแน่!

    “ตำเเหน่งที่ว่านี้ตำเเหน่งอะไรเหรอครับ?”

    ลูคัสที่รู้สึกว่าตนตามทั้งสองคนไม่ทันเอ่ยถามออกมาบ้าง

    “คุณลูคัสไม่รู้เหรอคะ?”

    ยูริที่เอ่ยถามออกมาด้วยคำถามที่ติดจะงงงวยที่คนตรงหน้าไม่ทราบ เพราะเธอเห็นว่ามาด้วยกันคิดว่ารู้อยู่ก่อนแล้วเสียอีกแต่เธอก็ตอบกลับไปด้วยสปิริตของพนักงานที่เธอมีอยู่

    “คณบดีคณะภาษาและอักขระเวทมนตร์ศาสตร์ค่ะ”

    สิ่งที่ได้ยินทำให้ลูคัสสนใจไม่น้อยแต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่ถึงแม้จะอยู่ในร่างนี้แต่ใช่ว่าความสามารถทั้งหมดจะเลือนหายไปเสียหน่อย

     

    “โชคดีมากเลยนะคะที่มากันวันนี้เพราะวันนี้มีการคัดเลือกคณบดีคนใหม่วันสุดท้ายพอดีเลยค่ะ หากมาช้ากว่านี้คงไม่ทันการณ์”

    ยูริเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นการเป็นงานเเตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก

    พาร์เซย์ที่ได้ยินดังนั้นก็คิดว่าตนเองนั้นโชคดีมากทีเดียวที่มาทันรอบสุดท้าย

    ตอนนี้พาร์เซนต์กับลูคัสทั้งสองคนกำลังเดินตามยูริไปยังห้อง

    ทดสอบที่มีรองอธิการบดีเป็นผู้ที่ลงมาดูการสอบการเเข่งขันเข้ารับตำเเหน่งด้วยตนเองการรับสมัครงานตำแหน่งต่าง ๆ

    ในปัจจุบันนั้นไม่ว่าใครที่ไม่รู้ว่ามีที่มาที่ไปจากไหนก็สามารถเข้ารับการสอบเพื่อบรรจุเข้าทำงานได้เท่ากัน ขอเพียงคนคนนั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถ มีประวัติที่ขาวสะอาดไม่มีคดีติดตัวหรือมีความผิดร้ายเเรงและต้องโทษมาก่อนเท่านั้น เพราะหลายปีมานี้มีผู้เร้นกายที่ไม่เคยออกมาจากเงามืดมากมายหลังจากแกรนด์เดียซได้ออกมาเผยโฉมหน้าต่อโลกผู้เร้นกายเหล่านั้นก็มีหลายส่วนที่ยอมออกมาใช้ชีวิตในที่แจ้งเช่นกัน ตอนนี้ทั้งสามคนได้เดินมาถึงที่หน้าประตูห้องบานใหญ่บานหนึ่ง

    ยูริที่เป็นคนเดินนำมาเธอกดกริ่งหน้าห้องก่อนที่จะเห็นสัญญาณอนุญาตสีเขียวกระพริบออกมาเธอก็เปิดประตูนำเข้าไปเป็นคนแรกก่อนจะเอ่ยเรียกทั้งสองคนที่ตามเธอมาให้เข้าไปด้านใน

    ภายในห้องเป็นห้องสำนักงานทั่วไปใจกลางห้องมีโต๊ะทำงานโต๊ะหนึ่งอยู่ ที่โต๊ะนั้นมีเเกรนด์เดียซสาวคนหนึ่งกำลังซักประวัติบางอย่างจากคนที่คาดว่าน่าจะมาสมัครงานตำแหน่งเดียวกับตน

    พาร์เซย์คิดในใจก่อนที่ยูริจะผายมือให้ทั้งสองนั่งบนโซฟาหนังชั้นดีก่อน เพราะคนที่เข้ามาก่อนหน้านั้นยังธุระไม่เสร็จ พาร์เซย์นั่งรออยู่อีกประมาณสิบนาทีก็ถึงคิวสัมภาษณ์งานของตน ในขณะที่ตนเดินเพื่อที่จะไปที่โต๊ะทำงานของรองอธิบดีระหว่างที่สวนทางกับคนที่มาสัมภาษณ์ก่อนหน้าเดินสวนกันนั้นความรู้สึกแปลกประหลาดก็ได้เกิดขึ้นในจิตใจ แต่แล้วคนตัวเล็กก็สลัดความรู้สึกนั้นอกไปก่อนเพราะมันคงไม่มีอะไรมากไปกว่าคนที่เพิ่งเจอกันครั้งเเรกเท่าน้้น

    “สวัสดีครับ”

    พาร์เซย์นั่งลงตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานเพื่อเข้ารับการสัมภาษณ์ เมื่อนั่งลงแล้วจึงเอ่ยทักทายสตรีที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าอีกคนมองแล้วจะต้องรู้สึกดีตั้งเเต่แรกพบที่เจอกัน แต่เปล่าเลยนอกจากคนตรงหน้าจะไม่ทักทายกลับร่างตรงหน้ายังมองตอบกลับมาอย่างนิ่ง ๆ เท่านั้น

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

    พาร์เซย์รู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่ถูกอีกฝ่ายจ้องเเบบนี้

    “ขอโทษนะคะ กรุณาถอดหมวกด้วยค่ะ”

    “...”

    ไม่ใช่จ้องมองเพราะต้องการจับผิดหรืออะไรแต่อย่างใด แต่เพราะคนที่จะมารับการสัมภาษณ์กลับใส่ชุดมาสคอตเเมวเเถมยังใส่หมวกปิดหน้าอีกต่างหากสิ่งนี้มันเป็นมารยาทในการสมัครงานงั้นเหรอ

    แม้ปัจจุบันจะมีนโยบายใส่ชุดอะไรมาทำงานก็ได้เเต่อย่างน้อยการมาสมัครงานก็ควรจะดูดีหน่อย แต่ถึงจะแสดงออกอย่างนั้นภายในใจคงไม่มีใครเดาออกว่าคนตรงจะคิดกับร่างเล็กตรงหน้าอย่างไร

    “ขอโทษด้วยครับพอดีวุ่น ๆ นิดหน่อยผมจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลยครับ”

    พาร์เซย์เอ่ยขอโทษอีกฝ่ายไป

    รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ตนเองสะเพร่าที่ลืมเปลี่ยนชุดเมื่อเช้าก่อนออกมาเห็นลูคัสเป็นคนเอาชุดไปซักให้ก็เลยเปลี่ยนชุดเดิมทันทีโดยลืมคิดไปเลยว่าจะต้องมาสัมภาษณ์งานที่ต้องใส่ชุดเรียบร้อยกว่านี้ ทันใดนั้นก่อนที่พาร์เซย์จะทันได้ลุกออกไป...

    ติ๊ด

    แกร๊ก…

    เสียงกดกริ่งขอเข้าพบคนในห้องยังไม่ทันได้หยุดสนิทประตูห้องก็เปิดออกมาเผยให้เห็นคนที่ผลักมันเข้ามาทันที

    คนที่เข้ามานั้นเดินเข้ามาด้วยท่าทางสะลึมสะลือคล้ายคนที่ไม่ได้นอนมาหลายวัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดเขาคนนี้ใส่ชุดมาสคอตก็อตซิลล่าสีเขียวเข้มเข้ามาทำงาน...

    รองอธิการบดีผู้ที่เห็นถึงกับใช้ฝ่ามือตนเองนวดคลึงขมับในทันที

    “ช่างเถอะ สัมภาษณ์ทั้งแบบนี้แหละฉันไม่ถือ”

    จริง ๆ การมาสัมภาษณ์ด้วยชุดแบบนี้มันก็ไม่ได้ผิดแต่แรกนั่นแหละ แต่เธอก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีคนใส่ชุดแบบนี้มาสัมภาษณ์งาน

    ตอนแรกที่เผลอจ้องก็เพราะคิดว่าแปลกเฉย ๆ ไม่ได้คิดที่จะไล่ไปเปลี่ยนชุด เธอคิดว่าชีวิตนี้คงมีเพียงก็อตซิลล่าตัวนั้นตัวเดียวเสียอีกที่กล้าทำเเบบนี้

    เมื่อสองปีก่อนเธอก็เป็นคนรับสมัครเองกับมือก็ตกใจไม่แพ้กันที่มีคนแบบนี้อยู่บนโลกใบนี้ด้วย

    เป็นคนที่ไม่สนใจโลกสิ้นดีแต่คนแบบนี้แหละน่าสนใจดี พวกเขามักจะมีความสามารถอะไรแปลก ๆ ที่สามารถนำมาถ่ายทอดในการทำงานของตนเองได้เป็นอย่างดี ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้สอนเธอมาอย่างนั้น

    “เนียร์...”

    น้ำเสียงของคนที่เพิ่งจะเดินเลยผ่านประตูมาได้ไม่ไกลเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็…

    ตุบ!

    แปะ...

    ล้มลงไปเเล้ว...

    เสียงแรกนั้นเกิดจากการที่ก็อตซิลล่าตัวเขียวล้มลงไปนอนกับพื้น และเสียงที่สองนั้นดังขึ้นจากการที่คนที่ถูกเรียกว่าเนียร์นั้นใช้ฝ่ามือตัวเองตีแปะลงบนหน้าผากอย่างเหลืออดจากการกระทำของอีกฝ่าย

    ซึ่งเนียร์นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากรองอธิการบดีที่นั่งอยู่ตรงข้าม

    ของพาร์เซย์

    เธอมองมาที่พาร์เซย์เป็นเชิงขอโทษเล็กน้อยก่อนที่จะเข้าไปช่วยยูริพยุงก็อตซิลล่าที่หมดแรงขึ้นมานั่งที่โซฟาหนังตรงข้ามกับลูคัส

    พาร์เซย์รู้สึกว่าทำไมการมาสัมภาษณ์งานของตนนั้นถึงแปลกประหลาดขนาดนี้แต่เเล้วใบหน้าเล็กที่จ้องมองพวกคนที่วุ่นวายอยู่กับก็อตซิลล่าก็แสดงประกายจากดวงตาวาวโรจน์ออกมาเมื่อเห็นว่าลิเนียร์นั้นเอาลูกกวาดออกมาจากโหลเล็กที่พกติดตัวออกมาป้อนให้กับก็อตซิลล่าที่หมดแรง…

    ตนก็อยากได้บ้าง! พาร์เซย์คิดในใจ

    กึก...

    รองอธิการบดีที่กลับเข้าสู่โหมดทำงานพร้อมที่จะสัมภาษณ์งานคนตรงหน้าแล้ว แต่แล้วก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อถูกดวงตากลมแวววาวจ้องมองโหลลูกกวาดของเธอไม่วางตา

    ลิเนียร์ลองแกว่งไปมาซ้ายขวาดวงตาคู่งามก็จ้องมองมาอย่างไม่ลดละ เธอได้แต่ทอดถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะหยิบลูกกวาดเม็ดเล็กสีเเดงสดใสออกมาเม็ดหนึ่งและยื่นไปตรงหน้า

    “ฉันให้”

    ลิเนียร์เอ่ยออกมาเมื่อเห็นสายตาของอีกคนที่ราวกับจะเอ่ยถามว่า

    จะให้ตนจริง ๆ เหรอ เมื่อเห็นเธอเอ่ยออกมาพร้อมพยักหน้าให้คนตัวเล็กก็หยิบลูกกวาดเม็ดเล็กไปจากมือของลิเนียร์และส่งมันเข้าไปในปากเล็กของตนเองในทันที

    เด็กน้อยชะมัด ลิเนียร์คิดในใจ

    “เอาละ เรามาสัมภาษณ์งานกันดีกว่า เธอได้เตรียมเอกสารมาหรือเปล่า”

    “เปล่าครับ แต่ผมมีนี่”

    ลิเนียร์ที่กำลังจะเอ่ยถามออกมาว่าทำไมร่างเล็กถึงไม่มีเอกสารถึงกับชะงักคำกลางอากาศเมื่อเธอเห็นสิ่งที่พาร์เซย์แสดงออกมาตรงหน้า

    !!!

    “ทำไมถึงมีเข็มกลัดนี่...?!”

    ลิเนียร์เอ่ยออกมาอย่างตกตะลึงและเหม่อลอยกับสิ่งที่เห็นก่อนที่เธอจะเก็บอาการของตนเองและเอ่ยของโทษออกไป เพราะสิ่งที่เอ่ยถามไปเมื่อครู่นับว่าเป็นการเสียมารยาทต่ออีกฝ่ายแล้ว

    เพียงมีสิ่งนั้นแสดงตัวตนทุกสิ่งก็จะได้รับการยอมรับในทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข

    ตำเเหน่งที่คนตรงหน้าต้องการก็เช่นกัน...

    “ไม่เป็นไรครับ”

    พาร์เซย์เอ่ยออกไปด้วยท่าทีที่ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองคนตรงหน้าเเต่

    อย่างใด

    ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ ของอีกฝ่ายทำให้ตีความได้หลายแบบ แต่กระนั้นใบหน้ากลับแย้มยิ้มออกมาเบา ๆ อย่างสบายอกสบายใจจากการได้ลิ้มรสของลูกกวาดหวานหยด


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×