คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : กัดกินครั้งที่ 1 STRANGER. [100%]
กัดกินครั้งที่ 1
STRANGER.
‘ ที่นี่ที่ไหน?... ’
‘ แม่ครับ... พ่อครับ... ผมหนาว... ’
‘ แล้ว... ผมเป็นใคร?...
ความมืดสนิทนำมาซึ่งความอ้างว้าง ความเหงา
ความหนาวเหน็บ... และที่ขาดไม่ได้ ‘ความควาดกลัว’
เช่นเดียวกับร่างที่นอนอยู่ตรงมุมห้องสี่เหลี่ยมขดเข้ากอดร่างของตัวเอง
ภาพความทรงจำก่อนหน้าได้ล่องลอยปลิวไสวไปกับความมืดมิด
ผลุบเข้ามาทีละฉากๆพร้อมกับค่อยๆเลือนหายไปทีละภาพ... ทีละภาพ... สองมือที่ไร้เรี่ยวแรงยกขึ้นจากพื้นห้องเย็นเฉียบสั่นสะท้านไปหมด
พยายามคว้าภาพทั้งหมดกลับเข้ามาหาตัวเอง แต่กลับคว้าเอาไว้ได้แค่ภาพเดียวเท่านั้น
‘ จอน... จอนจองกุก... จองกุก…!!
’
ชื่อของเราเหรอ?...แล้วใคร?... ใครเรียก?...
เปลือกตาขาวซีดขยับขยุกขยิกค่อยๆลืมตาขึ้นมามองรอบเพดานห้องสีขาว
ใบหน้าซีดเซียวนิ่วลงเล็กน้อยด้วยความพร่ามัว
กระพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับรับแสงที่สอดรอดเข้ามาจากช่องระบายอากาศ พอรู้สึกตัว
ความปวดหนึบตามร่างกายก็เข้าเล่นงานจนต้องเปิดปากหอบหายใจ
มือของจองกุกตะปบเข้าที่หน้าอกบีบเคล้นเพื่อระบายความเจ็บปวด เขารู้สึกเหมือนตัวเอจะมีบาดแผลใหญ่ที่หน้าอกข้างซ้ายจากสัมผัสที่มือพบว่ามันลึกมากและยังสดมากเช่นกัน
โลหิตสีแดงเข้มเปรอะเปื้อนไปตามมือและท่อนแขน ไหลย้อนลงสู้พื้นกระเบื้อง
“ โอ้ย!... อะไร?... ลึกขนาดนี้แล้ว...
ทำไมยังไม่ตาย...”
เสียงแหบพึมพำ ความมึนเบลอที่ยังมีอยู่ก่อนหน้าส่งผลให้ภาพพร่ามัว
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตอนนี้จองกุกได้แต่นอนมองสิ่งรอบข้าง จะนึกอะไรก็นึกไม่ออก
ไม่รุ้ว่าทำไมตัวเองถึงได้มานอนอยู่ตรงนี้
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงได้แผลถูกกรีดลึกขนาดนี้ และไม่รู้อีกว่า... ใครเป็นคนทำให้เขาอยู่ในสภาพแบบนี้
“ แค่ก! แค่ก!... อุก!... ”
ฟันคมขบริมฝีปากล่างจนขึ้นห้อเลือด
ซู้ดปากเบาๆระบายความเจ็บแสบจากบาดแผลเมื่อขยับตัว
มือหนึ่งยันพื้นเพื่อลุกขึ้นนั่ง อีกมือหนึ่งกำลังกุมหน้าอกไว้ มองรอบตัว
มองภาพที่มีคนสวมชุดเครื่องแบบนอนจมกองเลือดกันเป็นแถบๆ
บ้างก็เหมือนถูกฉีกกระชากไม่เหลือชิ้นดี
เฮือก!!
ภาพที่แสนจะสยดสยองจนตากลมเบิกกว้างด้วยความผวาดผวา
กระถดตัวร่นถอยหลังจนชิดกำแพง กวาดสายตามองหาทางออก
รับรู้แล้วว่ากำลังนั่งอยู่ภายในห้องทดลอง
แต่ดูเหมือนคนสวมชุดกาวน์สีขาวจะไม่มีสติ แต่สถาพน่าจะไม่รอด
พอรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรก็ยันตัวลุกขึ้นยืน เซข้างไปบ้างแต่ก็พยายามทรงตัว กระทั่งจองกุกรู้สึกแปลกใจ ว่าแผลลึกค่อยๆเจ็บน้อยลง
จนไม่รู้สึกอะไร
จองกุกไม่มีเวลาที่จะมานึกถึงเหตุหรือผลว่าเพราะอะไร
เมื่อตากลมที่สอดส่องไปมาหยุดอยู่กับประตูเหล็กหนา ที่เขียนว่าทางออกเหนือบานประตู
สองขาเรียวเดินกึ่งวิ่งข้ามศพและซากน่าสงสัยไปจนกระทั่งมือขาวเปื้อนเลือดจับไว้ที่ลูกบิดประตู
พร้อมที่จะเปิด ...ทว่า
*แจ๊บ แจ๊บ...*
" ?...."
เสียงประหลาดเหมือนมีใครกำลังกัดกินอะไรสักอย่างดังขึ้นมาจากมุมห้องด้านในสุด
ดังเเทรกผ่านความเงียบสงัดขึ้นมาทีละน้อยๆ
"ใครอยู่ตรงนั้น?"
ไร้ซุ่มเสียงใดๆตอบกลับมา
เสียงจ๊อบเเจ๊บที่เหมือนกำลังกัดกินค่อยๆเงียบหายไป เพียงไม่นาน ก็ดังขึ้นอีกรอบ
จองกุกคิดอยู่นานก่อนจะหันไปพบกับด้ามปืนสีทมิฬที่เหน็บอยู่ข้างเอว
ตัดสินใจคว้ามันออกมาถือเอาไว้
"ฉันถามว่าใคร ?"
เมื่อไม่มีใครตอบเช่นเดิม
สองเท้าก็ค่อยๆก้าวเข้าไปทางทิศที่มาของเสียงช้าๆ หัวใจดวงน้อยเต้นถี่รัว
เมื่อไกล้จุดที่เกิดเสียง ดวงตาหรี่ลงปรับให้เข้ากับความมืด สอดส่องเข้าไป
".................."
ไร้คำพูด...ไร้เสียงใดๆออกมาจากลำคอ
สองมือกุมด้ามปืนเเน่น ยกขึ้นเล็งไปที่จุดๆนั้นทันที...
ทำไมน่ะหรือ?...
เพราะภาพที่จองกุกได้เห็นมันคือภาพของชายสวมชุดเครื่องเเบบ
...กำลังนั่งควักเครื่องในของคนที่ใส่ชุดเสื้อกาวน์เปื้อนเลือดออกมากินน่ะสิ...!
*กร๊อบ... ขวับ!... ปัง!!*
เสียงเเรกคือ
รองเท้าหนังสีดำของจองกุกได้เหยียบเข้ากับด้ามปากกาจนแตกหัก เมื่อเกิดเสียง
คนสวมชุดเครื่องเเบบก็ได้หันขวับมามองที่ต้นเสียง ทำท่าจะลุกออกมา สุดท้าย
...จองกุกได้ลั่นไก หันกระบอกปืนไปทางขมับขวาของคนใส่ชุดเครื่องเเบบเเละแล้วก็...
นิ่งไป
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย..."
เขาบ่นพึมพำ รีบวิ่งไปทางประตูเหล็กทันที
เเทนที่จะได้เปิดมันออกโดยที่ไม่มีอุปสรรคใดๆ เเต่กลายเป็นว่ามันจะยากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อซากศพที่ควรจะเเน่นิ่งไปเเล้วภายในห้องทดลอง ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมาทีละคนๆ
"เปิดสิวะ !!!"
*ปึง!!! ปึง!!! ปึง!!!*
เขาสบถลั่น กระชากลูกบิดสลับกระหน่ำทุบบานประตูเหล็กเเรงๆจนเกิดเสียงดังอย่างหัวเสีย
หายใจถี่รัว ใจเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะจนรู้สึกปวด
ดูเหมือนว่าประตูบานนี้จะติดอะไรบางอย่างเลยทำให้เปิดได้ลำบาก
เมื่อเกิดเสียงดังขึ้นต่อเนื่องจากบานประตู
ซากศพที่ลุกขึ้นมาก็เดินลากเท้า บ้างก็เดินลากขาหักๆที่บิดเบี้ยวผิดรูปไปทางจุดเกิดเสียง
เป็นภาพอันสยดสยองที่จองกุกได้เห็นอีกครั้ง แล้วก็ไม่อยากจะเห็นด้วย
"ติดอะไร...?"
เขาพึมพำ ตากลมกรอกไปมาเพื่อหาต้นเหตุ
สะดุดตากับสิ่งเเปลกปลอมที่ไปขัดไว้กับช่องประตูเเล้วเตะมันออกอย่างเเรง
" แฮ่........"
จองกุกสาบาน...ว่าให้ตายยังไงเขาก็ไม่มีวันทำเสียงสุดประหลาดเเบบนี้เเน่นอน
เสียงนี้ดังขึ้นข้างๆหู เเละเเทนที่ด้วยความเจ็บเเสบเพราะถูกกัดเข้า แต่ก็แค่ผิวๆเท่านั้น
"อึก!!.... บัดซบเอ๊ย!!!!"
เขาหันตัวไปทางคนประหลาด
เเล้วฟาดกลับด้วยด้ามปืน ยันเท้าถีบเข้าที่หน้าท้องม่วงช้ำจนกระเด็นไปชนคนอื่นๆที่มีท่าทางประหลาดเหมือนกัน
และถูกรุมทึ้ง รุมกัดกิน... จองกุกไม่ให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านั้น
รีบเบี่ยงตัวออกจากนรกซากศพมีชีวิต
ปิดประตูบานหนักกระเเทกเข้ากับล็อคจนเเขนสีม่วงช้ำที่เล็ดรอดสอดเข้ามานั้นขาดกระเด็น
"อึก... แฮ่ก... แฮ่ก..."
จองกุกทรุดตัวนั่งลงหน้าประตู หอบถี่กระชั้น
เงยหน้าขึ้น หลับตาลงเพื่อพักเหนื่อย
"เหอะ....!"
หัวเราะออกจมูกสักที
มือบางยกขึ้นเเตะใบหูที่ไม่รู้สึกอะไรเเล้วอย่างผวาคิดว่าที่ไม่รู้สึกอะไรนั่นจะเป็นเพราะถูกเขมือบไปเเล้ว
เเต่ก็ยังคงอยู่อย่างเดิม เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
เเล้วยันตัวขึ้นลุกออกจากบริเวณนั้น ค้นหาทางออกจาก รพ. ทันที
...ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
เเม้อาการเจ็บเเปลบในช่วงเเรกจะเเปรเปลี่ยนเป็นไม่รู้สึกอะไรอย่างผิดปกติก็เถอะ
อีกด้านของคนที่เพิ่งจะขับรถมาถึงหน้าโรงพยาบาล
ร่างสูงมองดูชื่อของโรงพยาบาลให้เเน่ใจว่าตนไม่ได้มาผิดที่
ซอกจินดุนลิ้นดันพุ้งเเก้มของตัวเองจนรสฝาดเลือดคละคลุ้งไปทั่วโพรงปาก
"อุ... แสบว่ะ... แรงคนหรือแรงช้างวะ
ตบมาได้ ...ถ้ารู้ว่าจะเสียโฉมนะ
ยอมให้ขี่ม้าบินขึ้นไปแตะขอบฟ้าก่อนทิ้งไปนานเเล้ว อารมณ์จะได้ดีๆ..."
นิ้วเรียวไล่สัมผัสไปตามผิวเเก้มจรดลงที่ริมฝีปาก
พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะปนโอดโอย
ซอกจินยังไม่ได้ถอดเสื้อกาวน์ออกเพราะรู้ว่าจะต้องมาติดต่องานที่โรงพยาบาล
สะโพกเเกร่งเอนพิงรถคันสวย มองสิ่งเเวดล้อมรอบโรงพยาบาล
ที่นี่มันยิ่งกว่าร้างอีก ...เเม้เเต่รถขับผ่านก็ไม่มีสักคัน
เเล้วจะให้เข้าไปเหรอ ? ดูเเล้วมันโรงพยาบาลร้างชัดๆ...
สองตาคมปะทะเข้ากับรถตำรวจหลายคันที่จอดอยู่หน้าประตูของโรงพยาบาล
เดินเข้าไปสำรวจ ฝ่ามือเเตะเข้ากับฝากระโปรงรถเบาๆ
มาจอดนานเเล้วเเน่ๆ... รถเย็นขนาดนี้
ไม่คิดให้เสียเวลา ขายาวก้าวเข้าไปข้างในผ่านประตูรั้วโรงพยาบาล
ทั้งยังมองไปรอบๆ ไม่ได้สนใจกับคนที่เดินตาลอยอยู่บนพื้นหญ้ารอบโรงพยาบาลสักเท่าไหร่
"แปลก ถ้าคนไข้จะมาเดินเล่น
ก็น่าจะมีนางพยาบาลไม่ก็หมอมาช่วยประคองหรือดูเเลกันสักหน่อยสิ
...เหมือนจะโดดเวรได้ล่ะมั้งที่นี่"
ซอกจินพูดติดขำ ผลักประตูกระจกใสเข้าไปข้างในตัวโรงพยาบาล
บรรยากาศรอบๆเหมือนโรงพยาบาลที่ทิ้งร้างมาได้สักพักเเล้ว
เท่าที่ดูจากข้าวของเครื่องใช้ที่ยังอยู่ครบ บ้างก็ใหม่เอี่ยม ไม่มีฝุ่นเกาะติดเลย
เขาเดาว่าอาจจะร้างมาเเล้วประมาณ 1 อาทิตย์กว่าๆ
"เฮ้ย...ตายเเล้วเหรอวะเนี่ย..."
เมื่อเห็นเเขนขาวซีดที่พาดก่ายหราอยู่หน้าเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ออกมา
ซอกจินก็อุทานเสียงเบาด้วยความใจหาย รีบวิ่งกึ่งเดินเข้าไปหาต้นร่าง
พึมพำออกมาอีกครั้งเมื่อสภาพมันไม่น่าจะรอดอยู่เเล้ว...
ก็แหงสิ...
นอนตาค้างขนาดนี้ตายไม่ตายล่ะวะ !!!?
"...โรงพยาบาลนี้เขารับน้องด้วยศพอืดๆเเบบนี้น่ะเหรอ
?
ไม่ขำเลยนะครับ!"
ความเงอะงะไม่เป็นรองใคร
พยายามเข้าใจไปในทางที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
นิ้วเรียวบีบเข้าที่จมูกโด่งของตัวเองเมื่อได้กลิ่นเหม็นคละคลุ้งลอยอัดเข้ามาที่จมูก
แต่...
ถึงจะหล่อ สปอร์ต
ใจดีขนาดไหนก็ไม่เก็บศพให้หรอกนะครับจะบอกให้... แต่ถ้าไม่เก็บ
ปล่อยศพไว้ให้อืดผิดที่มันจะผิดจรรยาบรรณของหมอหรือเปล่าครับ?
กูตอบเองก็ได้...
อื้ม ...มันไม่ผิด!
...เเต่เอาวะเห็นเเล้วใจไม่ดี ยังไงก็ต้องเก็บ เผื่อลองใจขึ้นมา
เดี๋ยวจะไม่ได้งานทำเสียก่อน...
นัยน์ตาคมเบิกกว้าง
โตเกือบจะเท่าไข่ห่าน(ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนเกาหลีเเล้วตาเล็กจึงแหกได้แค่นั้น)
กวาดมองไปรอบๆเพื่อหาสิ่งอำนวยความสะดวก จนกระทั่ง
พบกับเตียงผู้ป่วยที่ถูกเข็นทิ้งเอาไว้ที่หน้าลิฟต์
ร่างสูงเดินเข้าไปเข็นเตียงเข้ามาใกล้กับจุดประชาสัมพันธ์ อ้อมไปเเบกร่างศพของผู้หญิงนิรนาม ที่นามว่า ซาง กยอลนิม (ซอกจินรู้มาจากบัตรประจำตัวที่เเขวนไว้บนคอของเธอ) ขึ้นมาพาดไว้ที่ไหล่ เบ้หน้าด้วยความกระอักกระอ่วนกับกลิ่นของศพที่คาดว่าจะเเน่นิ่งมาเกิน 48 ชั่วโมงเเล้ว วางลงบนเตียงเข็น เดินเข้าลิฟต์ ที่น่าจะใช้การได้อยู่ เเต่ก่อนหน้านั้นเขาได้สำรวจเส้นทางของโรงพยาบาลมาจากคู่มือหน้าเคาท์เตอร์บ้างเเล้ว จึงได้รู้ว่าห้องเก็บศพอยู่ที่ชั้นไหน
“..................”
ซอกจินเงียบมาตลอดตั้งแต่เดินเข้ามาในลิฟต์
กดเข้าไปที่ปุ่มบอกจุดมุ่งหมาย นัยน์ตาคมไม่ได้หันไปชำเลืองมองศพเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขากำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
...ที่นี่มันมีอะไรแปลกๆ ก็จริงที่ดูเหมือนว่าที่นี่มันร้างไปแล้ว
...แต่คนไข้ที่เดินอยู่ที่สนามหญ้าข้างโรงพยาบาลล่ะ? ...ทำไม?
ใบหน้าคมคร้ามก้มลงมองที่พื้นลิฟต์
ขยับเท้ายกขึ้นมองของเหลวสีสดที่ตนกำลังเหยียบเอาไว้
“บ้าไปแล้ว...
นี่มันไม่ใช่การรับน้องธรรมดาๆซะแล้วสิเนี่ย”
*หืดด... หาดด...*
“ ? ”
ซอกจินหลุดออกจากภวังค์เมื่อความเงียบภายในลิฟต์แทนที่ด้วยเสียงของลมหายใจ
แต่มันไม่ใช่เสียงหายใจธรรมดา ในเมื่อ เขาเองก็ไม่ได้หายใจแรงขนาดนั้น...
แล้วเสียงนี้...
เป็นของใคร?...
เพื่อความแน่ใจ
มือหนายกขึ้นมาอุดปากและจมูกของตัวเอง และคำตอบก็คือ... มันไม่ใช่ลมหายใจของเขา
ซอกจินค่อยๆลดมือลง แล้วพยายามฉีกยิ้ม ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่คำถาม
แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะหันกลับไปมองต้นตอของเสียง ที่ตอนนี้... ใบหน้าบวมเป่งหนอง
กำลังยื่นเข้ามาแทบจะเกยกับบ่ากว้างของเขาอยู่แล้ว นัยน์ตาคมเบิกขึ้น
ค่อยๆกรอกตาเหล่ไปด้านข้างเพื่อที่จะมองว่าเกิดอะไรขึ้น
*หืดด... หาดดด...*
…อื้ม ไม่ธรรมดาจริงๆซะด้วย
เล่นมาทั้งกลิ่นแบบนี้
*ขวับ!*
ทันทีที่ซอกจินหันกลับไปมอง
สิ่งแปลกประหลาดที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ กลับไร้ร่องรอยของตัวต้นเหตุ
ใบหน้าหล่อเอียงข้างด้วยความงงงวย
หันกลับไปทางประตูลิฟต์ที่กำลังจะถึงจุดหมายในไม่ช้านี้
*ติ๊ง*
เสียงกระดิ่งบอกสถานะของลิฟต์ดังขึ้น ทำให้ร่างสูงโล่งใจไปโข
คิดว่าหากเก็บศพไปแล้วก็น่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น สองขาก้าวเดินออกจากลิฟต์ โดยที่ไม่ลืมดึงเตียงเข็นออกมาด้วย
หันซ้ายขวามองหาป้ายบอกทาง แต่คงไม่จำเป็น ในเมื่อ...
บนพื้นกระเบื้องสีขาวเต็มไปด้วยรอยเท้าชุ่มเลือด เปื้อนเป็นแนวยาวไปจนสุดทาง
“โรงพยาบาล... ที่นี่คือโรงพยาบาล...”
เสียงทุ้มเอ่ยพึมพำ
พยายามข่มอารมณ์ตื่นกลัวเอาไว้ด้วยความเยือกเย็นที่มี
ลากเตียงเข็นไปตามทางที่มีรอยเท้า ผ่านห้องแล้ว ห้องเล่า
ก็ยังไม่มีอะไรน่าสงสัยเท่ากับรอยเท้านี่อีกแล้ว
สองขาก้าวยาวๆมาจนถึงหน้าห้องเก็บศพ เช่นเดียวกับรอยเท้าที่มาจนสุดที่หน้าประตูนี้
*กึก...*
“!!!? …เฮ้ย!!!”
เสียงทุ้มร้องลั่น ทันทีที่มือแตะเข้ากับที่จับประตู
อยู่ดีๆ ศพของสาวเจ้าก็เด้งตัวขึ้นมาอ้าปากกว้างจนแทบฉีก ทำเสียงขู่ใส่เขาฟ่อๆ
และยังไม่ใช่แค่นั้น
ร่างที่น่าจะนอนแน่นิ่งไปแล้วบนเตียงเข็นกระโจนเข้ามาคล้องแขนเข้ากับบ่ากว้าง
แล้วรัดด้วยแรงช้างเกินมนุษย์
“อึก... ปล่อยสิวะ!! อะไรวะเนี่ย!?
ถ้าตายแล้วก็ไปที่ชอบๆ!! อย่ามาหลอกหลอนกันเลยเถอะ!!”
ตอนนี้ซอกจินสบถลั่น
เสียงดังก้องไปทั่วทั้งชั้นไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว รู้เพียงแค่ว่า ...กลิ่นที่ได้สูดดมเข้าไป
อืม... มันเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่เขาได้กลิ่นจากข้างในลิฟต์เมื่อครู่ยังไงล่ะ เมื่อหายข้องใจ
ทุกอย่างก็กระจ่าง แขนแกร่งทั้งผลักทั้งดันใบหน้าเป่งหนองที่หมายจะกัดเขานั้นเอาไว้
*ตุบ!!*
“เฮ้ย!!.. เดี๋ยวก่อน!!”
ไม่รู้ว่ายื้อดันกันไปมาอีท่าไหน
ร่างของเขาถึงได้ถอยหลังผิดจังหวะขัดเข้ากับขาของตัวเองพลิกคร่อมลงไปที่ร่างของศพมีชีวิต
ปากอิ่มปะทะเข้ากับความอวบอั๋นด้วยน้ำหนองเข้าอย่างจังที่ทรวงอก
...ซอกจินถึงกับเบ้หน้า
สาบานเลยว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่หาภรรยาที่มีหน้าอกอึ๋มๆแบบนี้อีกแล้ว
*กึก...*
เสียงฝีเท้า ของรองเท้าหนังหยุดอยู่กับที่
หยุดอยู่เหนือหัวของซอกจินพอดิบพอดี แต่มีหรือจะสนใจสิ่งอื่นในสถานการณ์แบบนี้ ?
สองมือรวบเข้าที่ข้อมือช้ำของศพซาง กยอลนิม ริมฝีปากอิ่มหอบแฮ่ก
กว่าจะทำให้หยุดเคลื่อนไหวได้มันก็แทบแย่เลยนะ ...
“คุณ...กำลังทำอะไร?”
เสียงไม่สบอารมณ์ดังอยู่ที่เหนือหัว
ซอกจินเงยหน้าขึ้นมองช้าๆอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักจนสายตาปะทะเข้ากับใบหน้าของคนแปลกหน้า
แล้วจ้องอยู่นาน ซอกจินคงจะลืมไปว่าตอนนี้อยู่ในสถานการณ์แบบไหน
แต่เขาก็สำรวจไปทั่วร่างของคนที่มาใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า...
สวมชุดเครื่องแบบ... ถือปืน... ตำรวจสินะ ?
แต่ทำไม ? มันไม่น่าใช่… หน้ายังละอ่อนขนาดนี้เลยเหรอ
??
“นายตายหรือยัง?”
หลังจากที่เสียงทุ้มเอ่ยถาม
คนถูกถามก็ได้แต่ยืนนิ่ง มองหน้าของเขาสลับกับศพผู้หญิงที่ถูกตรึงเอาไว้บนพื้น ยกมือที่ถือด้ามปืนสีทมิฬขึ้นมาจ่อกลางหัวของศพผู้หญิงที่ถูกเขาตรึงไว้
ก่อนจะลั่นไกปืน ยิงทิ้งอย่างไร้ความปราณีจนศพแน่นิ่งไป
*ปัง!!*
“เฮ้ย!!?”
ซอกจินอุทาน
รีบถดตัวถอยหลังไปจนชนเข้ากับขาเตียงเข็น
เงยหน้ามองตำรวจหนุ่มหน้าละอ่อนอย่างไม่ทันความคิดของเขาสักเท่าไหร่
...ก็จริงอยู่ที่ศพมันสมควรจะอยู่เฉยๆซะมากกว่าขยับลุกขึ้นมาขู่แฮ่ๆใส่
...แต่อย่างน้อยนะคุณตำรวจ... ทำอะไรก็หัดมีความเมตตาซะบ้างสิวะ คนเห็นก็กลัวนะเว้ย
ผวา!!
“เรื่องนั้นผมคงไม่จำเป็นต้องตอบ
ต้องรอให้คุณคิดเอาเอง ถ้าตายแล้วจะมายืนอยู่ตรงนี้แล้วพูดกับคุณได้เหรอครับ?”
“ได้สิ เพราะขนาดศพแม่นี่ยังเดินได้เลย
ทำไมคนที่ตายแล้วจะขยับไม่ได้?”
“…………………”
“อ่อ... แต่ศพพูดไม่ได้นี่นะฉันลืมไป”
หนุ่มในชุดเครื่องแบบถอนหายใจยาวๆ
มองใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของคนที่น่าจะอายุพอๆกับเขาอย่างหนักใจ
ร่างสูงกว่าได้ลุกขึ้นยืน ปัดกางเกงไปมา
ดูเหมือนจะไม่ค่อยตกใจที่เห็นศพเดินได้สักเท่าไหร่เลย
“ฉันชื่อ คิม ซอกจิน
เป็นนักศึกษาแพทย์จากมหาวิทยาลัย XXX แล้วนายล่ะ?
เป็นตำรวจในพื้นที่นี้เหรอ?”
เขาไม่ตอบ
เพียงแต่สะดุดอยู่กับคำว่านักศึกษาของคนข้างๆ ถ้างั้นเขาก็อ่อนกว่าหลายปีเลยสิ...
“ไม่ต้องตอบก็ได้ว่าชื่ออะไร จอน จองกุก
ใช่มั๊ย?”
ซอกจินถือวิสาสะก้มมองป้ายชื่อบนชุดเครื่องแบบพร้อมป้ายคล้องคอที่บ่งบอกว่า
เป็นเพียงนักเรียนตำรวจเท่านั้น มิน่าล่ะ ถึงได้ดูละอ่อนขนาดนี้ กระทั่งฝ่ามือของเขาได้ถูกจองกุกปัดออกอย่างแรง
ใบหน้าฉายแววไม่ชอบใจ พูดเตือนด้วยเสียงไร้อารมณ์
“อย่าทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ คุณมันก็เป็นได้แค่ไอ้โรคจิต...”
ดูเหมือนว่า การพบเจอของเขาทั้งสองจะมีอะไรผิดพลาดไปหน่อยนะ ...ไม่สิ ผิดพลาดเอามากๆเลยล่ะ
TBC.
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Talk. กับขนมพายที่กินไม่ได้ (แต่จะกินหนุ่มๆ) ♥
แฮ่ๆ มาลงที่เหลือให้เเล้วค่ะ ความจริงตอนนี้กินไปถึง 20 หน้าของ word เลยทีเดียว
เเต่อย่างที่เห็นค่ะ เพราะเคาะเว้นบรรทัดมากเกินไปหน่อย เลยต้องเรียงหน้าใหม่ เเต่ยังอยู่ที่ 15 หน้า
จองกุกกี้ของเราเจอกับพี่จินเเล้วนะคะ 55555555555. คงความเงอะงะไว้เสมอ เเต่ก็มีความเยือกเย็นน้า
ในตอนต่อไปจะเป็นยังไง ติดตามกันเอาเนอะ เเต่ตัวอย่างคงจะมาในวันพุธค่ะ เเบบเต็มคงลงได้ในวันพฤหัส
อย่างช้าก็คงวันเสาร์ เห็นคอมเม้นท์เเล้วใจชื้นค่ะ ถึงจะไม่มาก ก็คุ้มกับฟิคเรื่องเเรกที่เพิ่งจะเปิดเเล้ววว
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เเละเเฟนคลับทุกคนนะคะ อิอิ ♥
ตาม(จิก)ทวงฟิคได้ที่นี่.
twt : @Senrizeki
#โกลเด้นซอมบี้ของพี่จิน
บะบายค่ะ ~ วู้วว
ความคิดเห็น