ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธรา

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ย. 55


    บทที่  1

                    เมื่อคืนพอถึงที่พักปุ๊บ  ปัณรสก็จัดการจัดเก็บข้าวของส่วนตัวบางส่วน  ส่งอีเมล์ให้พี่ชายและจัดการธุระส่วนตัว  กว่าทุกอย่างจะรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว  และเพราะอาการปรับเวลาไม่ทันของเธอเองจึงทำให้ไม่กี่นาทีหลังจากหัวถึงหมอนปัณรสก็หลับอย่างสนิทไม่เหมือนคนที่นอนแปลกที่เลยสักนิด  ทำให้เธอยังไม่ได้วางแผนการท่องเที่ยวอย่างที่ใจคิด  ดังนั้นหลังจากตื่นเช้าขึ้นมารับความสดชื่นของอากาศในฤดูหนาวยามเช้าของกรุงโซลซึ่งค่อนข้างจะเย็นจัด (ปัณรสเดินทางมาถึงในช่วงต้นเดือนมกราคมเพื่อเตรียมตัวก่อนการเปิดเรียนในเดือนมีนาคม)  ปัณรสจึงตัดสินใจแล้วว่า  เธอจะใช้เวลาวันนี้ทั้งวันหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ววางแผนการท่องเที่ยวกับเวลาที่เหลืออีก  วันก่อนเริ่มการเรียน

     

                    เนื่องจากตอนนี้หญิงสาวพักอยู่ที่พักที่ทางสถานทูตจัดให้  ดังนั้นการรับประทานอาหารเช้ามื้อนี้ของเธอจึงไม่แปลกเลยที่จะได้เจอกับคนที่เธอรู้จักคนแรกหลังจากที่มาถึงที่นี่อย่าง  ‘คุณานนท์

                    “เมื่อคืนหลับสบายมั้ยครับ”  คำทักทายคำแรกจากชายหนุ่ม

                    “สบายมากถึงมากที่สุดเลยหล่ะค่ะ”  หญิงสาวตอบลากเสียงยาวอย่างคนอารมณ์ดี

                    “อาหารเช้าที่นี่เป็นแบบบุฟเฟ่ต์นะครับ  มีทั้ง Breakfast แบบฝั่งยุโรป  ข้าวต้มแบบฝั่งไทย  แล้วก็มีอาหารเกาหลีด้วยครับ  วันนี้รู้สึกว่าจะเป็นข้าวต้มไข่ดิบครับ”  คุณานนท์อธิบายรายละเอียดของอาหารทั้งหมด

                    “ข้าวต้มไข่ดิบ !! จะทานได้ยังไงค้ะ  ไม่เหม็นคาวแย่เหรอ  ไข่ดิบทั้งฟอง”  ปัณรสอุทานพร้อมกับทำตาโตอย่างประหลาดใจ  ยิ่งเห็นคุณานนท์เห็นก็ยิ่งรู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าน่ารักมากขึ้นเรื่อย ๆ

                    “อันนี้ผมรับรองได้เลยครับว่าไม่คาว  เพราะผมลองชิมมาแล้ว  แต่ถ้าคุณรสชอบอาหารรสจัดหน่อยก็คงจะไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ครับ  เพราะว่ามันค่อนข้างจืด”  คุณานนท์อธิบายต่อ

                    “ถ้าไม่ถูกปากแล้วจะรู้รสได้ยังไงหล่ะค้ะ”  หญิงสาวตอบพร้อมหัวเราะเบา ๆ อย่างขี้เล่น

                    “คุณรสก็...จะลองชิมมั้ยครับ”

                    “แหม ! มาถึงถิ่นแล้วทั้งที  จะมากินอาหารไทยได้ไงหล่ะค้ะ”  หญิงสาวเดินเลือกตักข้าวต้มเกาหลีมาลองทานดู  แล้วก็คิดว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดนั้นไม่ผิดไปจากความจริงเลยสักนิด  รสชาตินั้นออกจะจืดไปนิดสู้อาหารไทยไม่ได้  แต่ว่าไข่ดิบนั้นไม่ได้คาวเลยแม้แต่นิด  โดยรวมแล้วจัดว่าอร่อยไม่แปลกจนทานไม่ได้สำหรับคนต่างชาติ

                    “ความจริงแล้วคนที่นี่เขาเรียกกันว่า จุค (Juk) หรือว่าข้าวต้มเกาหลีครับ แต่ผมเรียกข้าวต้มไข่ดิบเพราะมันแปลกดี  วันนี้คุณรสจะไปไหนรึป่าวครับ”

                    “ไม่หล่ะค่ะ  อากาศมันหนาวอ่ะค่ะ  รสยังไม่ค่อยชิน  ก็เลยว่าจะเก็บตัววางแผนไปเที่ยวดีกว่าค่ะ”

                    “คุณรสอยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษรึป่าวคร้บ  บอกผมได้นะครับ  ผมอาสาเป็นไกด์ให้เอง”

                    “ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ  พอดีว่ารสเองก็ยังไม่ได้หาข้อมูลเหมือนกัน  ไม่อยากรบกวนเวลางานของคุณนนท์ด้วยค่ะ”  ปัณรสตอบอย่างที่ใจคิด  เธอรู้สึกเกรงใจคุณานนท์จริง  แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือเธอชอบเที่ยวคนเดียวมากกว่าจะเที่ยวกับคนที่เพิ่งรู้จัก  ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองรึป่าว  แต่เธอเหมือนจะเห็นความผิดหวังจากแววตาคู่นั้นของชายหนุ่มตรงหน้า  แต่มันก็มาให้เห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น  ปัณรสจึงไม่ได้เก็บมาคิดอะไรมาก

                    “งั้นถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกนะครับ”  หลังจากนั้น  ทั้งสองก็ต่างคนตางทานอาหารเช้าของตนเอง  และมีบทสนทนาเรื่องสัพเพเหระทั่วไป  จนปัณสขอตัวกลับห้องพักเพราะอยากจะกลับไปวางแผนเที่ยวเต็มทีแล้ว

                    “รสขอตัวก่อนนะค้ะ”

                    “ตามสบายครับ  อ้อ...คุณรสครับ  ผมว่าคุณรสควรจะหาโทรศัพท์สำหรับใช้ที่นี่นะครับ  เผื่อเวลามีอะไรฉุกเฉินจะได้ติดต่อกันได้”

                    “ขอบคุณมากค่ะ  แล้วรสจะลองหาดูนะค้ะ”  ปัณรสยิ้มรับคำแนะนำของชายหนุ่มพร้อมหมุนตัวเดินกลับห้องทันที

     

                    หลังจากกลับเข้ามาในห้องพัก  ปัณรสใช้เวลาหาข้อมูลไม่นาน  เธอก็ตัดสินใจได้ว่า  วันนี้เธอจะต้องออกไปหาซื้อโทรศัพท์ซักเครื่องมาใช้ระหว่างอยู่ที่นี่  หญิงสาวเลือกเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงเคทีเอ็กซ์ไปยังย่านการค้ายงซาน  ปัณรสรู้สึกดีใจเหลือเกินที่เธอเรียนรู้ภาษาเกาหลีพื้นฐานมาบ้างก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่  เพราะป้ายส่วนใหญ่เป็นภาษาเกาหลีมากกว่าภาษาอังกฤษ  ไม่นานปัณรสก็มาถึงสถานีรถไฟโซล  จัดการซื้อตั๋วและขึ้นรถไฟไปยังจุดหมายของเธอทันที

     

                    ไม่นานปัณรสก็มาถึงจุดหมายปลายทางของเธอ  ตลาดยงซานเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่มาก  มีร้านค้ามากมายกว่า  3,000  ร้าน  และนี่เป็นเหตุผลที่ปัณรสเลือกที่จะมาที่นี่  เพราะที่นี่มีทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และสินค้าแฟชั่นทั่ว ๆ ไปขาย  นอกจากเธอจะได้ของที่ต้องการมาซื้อแล้วยังได้เดินเล่นดูของสวย ๆ งาม ๆ อีก  คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม

                    “Excuse  me. How  much  is  this  phone ?” (ขอโทษค่ะ  โทรศัพท์เครื่องนี้ราคาเท่าไหร่ค้ะ)  ปัณรสเดินเข้าไปถามในร้านขายโทรศัพท์เมื่อเจอเครื่องที่ถูกใจ

                    “700,000  Won”  พนักงานในร้านตอบด้วยสำเนียงแปร่ง ๆ นิด ๆ

                    “OK. I  just  choose  this  one”  (ตกลงค่ะ  งั้นฉันเอาเครื่องนี้)  ก็จะไม่ให้เธอตกลงซื้อง่าย ๆ ได้ยังไงหล่ะ  ก็รุ่นนี้เธอหมายตาไว้ตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว  รอแล้วรอเล่าก็ไม่นำเข้าซักที  พอมาเจอที่นี่แถมยังราคาถูกกว่าซื้อในร้านใหญ่ ๆ ตั้งสามแสนวอน  ไม่ตกลงซื้อก็บ้าแล้ว

     

                    หลังจากซื้อโทรศัพท์และจัดการเปิดใช้เป็นที่เรียบร้อย  ปัณรสก็เดินเล่นเข้าร้านโน้นออกร้านนี้  กินเวลาไปหลายชั่วโมง  กว่าจะมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว  ปัณรสรีบหาทางออกจากตลาดเพื่อไปสถานีรถไฟให้เร็วที่สุด  เพราะเธอไม่อยากกลับค่ำมาก  แต่ด้วยความที่ไม่ใช่เจ้าถิ่นแถมตลาดก็ใหญ่มาก  ตอนนี้ปัณรสเลยอยู่ในสภาพไม่ต่างจาก  ‘เด็กหลงทาง

                    “ไม่น่าเดินเพลินเล้ย  ยัยรสเอ้ย”  หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเองเริ่มรู้สึกแย่ที่ปฏิเสธความหวังดีของคุณานนท์  ยิ่งเดินก็ยิ่งหลง  จนในตอนนี้เธอมั่นใจกับตัวเองแล้วว่าเธอออกจากตลาดยงซานเรียบร้อยแล้ว  เพียงแต่ว่า ทางที่เธอเดินอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ทางไปสถานีรถไฟ  แถมยิ่งเดินคนก็ยิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ จนเธอเองเริ่มรู้สึกกลัว

                    ‘เสียงเอะอะอะไรกันอ่ะ’  หญิงสาวคิดในใจพลางคิดในแง่ดีว่าบางทีอาจจะเจอใครที่สื่อสารกับเธอได้และใจดีพาเธอไปส่งที่สถานทูต  แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่เธอคิด  ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในวงล้อมของกลุ่มชายฉกรรจ์อีก  คน  ปัณรสรู้สึกคุ้นเคยกับชายหนุ่มร่างสูงที่ตกอยู่ในวงล้อมอย่างบอกไม่ถูก  เธอยังไม่ก้าวเข้าไป  เลือกที่จะรอดูสถานการณ์ก่อน

                    ‘คนบ้าอะไรเก่งชะมัด’  ปัณรสนึกชมชายหนุ่มร่างสูงอยู่ในใจเพราะถึงเขาจะโดนรุมอยู่แต่กลับไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเลย  ตรงกันข้ามชายหนุ่มร่างสูงจัดการคนพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย

                    “ระวัง !!!”  ปัณรสอุทานได้แค่นั้นแล้วก็ต้องเผลอเอามือปิดปากตัวเอง  เธอกำลังดูเขาต่อสู้อยู่เพลิน ๆ อยู่ดี ๆ คนที่ล้มลงและอยู่ข้างหลังก็หยิบเจ้ามัจจุราชกระบอกสีดำมะเมื่อมขึ้นมาเล็งไปทางชายหนุ่มร่างสูง 

                    ปัง !!!  เสียงปืนดังขึ้นเพียงนัดเดียว  ชายหนุ่มร่างสูงทรุดลงกับพื้น  วินาทีนั้นเธอรู้สึกเหมือนกับตัวเองมีส่วนผิดที่ทำให้เขาหันมาหาเธอเพราะเสียงเตือนและทำให้เขาพลาดพลั้งและอาจจะตายได้  เธอรีบวิ่งเข้าไปในเหตุการณ์เพื่อช่วยเหลือเขาทันที  จิตใต้สำนึกบอกเธอว่า  เธอควรจะวิ่งหนีไป  เพราะที่นี่มีแต่อันตรายซึ่งอาจจะรวมถึงตัวชายหนุ่มที่เพิ่งทรุดลงไปด้วยก็ได้  ใช่ !! เธอไม่รู้จักเขาเลยแม้แต่น้อย  แต่ความรู้สึกอีกด้านกลับบอกว่า  เธอต้องช่วยเขา

                    Help  me !  Help  me ! The  police !  The  police !”  (ช่วยด้วย ๆ ตำรวจมา ๆ )  ปัณรสร้องตะโกนทำเหมือนกับว่ามีตำรวจมา  ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งหนีไปอีกทาง  หลังจากทางสะดวกปัณรสจึงรีบวิ่งเข้าดูอาการของชายหนุ่ม

                    “Are  you  OK ?”  (คุณเป็นอะไรมั้ย)  ปัณรสถามและรีบเข้าไปช่วยประคองชายหนุ่ม

                    “I’m  OK.”  (ผมไม่เป็นอะไร)  ชายหนุ่มตอบสั้น ๆ พร้อมพยักหน้า  บทสนทนาสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น  เพราะปัณรสเองไม่คิดว่าจะถามอะไรให้ยืดยาว  เธอควรจะพาชายหนุ่มไปโรงพยาบาลเพื่อนดูแผลก่อนดีว่า

                    “Where  are  you  taking  me  to?”  (คุณจะพาผมไปไหน)  ชายหนุ่มหันมาถามด้วยความสงสัย  เพราะหญิงสาวที่ช่วยประคองเขาอยู่ตอนนี้เดินเหมือนคนไม่รู้ทิศ

                    “Hospital.”  (โรงพยาบาล)  หญิงสาวตอบสั้น ๆ ก็เห็นอยู่ว่าเขาเจ็บขนาดนี้  เธอจะพาเขาไปไหนได้ถ้าไม่ใช่โรงพยาบาล

                    “No, thank  you  but  you  only  take  me  to  the  mini-mart.”  (ไม่ต้องหรอก  คุณแค่พาผมไปที่ร้านสะดวกซื้อก็พอ)  ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า  ปัณรสมองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสัย  แต่สรุปแล้วไม่ว่าจะโรงพยาบาลหรือร้านสะดวกซื้อทั้งสองคนก็ไปไม่ถึงทั้งคู่  เพราะก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป  ก็มีรถยนต์ยุโรปสีดำเป็นเงามาจอดอยู่ตรงหน้าทั้งคู่  พร้อมชายฉกรรจ์ใส่สูทดำเดินลงมาอีก  5-6  คน  แวบแรกปัณรสกระตุกชายเสื้อของชายหนุ่มข้างกายเหมือนส่งสัญญาณเตือนถึงอันตราย  แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มตอบกลับมาพร้อมจูงมือเธอไปขึ้นรถ  ปัณรสคิดว่าเขาคงไปโรงพยาบาล  อย่างน้อยเธอก็ควรตามเขาไปและจากโรงพยาบาลก็คงหาทางกลับสถานทูตได้ง่ายกว่าที่นี่ที่นาน ๆ ทีจะมีรถผ่านมา

     

                    หญิงสาวต่างชาติข้างตัวของเขาหลับไปแล้ว  หลับไปตั้งแต่เมื่อไรเขาก็บอกไม่ได้  รู้เพียงแต่ว่าเขาหันกลับมาจากการพูดคุยกับลูกน้องคนสนิทเพียงไม่กี่ประโยคเธอก็หลับไปแล้ว  ชายหนุ่มคิดในใจอย่างเอ็นดูว่า  หญิงสาวตรงหน้าเป็นคนแบบไหนกันนะ  มาอยู่กับคนแปลกหน้าต่างบ้านต่างเมืองในสถานการณ์ไม่ปกติแบบนี้เธอยังหลับได้ลงอีก  ถ้าผู้ชายคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอตอนนี้ไม่ใช่เขาหล่ะก็  เธอคงโดนทำอะไรไปถึงไหนต่อไหน  ยิ่งคิดถึงหน้าเธอตอนที่โผล่เข้าไปช่วยเขาชายหนุ่มก็ยิ่งอมยิ้ม 

                    ‘ผู้หญิงอะไรใจกล้าบ้าบิ่นจริง ๆ

                    “ไปไหนครับนาย”  เสียงลูกน้องคนสนิทดังขึ้นทำลายความคิดของชายหนุ่ม

                    “ไปคอนโดฉันก่อน”  ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ  แววตาแห่งความอบอุ่นจางหายไป

                    “แล้วจะให้ทำยังไงกับเธอครับ”  ลูกน้องคนสนิทเบนสายตามายังสาวสวยร่างบางที่หลับอยู่ข้าง ๆ นายของตน

                    “ฉันจัดการเอง”  เมื่อเขาเอ่ยปาก  ไม่ว่าใครก็ขัดไม่ได้

                    “ที่นี่ที่ไหน”  คำถามแรกที่หลุดจากปากของปัณรสหลังจากที่เธอลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่า  นี่ไม่ใช่เพดานห้องพักของเธอที่สถานฑูต

                    “บ้านผม”  เสียงผู้ชายที่ตอบกลับมาทำให้ปัณรสสะดุ้งสุดตัวและหันไปมองทางต้นเสียง  เมื่อรู้ว่าเป็นชายหนุ่มร่างสูงที่เธอช่วยเขาเอาไว้ก็คลายกังวลไปไดบ้าง

                    “คุณพูดภาษาไทยได้ ?”  ปัณรสถามด้วยความแปลกใจ  ถึงเขาจะพูดไม่ชัดนักแต่เธอแน่ใจว่าเขาฟังที่เธอพูดรู้เรื่องและพูดสื่อสารกับเธอได้

                    “ก็นิดหน่อย  แม่ผมเป็นคนไทย”  ชายหนุ่มทำท่าไม่ใส่กับความประหลาดใจของหญิงสาวตรงหน้าแล้วเดินมานั่งลงข้าง ๆ เธอ

                    “แผลคุณเป็นยังไงบ้าง”  ปัณรสเป็นห่วงเรื่องแผลของเขามากกว่าที่จะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ชายแปลกหน้ากำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอและเว้นระยะห่างน้อยลงเรื่อย ๆ

                    “ไม่มีอะไรมาก  กระสุนแค่ถากไป”  ชายหนุ่มตอบพร้อมกับกระเถิบตัวเข้าใกล้หญิงสาวเข้าไปอีก  ตอนที่เธอหลับอยู่เขาได้สืบข้อมูลของเธอมาหมดแล้ว  และในเวลาไม่ถึงชั่วโมงข้อมูลทั้งหมดของหญิงสาวตรงหน้าก็มาปรากฏต่อหน้าเขา

                    “ก็ดีแล้วค่ะ  งั้นฉันคงต้องกลับแล้ว”  หญิงสาวกระเถิบตัวหนีอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มกระเถิบเข้าใกล้อีก  เธอไม่น่าไว้ใจคนแปลกหน้าเลย  โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่หน้าตาดีแบบชายหนุ่มตรงหน้า  คิ้วเข้มหนาได้รูป  ดวงตายาวรีแบบลูกครึ่งแต่ก็มีถึงกับเล็กเกินไปดูมีเสน่ห์คู่นั้น  จมูกโด่งเป็นสัน  ปากเรียวหยักได้รูป  สีผิวคมเข้มแบบไทยผสมเกาหลีไม่ขาวจัดเกินไปจนดูสำอาง  แบบนี้แหละที่อันตรายต่อหัวใจของเธอเหลือเกิน

                    “จะรีบกลับไปไหนล่ะคุณ  อยู่กับผมก่อนสิ”  ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงแหบพร่า  พร้อมโน้มหน้าลงมาจนเกือบชิดหญิงสาว  ใช้แขนแข็งแรงเกี่ยวรัดเอวบางไว้แล้วดึงเธอเข้ามาแนบชิดตัว  ทันทีที่เนื้อตัวสัมผัสกันเหมือนมีกระแสไฟแรงสูงช็อตทั้งตัวของเขาและหญิงสาว  เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน 

                    “มะ...ไม่เอา  ปล่อยฉันนะคุณ  ฉันเป็นคนช่วยคุณนะ  คุณจะทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง”  หญิงสาวดิ้นรนออกจากอ้อมกอดที่หนาแน่นราวกับคีมเหล็กนั้นแต่ไม่เป็นผล  จนในที่สุดเธอได้แต่หลับตาปี๋พร้อมกับภาวนาถึงสิ่งศักดิ์ต่าง ๆ ในใจ  แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดชะงักลง

                    “หึ หึ”  เสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มดังขึ้น  ทำให้ปัณรสลืมตาขึ้นมาพร้อมกับผละออกจากอ้อมกอดของเขา  น่าแปลกที่คราวนี้มันดูง่ายดายเหลือเกิน

                    “คุณแกล้งฉัน !!”  ปัณรสขึ้นเสียงใส่ด้วยความโมโห  อะไรกัน !! เธอช่วยชีวิตเขา  แต่แล้วเขาก็มาแกล้งให้เธออกสั่นขวัญหายซะได้

                    “เปล่า  ผมแค่อยากจะเตือนคุณว่า  อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า  โดยเฉพาะผู้ชาย”  ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ พร้อมกับเดินไปจูงมือหญิงสาวให้มานั่งที่เดิม  คราวนี้เขายอมนั่งห่างเธอออกไปหน่อยเพื่อให้เธอคลายกังวล  ซึ่งปัณรสเองก็คลายความกังวลลงได้บ้างด้วยรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้มีทีท่าคุกคามเธออย่างจริงจัง  หากเขาจะทำจริง ๆ เธอคงไม่เหลือรอดมาถึงตอนนี้

                    “คุณก็ทำแผลเรียบร้อยแล้ว  งั้นคุณช่วยตอบแทนฉันโดยการไปส่งฉันหน่อยได้มั้ยค้ะ”  ปัณรสพูดเพราะคิดว่านี่ก็ดึกมากแล้ว  เธอควรจะกลับที่พักเพื่อไม่ให้มีใครเป็นห่วง

                    “คุณจะไม่ให้โอกาสผมได้ทำความรู้จักกับผู้มีพระคุณหน่อยเหรอ”  ชายหนุ่มถามไปอย่างนั้นเอง  เพราะข้อมูลของเธอเขารู้ดีหมดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร  เพียงแต่เขาอยากให้เธอได้ทำความรู้จักเขาบ้าง  ‘อย่างจริงจัง

                    “ฉันคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสจะต้องเจอกันอีก  แล้วคุณก็ไม่เป็นอะไรแล้ว  ฉันไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก  แค่ให้คุณไปส่งที่สถานฑูตแค่นั้น”  ปัณรสตอบไปตามที่คิด  นั่นทำให้ชายหนุ่มผิดหวังมาก  แต่เขาก็ยังไม่หมดความพยายาม

                    “งั้นเอาเป็นว่า  คราวนี้เราไม่ต้องรู้จักกันก็ได้  แต่ถ้าคราวหน้าเจอกันเราต้องรู้จักกันได้มั้ยครับ  ถ้าไม่งั้นผมไม่ไปส่งคุณ”  ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ  เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องได้เจอกับเธออักอยู่แล้ว

                    “ก็ได้ค่ะ  ตอนนี้คุณไปส่งฉันได้รึยังค้ะ  นี่มันก็ดึกมากแล้ว”  ปัณรสตอบอย่างไม่คิดมากเพราะเธอเชื่อจริง ๆ ว่าคงไม่ต้องเจอเขาอีกแล้ว  แล้วเธอก็อยากกลับไปพักเต็มที

                    “ตกลงครับ”  ชายหนุ่มตอบตกลงและเดินนำหญิงสาวออกจากห้องในตาฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างชัดเจน  แต่เพียงแวบเดียวก็กลับมาเป็นสายตาที่สุภาพและอ่อนโยนเช่นเดิม

     

                    ทันทีที่กลับมาถึงสถานทูต  ปัณรสก้าวลงจากรถของชายหนุ่มพร้อมกับเอ่ยขอบคุณและหันหลังเดินเข้าที่พักทันทีไม่ได้หันกลับมามองชายหนุ่มอีก  เพราะเธอทั้งเหนื่อยและเพลีย  อยากจะอาบน้ำแล้วนอนพักผ่อน  แต่แทนที่เธอจะได้รีบกลับเข้าห้อง  เธอก็ต้องเจอกับปรัศนีหนุ่มและคำถามอีกชุดใหญ่

                    “คุณรส  ไปไหนมาครับ  กลับมาป่านนี้  ผมเป็นห่วงแทบแย่”  คุณานนท์นั่นเองที่ก้าวเข้ามาหาเธอ  พร้อมจับมือเธออย่างลืมตัว

                    “คือว่ารสออกไปซื้อโทรศัพท์แล้วหลงทางหน่ะค่ะ”  หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ พร้อมก้มลงมองมือที่เดินชายหนุ่มเกาะกุมอยู่  คุณานนท์จึงยอมปล่อยมือของเธอเพราะกลัวจะเสียมารยาม

                    “แล้วใครมาส่งครับ”  ชายหนุ่มเสียงแข็งขึ้นมาทันที  เขายืนรอเธออยู่เป็นนานสองนาน  อยู่ดี ๆ ก็มีรถยุโรปสีดำคันหรูมาจอดพร้อมกับหนึ่งชายหนึ่งหญิง  หนึ่งหญิงคนนั้นก็คือปัณรสที่เขาแสนจะเป็นห่วงนี่เอง  แต่อีกคนนี่สิ  ใครกัน  หน้าตาออกจะหล่อเหลาขนาดนั้น 

                    “รสบังเอิญเจอเขาหน่ะค่ะ  แล้วบอกเขาว่าหลงทาง  เขาก็เลยใจดีมาส่ง”  ปัณรสหลีกเลี่ยงการเล่าเรื่องทั้งหมด  เพราะเธออยากจบเรื่องและพักผ่อนจะแย่แล้ว

                    “แล้ว...”

                    “คุณนนท์ค้ะ  ตอนนี้รสกลับมาถึงแล้วอย่างปลอดภัย  ขอบคุณที่เป็นห่วงนะค้ะ  แต่รสขอตัวก่อน  รสอยากพักผ่อน”  ยังไม่ทันที่คุณานนท์จะพูดจบประโยค  ปัณรสก็ตัดบทเสียก่อน  เธอไม่ใช่คนที่จะอดทนอะไรนาน ๆ กับเรื่องความง่วงของเธอ  ที่เมืองไทยทั้งครอบครัวรวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทของเธอต่างรู้ดีว่า  เธอหวงแหนเวลานอนของเธอยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้

                    “โอเคครับ  งั้นคุณรสไปพักผ่อนเถอะครับ”  คุณานนท์จับความหงุดหงิดในน้ำเสียงของหญิงสาวได้  เขาไม่อยากเสียคะแนนโดยการทำให้เธอหงุดหงิดหรือขัดใจในตอนนี้  เพราะเพิ่งรู้จักกัน  เขาจึงยอมปล่อยให้เธอไปพักผ่อน

     

                    หลังจากที่จัดการธุระส่วนตัวเสร็จหญิงสาวก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง  ปัณรสคิดว่าตัวเองต้องในหลับในทันทีแน่ ๆ หลังจากที่หัวถึงหมอน  แต่เธอกลับคิดถึงใครคนนั้น  ใบหน้าที่เธอรู้สึกคุ้นเคย  คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก  ใช่ ! เธอคิดออกแล้ว  ใบหน้าหล่อเหลาที่เจอในวันนี้เป็นพิมพ์เดียวกับที่เจอที่สนามบินในวันนั้น  ต้องใช่คนเดียวกันแน่ ๆ ปัณรสมั่นใจเช่นนั้น  ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินเที่ยวและการที่ต้องเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน  ทำให้ในที่สุดหญิงสาวก็ก้าวย่างเข้าสู่ห้วงนิทรา  

     

                    หลังจากหญิงสาวลงจากรถเขาไปแล้ว  เข้ายังไม่ขับออกไปในทีเดียว  ยังรอให้แน่ใจว่าเธอเดินเข้าไปถึงที่พักอย่างปลอดภัยแล้วจริง ๆ และเพราะเขารอดูความปลอดภัยของเธอจึงได้ทันเห็นผู้ชายอีกคนที่ออกมารับเธอ  หมอนั่นขับมือถือแขนของหญิงสาวอย่างถือวิสาสะ  เห็นแล้วมันหน้าหมั่นไส้จนอยากจะอัดหมอนั่นซักทีสองที  แต่ยังก่อน  ดูจากท่าทีแล้ว  หญิงสาวเองจะยังไม่รู้ว่าหมอนั่นคิดอะไรกับเธอ  เธอคนนี้เป็นของเขาเท่านั้น  ถ้าเขาได้เลือกแล้ว  ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องเธอ


      .....................................................................................................................................................................................

    ฝากแนะนำ  ติชมด้วยนะค้ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×