คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
บทที่ 1
เมื่อคืนพอถึงที่พักปุ๊บ ปัณรสก็จัดการจัดเก็บข้าวของส่วนตัวบางส่วน ส่งอีเมล์ให้พี่ชายและจัดการธุระส่วนตัว กว่าทุกอย่างจะรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว และเพราะอาการปรับเวลาไม่ทันของเธอเองจึงทำให้ไม่กี่นาทีหลังจากหัวถึงหมอนปัณรสก็หลับอย่างสนิทไม่เหมือนคนที่นอนแปลกที่เลยสักนิด ทำให้เธอยังไม่ได้วางแผนการท่องเที่ยวอย่างที่ใจคิด ดังนั้นหลังจากตื่นเช้าขึ้นมารับความสดชื่นของอากาศในฤดูหนาวยามเช้าของกรุงโซลซึ่งค่อนข้างจะเย็นจัด (ปัณรสเดินทางมาถึงในช่วงต้นเดือนมกราคมเพื่อเตรียมตัวก่อนการเปิดเรียนในเดือนมีนาคม) ปัณรสจึงตัดสินใจแล้วว่า เธอจะใช้เวลาวันนี้ทั้งวันหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ววางแผนการท่องเที่ยวกับเวลาที่เหลืออีก 6 วันก่อนเริ่มการเรียน
เนื่องจากตอนนี้หญิงสาวพักอยู่ที่พักที่ทางสถานทูตจัดให้ ดังนั้นการรับประทานอาหารเช้ามื้อนี้ของเธอจึงไม่แปลกเลยที่จะได้เจอกับคนที่เธอรู้จักคนแรกหลังจากที่มาถึงที่นี่อย่าง ‘คุณานนท์’
“เมื่อคืนหลับสบายมั้ยครับ” คำทักทายคำแรกจากชายหนุ่ม
“สบายมากถึงมากที่สุดเลยหล่ะค่ะ” หญิงสาวตอบลากเสียงยาวอย่างคนอารมณ์ดี
“อาหารเช้าที่นี่เป็นแบบบุฟเฟ่ต์นะครับ มีทั้ง Breakfast แบบฝั่งยุโรป ข้าวต้มแบบฝั่งไทย แล้วก็มีอาหารเกาหลีด้วยครับ วันนี้รู้สึกว่าจะเป็นข้าวต้มไข่ดิบครับ” คุณานนท์อธิบายรายละเอียดของอาหารทั้งหมด
“ข้าวต้มไข่ดิบ !! จะทานได้ยังไงค้ะ ไม่เหม็นคาวแย่เหรอ ไข่ดิบทั้งฟอง” ปัณรสอุทานพร้อมกับทำตาโตอย่างประหลาดใจ ยิ่งเห็นคุณานนท์เห็นก็ยิ่งรู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าน่ารักมากขึ้นเรื่อย ๆ
“อันนี้ผมรับรองได้เลยครับว่าไม่คาว เพราะผมลองชิมมาแล้ว แต่ถ้าคุณรสชอบอาหารรสจัดหน่อยก็คงจะไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ครับ เพราะว่ามันค่อนข้างจืด” คุณานนท์อธิบายต่อ
“ถ้าไม่ถูกปากแล้วจะรู้รสได้ยังไงหล่ะค้ะ” หญิงสาวตอบพร้อมหัวเราะเบา ๆ อย่างขี้เล่น
“คุณรสก็...จะลองชิมมั้ยครับ”
“แหม ! มาถึงถิ่นแล้วทั้งที จะมากินอาหารไทยได้ไงหล่ะค้ะ” หญิงสาวเดินเลือกตักข้าวต้มเกาหลีมาลองทานดู แล้วก็คิดว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดนั้นไม่ผิดไปจากความจริงเลยสักนิด รสชาตินั้นออกจะจืดไปนิดสู้อาหารไทยไม่ได้ แต่ว่าไข่ดิบนั้นไม่ได้คาวเลยแม้แต่นิด โดยรวมแล้วจัดว่าอร่อยไม่แปลกจนทานไม่ได้สำหรับคนต่างชาติ
“ความจริงแล้วคนที่นี่เขาเรียกกันว่า จุค (Juk) หรือว่าข้าวต้มเกาหลีครับ แต่ผมเรียกข้าวต้มไข่ดิบเพราะมันแปลกดี วันนี้คุณรสจะไปไหนรึป่าวครับ”
“ไม่หล่ะค่ะ อากาศมันหนาวอ่ะค่ะ รสยังไม่ค่อยชิน ก็เลยว่าจะเก็บตัววางแผนไปเที่ยวดีกว่าค่ะ”
“คุณรสอยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษรึป่าวคร้บ บอกผมได้นะครับ ผมอาสาเป็นไกด์ให้เอง”
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ พอดีว่ารสเองก็ยังไม่ได้หาข้อมูลเหมือนกัน ไม่อยากรบกวนเวลางานของคุณนนท์ด้วยค่ะ” ปัณรสตอบอย่างที่ใจคิด เธอรู้สึกเกรงใจคุณานนท์จริง แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือเธอชอบเที่ยวคนเดียวมากกว่าจะเที่ยวกับคนที่เพิ่งรู้จัก ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองรึป่าว แต่เธอเหมือนจะเห็นความผิดหวังจากแววตาคู่นั้นของชายหนุ่มตรงหน้า แต่มันก็มาให้เห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น ปัณรสจึงไม่ได้เก็บมาคิดอะไรมาก
“งั้นถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกนะครับ” หลังจากนั้น ทั้งสองก็ต่างคนตางทานอาหารเช้าของตนเอง และมีบทสนทนาเรื่องสัพเพเหระทั่วไป จนปัณสขอตัวกลับห้องพักเพราะอยากจะกลับไปวางแผนเที่ยวเต็มทีแล้ว
“รสขอตัวก่อนนะค้ะ”
“ตามสบายครับ อ้อ...คุณรสครับ ผมว่าคุณรสควรจะหาโทรศัพท์สำหรับใช้ที่นี่นะครับ เผื่อเวลามีอะไรฉุกเฉินจะได้ติดต่อกันได้”
“ขอบคุณมากค่ะ แล้วรสจะลองหาดูนะค้ะ” ปัณรสยิ้มรับคำแนะนำของชายหนุ่มพร้อมหมุนตัวเดินกลับห้องทันที
หลังจากกลับเข้ามาในห้องพัก ปัณรสใช้เวลาหาข้อมูลไม่นาน เธอก็ตัดสินใจได้ว่า วันนี้เธอจะต้องออกไปหาซื้อโทรศัพท์ซักเครื่องมาใช้ระหว่างอยู่ที่นี่ หญิงสาวเลือกเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงเคทีเอ็กซ์ไปยังย่านการค้ายงซาน ปัณรสรู้สึกดีใจเหลือเกินที่เธอเรียนรู้ภาษาเกาหลีพื้นฐานมาบ้างก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ เพราะป้ายส่วนใหญ่เป็นภาษาเกาหลีมากกว่าภาษาอังกฤษ ไม่นานปัณรสก็มาถึงสถานีรถไฟโซล จัดการซื้อตั๋วและขึ้นรถไฟไปยังจุดหมายของเธอทันที
ไม่นานปัณรสก็มาถึงจุดหมายปลายทางของเธอ ตลาดยงซานเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่มาก มีร้านค้ามากมายกว่า 3,000 ร้าน และนี่เป็นเหตุผลที่ปัณรสเลือกที่จะมาที่นี่ เพราะที่นี่มีทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และสินค้าแฟชั่นทั่ว ๆ ไปขาย นอกจากเธอจะได้ของที่ต้องการมาซื้อแล้วยังได้เดินเล่นดูของสวย ๆ งาม ๆ อีก คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม
“Excuse me. How much is this phone ?” (ขอโทษค่ะ โทรศัพท์เครื่องนี้ราคาเท่าไหร่ค้ะ) ปัณรสเดินเข้าไปถามในร้านขายโทรศัพท์เมื่อเจอเครื่องที่ถูกใจ
“700,000 Won” พนักงานในร้านตอบด้วยสำเนียงแปร่ง ๆ นิด ๆ
“OK. I just choose this one” (ตกลงค่ะ งั้นฉันเอาเครื่องนี้) ก็จะไม่ให้เธอตกลงซื้อง่าย ๆ ได้ยังไงหล่ะ ก็รุ่นนี้เธอหมายตาไว้ตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว รอแล้วรอเล่าก็ไม่นำเข้าซักที พอมาเจอที่นี่แถมยังราคาถูกกว่าซื้อในร้านใหญ่ ๆ ตั้งสามแสนวอน ไม่ตกลงซื้อก็บ้าแล้ว
หลังจากซื้อโทรศัพท์และจัดการเปิดใช้เป็นที่เรียบร้อย ปัณรสก็เดินเล่นเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ กินเวลาไปหลายชั่วโมง กว่าจะมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ปัณรสรีบหาทางออกจากตลาดเพื่อไปสถานีรถไฟให้เร็วที่สุด เพราะเธอไม่อยากกลับค่ำมาก แต่ด้วยความที่ไม่ใช่เจ้าถิ่นแถมตลาดก็ใหญ่มาก ตอนนี้ปัณรสเลยอยู่ในสภาพไม่ต่างจาก ‘เด็กหลงทาง’
“ไม่น่าเดินเพลินเล้ย ยัยรสเอ้ย” หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเองเริ่มรู้สึกแย่ที่ปฏิเสธความหวังดีของคุณานนท์ ยิ่งเดินก็ยิ่งหลง จนในตอนนี้เธอมั่นใจกับตัวเองแล้วว่าเธอออกจากตลาดยงซานเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่า ทางที่เธอเดินอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ทางไปสถานีรถไฟ แถมยิ่งเดินคนก็ยิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ จนเธอเองเริ่มรู้สึกกลัว
‘เสียงเอะอะอะไรกันอ่ะ’ หญิงสาวคิดในใจพลางคิดในแง่ดีว่าบางทีอาจจะเจอใครที่สื่อสารกับเธอได้และใจดีพาเธอไปส่งที่สถานทูต แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่เธอคิด ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในวงล้อมของกลุ่มชายฉกรรจ์อีก 5 คน ปัณรสรู้สึกคุ้นเคยกับชายหนุ่มร่างสูงที่ตกอยู่ในวงล้อมอย่างบอกไม่ถูก เธอยังไม่ก้าวเข้าไป เลือกที่จะรอดูสถานการณ์ก่อน
‘คนบ้าอะไรเก่งชะมัด’ ปัณรสนึกชมชายหนุ่มร่างสูงอยู่ในใจเพราะถึงเขาจะโดนรุมอยู่แต่กลับไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเลย ตรงกันข้ามชายหนุ่มร่างสูงจัดการคนพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย
“ระวัง !!!” ปัณรสอุทานได้แค่นั้นแล้วก็ต้องเผลอเอามือปิดปากตัวเอง เธอกำลังดูเขาต่อสู้อยู่เพลิน ๆ อยู่ดี ๆ คนที่ล้มลงและอยู่ข้างหลังก็หยิบเจ้ามัจจุราชกระบอกสีดำมะเมื่อมขึ้นมาเล็งไปทางชายหนุ่มร่างสูง
ปัง !!! เสียงปืนดังขึ้นเพียงนัดเดียว ชายหนุ่มร่างสูงทรุดลงกับพื้น วินาทีนั้นเธอรู้สึกเหมือนกับตัวเองมีส่วนผิดที่ทำให้เขาหันมาหาเธอเพราะเสียงเตือนและทำให้เขาพลาดพลั้งและอาจจะตายได้ เธอรีบวิ่งเข้าไปในเหตุการณ์เพื่อช่วยเหลือเขาทันที จิตใต้สำนึกบอกเธอว่า เธอควรจะวิ่งหนีไป เพราะที่นี่มีแต่อันตรายซึ่งอาจจะรวมถึงตัวชายหนุ่มที่เพิ่งทรุดลงไปด้วยก็ได้ ใช่ !! เธอไม่รู้จักเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ความรู้สึกอีกด้านกลับบอกว่า ‘เธอต้องช่วยเขา’
“Help me ! Help me ! The police ! The police !” (ช่วยด้วย ๆ ตำรวจมา ๆ ) ปัณรสร้องตะโกนทำเหมือนกับว่ามีตำรวจมา ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งหนีไปอีกทาง หลังจากทางสะดวกปัณรสจึงรีบวิ่งเข้าดูอาการของชายหนุ่ม
“Are you OK ?” (คุณเป็นอะไรมั้ย) ปัณรสถามและรีบเข้าไปช่วยประคองชายหนุ่ม
“I’m OK.” (ผมไม่เป็นอะไร) ชายหนุ่มตอบสั้น ๆ พร้อมพยักหน้า บทสนทนาสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น เพราะปัณรสเองไม่คิดว่าจะถามอะไรให้ยืดยาว เธอควรจะพาชายหนุ่มไปโรงพยาบาลเพื่อนดูแผลก่อนดีว่า
“Where are you taking me to?” (คุณจะพาผมไปไหน) ชายหนุ่มหันมาถามด้วยความสงสัย เพราะหญิงสาวที่ช่วยประคองเขาอยู่ตอนนี้เดินเหมือนคนไม่รู้ทิศ
“Hospital.” (โรงพยาบาล) หญิงสาวตอบสั้น ๆ ก็เห็นอยู่ว่าเขาเจ็บขนาดนี้ เธอจะพาเขาไปไหนได้ถ้าไม่ใช่โรงพยาบาล
“No, thank you but you only take me to the mini-mart.” (ไม่ต้องหรอก คุณแค่พาผมไปที่ร้านสะดวกซื้อก็พอ) ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า ปัณรสมองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสัย แต่สรุปแล้วไม่ว่าจะโรงพยาบาลหรือร้านสะดวกซื้อทั้งสองคนก็ไปไม่ถึงทั้งคู่ เพราะก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป ก็มีรถยนต์ยุโรปสีดำเป็นเงามาจอดอยู่ตรงหน้าทั้งคู่ พร้อมชายฉกรรจ์ใส่สูทดำเดินลงมาอีก 5-6 คน แวบแรกปัณรสกระตุกชายเสื้อของชายหนุ่มข้างกายเหมือนส่งสัญญาณเตือนถึงอันตราย แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มตอบกลับมาพร้อมจูงมือเธอไปขึ้นรถ ปัณรสคิดว่าเขาคงไปโรงพยาบาล อย่างน้อยเธอก็ควรตามเขาไปและจากโรงพยาบาลก็คงหาทางกลับสถานทูตได้ง่ายกว่าที่นี่ที่นาน ๆ ทีจะมีรถผ่านมา
หญิงสาวต่างชาติข้างตัวของเขาหลับไปแล้ว หลับไปตั้งแต่เมื่อไรเขาก็บอกไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่าเขาหันกลับมาจากการพูดคุยกับลูกน้องคนสนิทเพียงไม่กี่ประโยคเธอก็หลับไปแล้ว ชายหนุ่มคิดในใจอย่างเอ็นดูว่า หญิงสาวตรงหน้าเป็นคนแบบไหนกันนะ มาอยู่กับคนแปลกหน้าต่างบ้านต่างเมืองในสถานการณ์ไม่ปกติแบบนี้เธอยังหลับได้ลงอีก ถ้าผู้ชายคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอตอนนี้ไม่ใช่เขาหล่ะก็ เธอคงโดนทำอะไรไปถึงไหนต่อไหน ยิ่งคิดถึงหน้าเธอตอนที่โผล่เข้าไปช่วยเขาชายหนุ่มก็ยิ่งอมยิ้ม
‘ผู้หญิงอะไรใจกล้าบ้าบิ่นจริง ๆ ’
“ไปไหนครับนาย” เสียงลูกน้องคนสนิทดังขึ้นทำลายความคิดของชายหนุ่ม
“ไปคอนโดฉันก่อน” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ แววตาแห่งความอบอุ่นจางหายไป
“แล้วจะให้ทำยังไงกับเธอครับ” ลูกน้องคนสนิทเบนสายตามายังสาวสวยร่างบางที่หลับอยู่ข้าง ๆ นายของตน
“ฉันจัดการเอง” เมื่อเขาเอ่ยปาก ไม่ว่าใครก็ขัดไม่ได้
“ที่นี่ที่ไหน” คำถามแรกที่หลุดจากปากของปัณรสหลังจากที่เธอลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่า นี่ไม่ใช่เพดานห้องพักของเธอที่สถานฑูต
“บ้านผม” เสียงผู้ชายที่ตอบกลับมาทำให้ปัณรสสะดุ้งสุดตัวและหันไปมองทางต้นเสียง เมื่อรู้ว่าเป็นชายหนุ่มร่างสูงที่เธอช่วยเขาเอาไว้ก็คลายกังวลไปไดบ้าง
“คุณพูดภาษาไทยได้ ?” ปัณรสถามด้วยความแปลกใจ ถึงเขาจะพูดไม่ชัดนักแต่เธอแน่ใจว่าเขาฟังที่เธอพูดรู้เรื่องและพูดสื่อสารกับเธอได้
“ก็นิดหน่อย แม่ผมเป็นคนไทย” ชายหนุ่มทำท่าไม่ใส่กับความประหลาดใจของหญิงสาวตรงหน้าแล้วเดินมานั่งลงข้าง ๆ เธอ
“แผลคุณเป็นยังไงบ้าง” ปัณรสเป็นห่วงเรื่องแผลของเขามากกว่าที่จะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ชายแปลกหน้ากำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอและเว้นระยะห่างน้อยลงเรื่อย ๆ
“ไม่มีอะไรมาก กระสุนแค่ถากไป” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับกระเถิบตัวเข้าใกล้หญิงสาวเข้าไปอีก ตอนที่เธอหลับอยู่เขาได้สืบข้อมูลของเธอมาหมดแล้ว และในเวลาไม่ถึงชั่วโมงข้อมูลทั้งหมดของหญิงสาวตรงหน้าก็มาปรากฏต่อหน้าเขา
“ก็ดีแล้วค่ะ งั้นฉันคงต้องกลับแล้ว” หญิงสาวกระเถิบตัวหนีอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มกระเถิบเข้าใกล้อีก เธอไม่น่าไว้ใจคนแปลกหน้าเลย โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่หน้าตาดีแบบชายหนุ่มตรงหน้า คิ้วเข้มหนาได้รูป ดวงตายาวรีแบบลูกครึ่งแต่ก็มีถึงกับเล็กเกินไปดูมีเสน่ห์คู่นั้น จมูกโด่งเป็นสัน ปากเรียวหยักได้รูป สีผิวคมเข้มแบบไทยผสมเกาหลีไม่ขาวจัดเกินไปจนดูสำอาง แบบนี้แหละที่อันตรายต่อหัวใจของเธอเหลือเกิน
“จะรีบกลับไปไหนล่ะคุณ อยู่กับผมก่อนสิ” ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงแหบพร่า พร้อมโน้มหน้าลงมาจนเกือบชิดหญิงสาว ใช้แขนแข็งแรงเกี่ยวรัดเอวบางไว้แล้วดึงเธอเข้ามาแนบชิดตัว ทันทีที่เนื้อตัวสัมผัสกันเหมือนมีกระแสไฟแรงสูงช็อตทั้งตัวของเขาและหญิงสาว เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน
“มะ...ไม่เอา ปล่อยฉันนะคุณ ฉันเป็นคนช่วยคุณนะ คุณจะทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง” หญิงสาวดิ้นรนออกจากอ้อมกอดที่หนาแน่นราวกับคีมเหล็กนั้นแต่ไม่เป็นผล จนในที่สุดเธอได้แต่หลับตาปี๋พร้อมกับภาวนาถึงสิ่งศักดิ์ต่าง ๆ ในใจ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดชะงักลง
“หึ หึ” เสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มดังขึ้น ทำให้ปัณรสลืมตาขึ้นมาพร้อมกับผละออกจากอ้อมกอดของเขา น่าแปลกที่คราวนี้มันดูง่ายดายเหลือเกิน
“คุณแกล้งฉัน !!” ปัณรสขึ้นเสียงใส่ด้วยความโมโห อะไรกัน !! เธอช่วยชีวิตเขา แต่แล้วเขาก็มาแกล้งให้เธออกสั่นขวัญหายซะได้
“เปล่า ผมแค่อยากจะเตือนคุณว่า อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า โดยเฉพาะผู้ชาย” ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ พร้อมกับเดินไปจูงมือหญิงสาวให้มานั่งที่เดิม คราวนี้เขายอมนั่งห่างเธอออกไปหน่อยเพื่อให้เธอคลายกังวล ซึ่งปัณรสเองก็คลายความกังวลลงได้บ้างด้วยรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้มีทีท่าคุกคามเธออย่างจริงจัง หากเขาจะทำจริง ๆ เธอคงไม่เหลือรอดมาถึงตอนนี้
“คุณก็ทำแผลเรียบร้อยแล้ว งั้นคุณช่วยตอบแทนฉันโดยการไปส่งฉันหน่อยได้มั้ยค้ะ” ปัณรสพูดเพราะคิดว่านี่ก็ดึกมากแล้ว เธอควรจะกลับที่พักเพื่อไม่ให้มีใครเป็นห่วง
“คุณจะไม่ให้โอกาสผมได้ทำความรู้จักกับผู้มีพระคุณหน่อยเหรอ” ชายหนุ่มถามไปอย่างนั้นเอง เพราะข้อมูลของเธอเขารู้ดีหมดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่เขาอยากให้เธอได้ทำความรู้จักเขาบ้าง ‘อย่างจริงจัง’
“ฉันคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสจะต้องเจอกันอีก แล้วคุณก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก แค่ให้คุณไปส่งที่สถานฑูตแค่นั้น” ปัณรสตอบไปตามที่คิด นั่นทำให้ชายหนุ่มผิดหวังมาก แต่เขาก็ยังไม่หมดความพยายาม
“งั้นเอาเป็นว่า คราวนี้เราไม่ต้องรู้จักกันก็ได้ แต่ถ้าคราวหน้าเจอกันเราต้องรู้จักกันได้มั้ยครับ ถ้าไม่งั้นผมไม่ไปส่งคุณ” ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องได้เจอกับเธออักอยู่แล้ว
“ก็ได้ค่ะ ตอนนี้คุณไปส่งฉันได้รึยังค้ะ นี่มันก็ดึกมากแล้ว” ปัณรสตอบอย่างไม่คิดมากเพราะเธอเชื่อจริง ๆ ว่าคงไม่ต้องเจอเขาอีกแล้ว แล้วเธอก็อยากกลับไปพักเต็มที
“ตกลงครับ” ชายหนุ่มตอบตกลงและเดินนำหญิงสาวออกจากห้องในตาฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างชัดเจน แต่เพียงแวบเดียวก็กลับมาเป็นสายตาที่สุภาพและอ่อนโยนเช่นเดิม
ทันทีที่กลับมาถึงสถานทูต ปัณรสก้าวลงจากรถของชายหนุ่มพร้อมกับเอ่ยขอบคุณและหันหลังเดินเข้าที่พักทันทีไม่ได้หันกลับมามองชายหนุ่มอีก เพราะเธอทั้งเหนื่อยและเพลีย อยากจะอาบน้ำแล้วนอนพักผ่อน แต่แทนที่เธอจะได้รีบกลับเข้าห้อง เธอก็ต้องเจอกับปรัศนีหนุ่มและคำถามอีกชุดใหญ่
“คุณรส ไปไหนมาครับ กลับมาป่านนี้ ผมเป็นห่วงแทบแย่” คุณานนท์นั่นเองที่ก้าวเข้ามาหาเธอ พร้อมจับมือเธออย่างลืมตัว
“คือว่ารสออกไปซื้อโทรศัพท์แล้วหลงทางหน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ พร้อมก้มลงมองมือที่เดินชายหนุ่มเกาะกุมอยู่ คุณานนท์จึงยอมปล่อยมือของเธอเพราะกลัวจะเสียมารยาม
“แล้วใครมาส่งครับ” ชายหนุ่มเสียงแข็งขึ้นมาทันที เขายืนรอเธออยู่เป็นนานสองนาน อยู่ดี ๆ ก็มีรถยุโรปสีดำคันหรูมาจอดพร้อมกับหนึ่งชายหนึ่งหญิง หนึ่งหญิงคนนั้นก็คือปัณรสที่เขาแสนจะเป็นห่วงนี่เอง แต่อีกคนนี่สิ ใครกัน หน้าตาออกจะหล่อเหลาขนาดนั้น
“รสบังเอิญเจอเขาหน่ะค่ะ แล้วบอกเขาว่าหลงทาง เขาก็เลยใจดีมาส่ง” ปัณรสหลีกเลี่ยงการเล่าเรื่องทั้งหมด เพราะเธออยากจบเรื่องและพักผ่อนจะแย่แล้ว
“แล้ว...”
“คุณนนท์ค้ะ ตอนนี้รสกลับมาถึงแล้วอย่างปลอดภัย ขอบคุณที่เป็นห่วงนะค้ะ แต่รสขอตัวก่อน รสอยากพักผ่อน” ยังไม่ทันที่คุณานนท์จะพูดจบประโยค ปัณรสก็ตัดบทเสียก่อน เธอไม่ใช่คนที่จะอดทนอะไรนาน ๆ กับเรื่องความง่วงของเธอ ที่เมืองไทยทั้งครอบครัวรวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทของเธอต่างรู้ดีว่า เธอหวงแหนเวลานอนของเธอยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้
“โอเคครับ งั้นคุณรสไปพักผ่อนเถอะครับ” คุณานนท์จับความหงุดหงิดในน้ำเสียงของหญิงสาวได้ เขาไม่อยากเสียคะแนนโดยการทำให้เธอหงุดหงิดหรือขัดใจในตอนนี้ เพราะเพิ่งรู้จักกัน เขาจึงยอมปล่อยให้เธอไปพักผ่อน
หลังจากที่จัดการธุระส่วนตัวเสร็จหญิงสาวก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง ปัณรสคิดว่าตัวเองต้องในหลับในทันทีแน่ ๆ หลังจากที่หัวถึงหมอน แต่เธอกลับคิดถึงใครคนนั้น ใบหน้าที่เธอรู้สึกคุ้นเคย คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ใช่ ! เธอคิดออกแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาที่เจอในวันนี้เป็นพิมพ์เดียวกับที่เจอที่สนามบินในวันนั้น ต้องใช่คนเดียวกันแน่ ๆ ปัณรสมั่นใจเช่นนั้น ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินเที่ยวและการที่ต้องเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำให้ในที่สุดหญิงสาวก็ก้าวย่างเข้าสู่ห้วงนิทรา
หลังจากหญิงสาวลงจากรถเขาไปแล้ว เข้ายังไม่ขับออกไปในทีเดียว ยังรอให้แน่ใจว่าเธอเดินเข้าไปถึงที่พักอย่างปลอดภัยแล้วจริง ๆ และเพราะเขารอดูความปลอดภัยของเธอจึงได้ทันเห็นผู้ชายอีกคนที่ออกมารับเธอ หมอนั่นขับมือถือแขนของหญิงสาวอย่างถือวิสาสะ เห็นแล้วมันหน้าหมั่นไส้จนอยากจะอัดหมอนั่นซักทีสองที แต่ยังก่อน ดูจากท่าทีแล้ว หญิงสาวเองจะยังไม่รู้ว่าหมอนั่นคิดอะไรกับเธอ เธอคนนี้เป็นของเขาเท่านั้น ถ้าเขาได้เลือกแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องเธอ
.....................................................................................................................................................................................
ฝากแนะนำ ติชมด้วยนะค้ะ
ความคิดเห็น