NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ ONE PIECE ] My name's Raiden Ei

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter II - Episode 1

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ย. 65





    “ ของกินนน ! ” 



    เมื่อเรือลำกลางจอดเทียบท่า ลูฟี่ไม่รอช้าที่กระโดดลงจากเรือเเล้ววิ่งเข้าไปยังอาณาจักรในทันที ตอนนี้เขารู้สึกหิวมากๆ เเละเสบียงในเรือก็หมดไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ดังนั้นเขาจึงต้องเร่งฝีเท้าให้ไวที่สุด  ...โดยมีเสียงตะโกนด่าของซันจิไล่หลังมาด้วยอีกหนึ่งเสียง



    “ เฮ่ย! ลูฟี่ ! นั่นแกจะไปไหนน่ะห๊ะ !! ” 



    “ ปล่อยมันไปเถอะน่า.. ยังไงซะเดี๋ยวเราก็ค่อยไปตามเอาทีหลังก็ได้ ”  โซโรพูดกับซันจิ ทว่าซันจิกลับหันมาพูดใส่อีกฝ่ายด้วยความโกรธแทน พร้อมทั้งชี้นิ้วไปยังทิศทางที่ลูฟี่วิ่งไป



    “ จะช่างได้ยังไงเล่า! ก็เจ้านั่นดันลากเอย์ซังไปด้วยน่ะสิฟะ !! ” 



    อ้าว.. โซโรมองตาม ...เขาเห็นหญิงสาวผมม่วงที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมเเขนของกัปตันเรือคนไม่สมตำแหน่ง  เธอถูกอุ้มโดยลูฟี่ราวกับหมอนข้างธรรมดาไร้น้ำหนัก ร่างสูงมองดูอย่างอ้ำๆอึ้งๆ จะให้ไล่ตามไปตอนนี้ก็คงจะไม่ทันเเล้วล่ะ ก็ดันวิ่งลิ่วไปซะไกลขนาดนั้น  เจ้าบ้านะเจ้าบ้า.. 



    “ เอาเถอะ.. ถือว่าดีซะอีกที่มีเอย์ไปด้วย เจ้านั่นน่ะไปคนเดียวไม่รอดหรอก ” นามิกล่าว 



    พวกเราลงจากเรือ  ก่อนจะเดินเข้าเมืองไปยังตลาดเพื่อไปซื้อเสบียงมาตุนเเละสำรวจอะไรต่างๆ พร้อมทั้งถือโอกาสนี้ในการสืบข้อมูลสถานการณ์ของอลาบัสต้าด้วย 










    ทางด้านของไรเดน 



    “ เอ๊อะ.. ที่นี่ที่ไหนเนี่ย ? ” 



    ลูฟี่เบรกขาตัวเองลงหลังจากที่ได้ตั้งหน้าวิ่งมานาน  เขามองรอบกายที่ตอนนี้เต็มไปด้วยทะเลทรายรอบด้านอย่างงุนงง จำได้ว่าจะมาหาร้านข้าวไม่ใช่เหรอ 



    ไรเดนที่อยู่ในอ้อมเเขนหลุดออกจากการควบคุมของชายหนุ่มในทันที เธอยืนตัวตรงปัดฝุ่นก่อนจะตอบในสิ่งที่ลูฟี่สงสัย 



    “ เลยเมืองมานานเเล้ว ” 



    “ อ่าว แล้วทำไมถึงพึ่งมาบอกกันเล่า...  ”  เขาขมวดคิ้วคาดโทษกับเธอนิดหน่อย



    ทว่าไรเดนกลับตอบด้วยสีหน้าเบื่อโลก  



    “ เอาเเต่วิ่ง ” 



    เเละสิ่งที่ไรเดนสงสัยคือทำไมเขาต้องหอบเอาเธอมาที่นี่ด้วย 



    ลูฟี่ไม่สนคำที่หญิงสาวพูด เขามองไปรอบๆก่อนจะเห็นบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวใจกลางทะเลทราย  เร็วกว่าความคิด ร่างสูงรีบวิ่งเเจ้นไปยังบ้านหลังนั้นในทันที โดยหวังว่าที่นั่นจะมีอะไรให้กินบ้าง



    “ ขอโทษนะคร้าบบ ! มีใครอยู่ไหมมมม ! ” ชายหนุ่มตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน 



    ไรเดนที่เดินตามเจ้าตัวมาอย่างเงียบๆ ก็พบว่าเขานั้นได้เดินไปดูอะไรบางอย่างที่อยู่ในกระสอบหลายๆถุง พอเปิดดูก็พบว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยฝงสีเขียวชวนขม ด้วยความหิว เขาป้ายนิ้วลงไปและแตะมันขึ้นมาชิมในทันที 



    แผล่บ...



    “ อึ๊ก แหวะ!  ห่วยสุดๆ อะไรเนี่ยไม่อร่อยเลยสักนิด ” เมื่อได้ลิ้มรสของผงอันนั้นเข้าไป ลูฟี่เเลบลิ้นออกมาและสีหน้าบิดเบี้ยวเต็มที่ 



    นี่คงเป็นครั้งเเรก.. ที่ไรเดนเห็นว่าลูฟี่กินเเล้วไม่อร่อย 



    ด้วยความหงุดหงิดปนโมโหหิว ในขณะเดียวกันเขาเหลือบไปเห็นเตาเผาที่อยู่ข้างๆ  ลูฟี่รีบหยิบกระสอบทั้งหมดนั่นเข้าไปเผาในเตาทันที ของที่เขาไม่ต้องการจะต้องไม่อยู่ตรงนี้ ของไม่อร่อยแถมอาจจะมีพิษคนอื่นจะต้องไม่หลงมากินเหมือนกับเขา ลูฟี่ถือคติแบบนั้น 



    หญิงสาวมองตามควันสีเขียวที่ลอยขึ้นไปด้านบนท้องฟ้า ดูเหมือนว่าเจ้าผงนี้จะใช้ทำประโยชน์อะไรได้บางอย่าง ไม่เช่นนั้นเจ้าของคงจะไม่เก็บไว้หลายๆถุงเเน่ๆ



    ลูฟี่หันหลังเตรียมตัวจะกลับเข้าเมืองไปหาของกิน ในไม่ช้าทว่าเขากลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างด้านบนซะก่อน 



    ครืนน... 



    เมฆฝนสีดำจับตัวเข้ากันเป็นกลุ่มก้อน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองก่อนจะหันมาถามเธอที่ยืนอยู่ด้านหลัง 



    “ เธอทำเหรอ ? ” 



    “ ไม่ ”  ไรเดนตอบ ไม่ใช่ฝีมือเธอ แต่เป็นเพราะผงสีเขียวที่เผาไปเมื่อกี้นี้ต่างหาก 



    ซ่าา..าาาา.... 



    ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาจากท้องฟ้ากระทบกับผืนดินทราย เสื้อผ้าของพวกเราทั้งคู่เปียกโชกไปตามๆกัน ลูฟี่ที่เห็นว่าฝนตกแล้วจึงยืดปากออกมาดื่มน้ำฝนด้วยความกระตือรือร้น  จะฝีมือใครก็ช่าง ให้เขาได้ดื่มน้ำเเก้กระหายได้ก็พอแล้ว  



    ปึง ! 



    เสียงเปิดประตูดังขึ้นท่ามกลางเสียงฝน ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมกับดาบเล่มใหญ่ในมือ เขามองไปยังทิศทางที่ผงสีเขียวเคยอยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้กลับหายไปแล้วด้วยสีหน้าเเตกตื่น 



    “ นี่แกทำอะไรลงไป ! ” ชายคนนั้นหันดาบมาทางพวกเรา 



    ไรเดนเเละลูฟี่มองไปที่คนคนนั้น 



    “ นายเป็นใคร ” 



    “ หนวกหูน่า ! ” 



    ชายคนนั้นถามถึงผงสีเขียวที่อยู่ในถุง ซึ่งลูฟี่ก็ได้ตอบไปว่าเผาไปหมดแล้ว เเละนั่นก็ทำให้เขาโกรธมาก จึงเข้ามาโจมตีตั้งใจจะปลิดชีพพวกเราทั้งสองคน ทว่าลูฟี่ก็จัดการเอาไว้ซะก่อน เจ้านั่นจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแทบจะทันที 



    “ แหม คุณนี่เก่งจังเลยนะครับ ฮ่าๆๆ ” 



    “ แน่นอน ฉันไม่เเพ้ใครอยู่เเล้ว ” ชายหนุ่มตอบด้วยความมั่นใจ 



    ชายคนนั้นขอให้พวกเราเก็บเรื่องผงสีเขียว หรือก็คือผงแดนซ์พาวเดอร์เป็นความลับ คุณสมบัติของผงนี้คือสามารถเรียกฝนออกมาได้ด้วยการเผา  และเนื่องจากที่มันเป็นผงห้ามขายเเละห้ามผลิตในโลกนี้ ความผิดทางกฎหมายติดโทษประหารอย่างเดียว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากโดนจับหรอก 



    “ เรียกฝนหรอ ? เพื่อนฉันก็ทำได้นะ ” ว่าเเล้วลูฟี่ก็ชี้ไปที่ไรเดน 



    “ ฮ่าๆๆ เป็นการล้อเล่นที่ตลกดีนะครับ ...แต่ว่านะ ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยนะครับ แฮะๆ ” 



    อีกฝ่ายพยายามคะยั้นคะยอให้พวกเราเก็บเรื่องของแดนซ์พาวเดอร์นี้เป็นความลับ ซึ่งลูฟี่เองก็รับปากเสร็จสรรพ เพราะเขาไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้อยู่เเล้ว  ดังนั้นพวกเราจึงจากมาโดยที่ชายหนุ่มได้กล่องข้าวติดไม้ติดมือมาด้วยอีกหนึ่งกล่อง และเขาก็กินมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว 










    นี่ก็ผ่านมานานเเล้วที่พวกเราเดินทางกันอยู่กลางทะเลทรายร้อนระอุ  ลูฟี่ที่ทั้งเหนื่อยทั้งหิวเมื่อเห็นเคล้าโครงของเมืองอยู่ไกลๆก็รีบวิ่งสับขาตรงไปอย่างรวดเร็ว ปากก็ตะโกนหาเเต่อาหารเเละเนื้ออย่างไม่หยุดพัก  ส่วนไรเดนนั้นก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเเต่อย่างใด วิ่งตามชายหนุ่มไปด้วยความเร็วพอๆกันเพราะกลัวจะคลาดกันซะก่อน  





    ชายผู้เป็นกัปตันเรือแมรี่วิ่งตามกลิ่นอาหารไปเรื่อยๆจนเจอร้านอาหารเเห่งหนึ่ง ด้วยความรีบร้อนเขาใช้เท็คนิกยางยืดของตัวเองพุ่งไปด้านหน้าทันที ..เข้าไปยังร้านอาหารเเละชนตู้มกับอะไรบางอย่างจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วร้าน 



    ร่างบางเดินเข้าไปดูสถานการณ์ด้านใน ก็พบกับลูฟี่ที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์พร้อมกับอาหารมื้อใหญ่  ด้านข้างของเขามีรูกำเเพงขนาดใหญ่ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร 



    ไรเดนเดินไปยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเขกหัวเขาไปหนึ่งที 



    “ โอ้ย ! อะไอเอี้ย(อะไรเนี่ย) ง่ำๆๆ ”  ลูฟี่พูดทั้งๆที่ยังมีข้าวอยู่ในปาก 



    เธอหันหน้าหนีเขา  เอาเถอะ ปล่อยให้กินไป... 



    สายตาของเธอเหลือบไปมองรูกำแพงตรงหน้า มันทะลุยาวไปถึงตึกอื่นๆแสดงถึงความรุนเเรงในการชน ...เธอสังเกตเห็นใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามาทางนี้ด้วยท่าทางหัวเสีย ปรากฏเป็นชายหนุ่มเปลือยกายท่อนบนสวมหมวกคาวบอยสีส้มเเละกางเกงเลยเข่าสีดำ  เห็นล็อกโพสต์บนเเขนข้างซ้ายของเขา ก็คาดว่าน่าจะเป็นคนเดินเรือที่มายังอลาบัสต้า 



    เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็พบกับกระบนเเก้มที่เด่นสะดุดตา ผมสีดำยาวถึงต้นคอ เเละรอยสักที่เป็นตัวอักษร ASCE โดยตัว S มีกากบาทขีดฆ่าเอาไว้ บางทีอาจจะเป็นชื่อของเขาก็ได้ 



    ไรเดนเลิกสนใจ ก่อนจะหันมามองที่ลูฟี่อีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงๆหนึ่งพูดขึ้น 



    “ ลู... เฮ่ย ! ลู— ” 



    หญิงสาวมองตามเสียง ก่อนจะพบกับชายผมสีเขียวอ่อนที่ตอนนี้กดหัวชายคนเเรกที่เธอเห็นลงไป เขาคือคนที่เคยไล่ล่าพวกเราตอนอยู่โล้กทาวน์  



    นาวาเอกสโมคเกอร์   เป็นพลเรือจากกองทัพเรือ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้ามาที่เเกรนด์ไลน์นี้ด้วย



    “ เจ้าหมวกฟาง.. มาที่นี่จริงๆด้วยสินะ ” 



    ลูฟี่เหมือนจะนั่งประมวลผลอยู่สักครู่หนึ่ง พยายามนึกย้อนไปยังอดีตสมัยตอนที่อยู่โล้กทาวน์ก่อนเข้าเเกรนด์ไลน์  เมื่อคิดได้เเล้วว่าตนเองสู้ไม่ได้ เขาจึงกอบโกยอาหารทั้งหมดเข้าปากและรีบวิ่งออกไปจากร้านทันที 



    “ ขอบคุณที่เลี้ยงน้าา ” 



    แชะสโมคเกอร์ก็ไม่คิดปล่อยให้เหยื่อของตนเองหนีรอด เขาวิ่งผ่านไรเดนไปเสมือนเธอเป็นธาตุอากาศ ไล่ตามลูฟี่ไปติดๆ  ...หญิงสาวหันมามองเจ้าของร้านอาหารเล็กน้อย ก่อนจะวางถุงเงินจำนวนหนึ่งให้บนเคาน์เตอร์ เป็นค่าอาหารของลูฟี่ทั้งหมดที่เขาไม่ได้จ่าย 



    “ ข.. ขอบคุณ ”  เจ้าของร้านกล่าว ใบหน้าของเขายังเต็มไปด้วยความอึ้ง 



    เป็นโจรสลัดที่แปลกซะจริง... 



    เมื่อเสร็จสิ้นธุระเธอจึงวิ่งตามทั้งสองคนออกไป  ขณะเดียวกันชายหน้ากระก็วิ่งตามมาพร้อมกับเธอ เขาตะโกนไล่หลังทั้งสอง 



    “ รอก่อนสิ ! ลูฟี่ นี่ฉันเองนะ !! ” 



    ไรเดนชะงักเล็กน้อย เธอหันไปมองชายคนนั้นด้วยความสงสัย ทำไมเขาถึงพูดเเบบนั้น เขารู้จักกับลูฟี่งั้นเหรอ คนรู้จักกับลูฟี่ทำไมถึงมาอยู่ในเเกรนด์ไลน์ 



    ...บางทีอาจจะเป็นไปได้  กัปตันจริงๆเเล้วอาจจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป



    ซึ่งก็เป็นเป็นเช่นเดียวกันที่เขาหันมามองมาที่เธอ  ใบหน้าของเขาขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อพวกเราสบตากัน และเธอที่จ้องเขาอย่างใช้ความคิด



    “ โอ้ คนสวย เธอเป็นเพื่อนของลูฟี่เหรอ ” 



    หญิงสาวตอบกลับ  “ คนที่ควรถามคือฉัน ” 



    ไรเดนพยายามประหยัดคำพูดให้ได้มากที่สุดเพราะเธอต้องตามทั้งสองคนนั้นไปให้ทัน ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มทะเล้นเล็กน้อย ช่างเป็นผู้หญิงที่เย็นชาอะไรอย่างนี้ 



    “ ฉันเอส ” 



    “ ไรเดน ”  



    เมื่อเจอเป้าหมาย หญิงสาวเเยกตัวออกไปหาพวกพ้องของเธอในทันที ทุกๆคนพยายามหนีพวกกองทัพเรือที่กำลังวิ่งไล่ตามพวกเรากันอยู่ โดยมีสโมคเกอร์เป็นแกนนำ อีกฝ่ายเกือบจะถึงตัวของลูฟี่ด้วยพลังผลปีศาจ และไรเดนคิดจะเข้าไปหยุดเเละถ่วงเวลาเอาไว้ให้ ทว่าก็กลับมีใครคนหนึ่งเข้ามาขวางเอาไว้ก่อน 



    “ หมอกเพลิง ”



    เป็นชายคนนั้น.. คนที่ชื่อเอส 



    เขาเรียกเพลิงออกมาต้านพวกนั้นเอาไว้เเละกลืนกินพลังของสโมคเกอร์เข้าไปอย่างรวดเร็ง  ซึ่งก็ได้ผลดีเกินคาดเพราะสโมคเกอร์นั้นเป็นคนที่ใช้พลังของผลปีศาจควัน 



    ..... 



    เดี๋ยวนะ ไฟเหรอ ?  



    ไรเดนหันกลับไปมองด้านหลัง เธอเห็นเเผ่นหลังแกร่งที่สลักด้วยสัญลักษณ์ของกลุ่มโจรสลัดกลุ่มหนึ่ง เขาเข้าสู้กับพวกทหารเรือทั้งหมดเเละบอกให้พวกเราหนีกันไปก่อน



    ทุกคนถามถึงผู้ชายที่ช่วยเหลือพวกเราเอาไว้  และลูฟี่ก็ได้เฉลยออกมาอย่างรวดเร็ว ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มดีใจ 



    “ อ๋อ.. พี่ชายฉันเองแหละ ” 



    “ พี่ชาย ?!! ” พวกนั้นตกใจกับสถานะที่ไม่คาดคิด 



    ในส่วนของไรเดน เธอพอจะเดาได้อยู่เเล้วล่ะ 



    นี่น่ะเหรอ.. คนที่ท่านผู้นั้นเล่าให้ฟัง 









    ทั้งหมดวิ่งมาที่เรืออย่างรวดเร็ว พวกเขาเตรียมตัวที่จะออกจากเกาะกันโดยเร็ว ทว่าก็ดูเหมือนจะลืมใครสักคนไป ..กัปตันของพวกเราหายตัวไปอีกแล้ว 



    ไรเดนคิดจะลงไปตาม ทว่าก็ถูกฉุดด้วยโซโรซะก่อน



    “ พวกเรารีบออกเดินเรือกันก่อนดีกว่า ไว้ถ้าสถานการณ์มันดีขึ้นค่อยวกเรือกลับมาตามหาลูฟี่กันใหม่ ”  เขาพูดกับเธอ 



    เเละทุกคนก็เห็นด้วย ไม่มีใครคิดทิ้งลูฟี่กันอยู่เเล้ว 



    เรือเเล่นออกจากฝั่งมาเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าจะสลัดหลุดพวกของกองทัพมาได้บ้างเเล้ว พวกเขาเลียบเคียงชายฝั่งเพื่อสอดส่องหากัปตันที่อาจจะอยู่ที่ไหนซักแห่ง อูซปใช้กล้องส่องทางไกลส่องไปยังด้านบนเกาะ ในขณะที่พวกเราเองก็ช่วยกันเสาะหาอย่างสุดความสามารถ 



    และในที่สุดก็หาจนเจอ 



    อูซปเจอลูฟี่ที่โบกมือให้ด้วยความเริงร่า  เขาใช้เเขนยางยืดของตัวเองพุ่งเข้ามาจับที่ตัวเรือเอาไว้อย่างมั่นคง ก่อนจะพาตัวเองขึ้นมายังเรือในทันที 



    โป๊ก !?



    น่าเสียดายที่ชนเข้ากับพวกซันจิ.. 



    ลูฟี่เล่าเรื่องเกี่ยวกับพี่ชายของตนเองให้ฟัง เขาบอกว่าเขาไม่เคยชนะเอสได้เลยสักครั้งเดียวเเม้ว่าตอนนั้นเอสจะยังไม่มีพลังของผลปีศาจก็ตาม ทว่าตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะชนะพี่ชายของเขาก็ได้ 



    “ ใครบอกว่าจะชนะใครนะ ” 



    เสียงทุ้มดังมาเเต่ไกล รู้ตัวอีกทีเอสก็กระโดดขึ้นมานั่งยองบนเรือซะเเล้ว ทุกคนมองไปที่ชายหนุ่มเป็นตาเดียว ในขณะที่ลูฟี่นั้นยิ้มอย่างยินดี เขาเเนะนำเพื่อนๆทั้งหมดที่เคยเล่าให้เอสฟัง 



    เอสก้มหัวขอบคุณทุกๆคนที่ช่วยดูเเลน้องชายให้ ความแตกต่างนี่ลงตัวนี้ทำให้ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นพี่ชายของลูฟี่ได้  ไรเดนสังเกตเขาอยู่เงียบๆตรงมุมหนึ่งของเรือ เธอใช้ความคิดกับตนเอง คนที่ร่าเริงเเบบนี้คือคนที่ท่านผู้นั้นว่าจริงๆงั้นเหรอ หรือไม่บางทีเขาอาจจะเเค่ปกปิดความรู้สึกภายในเอาไว้...  



    ซึ่งขณะเดียวกันเอสก็จับจ้องมาทางนี้ด้วยรอยยิ้ม 



    “ โอ้ คนสวยคนนั้นนี่เอง เจอกันอีกแล้วนะ ” 



    ทุกคนชะงักกับสรรพนามคนสวยที่ว่า เอสทักทายหญิงสาวด้วยรอยยิ้มแพรวพราวนิดๆ ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองไปรู้จักกันตอนไหน ไรเดนจึงบอกไปว่าเจอตอนที่กำลังไล่ตามลูฟี่อยู่ พวกเขาจึงพยักหน้ารับ 



    วีวี่สังเกตเห็นเรือสี่ลำที่กำลังตรงดิ่งมาทางนี้ก็ตื่นตระหนก 



    “ นั่นบาร็อคเวิร์ค ของพวกบิลเลี่ยน ” 



    “ อ่า.. ถ้างั้นฉันคงต้องไปแล้วล่ะนะ ” เอสว่า 



    เขากระโดดลงเรือสไตร์เกอร์ลำหนึ่งที่จอเทียบอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเรือของศัตรูทั้งสี่ลำในทันที โดยมีพวกเราทั้งหมดมองอยู่ไกลๆ 



    เอสโชว์ทักษะการต่อสู้ของตนเองออกมา เขาทำลายเรือทั้งห้าลำลงได้อย่างง่ายดายด้วยเพียงหมัดเพลิงของเขาเพียงอย่างเดียว สมกับเป็นเอสหมัดอัคคี หัวหน้าหน่วยที่สองของกลุ่มโจรสลัดหนวดขาว กลุ่มโจรสลัดที่เเข่งเเกร่งที่สุด 



    ทุกคนอึ้งกับศักยภาพของเขา แม้จะรู้สึกว่าเคยเห็นสิ่งที่สุดยอดกว่านี้มาเเล้วก็ตาม(หมายถึงไรเดนที่เคยชักดาบ) 



    หญิงสาวมองดูภาพตรงหน้า เอสหมัดอัคคี... 



    โปโตกัส ดี. เอส  





    เอสได้ถูกเชิญขึ้นเรือมาเเละร่วมเดินทางไปกับพวกเรา เขาต้องการที่จะไปยังยูบาเพราะได้เบาะเเสเกี่ยวกับหนวดดำ  ชายที่เขากำลังตามล่าอยู่นะตอนนี้ หนึ่งในอดีตลูกเรือโจรสลัดหนวดขาวที่อยู่ในหน่วยของชายหนุ่ม เช่นเดียวกับพวกเราที่มีธุระอยู่ที่นั่นพอดี 



    “ เอย์ซวังง♡ ดูนี่สิครับผมเตรียมชุดนักเต้นสุดเซ็กซี่มาให้คุณด้วย หากชุดนี้มันประดับอยู่บนร่างกายอันเเสนผุดผ่องของเอย์ซังแล้วละก็จะต้องงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์แน่ๆเลยครับ~ ! ”  



    ซันจิวิ่งโร่มาพร้อมกับชุดนักเต้นสีม่วงเข้มที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับสีทองมากมายในมือ สีหน้าท่าทางดวงตาทั้งสองข้างกลายเป็นรูปหัวใจอย่างเต็มเปี่ยม ออร่าฟรุ้งฟริ้งตั้งตารอด้วยความกระปรี้กระเปร่าเต็มที่ ทว่าก็โดนนามิปัดตกออกไปอย่างรวดเร็ว 



    “ เลิกเอาชุดบ้าๆนั่นออกมาซักทีเถอะน่า ! ” 



    “ น..นามิซัง... ”  ซันจิร้องไห้โฮ ไม่นะภาพฝันของเขา...



    ไรเดนมองพวกนั้นอย่างงงๆ 



    “ เอย์ซังงั้นเหรอ ? ”  เอสเท้าเเขนมองด้วยสีหน้ายิ้มๆ ดูเหมือนว่าไรเดนจะเป็นนามสกุล ส่วนเอย์จะเป็นชื่อสินะ  เขาไม่ค่อยได้เจอคนที่เเนะนำนามสกุลก่อนชื่อซะด้วย 



    ไรเดน เอย์  ...จะจำเอาไว้ก็เเล้วกัน



    วีวี่หันมาพูดกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนลังไม้  “ ฮะ ฮะ คุณดูจะติดใจอะไรบางอย่างกับคุณเอย์นะคะ ” 



    เอสยกหน้าขึ้นมานิดหน่อย  “ หืม?.. เปล่าหรอก ก็เเค่รู้สึกว่าเธอน่าสนใจดีน่ะ ” 



    ถึงจะดูเหมือนตอบเลี่ยงไปหน่อย เเต่วีวี่ก็เข้าใจดี 



    “ ใช่ไหมละคะ?  คุณเอย์น่ะเป็นคนที่เก่งมากๆเลยล่ะค่ะ  ...ถึงจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่เพื่อนๆที่มาด้วยกันก่อนเข้าเเกรนด์ไลน์ก็เคยเล่าให้ฟัง ว่าเธอเคยฟันเรือของพวกกองทัพเรือเป็นสิบยี่สิบลำได้ด้วยเพียงดาบเดียวเท่านั้นเอง ” 



    “ โอ้.. งั้นเหรอ ? ”  เอสเลิกคิ้วให้กับตัวเลขที่เกินจริงนี้ ทั้งยังเป็นบุคคลที่อยู่นอกแกรนด์ไลน์อีกด้วย 



    “ ถึงจะดูโอเวอร์ไปหน่อย แต่เพราะว่าพวกเขาเป็นคนเล่าให้ฟังเองกับปาก แถมตลอดการเดินทางด้วยกัน ฉันก็พอจะได้มีโอกาสเห็นฝีมือของคุณไรเดนมาบ้าง ก็เลยคิดว่ามันจะต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเเน่ๆค่ะ ”  วีวี่ตอบอย่างมั่นใจในตัวของเพื่อนฝูง 



    ดูเหมือนว่าทุกคนบนเรือจะเข้าไปทานอาหารด้านในกันเเล้ว ก็เลยเหลือเเค่เธอเเละเขาสองคนที่นั่งคุยอยู่ด้วยกัน เอสที่ได้ฟังเรื่องราวจากปากของเธอ เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย 



    “ รู้อะไรไหม ฉันไม่เชื่อเรื่องที่มาจากปากเปล่าหรอกนะ.. ” 



    เกิดความเงียบขึ้นเล็กน้อย...



    “ เพราะฉะนั้นก็เลยต้องดูให้เห็นกับตายังไงล่ะ ”  



    ว่าเเล้วก็มองขึ้นไปยังห้องครัว ทะลุผ่านกระจกตรงประตูไปยังร่างของหญิงสาวนั่งหันข้างให้ เคล้าโครงใบหน้าที่งดงามลงตัวสะกดเอสได้อย่างอยู่หมัดเลยจริงๆ 



    วีวี่หลุดหัวเราะ  “ งั้นเหรอคะ ” 



    ตุบ ! 



    เอสกระโดดลงจากลังไม้ เขาก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไปยังห้องครัวของเรือ  “ ไปเถอะ ได้เวลาอาหารเเล้วนี่ หวังว่าเจ้าลูฟี่คงจะไม่กินมันหมดซะก่อนนะ ” 



    เป็นพี่ชายที่รู้จักลูฟี่เป็นอย่างดีเลยนี่นา  










    เออร์มาลู.



    ไรเดนตอนนี้อยู่ในชุดคลุมสีม่วงลวดลายสีขาวตรงปลายผ้าคลุม ในระหว่างทางลงจากเรือพวกเราได้เจอกับพะยูนกังฟูฝูงหนึ่ง เดินต่อมาเรื่อยๆก็เจอกับเมืองที่ตอนนี้จมลงไปในทะเลทรายหลายส่วน 



    วีวี่บอกว่าที่นี่คือเมืองเออร์มาลู หรือในอดีตคือเมืองแห่งสีเขียว เป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนก่อนจะร้างไป เหตุผลก็เพราะฝนที่ไม่ได้ตกมาเเล้วสามปี 



    วีวี่ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ฝนไม่ได้ตกที่อลาบัสต้ามาเป็นเวลานานเเล้ว นั่นจึงทำให้เกิดการขาดเเคลนน้ำสุดๆ ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้  ..มีเพียงที่เดียวที่ฝนตกคือเมืองที่พระราชาหรือก็คือพ่อของวีวี่อาศัยอยู่ เป็นขณะเดียวกันที่มีข่าวออกมาว่าเเดนซ์พาวเดอร์ ผงเรียกฝนถูกส่งเข้าไปในวัง ทำให้เกิดข้อครหาเกี่ยวกับราชาของอาณาจักร 



    เเดนซ์พาวเดอร์เรียกฝนได้ก็จริง แต่มันก็ต้องเเลกมาด้วยความเเห้งเเล้งของอาณาจักรข้างเคียง ดังนั้นอาณาจักรอลาบัสต้าก็เลยเกิดความโกลาหลขึ้น สงคราม การเเย่งชิง การประท้วง ทั้งหมดต้องเป็นฝีมือของใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลัง เพราะวีวี่ไม่เชื่อว่าพ่อของเธอจะทำอย่างนั้นอย่างเเน่นอน 



    “ งั้นเหรอ.. สรุปก็คือขาดเเคลนน้ำสินะ งั้นให้เอย์เรียกฝนก็จบ เอาให้ตกทั่วทั้งเกาะไปเลย ! ” ลูฟี่พูด พร้อมกับทำท่าทางไปด้วย 



    “ เรียกฝน ? ”  คนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นหันมามองด้วยความสงสัย 



    โป๊ก ! 



    “ เจ้าบ้า ! พูดน่ะพูดง่าย ฝนน่ะถึงเรียกได้เเต่ก็ใช่ว่าจะมาตลอดหรอกนะย๊ะ ถ้าเอย์ออกจากเกาะไปแล้วยังไงฝนก็หายไปอยู่ดีนั่นเเหละน่า ! ”  นามิเคาะหัวลูฟี่ไปหนึ่งที 



    “ โอย.. ”  ชายหนุ่มจับหัวที่ปูดออกมาของตนเอง 



    “ โว้ว.. เรียกฝนได้ด้วยงั้นเหรอเนี่ย ”  เอสตั้งข้อสังเกต 



    ไรเดนเดินผ่านทุกคนไป  “ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ” 



    ฟิ้วว..วว~ 



    จู่ๆก็มีลมสายหนึ่งวูบพัดเข้ามาหาทุกคน พายุทรายขนาดเล็กไหลพัดเข้ามาทางนี้จนพวกเราต้องยกแขนขึ้นบดบังใบหน้าของตัวเอง เพื่อไม่ให้ทรายมันเข้าตาซะก่อน 



    เธอยืนมองพวกมันเหล่านั้นด้วยท่าทางปกติไร้การหวั่นเกรง ร่างกายต้านเเรงลมจนเสื้อด้านหน้าเเนบลงกับเรือนร่าง ผ้าคลุมหัวเปิดออกแสดงให้เห็นถึงใบหน้าเเละเส้นผมเปียยาวสะบัดไปตามสายลมด้านหลัง 



    ราวกับที่นี่กำลังร้องไห้ สายลมกำลังร้องไห้ให้กับที่นี่.. 



    ผ่านไปสักพัก ลมพวกนั้นก็ได้หยุดลง.. พร้อมกับพายุทรายที่ค่อยๆพัดผ่านไป... 



    ลูฟี่เเละวีวี่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหน้า มันคือผ้าคลุมของมนุษย์ที่ปลิวขึ้นตามแรงลมเมื่อกี้ ทั้งสองวิ่งเข้าไปดูในทันที เผื่อว่าจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง 



    ทว่าสิ่งที่เห็นกลับไปใช่สิ่งที่คาดหวัง มนุษย์ที่ควรจะมีชีวิตอยู่กลับกลายเป็นร่างที่ไร้ซึ่งกายเนื้อ ...โครงกระดูกมนุษย์ที่ตายไปแล้ว 



    เอสขุดหลุมทรายให้กับวีวี่ เพื่อที่จะให้เธอฝังกระดูเหล่านั้นลงไป  สีหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เพราะว่าบาร็อคเวิร์คพวกนั้น คนที่เเสร้งทำตัวเป็นวีรบุรุษที่ชาวเมืองเคารพ และใส่ร้ายคุณพ่อของเธอ ทำให้ลูฟี่รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก 



    เขาเตรียมพร้อมที่จะไปเด็ดหัวคร็อกโคไดล์แล้ว 



    “ วีวี่..  ไปกันเถอะ เครื่องฉันร้อนเเล้ว ” ว่าเเล้วลูฟี่เขาก็หันหลังเดินไป ตามด้วยคนอื่นๆ 



    ไปที่ยูบา 










    “ เอยยยยยยยยยย์~  ขอร้องล่ะ ได้โปรดเรียกฝนออกมาเถอะน้าา... ” 



    ลูฟี่เกาะขาของไรเดนตลอดการเดินทาง ตอนนี้เขาร้อนจนไม่รู้จะร้อนยังไงเเล้ว ร่างกายเองก็ไม่ขับเหงื่อออกมาเเล้วด้วย มีเพียงเเค่เพื่อนสาวคนนี้ของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเหมือนความหวังสุดท้าย 



    มีความสามารถก็ต้องใช้ให้มันเป็นประโยชน์เส้ !  



    ทุกๆคนยกเว้นวีวี่ที่เดิมทีเป็นคนของที่นี่ต่างก็เห็นด้วย เพียงเเต่ไม่พูดออกมาก็เท่านั้น 



    “ ฝนตกในที่เเบบนี้ไม่แปลกไปหน่อยงั้นเหรอ ”  ไรเดนพูดเสียงเรียบ 



    “ จะยังไงก็ช่างเถอะน่า.. ”  ลูฟี่ยังคงเกาะขาเธอต่อไป กลายเป็นว่าตอนนี้เธอได้ลากกัปตันเรือไปแทน 



    “ หนอยเเน่ ! คิดจะให้ไรเดนซังเหนื่อยไปจนถึงเมื่อไหร่ห๊ะ ! ” ซันจิ 



    “ หนวกหูน่า ! ” ลูฟี่ 



    โซโรหันไปมองทั้งสองคนที่เริ่มทะเลาะกัน จนตอนนี้กลายเป็นว่าเริ่มมีคนทะเลาะกันมากขึ้น ด้วยเหตุผลที่ค่อนข้างไร้สาระ 



    “ ชิ.. เด็กชะมัด ” เขาพูด กลับกลายเป็นวีวี่ที่ได้หัวเราะแทน





    ทะเลทรายในตอนเช้าเป็นอะไรที่ร้อนระอุสุดๆไปเลย ...แต่กลับกัน ในตอนกลางคืนที่อากาศนั้นหนาวจนแทบจะต้านทานไม่อยู่ พวกเราตั้งเเคมป์ไฟกัน พักผ่อนจากการเดินทางมาทั้งวัน ต่างคนต่างก็กอดแขนตัวเองเพื่อบรรเทาความหนาวให้ได้มากที่สุด 



    ไรเดนนั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลพวกเขามากนัก มองดูภาพที่พวกนั้นเหมือนจะทะเลาะกันกลายๆอีกรอบ เป็นภาพความโกลาหลที่เห็นได้ตามปกติเมื่ออยู่บนเรือหรือที่ไหนก็ตามที่มีพวกนั้นอยู่ 



    ถึงเธอจะไม่ค่อยได้เข้าไปมีส่วนร่วมบ่อยๆ เเต่ก็ยอมรับเลยว่าการได้มองอยู่ตรงนี้มันช่างเป็นสีสันจริงๆ 



    เอสเองก็มองภาพเหล่านั้นเหมือนกัน เธอไม่อาจรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่สีหน้าของเขามันบ่งบอกออกมาอย่างชัดเจน 



    “ ...นั่นแหละ  ความหมายของการมีชีวิตอยู่ ” หญิงสาวพูดขึ้นมาเบาๆ เธอเอาหน้าฟุบลงกับเข่าของตัวเอง 



    ชายหนุ่มชะงักงัน  ...เขาหันหน้าไปมองที่เธออย่างช้าๆ เห็นร่างบอบบางที่ดูราวกับผ่านอะไรมามากมาย 



    ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม  เอสคิดว่ามันอาจจะจริงดั่งที่ว่า 



    เพราะเขาเองก็ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน 





    (งานโถมตัวหนักม๊ากก)

    (ตอนเเรกว่าจะเขียนให้สั้นกว่านี้ แต่ชอบคอนเซ็ปต์ตอนยาวๆ ไม่รู้ทำไม)

    (ไม่รู้มีคำผิดไหม เเต่ยังไม่ได้ตรวจ ยังไม่ได้เกลาภาษาด้วยครับ ไว้ค่อยรีไรท์ใหม่ทีเดียว)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×