ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    + [ Crown of Shadow ] +

    ลำดับตอนที่ #5 : + [ Chapter 2 : Unexpected Incident I ] +

    • อัปเดตล่าสุด 26 ธ.ค. 55



     =======================

    ‘สุดท้ายก็ดั้นด้นมาจนถึงชายแดนในที่สุด!!’

    แค่คิดก็รู้สึกเหมือนว่าคิ้วเรียวๆของตัวเองจะกระตุกถี่ขึ้นด้วยปรอทวัดที่กำลังพุ่งสูงปรี๊ด ดวงตาสีเขียวมรกตสว่างวาวระยับประหนึ่งใบมีดคมๆที่พร้อมจะฟาดฟันเข้าใส่เหยื่อที่บังเอิญเดินเข้ามาปะทะแม้จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าเหยื่อนั้นอาจจะเหนียวเคี้ยวไม่อร่อยเธอก็ไม่สนใจ!!

    เจ็บใจยกที่หนึ่ง! เกิดมาไม่เคยรู้สึกเจ็บใจอะไรแบบนี้!

    เธอมันบ้าเองที่หลงเชื่อคำพูดของเจ้าพี่บ้า!!!!

    เจ้าพี่ตัวแสบเป็นคนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาแถมยังรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วย แต่ไหงพอเรื่องต้องเจรจากับนาราห์เจ้าพี่ตัวดีกลับหายตัวไปเสียลิบปล่อยให้เธอต้องผจญกับศึกหนักไปตามลำพัง!

    กว่าจะได้เดินทางออกจากบ้านของตนเองได้ก็เล่นเอาแทบลากเลือดไปหนึ่งรอบแล้ว เพราะนอราห์ค้านสุดเสียงชนิดที่เรียกว่านกที่บินอยู่ไปอีกสามโยชน์ยังมาเป็นพยานให้ได้เลยว่าแม่นมคนสนิทของเธอบ่นยาวเหยียดเสียงลั่นไปถึงไหนต่อไหนโดนที่ท่านอาจารย์ตัวดีของเธอแกล้งทำเป็นดื่มชาทำหูทวนลมชมนกชมไม้สบายใจเฉิบ ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าเป็นการแก้แค้นขนานหนึ่งที่ทั้งเธอและวินเซนต์ไม่ยอมฟังคำสั่งสอนของเขา งานนี้เธอต้องงัดทุกกลวิธีที่เคยฝึกปรือมาใช้อย่างสุดความสามารถกว่าเธอจะทำให้แม่นมตัวเองสงบลงได้

    สรุปกว่าจะได้มาก็ทำเอาหมดแรงไปรอบ!!

    ก่อนจะออกเดินทางก็ยังคงเป็นนอราห์ที่ยังกังวลสุดเหลือแสนเกี่ยวกับตัวเธอ นอราห์เป็นคนขี้ห่วงทำให้ทุกครั้งที่เธอจะเดินทางไปเซเลสทิสจะถูกแม่นมสูงวัยหมั่นกำชับสั่งสอนเสมอๆ แต่โดยสถิติตามปกติแล้วครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการร่ายยาวที่นานที่สุดและกินเวลามากที่สุด หญิงสูงวัยทั้งพร่ำสอนนั่นนี่ไปตามประสาอย่างที่เคยทำทุกครั้งพร้อมกับฝากฝังข้าวของเครื่องใช้ของกินระหว่างการเดินทางกับส่วนที่เอาใช้ตอนที่อยู่ชายแดนเล่นทำเอาเธอมึนตึ้บไปเลยทีเดียวกับสารพัดบัญชีหางว่าว ก็อยากจะบอกอยู่นะว่าไปนี่ไม่ได้ไปลงสนามรบเองจริงๆไปอยู่แนวหลังต่างหากแต่เพราะเห็นใจในความห่วงหาอาทรที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของกาลเวลาของนางนมที่ดูแลกันมาแต่อ้อนแต่ออดก็เลยได้แต่เก็บปากเก็บคำพยักหน้าหงึกหงักรับไป ปล่อยให้อีกฝ่ายว่ากล่าวตักเตือนจนพอใจแล้วจึงยอมปล่อยเธอมาแต่โดยดี!

    ส่วนอาจารย์ของเธอนะหรอ!!

    ไม่แม้แต่จะกับเธอพูดสักเเอะก่อนเดินทาง!

    แต่สำหรับหญิงสาวแล้วไม่กลัวหรือนึกกังวลอะไรแม้ว่าอาจารย์คนสำคัญของเธอจะไม่เอ่ยปากพูด เพราะต่างฝ่ายต่างรู้จักกันดี ท่านกวิเดียนสอนวิชาการต่อสู้การเอาตัวรอดให้เธอเองกับมือมีหรือที่เขาจะไม่รู้ขีดความสามารถของลูกศิษย์ตัวดี ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องฝากฝังอะไรกันมากมายเท่านอราห์ที่พร่ำสอนจนเธอแทบจมทะเลน้ำลายรวมกันน้ำตาอยู่แล้ว!!

    แต่เรื่องวุ่นๆมันไม่ได้จบลงที่ตรงนั้นเมื่อเธอเดินทางมาถึงชายแดนจริง!!

    แค่คิดขึ้นมาเส้นประสาทบนขมับข้างซ้ายขวาก็พร้อมใจกันเต้นตุบๆพร้อมกับเขี้ยวในปากจะเริ่มงอกพร้อมจะประทุษร้ายคนรอบๆด้านอีกครั้งหนึ่ง!

    เจ็บใจยกที่สอง!! เพราะเจ้าพี่บ้าคนเดียวทำให้เธอต้องมาติดแหงกอยู่ในค่ายทหารจะทำอะไรก็ไม่ได้!!

    ใครจะคิดว่าพี่เธอมันจะบ้าได้ถึงขนาดนี่!! ตอนเขียนจดหมายรับรองส่งมาให้กับนายทัพประจำค่ายที่ตั้งอยู่คุมเชิงทางการทหารดันบอกตรงๆไปว่าเป็นเธอเป็นหลานสาวคนสำคัญของท่านลอร์ดริชาร์ด แถมยังกำชับอีกว่าต้องดูแลเธอให้ดีๆอย่าให้เกิดอันตรายใดๆ ไม่รู้ว่าเขียนจดหมายกันมายังไงใจความมันถึงได้กำกวมเข้าใจยากกลายเป็นว่าผู้ดูแลค่ายเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นตัวแทนของท่านลุงมาช่วยตรวจราชการในคราวนี้ ดังนั้นพอเธอมาถึงก็เลยจับอัญเชิญใส่พานทองไปประดับอยู่ที่กระโจมใหญ่ สั่งให้ทหารคอยอารักขาเช้าเย็นไม่ว่างเว้นแถมยังส่งนายทหารมาเป็นคนสนิทเผื่อว่าเธออยากจะใช้สอยอะไรตามใจชอบได้

    นี่เธอมาทำอะไรที่นี้กันแน่เนี่ย?!

    คำถามที่ได้แต่ร้องตะโกนอยู่ในใจแต่ไม่ได้รับคำตอบจากใครแน่นอน

    เลยกลายเป็นว่ามาถึงที่ตั้งกองทหารชายแดนได้เกือบสี่วันแล้วแต่เธอแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย แค่กระดิกกระเดี้ยจะเดินไปที่ไหนสักนิดพวกองครักษ์พิทักษ์ทั้งหลายก็แทบจะกรูเข้ามาหาแล้วก็เดินตามไปเป็นพรวน ไม่ต่างอะไรกับลูกเป็ดเดินตามแม่เป็ดไปเป็นทิวแถวเลย!!

    น่าเกลียดที่สุด!

    เอเลนอร์แทบอยากจะกรีดร้องออกมาด้วยความขับค้องใจ แต่ทำไม่ได้จึงได้แต่ตีสีหน้าสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเจียมคำพูดคำจาของตนเองทว่าดวงตาคู่สวยนั้นกลับมีประกายอันตรายที่วาววับเหมือนคมดาบพร้อมจะวิวาทกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้รู้สึกว่ากวนตากวนใจ

    “ท่านหญิงเอเลนอร์ครับ” เสียงเรียกดังมาจากประตูผ้าของกระโจมที่แขวนเอาไว้ เงาตะคุ่มๆของคนที่ร้องหายืนอยู่เบื้องหลังผืนผ้าทึบนั้น

    หญิงสาวเส้นผมสีเพลิงเหลือบตาไปมองพร้อมถอยหายใจด้วยความเบื่อหน่ายเพราะรู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาเพื่ออะไร “เข้ามาสิเลียม”

    ผืนผ้าสีขาวหนาหนักถูกเลิกเปิดขึ้นพร้อมกับร่างสูงเพรียวของชายหนุ่มในชุดเกราะน้ำหนักเบาสีเงินเต็มยศเดินย้ำเท้าเข้ามาพร้อมกับถาดสีเงินที่แม้จะมีร่องรอยบุบบี้ไปบ้างแต่ยังถือว่าสภาพดีและใหม่กว่าบางชิ้นในที่แห่งนี้ที่เธอได้พบเห็นมา กลิ่นหอมของชาร้อนที่ยังกรุ่นไอควันสีขาวลอยอวลภายในกระโจมในชั่วพริบตา

    “ข้าเอาชาร้อนๆพร้อมกับขนมเล็กๆน้อยๆยามบ่ายมาให้ครับ” รอยยิ้มแจ่มใสแบบที่ไม่น่าจะมีบนใบหน้าของชายผู้เป็นนักรบแต่กลับได้รับจากองครักษ์จำเป็นของเธอ “อยู่ในเขตชายแดนแบบนี้อาจจะมีกลุกขลักไปบ้างต้องขออภัยด้วยจริงๆนะครับ”

    น้ำเสียงสุภาพเคล้าคลอกับรอยยิ้มจริงใจ ชายหนุ่มร่างสูงขยับถาดของว่างที่พยายามจัดเตรียมมาให้ดีที่สุดเพื่อหญิงสาวผู้งดงามเบื้องหน้าของตนเอง แต่มันกลับยิ่งเร่งสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจบนดวงหน้าสวยๆ เอเลนอร์อยากจะส่งสายตาตำหนิอีกฝ่ายที่มาสิ้นเปลืองทั้งงบและเวลากับเธอในการจัดเตรียมของไร้สาระพวกนี้ แต่กฌได้แค่คิดไม่กล้าทำลายน้ำใจดีๆของอีกฝ่ายจึงได้แต่จำใจคว้าเอาถ้วยชาขึ้นมาดื่มอั่กๆแทนการดับอารมณ์

    หน้าที่ของเลียมคือคอยดูแลทุกข์สุขของเธอในทุกๆด้านนับตั้งแต่เธอย่างเท้าเข้ามาในค่ายทหารแห่งนี้ ทั้งที่เธอย้ำหนักหนาว่าไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่จะต้องมีอัศวินมารับใช้ส่วนตัว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมถอยอ้างคำสั่งลูกเดียวแถมยังสำทับอีกว่าเธอเป็นถึงพระญาติคนสำคัญของเจ้าหญิงเฟลิเซียจะให้เกิดความผิดพลาดใดๆขึ้นไม่ได้

    เอเลนอร์ว่าตัวเองดื้อแล้ว...แต่เธอว่าเลียมคงดื้อว่าเธอหลายเท่า!!

    ไอ้คนพวกนี้มันจะบูชาคำว่าคำสั่งจนชีวิตจะหาไม่เลยมั้ยเนี่ย! ถ้าเธอสั่งให้เขาไปกระโดหน้าผาตายตอนนี้จะทำกล้ามั้ยละ!!

    คนคิดกล้าแต่พูดในใจแต่กล้าปากเปราะออกไปเพราะกลัวว่าถ้าอีกฝ่านกล้ารับคำท่าเอาจริงคงจะแย่แน่ๆ

     “จริงๆของพวกนี้ก็ไม่ได้จำเป็นนะ” น้ำเสียงยานคางเอ่ยขึ้นหลังจากวางถ้วยชาลงแล้ว “ข้าบอกตั้งไม่รู้กี่ครั้งว่าไม่ต้องมาสนใจอะไรข้ามากมาย แล้วข้าก็ไม่ได้อยากได้ผู้รับช้งรับใช้อะไรด้วยข้าแค่จะมาทำหน้าที่ผู้อภิบาลผู้ที่บาดเจ็บไม่ได้จะมานั่งเป็นเทพีรูปปั้นสลักอะไรแถวนี้”

    ผู้ที่มาทำหน้าที่ดูแลรับใช้ของเธอไม่เอ่ยต่อปากต่อคำเพียงแค่อมยิ้มเรียบๆด้วยนัยน์ตาเป็นประกายขบขันในคำพูดของหญิงสาวร่างบางตรงหน้าพร้อมกับขยับจานของว่างเข้ามาใกล้ๆ “ชิมนี่หน่อยสิครับ เป็นขนมที่หาได้เฉพาะในแถบนี้เท่านั้น”

    “คราวนี้อะไรอีกละ?” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกริยาตอบกลับจึงได้แต่เลื่อนสายตาหน่ายๆไปยังจานที่ถูกยกมาแทน “เห็นมั้ยเจ้าเอาแต่ของกินมาให้ข้า แต่ไม่ยอมให้เดินไปไหนมาไหนตอนนี้แทบจะกลายเป็นหมูตอนไปแล้วนะ”

    “ท่านต้องทานให้มากกว่านี้นะครับ แค่นี้ถือว่าผอมเกินไปด้วยซ้ำ” เลียมแย้งอย่างสุภาพเมื่อนักบวชสาวผู้งดงามงอนขึ้นมาอีกรอบ

    “กินแล้วก็นอน ตื่นนอนมาก็กินอีกรอบ นี่กะจะขุนกันชัดๆ” คำพูดของนักบวชสาวรูปงามทำให้องครักษ์จำเป็นหัวเราะเบาๆ

    “แต่ขนมนี่อร่อยจริงๆนครับ” ชายหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อม

    “ทานคู่กับชาร้อนๆจะได้รสชาติที่กำลงพอเหมาะพอดีเลย”

    “ไม่เอาแล้ว อ้วนจนจะอืดตายแล้วเนี่ย”

    “ไม่ชิมสักนิดสักนิดหรือครับ” อีกฝ่ายยังสู้ไม่ถอย

    “ไม่เอาแล้ว!” เอเลนอร์ตัดบทยื่นคำขาดพร้อมเลื่อนจานของหวานนั้นไปอย่างไร้เยื่อใย “ข้าจะออกไปที่กระโจมคนเจ็บแล้ว”

    ชายหนุ่มที่ถูกทิ้งยืนโคลงหัวตัวเองน้อยๆสายตามองตามร่างแบบบางในชุดสีขาวกรุยกรายของนักบวชหญิงซึ่งแลดูไม่เหมาะกับสถานที่สัมบุกสัมบันอย่างขายแดนเท่าไรที่ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ก้าวเท้าฉับๆเดินตัวปลิวออกนอกกระโจมที่พัก

    เสียงอึกทึกของทั้งทหารและพาหนะที่ดังสนั่นหวั่นไหวอันเป็นเรื่องปกติของค่ายทหาร เอเลนอร์มองไปรอบๆอย่างแปลกใจเมื่อพบเห็นทหารชุดเกราะวิ่งวุ่นกันให้ทั่ว ผู้คนและม้าเดินกันให้ขวักไขว่ ร่างโปร่งบางสาวเท้ายาวก้าวเดินหลบหลีกความชุลมุนเป็นระยะด้วยความว่องไวพลางสอดส่ายสายตาสำรวจไปทั่ว

    “เห็นว่าเมืองหลวงจะมีเจ้าชายเสด็จมาที่ค่ายครับ” น้ำเสียงสุภาพเอ่ยขึ้นข้างตัวราวกับภูตผีทำเอาคนที่ไม่ได้ตั้งตัวว่าเจ้าของเสียงนั้นเดินมาอยู่ใกล้ตัวเองเธอตั้งแต่เมื่อไรถึงกับสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันไปแค่นยิ้มให้

    “อ่อ งั้นหรอ”

    “ข่าวส่งมาได้ตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนแล้วครับ แต่ว่ายังไม่ได้ระบุวันมาแน่ชัดทางเราเลยละเลยจนเกือบลืมเรื่องนี้เพราะตอนนี้ทุกคนวุ่นวายมากเลย” หญิงสาวพยักหน้ารับคำของอีกฝ่ายแต่ดวงตาสีเขียวสว่างเหลือบมองม้าศึกสีน้ำตาลพวงพีที่กำลังเดินเฉียดข้างไปอย่างนึกชอบใจ

    “แล้วเจ้าชายพระองค์ไหนจะเสด็จมาละ?” ร่างบางถามพร้อมกับเริ่มก้าวเท้าออกเดินไปยังกระโจมจุดหมาย

    “ยังไม่ทราบแน่ชัดครับ”

    “ก็ลองไล่ๆดูก็ได้นี่น่า เจ้าชายในวังนะมีอยู่ไม่กี่พระองค์เอง” หญิงสาวเย้าองครักษ์หนุ่มจำเป็นข้างตัวเบาๆ

    “ข้ายังมิบังอาจถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ถ้อยคำสุภาพตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

    เอเลนอร์ถึงกับแอบสบถในใจตัวเองกับความยั่วยากของเจ้าอัศวินหน้าละอ่อนข้างหลังของตัวเอง เลียมเป็นผู้ชายที่เคร่งครัดและเจ้าระเบียบในกฎเกณฑ์ไม่แน่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้รับความไว้วางใจมากขนาดนี้หากมองในแง่อายุที่ยังน้อย แม้เธอจะลองดีชอบส่งดุ้นฟืนเข้าไปล่อเป้าเล่นแต่อีกฝ่ายไม่ค่อยจะฮุบเหยื่อ

    สรุปได้คำเดียวว่า น่าเบื่อ!

    ยังไม่ทันได้ต่อบทกันก็เดินมาถึงกระโจมคนเจ็บที่ตั้งใจไว้เสียแล้ว เลียมเอื้อมมือมาตลบผ้าที่ทำเป็นประตูของกระโจมขึ้นให้อย่างสุภาพบุรษ แววตามีร่องรอยของความขบขันเมื่อมองดูใบหน้าสวยๆของนักบวชสาวที่เริ่มจะหงิกอีกครั้ง

    ก็เพราะเธอเคยบอกเขาไปแล้วไม่ต้องมาทำตัวเหมือนเธอเป็นลูกคุณหนูมือหงิกเท้าง่อยแบบนี้!!!

    “เชิญครับ” น้ำเสียงละมุนนั้นเอ่ยเชื้อเชิญพร้อมผายมือให้พร้อม ร่างบางในชุดสีขาวยาวกร่อมพื้นจึงก้าวเท้าฉับๆเข้าไปข้างในโดยเลือกไม่สนใจอัศวินหัวดื้อ

    กลิ่นยาสารพัดชนิดผสมกับกลิ่นคาวเลือดจนกลายเป็นกลิ่นแปลกๆที่เป็นเอกลักษณ์ของสถนที่แห่งนี้ไปเสียแล้ว นักบวชหลายคนกำลังร่วมงานกับแพทย์ประจำกองทัพทำการรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างสุดความสามารถ เสียงร้องครวญครางหลากหลายระดับดังก้องไม่หยุด

    “เจ้าพาท่านมาที่นี้ทำไมเลียม” น้ำเสียงดุๆดังขึ้นเบื้องหน้าจนทำให้หญิงสาวที่กำลังใจลอยมองไปรอบๆหันกลับมา

    หญิงสูงวัยที่ดูอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับนอราห์ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยด้วยวัยที่ล่วงเลยและความเครียดขึงที่สะสมกันมาเป็นระยะเวลายาวนานจากการรักษาปรากฎร่องรอยความไม่พอใจอย่างเด่นชัด ผิวกายสีน้ำตาลเข้มที่ดูชัดว่าถูกทำลายจากแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงมาตลอดหลบอยู่ในเสื้อผ้าของนักบวชหญิงที่เก่าโทรมแถมยังเต็มไปด้วยรอยเปื้อนทั้งคราบเลือดและฝุ่นดิน

    เลวร้ายที่สุด!!! นั้นคือความคิดของเอเลนอร์เมื่อเจ้าหล่อนเริ่มเปิดปากพูด

    “เจ้าไม่ควรพาท่านหญิงมาที่นี่เลียม” หญิงสูงอายุออกปากเทศน์ “เจ้าก็รู้นี่น่าว่าท่านเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นเจ้ารับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ” ว่าเสร็จแล้วก็ส่งสายตาเรืองๆมาทางเธออย่างที่ชวนให้วางมวยกันให้รู้แล้วรู้รอด

    นี่คิดว่าเธอเป็นพวกเหยียบขี่ไก่ไม่ฝ่อหรือไงกัน!!

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ท่านหญิงท่านอยากมาเยี่ยมให้กำลังใจทหารเท่านั้นเอง” แต่เลียมยังคงรักษาความสุภาพนอบน้อมยามที่พูดกับหัวหน้าผู้เยียวยาส่วนนักบวชหญิงผู้ถูกตราหน้าว่าไม่ควรมาได้แต่กลอกตาขึ้นฟ้าด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ

    สงครามนี้เริ่มตั้งแต่วันแรกที่เธอย่างเท้าเข้ามาในอาณาเขตของท่านหัวหน้าผู้เยียวยา สายตาไม่เป็นมิตรและบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เข้ามายุ่มย่ามในถิ่นนี้ทำเอาเธอฉุนปนขำเล็กน้อย เนื่องจากอีกฝ่ายคงคิดว่าเธอจะมาทำให้ท่านผู้เยียวยาต้องถูกเด้งจากตำแหน่ง

    แบบนี้มันต้องแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นและจริงใจสักหน่อยเผื่อจะใจอ่อน...คิดแล้วก็รีบยิ้มหวานจ๋อยส่งให้ก่อนที่มันจะกลายเป็นยิ้มจืดชืดเพราะคำพูดคนตรงหน้าที่เล่นเอานักบวชหญิงอยากรับบทนักฆ่าขึ้นมากระทันหัน

    “แต่ท่านหญิงไม่ควรมาที่นี่” ผู้เป็นเจ้าถิ่นยังคงยืนกรานจะอัญเชิญเธออกไปข้างนอกแบบไม่สนหน้าใคร “ทำอะไรไม่เป็นมาทำให้ข้าเสียเปล่าๆเหมือนคนอื่นๆละ”

    พูดแบบนี้เดี๋ยวได้เจอดีหรอก มาหาว่าเธอทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!

    เลียมกลับขยับยิ้มบางๆเมื่อมองเห็นแววอำมหิตที่เริ่มกรุ่นออกมาจากคนข้างๆตัว “ไม่หรอกครับ ท่านหญิงท่านเก่งนะครับไม่อย่างนั้นท่านลอร์ดวินเซนต์ไม่เป็นผู้เขียนจดหมายแนะนำมาเองหรอกครับ”

    “ท่านวินเซนต์อย่างนั้นหรอ?” ดูเหมือนชื่อเจ้าพี่ตัวดีของเธอจะได้ผล ดวงตาสีเทาที่เริ่มพร่ามัวเบิ่งกว้างออกเล็กน้อยแล้วเหลือบมามองเธออย่างสงสัย

    “ใช่ครับ” เสียงทุ้มเรียบเรื่อยฟังเอ่ยสุภาพ ใขณะที่เธอรู้สึกเหมือนถูกสะกิดเบาๆที่หลังมือเรียกสติให้รีบฉีกยิ้มสวยๆ

    “ข้ามาเยี่ยมทหารแล้วก็จะมาช่วยงานจริงๆ รับรองไม่วุ่นวายงานท่านแน่นอน” น้ำคำหนักแน่นเปล่งออกไปบวกกับรอยยิ้มจริงใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ทำให้อีกฝ่ายต้องยอมอ่อนข้อลงให้เธอได้งานทำเล็กๆน้อยๆในที่แห่งนี้

    ร่างโปร่งบางในชุดสีขาวสะอาดตาเดินไปเดินมาในกระโจมรักษาคนเจ็บอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เอเลนอร์สาละวนกับการหยิบเลือกสมุนไพรหลากหลายชนิดมาลงครกบดยาก่อนจะออกแรงบดพวกมันให้เข้ากันเพื่อทำยาสมานแผล ยาลดไข้หรือยาแก้แผลอักเสบโดยมีเลียม อัศวินหนุ่มยืนช่วยเล็กน้อยอยู่ด้านข้างเนื่องจากเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับสรรพคุณทางยาของต้นไม้ใบหญ้ามากหน้าหลายตาเบื้องหน้าเขามากนัก

    “ตัวยานี่มีหลาดชนิดเลยนะครับ” ถ้อยคำเรียบเรื่อยฟังสบายดังมาจากคนที่ยืนช่วยแยกใบหญ้าเรียวๆสีเขียวอมเหลืองนิดๆให้เป็นกองๆด้านข้างเธอ “แถมยังคล้ายๆกันแบบนี้ถ้าเกิดสับสนใช้ผิดไปจะไม่เป็นอะไรหรือครับ?”

    “ก็ไม่เป็นจะยากอะไรเลยนี่” หญิงสาวพูดปนขำเล็กน้อยพลางเอื้อมมือไปหยิบตัวยา

    “ที่ว่าไม่ยากนี่คือจดจำประเภทของตัวยาหรือครับ” คำถามซื่อๆถูกส่งมา

    “เปล่า ที่บอกว่าไม่เห็นจะยากนะคือผลข้างเคียง...ก็ถ้าใช้ยาผิดก็ต้องเกิดปฏิกิริยากับร่างกายอยู่แล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับว่าใช้ตัวยาอะไรลงไปแทนอะไร” นักบวชหญิงแสนสวยพล่ามน้ำไหลไฟดับแม้ว่ามือจะยังไม่ยอมหยุดทำงาน

    “ถ้าแค่หยิบยาฤทธิ์อ่อนมาใช้ก็ไม่มีปัญหามากเท่าไร อาจจะเป็นไข้ตัวร้อนธรรมดา อาเจียน วิงเวียน ท้องเสียไปตามปริมาณยาที่กินเข้าไป ไม่ร้ายแรงๆ แต่ถ้ามากๆหน่อยก็อาจจะไข้สูง อุณหภูมิร่างกายผิกปกติ เหงื่อกาฬไหล มือเท้าเย็น ปากซีด ระบบภายในช่วงท้องแปรปรวน อาจจะช็อคหรือหมดสติแล้วก็อาจจะตายไปเลยก็ได้”

    แม่นักบวชตัวดีที่วางระเบิดโครมใหญ่เสร็จสรรพเรียบร้อยเหลือบตากลับมามองผลงานเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อเห็นโครงหน้าหล่อเหลาดูดีของอัศวินหนุ่มแสนสุภาพข้างตัวเองกำลังยืนอ้าปากค้างนิด หน้าซีดขณะก้มลงมองดูตัวยาที่เธอกำลังออกแรงบดอย่างสุดความสามารถ

    “เอ่อ...แล้วยาที่กำลังทำอยู่นี่ไม่ได้หยิบตัวยาผิดใช่มั้ยครับ” น้ำเสียงอ้อมแอ้มไม่ชัดเจนถามขึ้น

    “ไม่รู้สิ เหมือนจะจำตัวยาไม่ได้ตั้งสองสามตัวนะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์วาดขึ้นบนกลีบปากสีอ่อน

    เลียมมีสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมาทันตาเห็นทำเอาคนแกล้งคนอื่นเริ่มใจอ่อน เอเลนอร์ยื่นมือออกไปตบบ่าของชายหนุ่มเบาๆ “ล้อเล่นนะ ข้ายังไม่เคยใช้ตัวยาผิดอีกเลยหลังจากที่ทำพลาดไปเมื่อสิบปีก่อน”

    คำที่ฟังตอนแรกเหมือนจะเป็นคำปลอบใจแต่พอได้ยินคำหลังๆกลับยิ่งให้หน้าซีดๆของอัศวินองครักษ์จำเป็นของเธอเริ่มสีหน้าย่ำแย่ลงกว่าเดิม!

    แขนเรียวกลับมาขยับออกแรงบดยาอย่างขะมักขะเม้นไม่หยุด หยาดเหงื่อพราวเต็มไปใบหน้าสวยทว่าดวงตาสีมรกตกระจ่างคู่นั้นกลับฉายแววแจ่มใสและเต็มไปด้วยความพึงพอใจที่ได้ทำงาน หากแต่หญิงสาวไม่ได้หยุดคิดเพียงแค่นั้นเมื่อได้กวาดสายตามองไปรอบๆ

    สิ่งหนึ่งที่เธอต้องบันทึกลงในใจก่อนกลับไปเขียนจดหมายหาเจ้าพี่ตัวดีของเธอวันนี้คือ ระบบการรักษาของกองทหารขายแดนนี่มันล้าสมัยเหลือเกินหากอยากจะพัฒนาความเข้มแข็งของทหารแล้วละก็ควรจะปรับปรุงด้านสาธารณูปโภคและสาธารณสุขของที่นี่เสียก่อน การรักษาด้วยยาสมุนไพรถือเป็นขั้นพื้นฐานของการรักษา แต่ที่นี่ควรจะมีตัวยาปรุงสำเร็จบ้างเพื่อให้การรักษามีความสะดวกและเร็วมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

    จริงอยู่นักบวชหญิงทุกคนล้วนแต่มีพลังของหัถต์แห่งการเยียวยา แต่นั้นไม่หมายความรวมถึงนักบวชที่มาจากตระกูลสามัญชนทั่วๆไป ท่านหัวหน้านักบวชหญิงไดแอนแห่งเซเลสทิสถือว่าเป็นผู้ที่มีพลังในการเยียวยาที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งด้วยสายเลือดของท่านสืบมาจากเชื้อพระวงศ์และนักเวทที่ยิ่งใหญ่ เธอเคยมีโอกาสได้เห็นฝีมือในการรักษาของท่านครั้งสองครั้งและต้องยอมรับว่าเป็นการรักษาที่เก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ ท่านไดแอนสามารถดึงพลังในการรักษาออกมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    เกือบจะเรียกได้ว่า ชุบคนตายให้ฟื้นกลับขึ้นมาก็ว่าได้!!

    เมื่อคิดได้แบบนั้นหญิงสาวเส้นผมสีเพลิงก็ได้แต่ทอดถอนหายใจออกมาครั้ง...แต่ก็อีกนั้นแหละ แม้ว่าเธอจะมีพลังการรักษาที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่การต้องดึงพลังของตัวเองออกมาเยียวยาทหารทั้งกองทัพแบบนี้ ดีไม่ดีคนที่อาจจะตายก่อนก็คือเธอเองด้วยกฎของการให้พลังแห่งการเยียวยาคือ...ชีวิตแลกชีวิต!

    ทว่าโดยปกติแล้วหน้าที่ในการรักษาทั่วไปจะเป็นของแพทย์ประจำกองทัพ พลราบหรือนายกองจะได้รับการดูแลจากแพทย์ ส่วนการเยียวยาขั้นสูงด้วยพลังเช่นนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก นอกเสียจากผู้ที่บาดเจ็บจะเป็นนายพลระดับสูงหรือบุคคลชั้นสูงที่มีความสำคัญมากๆเช่นเชื้อพระวงศ์ต่างๆ

    กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนกึกติดจมูกของเหล้าขาวสีใสแจ๋วไม่ต่างจากน้ำเปล่าถูกราดรดลงบนปากแผลที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสีคล้ำบริเวณแผ่นอกเพื่อเป็นการทำความสะอาดบาดแผล แผลถูกแทงนั้นค่อนข้างลึกเลือดก็ยังไม่หยุดไหลดีเท่าไรนักแม้ว่าจะพยายามห้ามเลือดแล้วก็ตามแถมขอบด้านข้างยังช้ำและบวมเป่งจากแรงกระทบกระแทกอย่างน่ากลัว ร่างบางบนเก้าอี้ใช้เรียวมือสวยของตนบรรจงหยิบยาที่ถูกบดแหลกละเอียดปั้นเป็นก้อนเล็กๆขึ้นมาทาบนปากแผลอย่างเบามือ แม้กระนั้นก็ยังเรียกเสียงร้องครางเบาๆเหมือนอุธรณ์ให้รับรู้ถึงความเจ็บก็ยังดังขึ้นเป็นระยะ ก่อนจะใช้ผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดพันรอบตัวของคนเจ็บและเก็บปลายอย่างสวยงาม

    “ขอบคุณท่านหญิงมากครับ” ร่างของนายทหารหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงเบื้องหน้า แม้จะไม่ค่อยมีแรงแต่เขาก็ยังพยายามเอ่ยปากขอบคุณเธอด้วยริมฝีปากสีซีดและสั่น เอเลนอร์ยิ้มน้อยๆรับคำนั้นก่อนจะวางมือลงบนหน้าผากกว้างสีคล้ำแดดที่ชื้นเหงื่อของเขาเบามือ

    “ขอให้พระผู้สร้างจงสถิตย์อยู่กับเจ้า” เธอเอ่ยตามที่ได้รับการสั่งสอนมา “พักผ่อนเสียเจ้าจะได้แข็งแรงไวๆ”

    ร่างโปร่งบางในชุดสีขาวที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบและรอยขมุกขมอมหลายจุดขยับตัวลุกขึ้นหลังจากชายหนุ่มที่บาดเจ็บหลับตาลงอย่างเป็นสุข เสียงลมหายใจสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าเขาก้าวเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อย่างสงบแล้วทำให้ผู้ที่ทำการรักษาให้รู้สึกเบาใจมากขึ้น

    “ท่านใช้พลังหรือครับ” เลียมที่ยืนนิ่งให้กำลังอยู่ข้างหลังมาตลอดถามขึ้นเมื่อทั้งสองเดินมาจนถึงโต๊ะบดยา

    “รู้ด้วยหรือ” หญิงสาวหันไปถามแต่ดวงตากลับไม่มีแววของความประหลาดใจ

    “ตอนที่ท่านวางมือเขายังมีสีหน้ากระวนกระวายแต่พอละมือจากมาเขากลับหลับไปอย่างสงบ” คำพูดธรรมดาเป็นเหมือนประโยคบอกเล่าทั่วไปเรียกรอยยิ้มพึงพอใจให้ฉายกว้างบนใบหน้างดงาม

    เห็นทำหน้าเรียบๆดูไม่มีพิษสงอะไรแต่ช่างสังเกตุไม่เบา!!

    “ใช่ ข้าใช้พลัง” เนตรสีมรกตสว่างไสวเหลือบมองใบหน้าสุภาพขององครักษ์ข้างตัว

    “แผลบนตัวของเขาไม่เท่าไรแค่ห้ามเลือดแล้วก็ทายาก็หายได้ไว ยกเว้นแผลที่ถูกแทงบนอกเท่านั้น...ข้ายอมรับว่ามันลึกมากหากว่าเจ้าของดาบออกแรงอีกนิดเขาไม่มีโอกาสมานอนให้ข้ารักษาแล้ว” เลียมยังคงรักษาสีหน้านิ่งๆขณะฟังคำอธิบายของเธอ “หากไม่ใช้พลังช่วยฟื้นฟูร่างกายจะฟื้นตัวได้ช้า นอกจากนี้เขาจะต้องทนทรมานเพราะความเจ็บปวดจนไม่สามารถข่มตาหลับไป”

    “เจ้าก็รู้มั้ยไม่ใช่หรือไงว่าการพักผ่อนนะสำคัญสำหรับคนเจ็บมากที่สุด” เสียงหวานใสเอ่ยเย้าเบาๆ

    “ท่านก็เลยแบ่งพลังให้การเยียวยาให้เขา” หญิงสาวไม่ตอบเพียงแต่หัวเราะเบาๆในลำคอก่อนแสร้งเลี่ยงไปจัดการชามยาบนโต๊ะที่วางเกลื่อนไปหมด

    “แล้วทำแบบนี้จะไม่มีผลอะไรต่อท่านเองหรือครับ? ข้าเคยได้ยินว่าพลังการรักษามักใช้กับบุคคลสำคัญเท่านั้น”

    “ไม่มีหรอก พลังในตัวข้าฟื้นฟูได้เองแต่ต้องรอเวลาสักหน่อยเท่านั้น” ร่างโปร่งบางสาละวนกับการจัดเก็บข้าวของก่อนจะทำท่าเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างออก แววตาซุกซนฉายชัดในนัยน์ตาสีมรกตคู่งามที่เหลือบมามององครักษ์หนุ่มทำเอาคนถูกจ้องรู้สึกร้อนๆหนาวๆกับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดต่อไป

    “ไม่ต้องห่วงหรอกเนอะ ยังไงข้าก็มีองครักษ์ส่วนตัวคอยดูแลเช้าดูแลเย็น” เอเลนอร์หัวเราะคิกคักเบาๆอย่างสนุกสนานที่สามารถทำให้คนฟังของตนเองทำสีหน้ายุ่งยากใจได้อีกครั้ง “เดี๋ยวเจ้าก็ขนเอาสารพัดของกินมาให้ข้า รับรองว่าพลังฟื้นตัวเร็วแน่นอนไม่ต้องห่วง”

    เลียมทำสีหน้าเหนื่อยอ่อนใจด้วยยอมแพ้บวกปลงกับหญิงสาวตรงหน้าของเขา...นี่ถ้าไม่บอกว่าอีกฝ่ายเป็นนักบวชหญิงชั้นสูงเขาอาจจะนึกว่าคนเบื้องหน้านี้เป็นแค่เด็กสาวตัวป่วนที่คงทำให้คนรอบข้างปวดหัวได้ไม่หยอก ไม่รู้ว่าทำไมท่านวินเซนต์ถึงแนะนำให้นางมาแถวๆชายแดนนี้กันแน่?

    “ว่าแต่..” เสียงใสราวกับระฆังใบน้อยดึงเอาสติที่หลุดไปในภวังค์ของชายหนุ่มให้กลับคืนมา เลียมหันไปสบตาคนที่ทำหน้าเหมือนมีคำถามในใจ

    “ข้าสงสัยว่าเขาไปได้บาดแผลมาจากไหนกัน?” หญิงสาวผมสีเพลิงผินหน้ามามองเล็กน้อยแต่มือยังคงจัดชามยาไม่หยุด

    “ก็ต้องจากการต่อสู้สิครับ” คำตอบที่เธอแทบอยากจะเอาหัวจุ่มลงไปในชามยาข้างหน้า เอเลนอร์หันขวับไปค้อนใส่เจ้าคนคิดคำตอบทันควัน จึงมีโอกาสทันได้เห็นสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องจากชายหนุ่มที่มักตีสีหน้าเรียบเฉยๆมาตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา ดูท่าเขาจะยินดีที่สามารถเอาคืนเธอได้หลังจากเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด

    ไม่ธรรมดาจริงๆเจ้าคนคนนี้!

    แต่มันไม่ใช่คำชมหรอกนะ เพราะเธอจะต้องหมายหัวเลียมเอาไว้ในบัญชีคนที่เธอรู้สึกว่ารับมือยาก!

    “ข้าว่าข้าถามเจ้าดีๆนะเลียม” รอยยิ้มแย้มพร้อมแยกเขี้ยวใส่นิดๆ

    “กระผมก็ตอบดีๆเหมือนกันหรือหากว่าท่านไม่ได้ฟังว่านั้นคือคำตอบ” เจ้าคนทำหน้ารีดเรียบตอบสุภาพเช่นเดิม

    เอากันเข้าไป! เอเลนอร์กลอกฟ้าขึ้นฟ้าพร้อมกับยกมือขึ้นทำท่าแสดงว่ายอมแพ้

    เลียมขยับยิ้มบางๆ “เขาถูกส่งมาจากการปะทะเมื่อคืนครับ...อยู่ห่างจากที่นี่ออกไปหลายไมล์ทีเดียว พวกนั้นจู่ๆก็บุกเข้ามาโจมตีพวกเราแล้วก็ล่าถอยออกไป”

    “นอกจากมีคนเจ็บแล้วมีอะไรเกิดขึ้นอีกมั้ย?” เมื่อสบโอกาสเธอต้องพยายามเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด

    “ท่านต้องการจะสื่อถึงอะไรหรือครับ?”

    “ก็บางทีพวกเขาอาจเป็นโจรป่ามีจุดประสงค์ เช่นพวกเสบียง เงินทองอะไรทำนองนี้”

    ทว่าองครักษ์รูปหล่อของเธอกลับชะงักไปสักครู่แล้วส่วยหน้านิดๆแสดงความไม่เห็นด้วย “ตามความเห็นแล้วไม่น่าเป็นเช่นท่านกล่าวครับ...อาจจะมีเงินทองข้าวของสูญหายไปกับการปะทะบ้างแต่เหมือนพวกมันมีจุดประสงค์ในการจู่โจมทุกครั้ง แต่ทางเราเองก็ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด”

    เรียวคิ้วสีชาเข้มเล็กขึ้นสูงหลังจากที่ฟังน้ำเสียงเรียบเรื่อยชวนหลับขององครักษ์หนุ่มรูปงามข้างตัวแสดงความคิดเห็น “จู่โจมอย่างมีจุดประสงค์?”

    “อะไรบางอย่างที่พวกนั้นต้องการตามหา แต่ไม่พบในกองทหารลาดตระเวณ พวกนี้ชอบการโจมตีอย่างรวดเร็วทุกครั้งก่อนจะหายไปราวกับภูตพรายแต่ดูไม่มีเจตนาจะฆ่าแกงกันให้ถึงตาย เพราะส่วนมากก็แค่บาดเจ็บเท่านั้น”

    ดวงหน้าสวยพยักขึ้นลงประหนึ่งรับรู้ก่อนแสร้งหันไปวุ่นวายกับงานตรงหน้า รู้สึกร้อนผ่าวในกระเพาะของตัวเองอย่างบอกไม่ถูกด้วยความยอกแสยงใจกับคำพูดของคู่สนทนา...ถ้าบอกว่าผู้ที่จู่โจมมีเจตนาจะฆ่าแกงกันจริงๆ สงสัยปานนี้นายทหารร่างใหญ่คนนั้นคงได้ลงไปเดินเล่นกินลมชมวิวในปรโลกแล้วละ!

    “แล้วที่บอกว่ามักจะพบศพแปลกๆนั้นละไม่เห็นมีใครจะพูดถึงเลย” แม้มือจะยุ่งอยู่กับงานเก็บกวานทำความสะอาดแต่ปากของเธอก็ไม่ได้อยู่เฉย แต่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับในทันที เลียมหรี่ตาลงเล็กน้อยเหมือนจะประเมินว่าฝ่ายที่เปิดประเด็นนั้นรู้ตื้นลึกหนาบางมากน้อยเพียงใด

    “ท่านวินเซนต์บอกมาหรือครับ?”

    “........”                 

    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอย่างไรเสียก็คงไม่ปริปากตอบกลับมาเลียมก็ได้แต่ถอนหายใจ “ไม่คิดว่าท่านวินเซนต์จะปากเปราะขนาดนี้นะครับ”

    “แล้วคำตอบล่ะ?” หญิงสาวผินหน้าน้อยๆเพื่อมอบรอยยิ้มแห่งชัยชนะให้ แต่รอยยิ้มนั้นก็อยู่ได้ไม่นานก็เพราะเสียงเรียบเรื่อยที่เอ่ยตอบกลับมา

    “ผมไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้ หากท่านต้องการจะทราบก็กรุณารอถามท่านวินเซนต์เองแล้วกันครับ ท่านจะให้คำตอบท่านได้ดีที่สุด” คำตอบที่ทำเอาเอเลนอร์ตีหน้าหงิกต่างจากองครักษ์จำเป็นรูปงามที่กำลังยิ้มเรียบๆอย่างผู้ที่ได้ชัยชนะเหนือกว่า...เขาถึงว่าหัวเราะที่หลังมักดังกว่าเสมอ!

     “กว่าจะถึงอาหารมื้อค่ำก็ยังอีกนาน ท่านอยากจะเดินเล่นชมค่ายทหารสักหน่อยมั้ยครับ?”

    สุ้มเสียงเรียบเอื่อยดังขึ้นข้างหลังหญิงสาวร่างโปร่งบางในชุดขาวทีบัดนี้เปรอะเปื้อนคราบสกปรกเป็นด่างดวงอย่างที่น่าจะสร้างปัญหาให้กับคนซักได้ไม่เบาแต่ดูเจ้าตัวไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไรนัก สังเกตุได้จากดวงตาสีเขียวสว่างเป็นประกายระยับด้วยความพึงพอใจที่กำลังมองไปรอบๆค่ายหลังออกมาจากกระโจมคนเจ็บแล้ว

    “เอาสิ” ดวงหน้าผ่องใส่เอี้ยวกลับมาส่งยิ้มหวานให้อย่างเคยชินพร้อมนัยน์ตาสกาวอย่างซุกซน “วันๆให้นั่งอยู่แต่ในกระโจมน่าเบื่อจะตาย ที่นี่ก็ดูจะมีอะไรหลายอย่างน่าสนใจไม่เบา”

    ว่าจบแล้วก็ตบเท้าก้าวเดินออกไปอย่างมาดมั่นโดยหารู้ไม่ว่ารอยยิ้มหวานๆของเธอนั้นทำเอานายทหารที่ยืนเฝ้าเป็นเวรยามในบริเวณนั้นตกตะลึงกันไปเป็นแถว

    เลียมยกมือขึ้นนวดที่ขมับขวาของเขาเบาๆเพื่อหวังผ่อนความตึงเครียดที่สะสมมาหลายวันให้ลดลง...การดูแลท่านหญิงนั้นไม่ยุ่งยาก แต่เอาใจไม่ถูกมากกว่าเพราะเธอดูไม่เหมือนท่านหญิงที่เขาเคยต้องรับหน้าที่เป็นองครักษ์เลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าหล่อนเองก็ดูสวยไม่หยอกแต่กลับไม่อ่อนหวานอย่างที่กุลสตรีในรั้วในวังพึงปฏิบัติกัน จริตจก้านก็ออกจะขาดๆเกินๆอยู่แถมยังไม่ชอบให้ใครมาเอาอกเอาใจเหมือนแม่หญิงทั้งหลายที่เคยพบเจอมาก่อน แลดูไม่มีเล่ห์เพทุบายแต่ที่ไหนได้ขี้แกล้งคนอื่นเป็นที่สุด

    รู้ตัวตั้งแต่ที่ได้เห็นหน้าแล้วว่าเจองานที่ท้าทายเข้าให้แล้ว...ไม่ยุ่งยากแต่ท้าทายและเชิญชวนให้ต้องกระโดดลงไปสู้ดูสักตั้ง หากเลือกที่จะทิ้งไปแล้วก็เหมือนถูกหญิงสาวลูบคมเล่นๆให้เสียศักดิ์ศรีชอบกล!

    เมื่อหลุดออกมาจากความคิดของตัวเองได้ก็ได้แต่ถอนหายใจอีกสักเฮือก ดวงตาสีชาอ่อนมองเห็นแผ่นหลังแบบบางในชุดสีขาวกรุยกรายแปลกตากว่าคนอื่นอยู่ไวๆเบื้องหน้าก็เลือกตัดใจ ฝ่ามือใหญ่ตบเข้าที่หน้าของนายทหารทั้งสองที่ยืนเฝ้าหน้าประตูทางเข้ากระโจมแรงๆเพื่อเรียกสติให้กลับมาก่อนจะสาวเท้าว่องไวตามคนที่เดินล่วงไปนานแล้ว

    หวังว่าหญิงสาวร่างบางจะไม่แสหาเรื่องอะไรแปลกๆให้ตัวเขาอีกหรอกนะ!

    แต่เขาหารู้ไม่ว่าคำภาวนานี้ไม่เคยเป็นจริง!!!

    +++++++++++++++


    เสียงอึกทึกครึมโครมดังควบคู่ไปกับเสียงเป่าปากร้องเชียร์อย่างเมามันของชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนล้อมวงเป็นกลุ่มใหญ่แลจะดึงดูดให้เธอสนใจอย่างมาก เอเลนอร์ไม่รอช้าที่จะสาวเท้ามุ่งตรงไปยังวงกลมใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยกลุ่มทหารในค่าย กลิ่นเหงื่อไคลของเพศชายลอยฟุ้งเสมือนตัวเตือนให้คนเป็นหญิงโดยทั่วไปรับทราบดีว่านี่ไม่ใช่เขตแดนของพวกหล่อนอย่างชัดเจน เสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นสลับกับตะโกนด้วยถ้อยคำสถบหยาบคายมักเป็นสิ่งเหล่าสุภาพสตรีโดยมากไม่สามารถทานทนได้ แต่มันกลับใช้ไม่ได้ผลกับหญิงสาวร่างบางในชุดขาวที่ยังคงมุ่งหน้าดุ่มๆเข้าไปกลางวงล้อมอย่างไม่แยแส

    ชายหนุ่มที่กำลังยืนชมอย่างสนุกสนานเหลือบมาเห็นร่างโปร่งบางในชุดขาวแตกต่างจากพวกเขาอย่างสิ้นเชิงก็รีบลนลานหลบไปด้านข้างให้ เสียงโห่ร้องเงียบลงไปถนัดใจเมื่อนายทหารทั้งหมดเริ่มสังเกตุเห็นร่างที่แปลกแยกเดินเข้ามาวงล้อม เสียงต่อสู้เมื่อสักครูราวกับเป็นเรื่องโกหกเมื่อขณะนี้ทุกสรรพสิ่งต่างเงียบกริบจนชวนในอึดอัดยิ่งต้องมาเจออากาศร้อนอ้าวก็ทำให้อะไรๆดูแย่ไปหมด

    เลียมที่วิ่งตามหลังมาถึงกับกุมขมับพร้อมกับรีบถลาเข้าไปประชิดตัวหญิงสาวจอมยุ่ง “ท่านไม่ควรมาอยู่ตรงนี้นะครับ” น้ำเสียงติดจะทุ้มต่ำกว่าปกติแต่ไม่ทำให้คนฟังรู้สึกเกรงกลัวใดๆขึ้นมาตรงกันข้ามกลีบปากสีกุหลาบยังเปิดส่งคำถามไปให้อีกต่างหาก

    “เมื่อกี้ข้าเห็นพวกเขากำลังสู้กันอยู่ พวกเขาทะเลาะกันหรือยังไง?”

    เสียงถอนหายใจหนักๆก่อนตอบ “เปล่าครับ แต่นี่เป็นการฝึกซ้อมของพวกทหารอย่างหนึ่ง”

    ดวงเนตรสีเขียวสว่างหันกลับไปมองบริเวณกลางลานทราบที่ถูกขีดลากให้เกิดเป็นรอยวงกลมบนพื้นเพื่อกำหนดขอบเขตการแข่งขัน นายทหารร่างใหญ่สองนายที่กำลังสู้กันอยู่จนถึงเมื่อครู่รีบยืดตัวตรงแดสงความเคารพให้กับเธอทันทีโดยไม่ต้องให้เลียมเอ่ยปากเตือน

    “ท่านควรกลับได้แล้วนะครับ” ชายหนุ่มข้างตัวเธอกระซิบเสียงเครียด “ไม่น่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้ว”

    “จะรีบกลับทำไม การแข่งดูท่าทางจะน่าสนุกดีออก” คำตอบของท่านหญิงสูงศักดิ์ทำเอาเขาอ้าปากค้าง

    “ไม่ได้นะครับ ไม่เหมาะสม!!

    แม้จะพยายามเอ่ยแย้งไปแต่ดูเหมือนคนฟังจะแกล้งทำหูทวนลมเสีย ร่างบางมองเห็นได้ชัดท่ามกลางเรือนร่างสูงใหญ่ของทหารหนุ่มทั้งหลายเดินลัดเลาะพลางสอดส่ายสายตามองหาที่ที่พอจะยืนหลบมุมชมการแข่งขันได้

    “จะสู้ก็สู้กันไปสิ ข้าแค่จะยืนชมเอง”เจ้าหล่อนยังทำท่าทางเหมือนไม่รู้ถึงความอึดอัดที่กำลังโปรยตัว เหล่านายทหารมองหน้ากันเลิกลั่กด้วยทำตัวไม่ถูก

    เลียมสาวเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว “ท่านควรจะกลับไปกับข้าได้แล้วนะครับ แบบนี้ไม่เหมาะสมเลย”

    “ถ้าการที่ผู้หญิงจะดูการต่อสู้ของผู้ชายมันไม่เหมาะสมละก็...” เสียงยานคางดั่งคนพูดต้องการจะยั่วเส้นประสาทคนฟังเอ่ยขึ้น “เจ้าคงต้องไปพูดกับอาจารย์ของข้าเองแล้วละ เพราะตั้งแต่เด็กจนโตมาข้าไม่เคยคิดว่าชายหรือหญิงจะแตกต่างกัน บังเอิญข้าถูกเลี้ยงมาแบบนี้ละนะ”

    ว่าจบเจ้าหล่อนก็ทิ้งตัวลงนั่งบนถังไม้เก่าๆที่วางอยู่ไม่ใกล้ๆบริเวณนั้นแล้วเลือกที่จะไม่สนใจองครักษ์รูปงามข้างๆตนเองอีก เลียมถึงแอบสบถสาบานในใจก่อนเลือกที่จะกลับไปสนใจกับความสนุกสนานของการต่อสู้เบื้องหน้าแทน...ปลงแล้วว่างั้นเหอะ!

    อย่าให้รู้นะว่าใครเป็นสอนเจ้าหล่อนมา เขาจะตามไปด่าถึงบ้านเลย!!!

    แม้ตอนต้นๆบรรยากาศการต่อสู้อาจจะดูกร่อยๆไปบ้างเพราะมีบุคคลแปลแยกไปจากทุกครั้งมาคอยเฝ้าสังเกตุการณ์อยู่ไม่ห่าง ทำเอานายทหารที่ร่วมลงซ้อมต่อสู้ลงไม้ลงมือกันแบบยั้งๆออมๆแต่เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักความสนุกสนานครึกครื้นก็หวนกลับสู่วงที่ล้อมรอบอยู่เพราะทุกคนสังเกตุได้ชัดว่าหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งชมการแข่งขันดูไม่มีท่าทางจะวี๊ดว๊ายหรือเป็นเป็นลมล้มฟาดพื้นเหมือนสุภาพสตรีท่านอื่นๆแถมยังหัวเราะเสียงใสร่าปรบไม้ปรบมือชอบใจ บางทีก็ส่งเสียงร่วมโห่ร้องยินดีไปกับนายทหารที่ได้ชัยชนะในการสู้

    ให้ตายเถิด เป็นผู้หญิงที่ประหลาดจริงๆ!!

    ดวงตาสีฟ้าเหลือบเทาขององครักษ์หนุ่มแอบเหล่มามองหญิงสาวในชุดขาวที่นั่งบนถังไม้พลางค่อนขอดอีกฝ่านในใจ แต่ไม่รู้ว่าคิดเสียงดังเกินไปหรืออย่างไรเพราะราวกับมีพรายกระซิบให้หญิงสาวหันกลับมาสบตาเขม็ง ประกายในนัยต์ตาคู่สวยระยับด้วยความรู้ทันทำเอาคนที่แอบนินทาคนอื่นในใจรู้สึกหน้าร้อนวาบอย่างไร้สาเหตุ

    “กำลังสงสัยข้าอยู่ละสิ” เสียงใสๆหัวเราะเบาๆในลำคอ

    แม้แต่นี่ก็ยังรู้อีกหรอ? รู้ได้ยังไง?

    เลียมขมวดคิ้วน้อยๆด้วยนึกประหลาดใจว่าหน้าผากของเขามันแปะคำถามเอาไว้หรือย่างไร?

    “ท่านไม่กลัวบ้างหรือ ข้าเห็นผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะไม่ชื่นชอบการต่อสู้ของบุรุษ” เมื่อยังหาคำตอบไม่ได้เสียงทุ้มเรียบเรื่อยก็ยอมแพ้เอ่ยปากถาม “ข้ามีโอกาสได้พบท่านหญิงมาบ้างแต่นางเหล่านั้นล้วนแต่ไม่นิยมการต่อสู้ที่น่ากลัว”

    “ข้าถูกเลี้ยงมาแบบลูกผู้ชายนะ” เสียงโห่ร้องและเสียงตะโกนเชียร์ดังลั่นไปทั่วจนแทบจะกลบคำตอบของเธอไปหมด “ท่านพ่อของข้าอยากได้บุตรชายแต่เพราะท่านแม่ข้าเสียไปตั้งแต่ข้ายังเล็ก ข้าเลยถูกเลี้ยงมาโดยแม่นมกับอาจารย์ของข้าตลอด”

    เลียมสบโอกาสจึงรีบถามทันที “แล้วใครเป็นอาจารย์ของท่านหรือครับ”

    “ท่านกวิเดียน ผู้วิเศษแห่งโครนอส” ช่างเป็นคำตอบที่ชวนทำให้รู้สึกลำบากใจไม่น้อย...เขาคงไม่สามารถเดินไปด่าอีกฝ่ายที่สอนหญิงสาวมาแบบผิดๆถูกๆเช่นนี้อย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกได้อีก เพราะไม่งั้นเขาเองคงได้โดนคำสาปเล่นงานอ่วมอรทัยแทน

     “ท่านก็เลยถูกเลี้ยงดูเพื่อทดแทนสิ่งนั้นหรือครับ?”

    “ก็ราวๆนั้นและ” เสียงตอบสบายๆราวกับเรื่องที่กำลังพูดเป็นแค่เรื่องดินฟ้าอากาศวันนี้

     “แล้วท่านชอบการใช้ดาบเป็นหรือเปล่าครับ” อีกฝ่ายที่แม้จะแสร้งทำเป็นสนใจฉากการสู้อย่างดุเดือดตรงหน้าด้วยความตั้งอกตั้งใจพยักหน้าลงรับคำ

    “ข้าใช้ดาบได้บ้าง แต่ไม่ได้เก่งกาจอะไรหนักหนา” เลียมพยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ...จะให้นักเวทมาสอนคนให้เป็นนักดาบฝีมือเลิศก็คงเป็นไปไม่ได้สินะ แต่เขาหารู้ไม่ว่านั่นคือความคิดที่ผิดถนัดไป!!

    “ข้ามีคนรู้จักที่นับถือเป็นพี่ชายอยู่สองคนครับ เป็นนักดาบฝีมือเยี่ยมทั้งคู่ ถ้าท่านมีโอกาสได้พบพวกเขาท่านคงจะชื่นชอบที่ได้พบกับคนฝีมือดีเช่นนั้น”

    รอยยิ้มระบายบนดวงหน้าสะอาดที่ผินมาเล็กน้อย “แล้วเจ้านะไม่ใช่นักดาบฝีมือดีหรอกหรือ?” พูดพลางพยักเพยิดมาที่ดาบสีเงินเล่มที่แขวนไว้ที่เข็มขัดทางขวามือของเขาทำเอาเจ้าของดาบเล่มที่ถูกกล่าวอ้างตีสีหน้ายุ่งยากใจ เขาเป็นชายหนุ่มที่รับมือกับคารมของสตรีตรงหน้าได้ไม่ดีนักและมักขะแสดงออกมาทางสีหน้าให้คนชอบแกล้งรู้สึกขบขันบ่อยครั้ง

    เสียงตะโกนทำให้บทสนทนาที่กำลังดำเนินอยู่ต้องขาดลงพร้อมกับดึงสติของชายหนุ่มคนฟังให้วกกลับไปที่ลานการต่อสู้เบื้องหน้าอีกครั้ง ชายหนุ่มร่างใหญ่บึกกำลังซัดหมัดขวาเข้าใส่เด็กหนุ่มที่รูปร่างเล็กกว่าอย่างแรงทำเอาคนถูกกระทำถึงกลับลอยตัวปลิวไปตกที่ขอบสนามสลบไปในทันที เสียงเชียร์ยิ่งดังกระหึ่มด้วยความหึกเหิมจากทหารที่รายล้อมอยู่โดยรอบ

    “คนที่ชนะนั้นนะไม่ค่อยมีฝีมือเท่าไร แต่หมัดของเขาหนักไม่หยอกเลยละไม่แปลกใจถ้าโดนจังๆขนาดนั้นจะสลบไป” เสี้ยวหน้าสะสวยกำลังเหม่อมองภาพการต่อสู้ตรงหน้าในขณะที่กลีบปากเรียวกล่าววิจารณ์ “ข้าหวังว่าหนุ่มผู้โชคร้ายคนนั้นจะฟื้นขึ้นมาในวันสองวันนี้นะ”

    “คนที่ชนะนั้นชื่อแกรนท์ครับ เห็นว่าเดิมคนล้มวัวแต่มาเป็นทหารเพราะยากจน” เลียมรายงานไปตามที่ทราบข้อมูลมา

    “เป็นทหารอย่างน้อยก็ได้เบี้บหวัดมีข้าวมีน้ำกินสินะ” เอเลนอร์ยิ้มอย่างขบขันก่อนจะขยับร่างลุกขึ้นเดินออกไปจากวงล้อมที่กำลังอึกทึกจนไม่สนใจใครอีกต่อไปแล้ว ร่างบอบบางต่างจากรูปต่างของชายวัยฉกรรจ์อย่างสิ้นเชิงลัดเลาะออกมาจากวงการต่อสู้ด้วยความว่องไว

    “ถ้าเป็นท่านจะไม่สนใจหรือครับ ได้เงินได้ข้าวได้ความสุขสบาย”

    “แต่ชีวิตก็ลำบากขึ้นด้วยละนะ” หญิงสาวแย้งขำๆ “ต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงอยู่ตรงนี้นะ”

    “ใครๆก็รักความเจริญก้าวหน้ากันทั้งนั้นและครับ คนที่ยังอยู่ก้ต้องดิ้นรนพยายามกันไปแม้จะต้องอดมื้อกินมื้อก็ต้องยอม” เลียมกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “มีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้นที่ไม่ต้องดิ้นรนพยายามอะไร”

    หญิงสาวยกยิ้มกว้างพลายกไหล่ทำท่าเหมือนยอมแพ้ “ก็จริงของเจ้านะ”

    “แล้วท่านมีความใฝ่ฝันใดบ้างหรือไม่ครับหรือว่าสนใจศาสตร์ใดเป็นพิเศษหรือเปล่า”

    หญิงสาวผู้ฟังเพียงแค่ยกยิ้มระบายบนใบหน้าสะอาดก่อนจะสาวเท้าออกเดินโดยไม่ยอมตอบคำถามขององครักษ์หนุ่มหน้ามนทำให้ฝ่ายคนถามจำใจต้องออกเดินตามหลังไปติดๆเพราะหวาดหวั่นว่าเจ้าหล่อนจะขยันหาเรื่องมาให้อีกรอบ

    “แล้วเจ้าละสนใจอยากเรียนรู้อะไรบ้าง?”

    เรียวปากบางบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นเม้มขึ้นเล็กน้อยก่อยจะคลายลง “ข้านั้นรักในสุนทรีย์แห่งกวีและอักษรเสียมากกว่า หากแม้เป็นได้ก็อยากจะจับเส้นสายอันอ่อนบางของพิณมากกว่าด้ามดาบอันแข็งกระด้าง”

    รอยยิ้มกว้างระบายขึ้นบนดวงหน้างดงาม...ช่างสมกับเป็นคำตอบขององครักษ์ผู้เคร่งครัดกับตนเองเสียจริง แม้แต่การตอบยังคมคายหนักแน่น เขานั้นช่างเป็นคนที่เข้มงวดกับตนเองในทุกเรื่องซึ่งแตกต่างกับเธออย่างสิ้นเชิง

    นักบวขสาวร่างบางเบือนหน้ากับไปพร้อมกับออกเดินอีกครั้ง เสียงฝีเท้าหนักไล่ตามหลังมาไม่ห่างพร้อมกับคำถาม “ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลยขอรับ”

    “นั้นสินะ” เสียงใสกังวานเจือความขบขันลอยมาจากร่างที่เดินนำหน้าอยู่

     “อ่อ จริงสิ” หญิงสาวที่หยุดก้าวเท้าเลยตัวเขาไปเล็กน้อยหมุนตัวกลับมา “ข้าเองก็สนใจนะ...แต่สนใจจะดูฝีมือของเจ้าเหมือนกันนะท่านนักดาบมือซ้าย”

    “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้อย่าลืมสาธิตการใช้ดาบมือซ้ายของเจ้าให้ข้าดูด้วยแล้วกัน ถือเสียว่าแลกเปลี่ยนกับคำตอบที่ข้าจะตอบในวันพรุ่งนี้ดีหรือไม่?”

    “ท่านโกงนี่น่า” เสียงทุ้มร้องประท้วงกับความเจ้าเล่ห์ของหญิงสาวตรงหน้า

    ไม่มีคำตอบกลับจากเอเลนอร์นอกเสียจากรอยยิ้มกว้างที่ชวนให้คนมองรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนักและดวงตาสีมรกตคู่งามที่พราวระยับด้วยความสนุกสนานก่อนที่ร่างโปร่งบางในชุดขาวที่เปรอะเปื้อนจะหันหลังแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ เหลือทิ้งให้องครักษ์หนุ่มรูปงามนึกเจ็บใจเล่นๆกับกลมุขตื้นๆของอีกฝ่าย

     =======================

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×