+++++++++++++++
เคยแต่ได้ยินว่าชื่อหมาแล้วหมาก็จะมาหา แต่ไม่ยักกะรู้ว่าเรียกชื่อคนแล้วคนก็มาหาได้ด้วย
เรียวคิ้วสีชาเข้มขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อมองเห็นร่างสูงตรงหน้าที่กำลังนั่งเอกเขนกบนเก้าอี้โต๊ะรับแขกอย่างสบายอารมณ์อยู่ในบ้านคนอื่น แถมบนโต๊ะยังมีชาร้อนๆกลิ่มหอมชวนดื่มเคียงข้างด้วยขนมมัฟฟินที่เธอเดาว่านอราห์น่าจะเพิ่งอบเสร็จได้ไม่นานก่อนที่แขกผู้นี้จะมาเยือน
“น้องรักของพี่” เสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยขึ้นเมื่อดวงตาสีม่วงอ่อนคู่นั้นเหลือบมาเห็นเธอยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง รอยยิ้มแย้มกว้าง ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อคลุมตัวนอกสีน้ำเงินเข้มปักลวดลายพฤกษาด้วยดิ้นเงินแวววาว...ชุดทำงานของข้าราชการในวังหลวงลุกขึ้นยืนพร้อมแย้มรอยยิ้มหวานซึ้งพิมพ์ใจที่คงทำเอาแม่สาวน้อยสาวใหญ่ในวังหลงเคลิ้มไปหลายตลบแล้ว ชายหนุ่มอ้าแขนออกกว้างราวกับจะบอกว่าให้เธอกระโดดเข้าไปซบอ้อมอกของพี่ได้เลย
เจ้าพี่บ้า!!! หญิงสาวร่างบางกัดฟันกรอด
สิ่งที่สรุปได้คำเดียวหลังจากกวาดตามองบุรุษหนุ่มรูปงามเบื้องหน้าซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอเอง...มันโดดงานมาหาเธอ!!!
เอเลนอร์ตีหน้าหงิกใส่เจ้าคนที่ยังยิ้มแย้มแจ่มใสก่อนจะเลือกเดินผ่านร่างที่ยืนอ้าแขนกว้างรอรับอยู่ไปอย่างไม่ใยดีตรงดิ่งไปยังนั่งบนเก้าอี้รับรองทำเอาคนที่ยืนยิ้มกว้างอยู่เมื่อครู่ชักเสียเซลฟ์ทำหน้าสลดลงไปทันตาเห็น
ชายหนุ่มผู้มาเยือนนี้มีลักษณะท่าทางสมเป็นสุภาพบุรุษจากวังหลวงอย่างแท้จริง...วินเซนต์ ดยุคแห่งบาริงตัน บุตรชายหัวปีของลอร์ดริชาร์ดกับเจ้าหญิงเฟลิเซีย พระขนิษฐาของกษัตริย์ก่อน เลยได้ยศดยุคพ่วงท้ายมาตั้งแต่เกิด และด้วยรูปโฉมที่สะอาดสะอ้านและดูสุภาพสง่างาม ผิวขาวผ่องตัดกับเส้นผมสีดำขลับ รอบตัวมีประกายความอ่อนโยนเปล่งออกเสมอๆไม่เคยขาดยิ่งดึงดูดใจสาวมากหน้าหลายตาจนกลายเป็นที่นิยมในวังหลวง โดยเฉพาะดวงตาสีม่วงคู่สวยซึ่งได้รับมาจากพระมารดาถือเป็นอาวุธพิฆาตที่ทำให้พวกหล่อนอ่อนละทวยทุกครั้งที่เจ้าพี่คนนี้แย้มรอยยิ้ม แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เคยรับรู้อะไรเลย
“เจ้าเองรึวินเซนต์ ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้ละ?” กวิเดียนที่เดินตามเข้ามาในห้องเอ่ยทักทายชายหนุ่มผู้มาเยือนอย่างสนิทสนมพร้อมกับหลิ่วตาให้กับหญิงสาวที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่เก้าอี้อย่างรู้ทัน วินเซนต์รีบโค้งคำนับอย่างสุภาพตามที่ได้รับการอบรมมาเข้มงวด
“ท่านอาจารย์” รอยยิ้มสวยมีได้รับมาจากพระมารดาอีกอย่างหนึ่งแย้มกว้างเมื่อได้เจอกับอาจารย์ที่คอยอบรมสอนสั่งตนเองมาตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย “อาจารย์สบายดีหรือเปล่าครับ”
“ข้ามันก็เรื่อยๆ คนแก่แล้วก็ยังนี่ละไม่เจ็บไม่ไข้ก็บุญแล้ว” ว่าแล้วดวงตาสีอำพันที่หลบอยู่ใต้เปลือกตาที่มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาปรากฎหรี่ลงจับจ้องร่างโปร่งเบื้องหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์
“ผอมแห้งแรงน้อยแบบนั้นมันไม่ดีนะวินเซนต์ เจ้าควรจะทำตัวให้ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามแบบท่านพ่อของเจ้าเสียบ้าง...อย่าเอาแต่หมกตัวทำงานเอกสารหัดไปออกกำลังกายกินอาหารดีๆมีประโยชน์ที่ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อเสียมั้ง”
ชายหนุ่มร่างโปร่งได้แต่หัวเราะเสียงแห้งๆพร้อมกับยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขินกับบทวิจารณ์ที่แสนจะตรงไปตรงมา
“อ่ะ...กลับกันมาพอดีเลยเจ้าคะ ดิฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะออกไปตามทั้งสองท่านดีมั้ยแต่ท่านวินเซนต์ปรามไว้ก่อน” นอราห์ที่เพิ่งกลับออกมาจากห้องครัวพร้อมของว่างยามบ่ายพอดี หญิงสูงวัยยกถ้วยกระเบื้องเคลือบเนื้อดีมาเป็นถ้วยน้ำชาสำหรับรับแขก กลิ่มหอมอ่อนๆของน้ำชาสีน้ำตาลอ่อนในถ้วยช่วยดึงให้บรรยากาศอบอุ่นมากขึ้น
เมื่อทานของหวานเคล้าชาเลิศรสกันเป็นที่พอเหมาะควรแก่เวลาแล้ว กวิเดียนก็เห็นควรจะเปิดการสนทนาเสียที ถ้วยกระเบื้องสีนวลสวยถูกวางลงบนจางรองเบาๆพอให้เกิดเสียงที่จะเรียกความสนใจ เอเลนอร์ที่กำลังจิบชาอยู่จึงวางถ้วยชาลงเช่นกัน ส่วนวินเซนต์ที่กำลังเพลิดเพลินกับมัฟฟินเนื้อนุ่มของนอราห์จำใจต้องทิ้งส้อมลงด้วยความอาลัยอาวรณ์ยิ่ง
“แล้วไปไงมาไงกันละวินเซนต์ถึงได้นี่” เสียงห้าวๆตามแบบฉบับของกวิเดียนเอ่ยขึ้นเป็นการเริ่มต้น นอราห์หัวเราะเบาๆก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ๆเพื่อเก็บเอาจานชามที่ไม่ได้ใช้แล้วไปทำความสะอาด แต่ยังยกเว้นจานใส่มัฟฟินของวินเซนต์ไว้อยู่!
วินเซนต์ยิ้มจนตาดวงตาสีม่วงอ่อนของตนเองหยี “ข้าบังเอิญผ่านมาทำธุระแถวนี้ครับ”
“พี่อย่ามาโกหก” หญิงสาวที่นั่งนิ่งฟังอยู่เอ่ยขึ้นจับผิด “พี่ไม่ได้มาทำธุระแถวนี้สักหน่อย พี่โดดงานมาต่างหากใช่มั้ยละ?”
สายตาปรามกลับส่งมาจากนอราห์ที่กำลังทำความสะอาดอยู่ใกล้ๆ นางนมคนสนิทของเธอเอง...ช่างน่าเจ็บใจยิ่งนักที่แม้แต่แม่นมของตัวเองยังสนับสนุนเจ้าพี่ชายสุดหล่อคนนี้มากกว่าเธอที่เป็นนายโดยตรงเสียอีก!!!
บุรุษรูปงามเพียงหนึ่งเดียวในวงสนทนาทำหน้าเจื่อนลงพลางหัวเราะเสียงแห้งก่อนจะยอมสารภาพความจริงให้ทุกคนฟัง “จริงๆก้ตั้งใจมาที่นี่เลยละขอรับ...แต่พี่ไม่ได้โดดงานมานะเลนี่น้อย พอได้ข่าวว่าเจ้ากลับมาอยู่ที่บ้านแล้วก็รีบเคลียร์งานแล้วบึ่งม้ามาหาเจ้าเลยนะ”
ชายหนุ่มรีบสาธยายก่อนจะหันหน้ามาแก้ต่างให้กับตนเองด้วยสายตาเป็นประกายระริกยามที่มองดูหญิงสาวผมสีเพลิงตรงหน้าที่ตนเองรักใคร่ประดุจน้องร่วมครรโภทร แถมยังเรียกชื่อของเธอว่า ‘เลนี่น้อย’ ซึ่งเป็นชื่อเรียกตั้งแต่สมัยที่ยังเล่นกันแต่เยาว์วัยทำเอานักบวชสาวต้องขมวดคิ้วไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
ตรงที่ว่าเคลียร์งานเสร็จแล้วจะจริงหรือเปล่าเธอเองก็ไม่อาจจะทราบได้ แต่ดูท่าว่าจะไม่ได้โกหกเรื่องที่ควบมาม้าบึ่งตรงมาหาเธอเลยทันทีที่มีโอกาส เพราะสังเกตุได้จากผิวกายของอีกฝ่ายที่แม้จะยังคงขาวผุดผ่องไม่ต่างจากบุตรของขุนนางชั้นสูงทั่วไปแต่แลดูคล้ำลงไปเล็กน้อยจากทุกครั้ง
“จริงสิเลนี่น้อย เอมี่ฝากจดหมายเวทมาถึงเจ้าด้วยนะ จริงๆนางก็อยากมาเหมือนกันแต่ท่านแม่ห้ามเอาไว้ก่อนนะสิไม่งั้นคงได้มาเล่นสนุกกันเมื่อสมัยก่อน”
เอมี่ หรือ อเมธิสท์ ดัชเชสแห่งริโวรองซ์ บุตรีฝาแฝดและถือเป็นน้องสาวที่แท้จริงของวินเซนต์ นางเป็นหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ถือเป็นศิษย์ของกวิเดียนและนั่นทำให้ทั้งเอเลนอร์และอเมธิสท์รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
อ่อ...แล้วก็อเมธิสท์เป็นคนตั้งชื่อ ‘เลนี่น้อย’ ให้กับเธอด้วยเหตุผลที่ว่า
‘ก็เพราะข้าชื่อเอมี่ ส่วนเจ้าชื่อเลนี่ จะได้เป็นเหมือนฝาแฝดกันยังไงละ’
ช่างเป็นเหตุผลที่เธอเองก็ยังตงอึ้งกิมกี่ทุกครั้งที่หวนคิดถึงขึ้นมาพลางนึกสงสารเจ้าพี่ชายฝาแฝดตัวจริงที่แลดูไม่ค่อยมีคุณค่าเท่าไรในสายตาน้องสาวร่วมสายเลือดเสียเลย
“ข้ารู้แล้ว” นักบวชสาวคนงามเอยด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยราวกับเกียจคร้านพร้อมกับแบมือขาวไปด้านหน้ารับเอาผลึกหินสีม่วงเข้มจัดขนาดเท่าเมล็ดถั่วจากวินเซนต์มาถือไว้ เรียวปากสีกุหลาบอ่อนขมุบขมิบร่ายเวทเบาๆ เจ้าหินในมือทอแสงวาวขึ้นเสมือนรับรู้ก่อนที่ตัวอักษรสีทองสว่างจะปรากฎขึ้นมากลางอากาศธาตุ เนื้อหาในจดหมายไม่มีอะไรมากไปกว่าการไต่ถามสารทุกข์สุขดิบทั่วไป หากแต่อักษรสีทองที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศนั้นแลดูมีปริมาณที่มากเกินความจำเป็นจนทำให้เธอต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง เพราะท่านหญิงคนงามไต่ถามตั้งแต่ชีวิตประจำวัน ชีวิตส่วนตัว อาหารการกิน อากาศในแต่ละวัน เสื้อผ้าที่เธอใส่ ผู้คนที่เธอเจอ เล่าเรื่องที่ท่านหญิงได้พบปะในแต่วันและสารพัดอีกมากมายเกินการคาดคะเนได้
สรุปว่ากว่าเธอจะอ่านจดหมายฉบับเดียวจบก็เสียเวลาไปนานอักโข เล่นเอาหมดแรงเลยทีเดียว!!
วินเซนต์หัวเราะคิกๆอยู่คนเดียวเหมือนเห็นหน้าตาแหยเกของเธอแต่เมื่อดวงเนตรสีมรกตเข้มตวัดไปด้วยประกายเรืองๆของความขุ่นเคืองเล็กน้อยก็ทำเอาชายหนุ่มรูปงามหน้าเศร้าขึ้นมาทันตาเห็น เหตุการณ์ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของผู้วิเศษแห่งโครนอส
อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งปริศนาของโลกที่ชวนให้ต้องขบคิด....ทำไมวินเซนต์ถึงได้ตามติดเอเลนอร์เสียขนาดนี้?
มันเหมือนลูกหมาน้อยที่คอยเฝ้าเดินตามเจ้าของไม่มีผิด!!
กวิเดียนที่เพิ่งวางถ้วยชาลงยกมือขึ้นมาลูบเคราสีขาวของตนเองให้เข้ารูปเข้ารอบพลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่วินเซนต์และอเมธิสท์พบกับเอเลนอร์ เจ้าฝาแฝดผู้พี่แลดูไม่ยอมเปิดใจในขณะที่ท่านหญิงในวัยเด็กนั้นกลับชื่นชอบเอเลนอร์เป็นอย่างมาก อาจเพราะอยู่ในช่วงวัยไล่เลี่ยกันและเป็นเด็กผู้หญิงหมือนกันทำให้สนิทกันกันได้เร็ว แต่วินเซนต์ก็ยังไม่ยอมรับเด็กหญิงผู้มาใหม่คนนี้จนกระทั่งเกิดเหตุในลานซ้อมดาบนั้นขึ้น
“เจ้าเป็นใครทำไมถึงต้องมาแย่งน้องสาวเราไปด้วย”
“ข้าไม่ได้มาแย่งใคร”
“โกหก เจ้ามาเพื่อให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าปกป้องเจ้าใช่ไหมละ”
“บอกไว้อย่างหนึ่งวินเซนต์แห่งบาริงตัน ข้าไม่ได้ต้องการให้ใครมาปกป้อง”
หลังจากทุ่มเถียงกันและจบลงด้วยการลงไม้ลงมือ เอเลนอร์เป็นฝ่ายได้ชัยชนะเหนือวินเซนต์ด้วยการฟาดดาบไม้เข้าที่ต้นคอทำเอาเด็กหนุ่มสลบเหมือดไปสามวัน ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนตึงเครียดว่าจะต้องลงโทษเด็กสาวหรือไม่เนื่องจากเป็นการฝึกซ้อมดาบธรรมดาที่เล่นเอาท่านดยุคน้อยของพวกเขาหลับไม่ตื่น เล่นเอาทั้งวังตะวันออกวุ่นวายกันเลยทีเดียว จะมีอยู่คนเดียวที่ยังแลดูสนุกสนานหลังจากได้หลังเรื่องราวทั้งหมดจากปากขององครักษ์ก็คือ ท่านลอร์ดริชาร์ด!! เมื่อท่านไปเยี่ยมดูอาการของบุตรชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังสำทับอีกว่าอีกไม่นานก็ฟื้น
แต่จู่ๆปาฏิหารย์ก็บังเกิดขึ้นตามคำของลอร์ดริชาร์ดจริงๆ เมื่อวินเซนต์ที่นอนแหมบอยู่ดีก็ฟื้นปุบปับขึ้นมามาพร้อมกับร้องเรียกหาเอเลนอร์ไม่ขาดปาก ทุกคนคาดเดากันว่าท่านวินเซนต์คงจะต้องโกรธมากที่พ่ายแพ้ให้กับเด็กผู้หญิงเลยจะเรียกอีกฝ่ายมาลงโทษ แต่ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดเพราะวินเซนต์แทบจะกระโดดกอดเด็กสาวคนสำคัญทันทีที่เห็นหน้าแถมยังเอ่ยปากเรียกเอเลนอร์ว่าน้องรักอย่างอารมณ์ดีสุดๆ เล่นเอาข้ารับใช้ที่แวดล้อมอยู่ตกตะลึงอ้าปากค้างกันโดยทั่วหน้า
และหลังจากนั้นเป็นต้นมาท่านชายก็โปรดปรานเอเลนอร์มาก ขนาดเรียกได้ว่าชี้นกเป็นไม้ยังได้เลยด้วยซ้ำ!!!
เขาถึงได้บอกว่ามันเป็นปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือจะเป็นผลพวงจากการแรงกระทบกระเทือนของดาบไม้นั้น!!
“แล้วเขียนมายาวเสียขนาดนี้จะให้ข้าตอบนางว่ายังไงดีละท่านพี่” น้ำเสียงเขียวใกล้เคียงกับสีดวงตาประชดน้อยๆช่วยสลายภวังค์ความคิดของชายชราได้เป็นอย่างดี
“เอาน่าอย่าไปโกรธเอมี่เขาเลย นี่พี่มีของฝากจากเมืองหลวงมาด้วยนะ” คำว่าของฝากแลดูจะได้ผลกับนักบวชสาวร่างบางตรงหน้าเป็นอย่างมากเพราะประกายความขัดเคืองเรืองรองในตอนแรกแทบจะดับวูบลงไปกลายเป็นแววตาสนอกสนใจอย่างถึงที่สุดเข้ามาแทนที่ “พี่คัดมาแบบเน้นๆเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ”
“จริงหรอ ไหนขอข้าดูหน่อยสิ” น้ำเสียงที่กลับมาร่าเริงเอ่ยรับ
ห่อผ้าที่แอบซุกอยู่ด้านข้างตัวของท่านดยุคน้อยรูปงามตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ถูกยกขึ้นมาทำเอากวิเดียนแทบตาถล่น เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีของเล่นแปลกๆมาให้แม่ตัวดีอีกแล้วทั้งๆที่เขาพยายามเหลือแสนที่จะจะกำจัดเจ้าสิ่งของไม่พึงประสงค์เหล่านั้นไป
อโคไนท์ เฮมล็อค เจลเซเมียม เคลมาทิส มัควอร์ท คลอรอล ฮอปส์ และอื่นๆอีกหลายชนิด...สมุนไพรและตัวยาที่เป็นพิษถึงตายหรือทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้
นี่ถ้าไม่บอกว่าของฝากจะนึกว่าเป็นเตรียมตัววางแผนจะลอบสังหารขุนนางคนสำคัญ!!!
“ว้าว! สุดยอดเลยท่านพี่ตัวยาพวกนี้มันหายากมากเลยนะ ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้ากำลังอยากได้เนี่ย” ดวงหน้าสะสวยของนักบวชสาวจับจ้องอย่างหลงใหลในตัววัตถุดิบสำหรับปรุงยา
“เห็นมั้ยละพี่ว่าแล้วว่าเจ้าต้องชอบมันมากๆแน่เลย”
“ขอบคุณท่านมากนะที่อุตส่าห์เอาของดีๆแบบนี้มาฝากข้า”
ประโยคสนทนาที่แสนจะราบรื่นเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยราวไม่เคยโกรธเคืองกันมาทำเอากวิเดียนชักจะปวดขมับขึ้นมาอีกรอบ...แบบนี้มันน่านัก!!
“วินเซนต์เอาขยะพวกนี้ไปทิ้งเดี๋ยวนี้นะ” ชายชราแทบจะแผดเสียงดังลั่น “เจ้าเอาของอันตรายพวกนี้มาให้นางเล่นได้ยังไงกัน”
“มันไม่ใช่ขยะนะครับอาจารย์” หนุ่มรูปงามรีบแก้ความเข้าใจของอาจารย์เสียใหม่ เพราะเข้าใจว่าอายุอานามอาจจะมากขึ้นเกิดความหลงลืมได้เป็นธรรมดา “นี่มันยาสมุนไพรทั้งนั้นเลย”
“ข้าบอกให้เอาไปทิ้ง!!!!”
“โธ่อาจารย์ อย่าทิ้งเลยข้าเสียดาย ของพวกนี้หามาได้ลำบากมากแถมยังราคาแพงอีกนะ” หญิงสาวรีบพุ่งตัวมาซบแนบเข่าของเขาพร้อมกับส่งเสียงอ้อน
“ไม่ได้ ข้าบอกว่าเอาไปทิ้งก็คือเอาไปทิ้ง”
“อาจารย์!!!” แม่สาวเจ้ายังคงไม่ยอมแพ้
กวิเดียนฝืนทำใจแข็งไม่ยอมต่อลูกอ้อนบวกประกายตาเว้าวอนของลูกศิษย์คนโปรด ชายสูงวัยผินหน้ากลับไปหาชายหนุ่มร่างโปร่งพร้อมกำชับสั่งเสียงเข้ม “เอาไปทิ้งซะวินเซนต์ เข้าใจมั้ย?”
“ครับ”
“โธ่...อาจารย์ น่าเสียดาย”
ท่านดยุคหนุ่มได้แต่รับคำเสียงอ่อยด้วยใบหน้าแสนเศร้า แต่นั้นกลับสร้างความโล่งใจให้กับผู้เป็นอาจารย์อย่างมากเมื่อเห็นศิษย์ทั้งสองยอมแพ้แล้วจึงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบสบายใจโดยหาได้ทันสังเกตุสายตาของทั้งวินเซนต์และเอเลนอร์ที่ส่งหากันอย่างมีเลศนัยพร้อมรอยยิ้มที่รู้ทันกันเป็นอย่างดี
“เอ๋..พวกเจ้าสองคนเป็นอะไรกัน?” ผู้ที่เพิ่งวางถ้วยชาลงสงสัยกับอากัปกิริยาแปลกๆของผู้เป็นนักเรียน
“เปล่า...เปล่านี่ไม่มีอะไร” เอเลนอร์แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้รีบคว้าถ้วยน้ำชาที่เริ่มจะเย็นชืดของตนเองขึ้นมาดื่มบ้าง แต่ยังรู้สึกร้อนๆหนาวๆกับสายตาจ้องจับผิดของชายชราจนต้องรีบหยิบยกประเด็นอะไรสักอย่างขึ้นมาขัดตาทัพไว้ก่อนที่คนเฉลียวฉลาดอย่างอาจารย์ของเธอจะจับพิรุธได้
“ว่าแต่ท่านพี่แล้วข่าวทางชายแดนเป็นอย่างไรบ้าง?”
แต่นั้นอาจเป็นการเลือกหัวข้อการสนทนาที่ผิดพลาดที่สุดเมื่อสีหน้าที่กำลังยิ้มเบิกบานของพี่ชายต่างสายเลือดของเธอกลับกลายเป็นเคร่งเครียดย่ำแย่ไปในพริบตาเดียวและนั้นทำให้เธอแทบอยากกัดลิ้นตัวเองเป็นการลงโทษ บรรยากาศเฮฮาอบอุ่นเหมือนสักครู่เหมือนเป็นความฝันไปในชั่ววินาที
“อ่อ เจ้าเองก็ติดตามข่าวอยู่เหมือนกันใช่ไหมละ...ท่านพ่อเป็นคนบอกมาใช่ไหม?” นักบวชสาวพยักหน้ารับ เพราะเธอยังคงส่งจดหมายติดต่อยู่กับท่านลอร์ดแห่งวังตะวันออกสม่ำเสมอ เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุขดิบบ้างเพื่อขอคำปรึกษาบ้าง
“ทำไมหรือวินเซนต์ สถานการณ์ย่ำแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ?”
บุรุษผู้มีดวงเนตรสีม่วงอ่อนส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะวางถ้วยชาของตนเองลงกับจานรอง “ที่จริงแล้วก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่มีการปะทะกันถี่มากขึ้นและที่สำคัญมีเหตุการณ์ประหลาดขึ้นด้วย”
“เหตุการณ์ประหลาด?” หญิงสาวเลิกคิ้วแทนคำถาม
“การปะทะมันบ่อยมากขึ้น มีคนเจ็บและตายจำนวนมากจนชาวบ้านลือกันว่าเป็นเหตุประหลาดนี้เป็นการกระทำของภูตปีศาจครับ เพราะศพส่วนมากที่พบถ้าไม่ได้ตายอาวุธก็น่าแปลกมากที่ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายใดๆทั้งสิ้น”
“ไม่พบร่องรอย เจ้าหมายถึงการถูกแทงหรือทำร้ายนะหรือ?” ผู้วิเศษแห่งโครนอสค่อยๆใคร่ครวญจากคำพูดของชายหนุ่ม
“แต่ไม่พบร่องรอยการทำร้ายก็อาจจะเป็นยาพิษก็ได้นี่” หญิงสาวลองเสนอความคิดขึ้นมา
“ไม่ใช่แน่นอน” วินเซนต์ยังคงส่ายหน้ายิกๆ “เพราะทางการได้ชันสูตรศพแล้วไม่พบสารเคมีที่เป็นพิษในร่างใดๆยกเว้นอยู่ร่างสองร่างนี่ละที่พบแต่เป็นอาหารพวกเห็ดมีพิษอ่อนๆซึ่งคนทั่วไปก็กินกันได้ไม่มีอันตราย”
“อืมถ้าเช่นนั้นก็น่าแปลกจริงๆ จะว่าเป็นผลจากเวทมนต์ก็ไม่ได้ด้วยสินะเพราะถึงจะเป็นเวทยังต้องร่องรอยการร่ายหรือไอมนต์ไว้บ้าง”กวิเดียนใช้มือลูปเคราของตนเองเบาๆ
“เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆด้วย” หญิงสาวเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเป็นจังหวะอย่างเคยชินเวลาที่ต้องขบคิดอะไรหนักๆสักอย่าง “ไม่ใช่เพราะดาบ ไม่ใช่เพราะเวท แล้วทำไมพวกเขาถึงตาย”
“นี่ละปัญหาที่เราจะต้องหาคำตอบให้ได้” วินเซนต์สำทับด้วยนำเสียงเครียดๆ
“คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับทางอันดอร์รัลมั้ย?” ชายหนุ่มส่ายหน้านิดๆทำเอาเธอโล่งใจแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมา
“ยังไม่มีอะไรเลยที่แน่ชัดสักอย่างน้องรัก” แววตาสีม่วงอ่อนระบายความกังวลกลัดกลุ้มเอาไว้เต็มเปี่ยม “ทหารของเราพยายามจะจับตัวของทหารที่เป็นฝ่ายรุกล้ำเข้ามาแต่ไม่สำเร็จ พวกนั้นทำงานคล่องเคลื่อนที่ว่องไว...ข้าว่ามันเหมือนกองโจรหรือพวกทหารรับจ้างมากกว่านะ”
“แล้วเครื่องแบบของทหารที่ตายบอกอะไรไม่ได้เลยหรอ?”
“ไม่ใช่ทุกศพที่ตายจะใส่เครื่องแบบนายทหารของอันดอร์รัล บางศพก็เป็นแค่ชุดเกราะเบาธรรมดาเลยหาเบาะแสไม่ค่อยได้”
“ตอนนี้ใครเป็นผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้อยู่ละ?” กวิเดียนที่นั่งเงียบๆฟังอยู่ถามขึ้น
“ท่านพ่อครับ เพราะอำนาจของวังตะวันออกมีอิทธิพลอยู่ในแถบนั้นที่ติดกับอาณาจักรอันดอร์รัล” กวิเดียนพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบแต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงตัวลอยเพราะคำพูดของแม่ลูกศิษย์ตัวยุ่ง
“แล้วมีอะไรที่ข้าพอจะช่วยท่านลุงได้บ้างหรือเปล่าละ?” เมื่อเห็นว่าปัญหานี้เกียวข้องกับผู้มีพระคุณของเธอ เอเลนอร์ก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้หากพอมีทางอะไรที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้เธอก็ไม่รีรอจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ โดยเลือกที่จะไม่สนใจกับสายตาสีอำพันที่พยายามเพ่งปรามมาทางนี้
“คงไม่ต้องหรอกเลนี่น้อย ท่านพ่อน่าจะจัดการปัญหาได้เร็วๆนี้แน่นอน” น้ำเสียงเกือบแจ่มใสของชายหนุ่มหวนกลับมาอีกครั้งทำเอาเธอต้องส่ายหัวกับการความคิดในแง่ดีเกินไปของลูกพี่ลูกน้องคนนี้
“เออ..เอาเป็นว่ามีอะไรเคลื่อนไหวก็ช่วยส่งข่าวมาหาข้าด้วยแล้วกันนะ”
“จริงสิ...เจ้าไม่จำเป็นต้องนั่งรอข่าวจากข้าฝ่ายเดียวกันได้นี่” ท่านดยุคหนุ่มเอ่ยขัดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “ทำไมเจ้าไม่ลองไปหาข่าวเองจริงๆในพื้นที่เลยละ”
“อะไรนะ!!” // พรูดดดดดด!!
เสียงหวานใสเผลอตะโกนดังลั่นอย่างตกใจกับข้อเสนอพร้อมกับเสียงพ่นน้ำชาของผู้วิเศษแห่งโครนอสที่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าแนะแนวความคิดบ้าบิ่นขนาดนี้ออกมาได้
“เจ้าบ้า กล้าเสนอความคิดพิศดารแบบนี้ออกมาได้ยังไง?” หลังจากเช็ดปากเห็นหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงแว๊ดๆของผู้เป็นอาจารย์ก็ดังก้องไปทั่วบ้าน “อย่าคิดเลยว่าข้าจะอนุญาต!!!”
“พิศดารนะใช่ แต่ข้าว่ามันก็ไม่ไร้สาระซะทีเดียวหรอกนะท่านอาจารย์” แทนที่เจ้าตัวคนถูกเสนอจะร้อนตัวปฏิเสธกลับสนองตอบด้วยใบหน้าระรื่นราวกับกำลังยินดีอย่างมาก ชวนให้อยากเขกมะเหงกลงบนหัวเจ้าศิษย์ตัวแสบทั้งสองคนสักรอบสองรอบให้หายเข่นเขี้ยว
“แถวชายแดนนั้นมีของน่าสนใจหลายอย่างอยู่นะ ตอนข้าไปยังเจอสมุนไพรแปลกๆอยู่หลายชนิด เลนี่น้อยเจ้าจะต้องชอบใจแน่ๆเลย”
“ขนาดนั้นเชียว แต่ข้าอยากรู้เรื่องเหตุการณ์พิลึกพิลั่นนั้นว่ามันมีต้นตอมาจากอะไรมากกว่านะ?”
“งั้นเจ้าก็รับหน้าที่ไปเป็นผู้เยียวยาในค่ายทหารสิ ใช่ๆ...ได้ข่าวว่าทางนั้นเองก็กำลังขาดคนอยู่เหมือนกัน พอเสร็จงานเจ้าจะมีอิสระอยากรู้อะไรก็ไปค้นหาข้อมูลได้เลย แถมช่วงนี้เลนนี่น้อยเองก็กำลังว่างงานถือว่าเป็นการช่วยงานท่านพ่อไปด้วยเลยก็ได้นะ”
“อ่อ จะเอาแบบนั้นก็ได้แต่ข้าอยากไปแบบสบายๆมากกว่านะ” หญิงสาวมุ่นคิ้วเล็กน้อยกับตำแหน่งที่ถูกอ้างถึง
“อยู่ที่นั้นเจ้าไม่ลำบากหรอกพี่จะคนเป็นเขียนรับรองให้เอง ได้กินดีนอนดีอยู่สบายแน่นอน”
เมื่อเจ้าคนเสนอกับคนสนองมีความเห็นที่ต้องตรงกันนิติกรรมทางใจระหว่างท่านดยุคหนุ่มซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนักบวชสาวจึงถือกำเนิดขึ้นโดยไม่คิดสนใจสายตาของคนแก่ที่กำลังช็อคกับการเข้าคู่กันอย่างดี ทำให้ได้แต่จ้องมองอ้าปากเหวอแมลงวันบินเข้าท้องไปได้หลายสิบตัวแล้ว
“พวกเจ้ายังเห็นหัวของข้าที่นั่งโด่เด่อยู่ตรงนี้กันมั้งหรือเปล่า” ผู้เป็นอาจารย์ที่ถูกหลงลืมไปชั่วขณะแว๊ดขึ้น “อย่าคิดว่าข้าจะใจอ่อนยอมให้เจ้าไปชายแดนง่ายๆ โดยเฉพาะเจ้านะตัวดีเลย ยังไม่พ้นโทษของท่านไดแอนก็ขยันหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว”
เอเลนอร์ทำหน้าหงอยเมื่อถูกปฏิเสธอย่างฉับพลัน ร่างโปร่งบางค่อยๆเขยิบเข้ามาทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆผู้วิเศษแห่งโครนอสที่ทำเป็นนั่งเชิดหน้าไปอีกทางไม่สนใจใครพร้อมกับสวมกอดชายชราเอาไว้ด้วยอากัปกิริยาออดอ้อนเต็มที่
“โธ่อาจารย์นี่ข้าไม่ได้ทำเพื่อตัวเองนะ แต่ข้าทำเพื่อช่วยท่านลุงนะ” ดวงตาสีอำพันฉายแววขุ่นเคืองตวัดมามองแวบเดียวก่อนตวัดกลับไปทำเอาเธอใจแป้วไปไม่น้อย
‘นี่เธอจะอดต้องไปชายแดนจริงๆหรือเนี่ย?’
“งวดนี้ข้าสัญญาจะไม่ก่อเรื่อง จะเป็นคนดีจะตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเลย” หญิงสาวกอดซุกไซ้ผู้เป็นอาจารย์พร้อมมองด้วยสายตาวาวระริกอย่างอ้อนว้อนสุดความสามารถ
วินเซนต์ถอนหายใจเบาๆก่อนจะมองดูศิษย์ที่พยายามอ้อนอาจารย์ที่บัดนี้งอนตุ้บป่องไปเรียบร้อยจึงตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วย “ข้าเป็นผู้รับรองเองนะครับอาจารย์ ท่านไม่ต้องห่วงหรอกเลนี่น้อยจะปลอดภัย เพราะค่ายที่ข้าให้นางไปอยู่ในดินแดนของเรา”
ริมฝีปากบางที่เม้มเป้นเส้นตรงสนิทค่อยๆคลายออกพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่ยกขึ้นยีเส้นผมสีทองแดงของนักบวชสาวด้วยความหมั่นเขี้ยว “ก็ได้ๆ...ข้าเป็นต้องใจอ่อนกับพวกเจ้าทุกทีเลย แย่จริงๆ”
“ขอบคุณมากคะอาจารย์ ข้าสัญญาจะดูแลตัวเองอย่างดีเลย” รอยยิ้มหวานระบายบนดวงหน้างดงาม เอเลนอร์หอมแก้มอาจารย์เธอแทนคำขอบคุณอีกครั้ง
“เจ้าจะไม่ยอมหอมแก้มพี่เลยหรอ พี่ก็ช่วยเจ้าเหมือนกันนะเลนี่น้อย” น้ำเสียงน้อยใจดังงุงงิงมาจากท่านดยุคหนุ่มทำให้หญิงสาวเปล่งเสียหัวเราะใสๆออกมาด้วยความชอบใจ รีบลุกขึ้นตรงไปหอมแก้มนิ่มของลูกพี่ลูกน้องเธอแรงๆอีกฟอด
“ขอบคุณท่านพี่มากคะ”
“แม้ว่าเจ้าจะมีฝีมือในการสู้รบแต่ไม่ว่ายังไงที่แถวนั้นก็ยังอันตรายอยู่ดีนะ” กวิเดียนเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “เมื่อไปถึงที่นั้นจงระแวดระวังภัยให้มาก ในยามศึกสงครามไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็อย่าประมาทแม้นิดเดียวเพราะนั้นคือหายนะ”
นั้นคือคำสอนที่เธอถูกย้ำเตือนมาเสมอตั้งแต่เล็กจนโต ซึ่งเธอเองก็น้อมรับมาปฏิบัติอย่างดีมาตลอด
“งวดนี้เหมือนข้าจะมีประโยชน์ขึ้นมาทันตาเห็นเลยนะ” เอเลนอร์พูดติดตลอกพลางก้มลงมองดูฝ่ามือของตนเอง...พลังของตัวเอง
พลังของเธอมีความแข็งแกร่งที่หนักแน่นมากเมื่อเทียบเคียงกับระดับพลังของนักบวชหญิงในรุ่นราวคราวเดียวกัน พลังที่รุนแรงสามารถใช้โจมตีหรือปั่นป่วนศัตรูได้เป็นอย่างดี ทว่ามันก็คล้ายเป็น ‘สิ่งที่ไม่จำเป็น’ ดั่งคำของท่านไดแอนที่เคยเปรยกับเธอเมื่อนานมาแล้วเมื่อเธอดำรงอยู่ในตำแหน่งของนักบวชผู้เยียวยาไม่ได้ต้องออกรบทัพจับศึกกับใคร
‘นักบวชที่ดีควรจะสามารถดึงพลังของหัตถ์แห่งการเยียวยามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด’
เอเลนอร์ที่หวนคิดไปถึงคำสอนของหัวหน้านักบวชหญิงผู้ดูแลของเธออย่างขำๆ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อการก้าวเข้าไปสู่หนทางสายนี้เธอเองก็ไม่ได้เป็นผู้เลือกเอง
“พลังของเจ้ามีประโยชน์อยู่แล้วเลนี่น้อย” รอยยิ้มอ่อนโยนส่งผ่านมาจากลูกพี่ลูกน้องรูปหล่อ “พี่เชื่อว่าเจ้าจะได้มันในโอกาสอันใกล้นี้ละ”
“ขอบคุณคะท่านพี่” ไม่บ่อยครั้งนักที่เธอจะเรียกวินเซนต์ด้วยถ้อยคำระรื่นหูเช่นนี้ทำเอาชายหนุ่มเบิ่งตากว้างด้วยความยินดี
วูบ!!
สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในห้องทำผ้าม่านที่อ่อนที่ขึงกั้นไว้พลิ้วสะบัดอย่างแรง!!
“เอ๊ะ ทำไมเจ้าถึงทำหน้าแบบนั้นละวินเซนต์” ชายชราที่กำลังนั่งดื่มชาทำใจปลงตกกับคำอนุญาตที่เพิ่งเอ่ยปากไปสดๆร้อนๆมุ่นคิ้วกับสีหน้าเหยเกแปลกๆของชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้าม
ดวงตาสีม่วงอ่อนกลอกไปมารอบๆอย่างหวาดระแวง “ลมพัดเมื่อสักครู่นี้ท่านไม่รู้สึกหนาวๆจนขนลุกบ้างเลยหรอ?”
ทั้งเธอและอาจารย์ส่ายหน้ายิกๆเมื่อเห็นวินเซนต์ยกมือขึ้นถูแขนตัวเองแรงๆ ใบหน้าซีดลงแถมมีเหงื่อแตกพลั่กออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“ทำไมข้าถึงรู้สึกอยู่คนเดียวละเนี่ย...จู่ๆก็เหมือนมีอะไรเดินผ่านวูบไป” ชายหนุ่มบ่นงึมงำกับตัวเองพลางสอดสายตาไปรอบห้องอีกครั้งอย่างกังวล
+++++++++++++++
ดึกมากแล้วแต่ยังไม่มีทีท่าว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงนอนจะล้มตัวลงบนฟูกสีขาวเนื้อนุ่มแต่อย่างใด ตรงกันข้ามดวงตาสีมรกตน้ำงามยังคงเป็นประกายสว่างไร้แววความง่วงงุนในความมืดของรัตติกาลที่ครอบคลุมไปทั่ว ร่างโปร่งบางในชุดนอนสีขาวค่อยๆขยับตัวหย่อนปลายเท้าลงบนพื้นไม้ให้แผ่วเบาที่สุด แม้จะมั่นใจว่าทั้งนอราห์และอาจารย์ของเธอจะข้าสู่นิทราไปแล้วแต่จะประมาทไม่ได้ โดยเฉพาะรายหลังนี่มีหูไวแปดลี้เสียงอะไรผิดปกตินิดหน่อยก็จะตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เอเลนอร์คว้าเอาผ้าคลุมไหล่สีน้ำตาลอ่อนหนาเหมาะแก่การให้ความอบอุ่นยามค่ำคืนเป็นอย่างดีขึ้นมาห่มไว้แล้วค่อยๆปีนออกมาทางหน้าตากของห้องนอน เท้าเปลือยเปล่าแตะลงบนพื้นดินอ่อนนิ่มมีหญ้าปกคลุมเล็กน้อยก่อนจะร่ายเวทเก็บเสียงใส่ตัวเองแล้ววิ่งฝ่าไปในความมืดเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล
“โย่ว มายสวีทฮันนี่” เสียงทุ้มที่แฝงความหวานเอาไว้จนไม่อาจจะแยกออกได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นหญิงหรือชายดังขึ้นเหนือศรีษะของเธอคนไปเมื่อหญิงสาววิ่งมาหยุดลงตรงต้นไม้ใหญ่ตนหนึ่ง
ใบหน้าสวยแหงนเงยขึ้นไปมองผู้ที่เอ่ยทักด้วยความคุ้นเคย “อยู่ตรงนี้เองหรอ”
ผู้ที่กำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ห้อยขาขวาลงอย่างสบายอารมณ์ เรือนร่างสูงโปร่งแต่แฝงคามแบบบางเอาไว้ซุกซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์อิสตรีสีม่วงเข้มเกือบดำจนแทบจะกลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง ดวงหน้าคมเข้มไม่แตกต่างกับบุรุษมีกลับมีเค้าของเส้นสายอ่อนช้อยของสตรีประดับเสริม นัยเนตรสีน้ำเงินคู่สวยที่กำลังจ้องมองลงมาด้านล่างก็ช่างเหมาะสมกับเส้นไหมสีรัตติกาลที่ถูกมุ่นขึ้นปักไว้ด้วยปิ่นยาวประดับอัญมณีสีทองอร่ามไว้ มือข้างซ้ายวางอยู่บนเข่าที่ตั้งชันถือกระบอกยาสูบยาวเอาไว้ กลิ่นเฉพาะตัวของตัวยาที่มอดไหม้ลอยกรุ่นจางๆรอบตัว
“ก็ว่าทำไมคืนนี้ถึงนอนไม่หลับก็เจ้าเล่นส่งกระแสจิตเย็นๆมาที่ท้ายทอยข้างตลอดเวลา” เอเลนอร์เอ่ยอย่างอารมณ์ดีก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่โคนต้นไม้อย่างไม่เกรงว่าชุดที่สวมมาจะเปรอะเปื้อนผงดิน
เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงพ่นควัน “ถ้าไม่อยากออกมาเจ้าก็แค่ปิดกั้นกระแสจิตของข้าก็ได้นี่”
“ข้าหรือจะกล้าต่อต้านอำนาจของภูตผู้ดูแลป่า” หญิงสาวเอ่ยเย้าอย่างขบขัน “ประเดี๋ยวท่านไรโอไลท์สุดหล่อจะได้ขัดเคืองแล้วสาปแช่งข้าหรอก”
คนที่ถูกแหย่ดูจะไม่ชอบใจกับคำเรียกเท่าไรเห็นได้ชัดจากคิ้วสีเข้มที่มุ่นเข้าหากัน “เจ้าที่มันขอบหาเรื่องข้าเสียจริง”
“แล้วสรุปเรื่องเมื่อเย็นนี้ผลงานของเจ้าหรือเปล่า” หญิงสาวร่างบางเงยหน้าขึ้นไปสบกับนัยน์ตาสีน้ำเงินตรงๆพร้อมฉีกรอยยิ้มกว้าง
“มันขึ้นอยู่กับว่าเรื่องของเจ้ามันคือเรื่องอะไรละ?”
“แหมๆไม่ต้องบ่ายเบี่ยงหรอกนะข้ารู้” ฝ่ายคนถามยังคงรุกเร้า
“ข้าจะไปรู้เรื่องของเจ้าหรอ” ทว่าคนถูกถามยังเลี่ยงต่อไป
เสียงถอยใจดังขึ้นจากโคนต้นไม้ “เอ้า! ก็เรื่องของเจ้าพี่บ้าของข้านะสิ ข้ารู้นะว่านั้นฝีมือของเจ้าแน่นอน”
ไรโอไลท์หัวเราะเบาๆในลำคอแสร้งทำเป็นยกกระบอกยาวสูบขึ้นแตะริมฝีปากบางของตัวเองอัดเอาควันสีเทาเข้าไปในปอดแล้วพ่นออกมาอย่างใจเย็นโดยไม่สนใจสีหน้าที่เริ่มงอของคู่สนทนา “แหม เจ้าก็รู้นี่น่าว่านั้นนะสเปคข้าเลยนะ”
“เจ้าก็เล่นหยอกพี่ข้าเล่นซะหน้าซีดตัวสั่นแบบนั้นเลยหรอ”
“ไม่ใช่สักหน่อยข้าแค่เฉียดเข้าไปใกล้ๆเข้าแล้วก็แอบประทับรอยจูบเบาบนพวงแก้มนิ่มนั้นยังไงละ” ไรโอไลท์ยกมือขึ้นมาเป็นท่าจุ๊ๆเหมือนว่าอย่าไปบอกใครพร้อมกับประกายตาที่มีแววซุกซนแฝงอยู่
“เจ้าก็รู้ว่าข้านะชอบผู้ชายที่ดูสูงสง่า อ่อนโยนแล้วก็สุภาพบุรุษ เจ้าวินเซนต์นั้นก็มีคุณสมบัติครบถ้วนที่ข้าชอบพอดีแถมยังหน้าตาดีไม่หยอก โดยเฉพาะดวงเนตรสีม่วงอ่อนที่แวววาวแบบนั้นละทำให้ลุ่มหลงได้ง่ายๆเลยนะ”
เอเลนอร์หัวเราะคิกกับคำพรรณนาที่อีกฝ่ายกล่าวถึงคนที่เพิ่งเดินทางกลับไปเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา แม้ว่าทุกคำที่เอ่ยออกมานั้นจะเป็นคำชื่นชมแต่เธอเชื่อว่าถ้าเจ้าพี่บ้านั้นมาได้ยินกับตัวเองเข้าจังๆคงมีสยองจับไข้หัวโกร๋นกันบ้างละ ในเมื่อกระแสเสียงที่เต็มไปด้วยความหลงใหลนั้นมาจากร่างที่เป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงแบบนี้
“แต่ข้าว่าถ้าเจ้าพี่บ้ามาได้ยินเองจริงๆคงได้เผ่นหนีป่าราบละสิไม่ว่า”
“เจ้ามันชอบปากเสียจริงๆ” ภูตผู้ดูแลทำหน้าระอาเล็กน้อยกันจะเบือนหน้าไปเพ่งมองฝ่าความมืดของยามราตรี “แล้วสรุปเจ้าจะต้องไปชายแดนจริงๆนะหรอ?”
“อือ ก็ราวๆนั้นและ” เสียงอืออาตอบรับมาจากคนบริเวณโคนต้นไม้ที่กำลังง่วงอยู่กับการถอนหญ้ารอบๆตัวเล่นอย่างเพลิดเพลิน “ข้าอยากช่วยท่านลุงทำงานแล้วก็สืบหาต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นแถวๆนั้น แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้มากสักแค่ไหน เพราะยังไม่รู้สถานการณ์จริงๆเลยสักนิด”
ความกังวลเจือมาในน้ำเสียงใสนั้น ความกลัดกลุ้มที่เธอพยายามปกปิดมาตั้งแต่อาหารมื้อเย็นหลุดออกมา แม้ว่าจะรักปากเป็นมั่นเหมาะแต่เธอก็ไม่ได้มั่นใจอะไรขนาดนั้นว่าจะได้ข่าวคราวที่เป็นประโยชน์ บางทีเธออาจจะต้องคว้าน้ำเหลวกลับมาก็เป็นได้
“จะกังวลไปทำไม” ท่วงทำนองการพูดที่เรียบเรื่อยฟังแล้วสบายหูดังขึ้นจากด้านบนกิ่งไม้ “ข้าละไม่เข้าใจจริงว่าทำไมพวกมนุษย์ถึงชอบคิดมากันจริง ก็แค่เปิดตา เปิดหู เปิดใจ เตรียมพร้อมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้วก็แก้กันไปก็แค่นั้นเอง”
นักบวชสาวหรี่ตาแล้วพยายามจะเหลือกขึ้นไปมองดูหน้าคนพูดแต่ติดที่ว่าเธอนั่งอยู่ต่ำกว่าอีกฝ่ายมากเกินไปถ้าจะเหล่ให้เห็นหน้ากันจริงๆอาจจะต้องใช้ความพยายามขั้นสูงถึงขั้นตากลับได้จึงได้แต่ถอนใจ
“ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดนะไรโอไลท์” หญิงสาวแย้งกลับ “แต่มนุษย์นะแตกต่างจากภูตแบบเจ้ามาก เราไม่มีพลังวิเศษอะไร เราไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดตามมาได้หรอกนะ”
“เพราะอย่างนี้ไงข้าถึงได้ว่าพวกมนุษย์นี่ช่างอ่อนแอ”
เอเลนอร์ได้แค่กลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ถ้าเริ่มประโยคนี้ทีไรทั้งเธอและไรโอไลท์จะเริ่มพูดกันไม่รู้เรื่องทุกที แม้ว่าจะเป็นเพื่อนคบคากันอย่างลับๆมาหลายปีแต่ความแตกต่างกันของเผ่าพันธุ์และความคิดในการใช้ชีวิตย่อมมีอยู่ในความหมายนั้น แต่ไรโอไลท์ซึ่งเป็นภูตผู้ดูแลป่าในบริเวณนี้ถือเป็นคนในคำปรึกษาในบางเรื่องที่ดี ทว่าเธอก็ไม่ได้เออออไปอย่างไร้สติในทุกๆคำที่เขากล่าวมา
“เฮ้อ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าข้าพยายามจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ขึ้นมาเจ้าน่าจะดีใจขึ้นมามั้งสินะ”
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหลือบกลับลงมามองร่างแบบบางใต้ผ้าคลุมผืนหนา “ข้าว่าเจ้าอยากทำเพื่อ ‘เขา’ มากกว่าละสิ”
รอยยิ้มเศร้าๆแย้มออกมาน้อยๆบนกลีบปากสีกุหลาบอ่อน “ก็คงจะใช่ละมั้ง”
“ไม่ได้เจอกันมากี่ปีแล้วนะ ครั้งสุดท้ายถ้าข้าจำไม่ผิดก็ตั้งแต่หกปีก่อนใช่ไหม?” ไรโอไลท์ยกนิ้วเรียวยาวขึ้นมาแตะที่คางทำท่าครุ่นคิดแต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับแม้จะนิ่งเงียบกันไปสักครู่ใหญ่ๆแล้ว
แผ่นหลังที่เคยเหยียดตรงคุดคู้ลงอย่างน่าสงสารอยู่ใต้ต้นไม้ทำให้ภูตแห่งป่าต้องยิ้มออกมาน้อยๆด้วยความเห็นอกเห็นใจ ร่างสูงเพรียวค่อยๆขยับลอยลงมายังพื้นดินด้วยความนุ่มนวล ฝ่ามือเรียวยาวสวยยกขึ้นลูบเส้นผมสีทองแดงที่ส่องประกายวาวล้อกับแสงจันทราที่สาดส่องลงมายังพื้นดินด้วยความอ่อนโยน
แม้จะเป็นภูตแต่ไรโอไลท์ไม่ใช่ภูตร้ายกาจที่จู่โจมผู้คนอย่างไร้สติหรือกระหายเลือดแต่ประการใดตรงกันข้ามเขามีอ่อนโยนและใกล้ชิดกับมนุษย์มากโดยที่มนุษย์เองก็ไม่รู้ตัว ตัวตนของไรโอไลท์ก่อกำเนิดมาจากแสงอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าที่ยังหลงเหลือก่อนที่ทวยเทพจะละทิ้งผลงานของตนไป เขาเกิดขึ้นมาจากต้นไม้ ก้อนหิน สายน้ำ สายลมที่อยู่ในป่า เขาจึงเลือกที่จะเป็นผู้คุ้มครองดูแลพฤกษาเหล่านี้ ตัวไรโอไลท์เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะกำหนดด้วยเพศของมนุษย์ได้ดั่งเช่นทวยเทพทั้งหลายที่ไม่แบ่งแยกความเป็นหญิงหรือชาย ซึ่งเอเลนอร์ก็เคยถามคำถามนี้กับไรโอไลท์เองเช่นกันแต่ดูเหมือืนตัวภูตผู้งดงามเองก็ไม่อาจล่วงรู้ถึงคำตอบว่าเป็นเพราะเหตุใด
“เอาน่าแค่นี้ทำเป็นเศร้าไปได้ถ้าใครจะไม่รักเจ้า เดี๋ยวข้ารักเจ้าเองก็ได้” เสียงทุ้มปนหวานเอ่ยอย่างหนักแน่นด้วยถ้อยคำขบขัน
“ข้านี่เหลวไหลจริงๆเลย” หญิงสาวที่ยังนั่งคู้เข่าตัวเองอยู่ส่ายหัวเบาๆ “เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ไม่ควรทำให้เจ้าเดือดร้อนเลย เอาเป็นว่าข้าขอโทษแล้วกัน”
ภูตผู้ดูแลยิ้มรับกับท่าทางที่เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิมของหญิงสาวตรงหน้า ดวงหน้าคมแฝงความนุ่มนวลก้มมองมนุษย์ตัวน้อยตรงหน้าอย่างเอ็นดู...แม้จะมีร่างกายที่บอบบางแตกสลายได้ง่ายแต่ความเข้มแข็งในใจคือเกราะคุ้มภัยที่แข็งแกร่ง และสิ่งนี้นี่เองทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถหยัดยืนได้อย่างกล้าหาญ
“แต่ถ้าเจ้าคิดจะไปชายแดนจริงๆละก็...” ไรโอไลท์เว้นช่วงการพูดของตนเองไปนิดก่อนจะยืนกายขึ้นเต็มความสูงแล้วผินใบหน้ามองความมืดมิดของห้วงนภาเบื้องหน้านิ่ง “ข้าคิดว่าเจ้าควรจะต้องจริงจังให้มากกว่านี้นะ”
“เอ๊ะ ทำไมหรอ?”
“เพราะข้าได้กลิ่น” คิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากัน นัยน์ตาสีนำเงินเข้มคู่นั้นเพ่งมองความเวิ้งว้างด้วยประกายตาดุดัน “กลิ่นของลางร้ายมันลอยมาตามลม ข้าเชื่อว่าต้องเป็นฝีมือของปีศาจอย่างแน่นอน”
แต่เอเลนอร์กลับยิ้มออกมาน้อยเพราะคิดว่าอีกฝ่ายล้อเธอเล่นอีกแล้ว “เล่นพูดถึงเพื่อนพ้องร่วมเผ่าพันธุ์ตัวเองแบบนั้นก็จบเห่กันหมดนะสิ...อย่าลืมสิมนุษย์นะชอบพูดว่าภูติและปีศาจล้วนแต่นำลางร้ายมาให้ทั้งนั้น”
สีหน้าเคร่งๆเหมือนสักครู่หายวับไปในพริบตา ภูตรูปงามหันมามองหญิงสาวมนุษย์ด้านข้างตนเองด้วยแววตาหน่ายๆก่อนจะทำสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างออกขึ้นมา เรียวมือได้รูปสวยใต้แขนเสื้อกรุยกรายยกขึ้นโบกในอากาศ เหยือกแก้วใสบรรจุน้ำสีอำพันเต็มปรี่ก็ปรากฎขึ้นมาจากความไม่มี เรียกความสนใจจากร่างโปร่งบางในชุดนอนสีขาวได้เป็นอย่างดี
“นี่คืออะไรนะ?” เอเลนอร์ยกเหยือกใสนั้นขึ้นมาใกล้ๆ กลิ่นหอมหวานอ่อนๆลอยเจืออกมาในอากาศชวนให้ลิ้มลอง “กลิ่นหอมน่ากินจังเลยนะ”
“เขาเรียกว่าน้ำประคองพลังชีพ ถ้าเจ้าดื่มน้ำนี้ลงไปมันจะช่วยทำให้ความสมดุลของร่างกายและเวทในตัวเจ้าอยู่ในระดับปกติ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ช่วยชีวิตได้หากต้องสูญเสียพลังชีพไปมากๆ”
ไรโอไลท์หันมามองนักบวชสาวตัวบางด้วยใบหน้าเคร่ง “เจ้าจงดื่มน้ำประคองพลังชีพนี่ซะก่อนเดินทางไปชายแดน อย่างน้อยมันจะช่วยปกป้องเจ้าได้หากเกิดอาการบาดเจ็บเพราะน้ำนี้ข้าสกัดจากแร่ไรโอไลท์รวมกับสมุนไพรในป่าด้วยตนเอง ดังนั้นมันจะไม่มีอันตรายต่อสุขภาพของเจ้าอย่างแน่นอน”
“รู้แล้วนะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก “ตอนแรกข้าละนึกว่าเจ้าจะเอาเหล้ามาให้ข้าดื่มเสียอีก อุตส่าห์หลงดีใจอยู่ตั้งนาน”
“เฮ้อ เจ้านี่มันจริงๆเลย” ภูตผู้งดงามได้แต่ส่ายหัว
“ขอบคุณมากเลยนะไรโอไลท์ที่คอยเป็นดูแลข้ามาตลอด” เอเลนอร์กล่าวออกมาจากใจจริง นี่ถ้าไม่ติดว่ามือทั้งสองข้างกำลังโอบอุมเจ้าเหยือกน้ำภูตประทานให้มาแล้วละก็ เธอคงจะโอบกอดเรือนร่างสูงเพรียวตรงหน้าแน่นๆไปแล้ว
“ก็เจ้านะชอบทำตัวให้คนอื่นเขาห่วงอยู่เรื่อยนี่ ข้าเลยต้องเป็นภาระตลอด” แม้ว่าจะกล่าวออกไปแบบนั้นแต่ดูเหมือนคนที่พูดก็ดูจะชอบใจที่ได้ห่วง
“ขอบคุณจริงๆ” รอยยิ้มบนกลีบปากสีกุหลาบอ่อนแย้มกว้างด้วยความปิติยินดี
=======================
ความคิดเห็น