ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    + [ Crown of Shadow ] +

    ลำดับตอนที่ #3 : + [ Chapter 1 : Suspicion I ] +

    • อัปเดตล่าสุด 15 มิ.ย. 55


    =======================

    ตำนานการบังเกิดของสิ่งมีชีวิตแต่ครั้งโบราณกาลกล่าวไว้ว่าเมื่อมาอีฟ ผู้รังสรรค์ชีวิต (Maeve, the Creator) ได้สร้างทวยเทพ โลกและสรรพชีวิตมากมายขึ้น เพื่อให้ธรรมชาติสามารถดำรงไปตามครรลองของวัฏจักรชีวิตจึงได้สร้างสิ่งที่จะเกิดมาเพื่อปกปักรักษาโลกไว้สิ่งเหล่านั้นคือบุตรแห่งผู้รังสรรค์ (Children of the Creator) อันสื่อถึงเหล่าพรายผู้งดงามและมนุษย์ผู้ห้าวหาญ โดยทั้งหมดต่างอยู่ภายใต้การดูแลคุ้มครองของทวยเทพ (The Deities) ทั้งเทพ พรายและมนุษย์จะสามารถสื่อสารกันได้

    ทว่าอัครเทพองค์หนึ่งเกิดความไม่พอใจต่อการสร้างสรรค์บุตรลำดับที่สองจึงได้ต่อต้านมหาเทพผู้กุมอำนาจสูงสุด และด้วยเหตุนี้เองทำให้เหล่าเทพสูงศักดิ์ต้องหันดาบเข้าห่ำหั่นกัน สรวงสวรรค์ต้องแปดเปื้อนและเหล่าบุตรของผู้รังสรรค์ลำดับแรกเองต่างก็เลือกฝั่งฝ่ายของเทพที่ตนโปรดปราน อาจจะถือได้ว่าเป็นความโชคดีประการหนึ่งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นเพิ่งถือกำเนิดขึ้นได้เพียงไม่นานจึงไม่อาจสร้างความเป็นปึกแผ่นมากพอจะสนับสนุนการรบพุ่งใดๆ ดังนั้นเพื่อคือความสงบสุขให้แก่สวรรค์และพื้นโลกอัครเทพอีกองค์หนึ่งจึงได้รับบัญชาได้ปราบ กบฎ

    ผลการสู้รบเมื่อฝ่ายที่ต่อต้ายต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ อัครเทพที่หมายจะท้าทายอำนาจของมหาเทพผู้รังสรรค์ถูกปลิดชีพลง แต่เพราะรัศมีแห่งทวยเทพไม่อาจถูกลบล้างได้จึงจำเป็นต้องผนึกเทพผู้เป็นกบฎต่อสวรรค์เอาไว้อย่างแน่นหนาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นสร้างความรู้สึกเหนื่อยหน่ายให้แก่เทพแห่งการสร้างผู้ยิ่งใหญ่นัก ทรงตัดสินพระทัยแยกดินแดนของทวยเทพออกจากเหล่าบุตรของตนอย่างสิ้นเชิงและขับไล่เหล่าพรายที่เคยร่วมรบอยู่เคียงข้างอัครเทพผู้เหิมเกริมให้ไปอาศัยอยู่ร่วมกันมนุษย์บนโลกเป็นการลงโทษต่อความคิดคดทรยศก่อนจะละทิ้งพวกเขาไปสู่ความมืดมิดบนฟากนภาที่กว้างใหญ่ เชื่อกันว่าทรงบรรทมหลับใหลอยู่ใต้การดูแลของเทพแห่งนิทรารมย์ท่ามกลางความเวิ้งว้างของอนธกาลที่พร่างพรายด้วยมวลดาราทอประกายดั่งคีตาที่ขับกล่อมถวายความสำราญ

    แต่นั้นก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว...นานเกินกว่าจะมีหลักฐานใดมายืนยันถึงอดีตกาลอันไกลโพ้น เหล่าบุตรแห่งผู้รังสรรค์ต่างดำเนินไปบนครรลองและกงจักรของกาลเวลาต่อไปอย่างสงบสุข ทว่าความร้าวฉานในบรรพกาลนั้นเป็นดั่งเมล็ดหน่ออ่อนของของความมืดที่แฝงเร้นกายประดุจกาฝากร้ายบนพฤกษาใหญ่ เมื่อสูบกินธาตุอาหารจากต้นที่ตนพักพิงจนสามารถหยั่งรากลึกแข็งแกร่งแล้วจึงค่อยแตกยอดสาขา

     เมื่อกาลเวลาหมุนเดินไปทุกสิ่งย่อมผันแปรตาม เหล่าบุตรอันเคยเป็นที่รักของทวยเทพต่างหันดาบเข้าหากันและกระทำการประหัตประหารกันเอง ไม่ว่าจะพรายหรือมนุษย์ก็ล้วนไม่แตกต่าง เพราะต่างก็แบ่งฝักแบ่งฝ่ายตามความรักความชังจนนำมาซึ่งการห่ำหั่นชิงชัยกันเองอย่างไร้ความปราณี

    ครั้งแล้ว...ครั้งเล่าที่ต้องหลั่งโลหิตลงกับพื้นปฐพี

    ครั้งแล้ว...ครั้งเล่าที่ต้องสูญเสีย

    ครั้งแล้ว...ครั้งเล่าที่ต้องเจ็บปวด

    จนกระทั่งความสิ้นหวังได้เข้าครอบคลุม สิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่ก่อกำเนิดขึ้นจากความโศกเศร้าอาดูร เสียงกรีดร้องครวญครางด้วยความทรมาน อาจจะรวมถึงความละโมภและกิเลสตัณหาของเหล่าบุตรแห่งพระเจ้า

    ความบิดเบือน (The Corruption) ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลก!!

    สิ่งแปลกปลอมอันไม่ได้เกิดขึ้นจากการรังสรรค์ของเทพผู้สร้างนี้แฝงเร้นกายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง พยายามสร้างความบิดเบี้ยวพร้อมกับดึงความจิตสำนึกดำมืดของทุกสรรพสิ่งออกมาและนั้นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดปีศาจร้ายออกอาละวาด

    ท่ามกลางความรู้สึกอ้างว้างสูญสิ้นแล้วซึ่งความหวังมีเพียงอย่างเดียวที่มนุษย์ทั้งหลายจะพึ่งพิงได้นั้นคือการสวดภาวนาต่อมหาเทพผู้ยิ่งยง!

    +++++++++++++++

    บรรยากาศกำลังอุ่นสบายพอเหมาะภายใต้แสงอาทิตย์สีทองอร่าม เสียงนกบัดเจอริก้าต่างพากันแข่งส่งเสียงหวานกังวานไพเราะเจื้อยแจ้วอยู่ไม่ขาด สายลมอ่อนจากตะวันออกที่หอบเอากลิ่นหอมสัมผัสของข้าวสาลีที่เพิ่งแตกยอดรับฤดูใบไม้ผลิเป็นสีเหลืองงดงาม ทุกอย่างแลดูสงบเงียบลงตัวอย่างถึงที่สุดหากไม่มีเสียงดังขึ้นทำลายความราบเรียบที่กล่าวมาทั้งหมดลงอย่างสิ้นเชิง

    “โอ้ยยย ไม่อ่งไม่อ่านมันแล้ว” เจ้าของเสียงใสบ่นดังๆก่อนจะเอนหลังลงกันกิ่งของต้นไม้ที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่

    “น่าเบื่อชะมัด...อะไรก็ไม่รู้ มาตราที่ 124 ผู้เป็นนักบวชควรสำรวจตนไม่เอ่ยถ้วยคำอันไม่บังควร เป็นต้นว่า คำสบถ คำหยาบคาย คำจ้าบจ้วง แล้วยังนี่อีกเป็นผู้เป็นนักบวชสมควรยิ่งที่ที่จะสำรวจกิริยามารยาทของตน ไร้สาระที่สุดเลย” เสียงถอนหายใจดังพรืดยาวๆด้วยความไม่พอใจก่อนที่เจ้าหนังสือเล่มหนาตัวปกห่อด้วยผ้ากำมหยี่เนื้อเนียนจะดูแผ่หราอย่างไม่ใยดีบนช่วงท้องในขณะที่เจ้าตัวก็นอนราบไปกับกิ่งไม้ขนาดมหึมาด้วยสายตาเหม่อลอย

    นัยน์ตาสีเขียวสว่างสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดผ่านแมกไม้ลงมาเป็นประกายวาวระยับไม่ต่างจากมรกตน้ำงามอันเลอค่าจ้องมองดูเงาของกิ่งไม้ที่สั่นไหวไปตามกระแสลมอย่างใจลอย มือข้างขวาถูกยกขึ้นมาพาดบนหน้าผากก่อนจะใช้นิ้วชี้พันเกี่ยวเส้นไหมนุ่มสีทองแดงของตนเล่นอย่างเพลิดเพลิน

    เอเลนอร์ นักบวชหญิงแห่งเซเลสทิส

    แม้จะเป็นเพียงตำแหน่งนักบวชของมหาวิหารเซเลสทิสหากแต่พื้นฐานของเธอก็ไม่ได้ต่ำศักดิ์เฉกเช่นนักบวชทั่วไป ด้วยว่าเธอคือบุตรีของท่านเสนาบดีมินอสหรือเสนาบดีฝ่ายขวาของกษัตริย์เฮรัลด์แห่งอาณาจักรนอร์เธียส ด้วยความเป็นสตรีทำให้ท่านเสนาบดีไม่อาจนำบุตรของตนเข้ารับราชการทหารได้ดั่งที่หมายใจไว้ ทว่าก็ไม่อาจล้มเลิกความตั้งใจได้จึงฝากเธอให้อยู่ในการอบรมดูแลของเหล่านักบวชชั้นสูงในเซเลสทิสเพื่อที่เธอจะได้เติบโตเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมและสามารถทำงานราชการสมประสงค์

    หากว่าตอนนี้เธอกำลังเบื่อ เบื่อจนถึงขีดสูงสุดแล้ว...เหตุผลนะหรือ

    ก็เพราะเธอถูกท่านหัวหน้านักบวชหญิงไดแอนไล่กลับมาสำนึกผิดอยู่ที่บ้านนะสิ!!

    เพียงแค่คิดขึ้นมาถึงตรงนี้คิ้วสีชาเข้มบนหน้าผากมนก็เริ่มขมวดเข้าหากันจนแทบจะเอามาผูกเป็นปมได้อยู่แล้ว

    ก็แค่เอาชิเคิล*ไปทาไว้เก้าอี้ของหัวหน้าผู้ดูแลหอหลังจากเธอผู้นั้นรู้เรื่องที่เอเลนอร์แอบปีนรั้วออกไปหนีเที่ยวข้างนอกวิหาร...รู้สึกจะมีอีกอย่างหนึ่งคือ เจ้าดราฟท์ เหยี่ยวอสูรของเธอจะบินชนโถน้ำศักดิ์สิทธิ์แตกกระจาย แต่นั้นก็ไม่ใช้ความผิดของเธอสักหน่อย เธอแค่ต้องการจะส่งจดหมายแต่เพื่อนร่วมห้องของเธอเข้ามาไม่ถูกเวลาทำให้ดราฟท์ตกใจผถาบินหนีไป

    “สุดท้ายก็เป็นเราทุกทีเลยที่ต้องมาซวยกับเรื่องแบบนี้” น้ำเสียงใสบ่นหงุงหงิงกับตัวเองเบาๆก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ

    แม้ดูภายนอกเอเลนอร์จะงดงามสูงส่งไปแตกต่างจากท่านหญิงสูงศักดิ์ในราชสำนัก ด้วยเรือนร่างโปร่งบางทำให้ดูปราดเปรียว ส่วนสูงที่ออกจะสูงเลยมาตราฐานของสตรีทั่วไปสักเล็กน้อยแต่ก็เหมาะสมดี ผิวสีน้ำนมขาวผุดผาดดูสุขภาพดี และที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์จนบางครั้งเจ้าตัวเองก็แอบหงุดหงิดเป็นครั้งคราวก็คือ เรือนผมสีทองแดงเจิดจ้ายาวเหยียดไปทิ้งตัวเป็นลอนคลื่นเล็กน้อยที่ส่วนปลายซึ่งตัดกับดวงเนตรสีมรกตอย่างชัดเจน

    แบบนี้มันตัวเรียกแขกชัดๆ ใครเห็นที่ไหนก็ไม่แคล้วต้องจำได้แม่นยำแบบไม่ต้องสงสัยเลย!!

    องค์ประกอบทุกอย่างสร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นเธอได้อย่างลงตัว ทว่าหากพูดชื่อ เอเลนอร์ในเซเลสทิสแล้วก็ไม่มีใครไม่รู้จักอย่างแน่นอน เพราะทุกคนต่างจดจำวีรกรรมสุดแสบต่างๆที่เธอได้ก่อเอาไว้นับตั้งแต่ได้เขาพำนักศึกษาในสถานที่แห่งนั้น  ทุกคนรู้ดีว่าถ้าทำให้เธอโกรธแล้วจะต้องพบการวิธีการกลั่นแกล้งแบบแปลกๆ และเช่นเดียวกันในครั้งนี้ที่เอเลนอร์แหกกฎของมหาวิหารอีกครั้งจนทำให้ท่านไดแอนทนความปวดเศียรเวียนเกล้ากับสารพัดคำฟ้องไม่ไหวจัดการเตะโด่งเธอกลับมาที่วาเลนเซียบ้านเกิดเดิมแทนการลงโทษที่เธอไม่เคยเข็ดหลาบ พร้อมคำสั่งกำชับเป็นมั่นเหมาะ

    จงกลับไปอยู่ที่วาเลนเซียแล้วท่องบทบัญญัติคุณสมบัติของการเป็นนักบวชที่ดีทั้ง 1968 ข้อให้แม่นยำขึ้นใจ ข้าให้เวลาเจ้า 3 เดือนเมื่อเจ้ากลับมาเซเลสทิสข้าจะเอาการเจ้า หากทำผิดกฎข้อใดในคราวหน้าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก

    และนี่ก็คือสาเหตุที่เธอต้องมานั่งเจ่าจับอยู่กับหนังสือเล่มหนาที่สมควรถูกนำไปหนุนนอนมากกว่า

    แต่ว่าให้จำมาตราที่ทั้ง 1968 ข้อเนี่ยไม่แยะเกินไปหรอ?

    แล้วที่สำคัญดูสภาพหนังสือของเธอที่ยังใหม่เอี่ยมอ่องราวกับเพิ่งซื้อมาแบบนี้...ก็เธอไม่เคยคิดจะแตะหรือสนใจเลยแม้ว่าจะอาศัยอยู่ในเซเลสทิสมาตั้งหลายปีแล้ว

    เอเลนอร์เป่าปากตัวเองด้วยความหนักใจพลางยกศีรษะของตัวเองขึ้นโขกลงไปกับกิ่งไม้เบาๆเป็นจังหวะ และในเวลาเดียวนั้นเองก็มีอีกเสียงหนึ่งร้องเรียกความสนใจของเธอ

    “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูอยู่ที่ไหนเจ้าคะ?” เสียงผู้หญิงที่อายุน่าจะอยู่ในราวๆวัยกลางคนตะโกนดังมาเสียก่อยเจ้าตัวจะมาถึงเสียอีกทำเอาเอเลนอร์ที่กำลังนอนเอนหลังสบายอารมณ์รีบผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมจ้องมองลงไปด้านล่างอย่างนึกสนุก

    “คุณหนูเจ้าคะ? คุณหนูอยู่ที่ไหน...คุณหนู” ร่างของหญิงในวัยกลางคนเดินย่ำต้นหญ้าที่พริ้วล้อสายลมพลางสอดสายตามองหาด้วยความกังวล หญิงผู้นั้นอยู่ในชุดกระโปรงยาวสวมทับไว้ด้วยผ้ากันเปื้อนสีหม่นๆแสดงให้เห็นถึงอายุการใช้งานได้เป็นอย่างดี เส้นผมสีดำขลับบนศีรษะก็เริ่มมีแซมด้วยสีเงินบ่งบอกถึงวันและวัยที่ล่วงผ่านไป

    “คุณหนูเอเลนอร์ คุณหนูเจ้าคะ...อยู่ที่ไหนกันเนี่ย?” หญิงผู้นั้นหยุดเดินลงที่ใต้ต้นไม้ มือข้างขวาล้วงลงไปหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยของตนขึ้นมาซับเหงื่อบนใบหน้าเบาแต่ยังคงส่ายตามองไปรอบๆไม่หยุด ส่วนมือข้างซ้ายนั้นหิ้วตะกร้าไม้แบบมีฝาปิดใบไม่ใหญ่มากนักไว้มั่น “เมื่อกี้บอกเองว่าจะออกมาหาที่เงียบๆอ่านหนังสือนี่น่า”

    “นอราห์ ข้าอยู่นี่” เจ้าของชื่อที่อีกฝ่ายกำลังตามหาลุกขึ้นยืนบนกิ่งไม้ก่อนจะร้องตอบคนด้านล่างไปอย่างนึกสนุก

    “เอ๊ะ เสียงคุณหนู...คุณหนูอยู่ตรงไหนเจ้าคะ?”

    “บนนี้ไงนอราห์”

    “ไหนเจ้าคะ” หญิงวัยกลางคนหัวหมนุมองหาต้นเสียงพัลวัน

    “ข้าบอกว่าข้าอยู่บนนี้” เอเลนอร์ตอบแล้วหัวเราะเบาๆ

    ทันทีที่หญิงที่ชื่อนอราห์มองเห็นเธอกำลังยืนเกาะกิ่งไม้อยู่บนต้นไม้ใหญ่ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คาดไว้ นอราห์กรี๊ดลั่นดังแปดหลอดพร้อมกับโวยวายลั่นไม่หยุด “ต๊าย ตายแล้วคุณหนูขึ้นไปทำอะไรบนนั้นเจ้าคะ!!! ลงมานะเจ้าคะอันตรายเหลือเกิน”

    “ข้ายังไม่ตายนะนอราห์” สาวเจ้าเล่นคำไม่พอยังทำท่าทางบิดไปมาอย่างคล่องแคล่วแถมยังยืนเขย่ากิ่งไม้โชว์เสีย “เห็นมั้ยข้ายังอยู่ครบสมบูรณ์ดีไม่บุบสลายตรงไหนเลย”

    “โอ๊ย น่ากลัว คุณหนูลงมาคุยกันดีๆข้างล่างเถอะนะเจ้าคะ” ยิ่งเห็นคุณหนูคนสำคัญของหล่อนทำท่าทางเคลื่อนไหวไปมาแบบนั้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะหน้าซีดลมจับเข้าให้ยิ่งทำให้เอเลนอร์หยุดหัวเราะไม่ได้

    “ก็ได้ๆ จะลงไปเดี๋ยวนี้แล้ว” พูดไม่ทันขาดคำร่างโปร่งบางที่เคยยืนบนกิ่งไม้ก็กระโดดวูบลงมาที่พื้น และนั้นก็ทำให้นอราห์กรี๊ดออกมาอีกรอบก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ หญิงสาววัยกลางคนแลดูมีความสุขอย่างมากเมื่อเห็นคุณหนูของเธอกลับลงมาเดินบนพื้นตามปกติ ส่วนหญิงสาวตัวต้นเรื่องก็ได้แต่เอานิ้วก้อยแหย่เข้าไปในหูพร้อมกับทำหน้าเหยๆเพราะเสียงร้องของนางนมคนสนิททำเอาหูของเธอแทบดับ

    “คราวหลังอย่าขึ้นไปอีกนะเจ้าคะ ทำอะไรไม่รู้อันตราย” เสียงบ่นหึ่งเหมือนผึ้งดังตามหลังมาหยุดนับแต่เธอกลับลงมาเดินบนพื้นเหมือนคนสามัญทั่วไป “นี่ถ้าเมื่อกี้กระโดดลงมาแล้วเกิดแข้งขาหักขึ้นมาจะลำบากเอานะเจ้าคะ”

    “อืม ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว” หญิงสาวได้แต่พยักหน้าเออออไปเพื่อตัดบท“คราวหลังไม่ทำแล้ว”

    นอราห์ยิ้มแก้มปริรับคำพูดของเธอด้วยความยินดี

    คราวหลังไม่ทำให้เห็นแล้ว นั้นคือสิ่งที่เอเลนอร์ปณิธานอย่างหนักแน่นในใจ

    “ว่าแต่นอราห์มาหาข้าทำไมหรือ?” คำถามของเธอดูจะฉุดให้ความทรงจำถึงเหตุผลที่นางนมคนสนิทคนนี้ต้องลงทุนเดินออกจากบ้านพักมาหาเธอถึงที่นี้กลับคืนมา

    “เรื่องสำรับกลางวันของท่านกวิเดียนนะเจ้าคะ” สีหน้าของนาราห์แลดูมีแววกังวลเล็กน้อย ส่วนเอเลนอร์เลิกคิ้วสูงแทนคำถาม

    “ข้ากำลังเตรียมแป้งพายสำหรับมื้อเย็นแล้วก็เพิ่งอบขนมมัฟฟินที่เตา เกรงว่าจะไม่สามารถปลีกตัวไปส่งสำรับให้ท่านกวิเดียนได้เช่นทุกครั้งเลยอยากรบกวนคุณหนูหน่อยนะเจ้าคะ”

    ท่านกวิเดียนที่นอราห์กล่าวถึงคือผู้วิเศษอีกนัยหนึ่งก็คือพ่อมด กวิเดียนเป็นหนึ่งในเจ็ดผู้รักษาเขตอาคมแห่งโครนอส...นครแห่งมนตราผู้ควบคุมการใช้เวทของนักเวททั้งมวล  แต่สำหรับเอเลนอร์แล้วกวิเดียนเป็นทั้งอาจารย์ผู้สั่งสอนความรู้ต่างๆและญาติผู้ใหญ่อีกคนที่เธอสนิทสนมมากที่สุด

    เอเลนอร์พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจ “ตะกร้านี้หรือเปล่า?”

    “อันนี้และเจ้าคะ รบกวนคุณหนูนำไปส่งให้ท่านกวิเดียนด้วยนะเจ้าคะ”

    “ดีเหมือนกันจะได้หาเรื่องแกล้งคนแก่” หญิงสาวรับตะกร้าของกินไปถือไว้พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะคิกคักเมื่อพยายามคิดถึงแผนการเด็ดๆในการกลั่นแกล้งต่างๆนานาๆที่พาเหร็ดกันผุดขึ้นในหัวสมอง

    “ประเดี๋ยวก็โดนลงโทษซ้ำอีกหรอกเจ้าคะ”

    “ข้าหรือจะกลัว?”

    นอราห์ส่ายหัวเบาๆอย่างเหนื่อยใจก่อนจะใช้ฝ่ามือรุนแผ่นหลังของคู่สนทนาแทนการตัดบทสนทนา “ไม่พูดแล้วเจ้าคะรีบไปดีกว่าประเดี๋ยวจะสายเกินเวลาไปมากท่านกวิเดียนจะโมโหหิวเอาได้ ข้ายังไม่อยากโดนคำสาปของผู้วิเศษหรอกนะเจ้าคะ อีกอย่างมัฟฟินที่ข้าอบไว้คงจวนจะได้ที่แล้วด้วย”

    “รู้แล้วนะ” หญิงสาวทำปากยื่นน้อยๆเหมือนเด็กๆเวลาไม่พอใจ “ไปแล้วก็ได้”

    หญิงสาววัยกลางคนได้แต่ยืนส่งคุณหนูจอมแก่นของเธอ เมื่อเห็นท่าทางโบกมือหยอยๆนั้นแล้วก็อดนึกเอ็นดูปนขำไม่ได้ได้แต่โบกมือไล่ให้อีกฝ่ายเร่งฝีเท้ามากขึ้น

     +++++++++++++++

    เอเลนอร์เดินย่ำฝ่าต้นหญ้าสูงเท้าเข่าเข้าไปในขตที่ถูกถางตกแต่งไว้อย่างใจเย็น กลิ่นความสดชื่นของดินและใบไม้พัดโอบล้อมเรือนร่างของเธอไว้ไม่ต่างกับการโอบกอดด้วยความนุ่มนวล ดอกแดฟโฟรดิลสีเหลืองจัดตัดกับสีเขียวขจีของใบหญ้าสวยงามแซมด้วยดอกครอคัสสีม่วงอ่อนละมุนตา ช่างเป็นภาพแสนสงบที่หาไม่ได้บ่อยนัก

    “หายไปไหนนะ ปกติจะอยู่แถวๆนี้นี่” เสียงหวานพึมพำเบาๆกับตนเองหลังจากพยายามกวาดสายตามองหาผู้วิเศษแห่งโครนอสไม่พบ เธอเดินไปตามแนวดินที่ถูกขุดยกขึ้นเป็นเนินเตี้ยๆอย่างสวยงามเป็นระเบียบ บนเนินเตี้ยนั้นมีต้นกล้าของไม้ผลถูกบรรจงปลูกไว้เป็นแนวสวยงามอย่างตั้งใจ

    “หรือวันนี้จะเข้าป่าไปเก็บสมุนไพรหรือเปล่า” ขณะที่กำลังค่อยๆระลึกถึงสถานที่ที่บุคคลที่เธอกำลังตามมาน่าจะไป พลันโสตประสาทก็ได้ยินเสียงน้ำแตกกระเซ็นเบา เรียกรอยยิ้มกริ่มให้ยิ่งแย้มออกมาเจ้าเล่ห์

    “อยู่ที่ริมน้ำเองหรอ?”

    หญิงสาวผมสีทองแดงค่อยๆย่อตัวลงโดยพยายามใช้ความสูงของต้นหญ้าให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เธอค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ๆจุดที่มั่นใจว่าได้ยินเสียงมาอย่างเชื่องช้าและระมัดระวังที่สุดที่จะไม่ให้เกิดเสียงกังกรอบแกรบอันจะเป็นการแหวกหญ้าให้คนแก่ตื่นตัวได้ มือขาวเรียวเอื้อมไปแหวกต้นหญ้าที่ปกคลุมทางไว้เผยให้เห็นร่างสูงในชุดเสื้อคลุมสีน้ำตาลแก่มอซอกำลังนั่งอยู่บนก้อนหินขนาดพอเหมาะอย่างสบายใจ เส้นผมและหนวดเคราสีขาวยาวฟองฟูพริ้วน้อยล้อกับลมที่โชยผ่านมา มือทั้งสองข้างจับเบ็ดตกปลาไว้โดยที่ข้างๆตั้งถังไม้ใบย่อมบรรจุปลาอยู่สองตัวด้วยกัน

    “แกล้งสักหน่อยดีกว่า” ว่าแล้วก็ยกนิ้วมือขึ้นตั้งท่าจะวาดกลางอากาศด้วยประกายตาสนุกสนานหากคนที่กำลังเหมือนนั่งสบายๆจนไม่น่าจะทราบถึงการมาของเธอเอ่ยทักขึ้นก่อน

    “ไม่ต้องมาซ่อนหรอกเจ้าตัวดี ออกมาเดี๋ยวนี้เลย” น้ำเสียงเขียวปั๊ดของชายชราเบื้องหน้าเร่งเสียงหัวเราะใสๆ เอเลนอร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตนเองอีกครั้ง ไม่มีเหตุจำเป็นต้องแอบซ่อนแล้วเมื่อฝ่ายที่เธอตั้งใจจะแกล้งดันรู้ตัวเสียก่อน

    “ท่านรู้ตัวหรอว่าข้ามาอยู่ข้างหลังนี่นะ?”

    “ข้าไม่ได้แก่จนเลอะเลือนนี่แม่เด็กน้อย” ผู้วิเศษแห่งโครนอสตวัดสายตาพิฆาตมาพร้อมเอ่ยตอบ

    “ขี้โกงนี่แบบนี้ ท่านใช้เวทใช่ไหมละ?” คำถามนี้เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากชายผมขาวได้เป็นอย่างดี

    “อย่างเจ้านะไม่ต้องใช้เวทก็รู้อยู่แล้ว อย่าลืมสิข้าเป็นพ่อมดนะเจ้าเด็กแสบ”

    ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นทั้งเด็กน้อยและเด็กแสบทำจมูกยู่ย่นขึ้นอย่างไม่ค่อยจะพอใจกับสรรพนามที่ถูกเอ่ยอ้างสักเท่าไรนัก แต่ก็ต้องตัดใจไม่ต่อปากต่อคำเพราะไม่แน่ว่าถ้าขืนพูดต่อมีหวังได้โดนเรียกด้วยชื่อที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านี้เสียอีก เอเลนอร์จึงยื่นตระกร้าที่นอราห์ฝากมาให้แทน แต่ไม่วายหัวใสกับความคิดแก้แค้นที่ปราดเข้าหัวมาในวินาทีนั้น

    “นาราห์ฝากข้าเอามาให้ นางบอกว่ากำลังยุ่งอยู่ในครัวเลยไม่ว่าง ข้าเลยกลัวท่านจะกลายเป็นตาแก่โมโหหิวไปเสียก่อนเลยรับมาส่งให้” หญิงสาวเอ่ยราวพร้อมฉีกยิ้มกว้างดีใจที่ได้เหน็บผู้เป็นทั้งอาจารย์และญาติผู้ใหญ่ของตนเองแบบทันใจ

    เขาเรียกว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน จริงๆ

    กวิเดียนลอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกับความแก่นกระโหลกของเด็กสาวตรงหน้า แม้จะใกล้อายุสิบแปดปีเข้าไปทุกทีแต่ความเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรีและนักบวชหญิงก็ไม่เคยเพิ่มขึ้นเลยสักนิดเมื่อเทียบกับความพยายามอบรมสั่งสอนปากเปียกปากแฉะ เทศนาอบรมกันปากจะฉีกถึงหูหมดน้ำลายไปหลายลิตรก็ไม่ดีขึ้น ยิ่งนับวันความทอมบอยมันก็ยิ่งพัฒนามากขึ้น แค่คิดก็ปวดสมองจี๊ดอย่างไร้สาเหตุ ยิ่งได้มองใบหน้าสะสวยของเจ้าหล่อนแล้วก็ยิ่งปวดใจ เขายังจำได้ว่าตอนแรกที่เขาเห็นเอเลนอร์นั้นยังรู้สึกเอ็นดูมากกับใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มพริ้มเพราบวกกับเสียงใสๆเจื้อยแจ้วช่างออเซาะนั้น แล้วทำไมละหนอเจ้าเด็กน่ารักน่าเอ็นดูเมื่อวันวานถึงได้โตมาแบบนี้ได้ ทั้งที่เขาก็พยายามอย่างหนักในการอบรมสอนสั่งต่างๆอย่างเต็มความรู้ความสามารถ...หรือว่าเขาได้สั่งสอนอะไรผิดพลาดไปกันหนอเจ้าหล่อนถึงได้ออกเป็นแบบนี้ได้?

    “เจ้านี่มันมารยาทยอดแย่จริงๆ” แม้จะโดนด่าเข้าไปแบบนั้นแต่แม่สาวน้อยตรงหน้าก็ยังคงยิ้มแฉ่งสว่างไสวราวกับพระอาทิตย์รับแบบไม่หวั่นเกรง

    “ทั้งที่ไดแอน ทั้งข้าแล้วก็นราห์พูดจนปากจะฉีกอยู่แล้วแต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่เห็นจะดีขึ้น”

    “ก็ท่านเป็นคนสอนข้าเองนะ” เจ้าหล่อนยังสมทบทำเสียงหัวเราะหึหึดังในลำคอฟังดูแล้วช่างน่าจับมาตีสั่งสอน

    อันว่ากันตามจริงแล้วกริเดียนไม่มีหน้าที่เป็นท่านอาจารย์ในการอบรมเลี้ยงดูเธอแต่อย่างใด หากไม่เพราะมีบุญวาสนาต่อกันจะได้เป็นศิษย์อาจารย์ก็เพราะบารมีของเธอมันมากเกินไป เพราะความเมตตาเอ็นดูของท่านหัวหน้านักบวชหญิงไดแอนซึ่งสนิทสนมเป็นอย่างดีกับกวิเดียน นางจึงเป็นผู้เอ่ยปากขอให้กวิเดียนรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนเอเลนอร์ระหว่างที่เธอไม่ได้พำนักอยู่ที่เซเลสทิส แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือคำขอร้องของท่านลอร์ดริชาร์ด อดีตผู้สำเร็จราชการของกษัตริย์องค์ก่อนและประธานองคมนตรืที่ปรึกษาราชการของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ผู้ที่มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆของเธอที่ประสงค์อยากได้ผู้วิเศษแห่งโครนอสมาเป็นอาจารย์พิเศษให้กับบุตรธิดาของท่านด้วย

    ด้วยเหตุนี้เอเลนอร์เลยได้มีส่วนเอี่ยวเป็นลูกศิษย์คนสำคัญของท่านกวิเดียนแห่งโครนอสพ่วงในลูกพี่ลูกน้องของเธออีกสองคน!

    กวิเดียนที่เผลอหลงเข้าไปในภวังค์ความคิดได้ชั่วขณะค่อยๆระบายลมหายใจออกมาเมื่อภาพสะท้อนของอดีตยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ ดวงตาสีอำพันเข้มเหล่มองมายังแม่ลูกศิษย์ตัวดีที่ตอนนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับการลำเลียงเสบียงออกจากตะกร้าวางลงบนผ้าปูที่นอราห์เตรียมไว้ให้

    เขาเองก็ไม่ได้หวังว่าหญิงสาวจะกลายเป็นกุลสตรีที่เรียบร้อยพับผ้าได้แต่อดคิดในใจลึกไม่ได้ว่าอยากให้เธอมีความเป็นหญิงมากขึ้นกว่านี้...แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ก็คงได้แต่ตัดใจ

    ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกรอบจนคนที่กำลังชุลมุนชุนเกกับผืนผ้าที่มักจะพะเยิบพะยาบไม่ติดพื้นทุกครั้งที่ลมพัดผ่านชักสงสัยว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอะไรให้ต้องขบคิดหนักหนา

    “ถอนหายใจมากๆระวังแก่เร็วนะท่าน แค่นี้ก็หัวล้านไปครึ่งบ้านแล้ว”

    สาวเจ้าเอ่ยออกมาอย่างขบขันพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆทำเอาโทสะอ่อนเริ่มจะแล่นริ้วๆ เนตรสีเหลืองเข้มที่ตวัดกลับมามองเริ่มจะกลายเป็นสีเขียวเข้มแทนทว่าเอเลนอร์กลับยิ้มรับประกายตานั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน เมื่อเห็นว่าการขู่ที่เคยได้ผลเมื่อครั้งอีกฝ่ายยังเยาววัยชักลดถอยประสิทธิภาพชายสูงวัยจึงได้แต่ถอดใจยอมแพ้

    “ว่าแต่เมื่อสักครู่ข้าได้ยินเสียงนอราห์ดังแปดหลอดมาแต่ไกล เกิดอะไรขึ้นรึ?”

    “อือ..ไม่มีอะไรหรอกนางก็แค่ตกใจนะ” นักบวชสาวตัวต้นเรื่องหัวเราะกลบเกลื่อนพร้อมโบกไม้โบกมือประหนึ่งจะบอกว่าไม่มีอะไร แค่เรื่องไร้สาระ

    “นางจะกรี๊ดแบบนั้นก็เพราะเรื่องของเจ้าอยู่คนเดียวนั่นแหละ” แต่ทว่าคนแก่กว่าที่ไม่ยอมหลงกลด้วยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มจัด “สรุปเจ้าไปก่อเรื่องอะไรอีก”

    “แหมท่านนี่ชอบกล่าวหาข้าเสียจริงนะ”

    “เอ้า แล้วสรุปเจ้าทำอะไรหรือเปล่าละ?”

    “ข้าไม่เชื่อน้ำคำของเจ้าหรอกเจ้ายอดยุ่ง”

    หญิงสาวขมวดคิ้วกับอีกสรรพนามของตัวเอง “ถ้าไม่เชื่อข้าแล้วมาถามข้าทำไมละอาจารย์”

    “อย่ามาเล่นแง่กับข้า...บอกมาเดี๋ยวนี้”

    “ก็ได้ๆ...ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากแค่ข้าปีนขึ้นไปหาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนต้นไม้แล้วนางก็เดินมาเห็นเข้าพอดีก็เลยบเรียกให้ข้ากลับมาลงมา ข้าก็เลยกระโดดลงมาก็แค่นั้นเอง นางก็เลยกรี๊ดลั่นจนหูข้าแทบดับ” หญิงสาวที่ยอมแพ้ยอมสาธยายร่ายยาววีรกรรมเมื่อสักครู่ด้วยน้ำเสียงแจ่มใสพร้อมจบท้ายด้วยรอยยิ้มหวาน

    “จริงๆก็แค่กระโดดลงจากต้นไม้เท่านี้ พอข้ายืนอยู่ข้างบนต้นไม้นางก็กรี๊ด พอจะลงมาให้ก็ยังกรี๊ดอีกข้าละเอาใจไม่ถูกจริงๆ...เห็นมั้ยข้าไม่ได้ก่อเรื่องสักหน่อย”

    “เจ้า...นี่มัน...” คนเป็นอาจารย์ถึงกับสิ้นคำพูดได้แต่ชี้นิ้วสั่นระริกใส่ลูกศิษย์จอมแสบของตัวเองก่อนจะสบถถี่รัวออกมาไม่ยั้งหล่อยให้แม่ลูกศิษย์ตัวดีหัวเราะหึหึในลำคอช่างชอบอกชอบใจ

     “เติมน้ำชาอีกหน่อยมั้ยท่านกวิเดียน” เสียงเอาอกเอาใจดังมาจากหญิงสาวใบหน้างดงาม ในมือถือกาน้ำใบย่อมเอาไว้และเมื่อเขาพยักหน้าอนุญาตเธอจึงค่อยๆรินของเหลวร้อนสีน้ำตาลเข้มลงในถ้วยที่ว่างเปล่าแล้ว อาหารมื้อเที่ยงกิตติมศักดิ์ที่ลูกศิษย์คนสำคัญของเขานำมาให้ด้วยตัวเองวันนี้มีเนื้อลูกวัวเค็มทอดสุกกำลังดี ขนมปังสอดไส้ผักโขม เพิ่มเติมด้วยปลาเทราต์ที่เพิ่งตกมาสดๆใหม่ๆย่างไฟ และมีทาร์ตไข่เนื้อนุ่มเนียนลิ้นเป็นของหวานตบท้ายด้วยชาร้อนหอมกรุ่น

    กวิเดียนเอื้อมมือไปยกถ้วยชาขึ้นมาจ่อใกล้ๆใบหน้า ค่อยๆละเลียดสูดกลิ่นหอมๆของใบชาแล้วจิบลิ้มรสอย่างชะเมียดละไม “ชาดีจริงๆ นอราห์เลือกได้ถูกใจข้ามาก พอทำงานมากเหนื่อยๆแล้วได้จิบชาหอมๆเหมือนขึ้นสวรรค์จริงๆ”

    “ท่านนะแปลกคนจริง” เสียงใสๆหัวเราะคิกคัก ผู้เป็นอาจารย์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจกับคำพูด

    “ประหลาดยังไงกัน?”

    “ก็ท่านนะเป็นผู้วิเศษใช่ไหมละ” หญิงสาวหยุดพูดเหมือนจงใจแกล้งคนฟังที่กำลังอยากรู้ประโยคต่อไป เจ้าหล่อนแสร้งยกถ้วยชาของตัวเองขึ้นมาเป่าไล่ความร้อนแล้วค่อยๆจิบแล้วค่อยเอ่ยต่อ

    “ข้าไม่เคยนึกภาพออกเลยนะว่าผู้รักษาเขตอาคมแห่งโครนอสจะชื่นชอบชีวิตชาวไร่ชาวนาทั้งๆที่ท่านเองก็สามารถบันดาลทุกสิ่งได้ด้วยเวทอยู่แล้ว...ใครจะคาดถึงว่าลุงแก่ๆที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่ในไร่ผักตรงนี้จะเป็นถึงพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่”

    “ทุกสิ่งไม่ได้บันดาลได้ดั่งใจเสมอไปหรอกเด็กน้อย เวทดีๆบางครั้งก็ต้องพึ่งพาวัตถุดิบที่ดีเช่นกัน ไม่อย่างนั้นข้าคงไปเป็นเทพเจ้าเองเสียแล้วละ” ผู้แก่อาวุโสแก้ประโยคให้ถูกต้อง

    “ก็จริงของท่านนะ” หญิงสาวแย้มรอยยิ้มกว้างยามที่นัยน์เนตรสีมรกตเข้มผินกลับไปมองความอุดมสมบูรณ์ของที่นาด้านหลังตนเอง “อยู่แบบนี้แล้วก็มีความสุขดี มีอิสระอยากทำอะไรก็ทำ”

    “อยู่ที่ไหนก็มีความสุขได้เจ้าเด็กแสบถ้าเจ้าเลือกที่เรียนรู้และปรับตัวเองให้เข้ากับมันได้”

    “แต่ข้าไม่ชอบให้ใครมาสั่งนี่น่า” กลีบปากสีอ่อนเบ้ออกเล็กน้อยคงเพราะขัดใจในคำพูดของอาจารย์

    “ไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาสั่งตนเองกันทั้งนั้นและเอเลนอร์ แต่เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องดูแล เพื่อให้สิ่งที่อยู่กำลังทำอยู่มีความสมบูรณ์พร้อมจึงต้องคอยมีผู้ที่อยู่สูงกว่าควบคุม” ชายสูงวัยยกมือขึ้นลูบเส้นไหมสีทองแดงแวววาวเบื้องหน้าของตนอย่างอ่อนโยนพ้อมเอ่ยเสียงนุ่มสั่งสอนคนตรงหน้า

    “ดูอย่างวินเซนต์สิ เจ้านั่นไม่มีรัศมีน่าเกรงขามอย่างท่านริชาร์ดเลยสักนิดทำไมยังทำงานอยู่ในวังได้ทั้งๆที่ตอนแรกตัวเองร้องแรกแหกปากลั่นว่าทำไม่ได้ๆ ก็เพราะมีพ่อดีคอยควบคุมงานที่ทำไม่เป็นมันเลยเดินไปอย่างราบรื่น” เอเลนอร์หัวเราะอย่างขบขันเมื่อผู้เป็นอาจารย์พาดพิงไปลูกพี่ลูกน้องคนสนิท

    “ข้อนี้ข้าเห็นด้วย” หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก “แต่จำได้ว่าเจ้าพี่บ้าต้องปรับตัวกับชีวิตในรั้วในวังอยู่นานมากทีเดียว”

    “ว่าแต่คนอื่น แล้วเมื่อไรเจ้าจะเป็นโล้เป็นพายกับเขาสักทีละ” ไม่วายเรื่องต้องวกกลับเข้ามาเธออีกจนได้ เอเลนอร์ได้แต่ถอนหายใจ

    “ข้าก็กำลัง พยายามอยู่นี่ไงละท่านอาจารย์”

    “อย่างเจ้านะไม่ต้องพยายามหรอก แค่ทำตัวดีๆเป็นคนดีสักวันโลกคงไม่แตกสลายไปหรอก” ผู้เป็นอาจารย์บ่นงึมงำพร้อมยกถ้วยปากขึ้นจรดปาก

    “จะดีหรือไม่ดีมันก็แค่ต่างกันที่แง่คิดกับจุดยืนนะท่าน ในเมื่อท่านก็ยังไม่ใช่คนที่ดีที่สุดและข้าก็ยังไม่ใช่คนที่เลวที่สุดก็เห็นจะมีอะไรแตกต่างกันเลย”

    เจ้าของเรือนผมสีทองแดงเงาระยับก้มหน้าลงมองเงาสะท้อนของตนเองจากน้ำในถ้วยชาของตน “บางทีคนอื่นอาจจะมองว่าข้าแปลกประหลาดชอบแหกกฎ แต่ข้ามองว่าทำไมเราจะเดินตามกฎทุกอย่างเหมือนกันไปหมดด้วยทั้งที่เราทุกคนต่างมีความคิดและความฝันของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น”

    “ไม่เสมอไปหรอกนะเจ้าเด็กน้อย” ชายผู้แก่อาวุโสมีสีหน้าอ่อนลงอย่างเห็นใจก่อนจะยกฝ่ามือที่หยาบกร้านจากการทำงานหนักในไร่ขึ้นลูบเส้นไหมสีเพลิงตรงหน้าเบาๆด้วยความเอ็นดู “ไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่สามารถใช้ชีวิตตามที่ตัวเองปรารถนา”

    “แล้วที่ท่านได้เป็นผู้วิเศษแห่งโครนอสนี่ไม่ได้ทำตามความฝันของท่านหรอกหรือ?” ผู้ที่เยาว์กว่าเบิ่งตากว้างมองดูคู่สนทนาอย่างประหลาดใจ กวิเดียนจึงแสร้งทำเป็นกระแอมไอก่อนปรับโทนเสียงให้ดูจริงจังราวกับจะสั่งสอนคนตรงหน้า

    “ความฝันไม่ทำให้คนอิ่มท้องหรอกนะเจ้าเด็กโง่”

    “ถ้าเช่นนั้นความใฝ่ฝันของท่านคืออะไรกันละอาจารย์?” อีกฝ่ายยังคงไม่คลายความสงสัย ดวงตาสีเขียวเข้มคู่สวยจ้องมองเป็นประกายรอคอยคำตอบจนคนที่แกล้งทำเป็นยกน้ำชาขึ้นดื่มอดนึกขำในใจไม่ได้

    “งั้นเจ้าลองมองไปดูไปรอบๆที่นี้สิ”

    หญิงสาวมองดูไปรอบๆกายที่มีเพียงความเงียบสงบ ไร่สวนที่กำลังเบ่งบานเติบโตและธรรมชาติบริสุทธิ์ก่อนจะแย้มรอยยิ้มหวานออกมา

    “ท่านนี่ช่างเป็นพ่อมดที่มีงานอดิเรกที่แปลกประหลาดที่สุดคนหนึ่งเลยนะ” คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดรักงานอดิเรกแปลกๆหัวเราะเบาๆรับคำที่เสมือนเป็นคำชมนั้น

    ฉับพลันสายลมแรงๆพัดซู่อย่างไม่มีใครทันตั้งตัว นักบวชสาวจอมยุ่งยกมือขึ้นป้องสายตารอจนทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ เมื่อลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่ากวิเดียนกำลังเพ่งมองไปทางคฤหาสน์ไม้หลักที่ตั้งอยู่ส่วนกลางของที่ดินไม่วางตา คิ้วสีขาวสะอาดขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด

    “อาจารย์มีอะไรหรือเปล่า?”

    กวิเดียนแย้มรอยยิ้มน้อยๆ “ดูท่าว่าเจ้าจะมีแขกมาหาเสียแล้วละเอเลนอร์”

    +++++++++++++++
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×