ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    + [ Crown of Shadow ] +

    ลำดับตอนที่ #2 : + [ Prologue : ETERNITY ] +

    • อัปเดตล่าสุด 15 มิ.ย. 55



    =======================


    ภาพเบื้องหน้าที่เลือนรางราวกับมีผ้าสีขาวขุ่นมัวมาบดบังไว้

    อะไรกัน...สิ่งที่ปรากฎตรงหน้านั้นคืออะไร?

    เสียงวายุไหววูบเสียดแทงอากาศราวกับคมดาบดังกึกก้องท่ามกลางแมกหมอกที่พากันมารวมตัวอย่างหนาแน่นอยู่ในที่แห่งนี้ราวกับมีญาณทิพย์หยั่งรู้ได้ก็ไม่ปาน แสงอรุโณทัยที่เคยเจิดจรัสและสว่างไสวในที่แห่งนี้ก็พากันเลื่อนคล้อยจากไปหลงเหลือไปเพียงความหม่นหมองที่แสนหดหู่ใจให้รสสัมผัสที่เศร้าหมอง

    ภาพเบื้องหน้าปรากฎร่างสูงเปรียวแลสะโอดสะองมีสง่าราศีถึงสองร่าง แม้จะมีเมฆหมอกหนาทึบเพียงไรก็ไม่อาจบดบังลักษณะแห่งอำนาจที่เปล่งออกมาจากผิวกายขาวผุดผาดราวกับหยาดน้ำจากฟากนภา โครงสร้างที่งดงามและอ่อนช้อยสมบูรณ์แบบแตกต่างจากเรือนร่างทั่วไปของมนุษย์จนไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าร่างใดเป็นหญิงหรือว่าชาย เรือนผมสีดำสนิทยาวเหยียดตรงทอประกายมันเลื่อมของฝ่ายหนึ่งในขณะที่เส้นไหมเกลียวที่ทิ้งตัวลงกลายแผ่นหลังของอีกฝ่ายกลับเปล่งสีทองคำพิสุทธิ์สว่างจ้า

    ทั้งสองต่างฝ่ายต่างผินใบหน้าที่ไม่อาจเห็นด้วยจักษุได้อย่างชัดแจ้งเข้าประจัญกันอย่างไม่กริ่งเกรงต่อรัศมีกดดันที่แผ่ออกมา ดาบเล่มยาวเกินกว่าที่ปกติมนุษย์ตนใดจะสามารถยกตวัดขึ้นได้อย่างคล่องแคล่วในมือของร่างบางเปรียวในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ถูกชี้จ่อไปยังใบหน้าของ เกลียวทองคำสะบัดพริ้วขึ้นตามกระแสวายุที่ก่อตัวขึ้นหากแต่ดาบยาวอีกเล่มที่อยู่ในมือของร่างโปร่งกลับนิ่งสงบ

    คนที่อยู่ตรงนั้นคือใครกันหนอ? เป็นคนที่เคยรู้จักกันหรือเปล่า?

    “แอรอว์น* ยกดาบของท่านขึ้นมาเสียเถิด” สรุเสียงใสกังวานก้องสะท้อนขึ้น “มาตรแม้ว่าท่านไม่อยากต่อสู่กับข้า ทว่าตัวข้าเองนั้นเล่าก็ไม่อาจล่าถอยได้อีกแล้ว”

    คำพูดเช่นนั้นทำให้เจ้าของเรือนผมสีดำสลวยกลับส่ายศีรษะช้า “นั้นหาเป็นสิ่งจำเป็นไม่เอวีต้า** หากเจ้ายินยอมกลับไปกับข้าและเอ่ยขออภัยต่อการกระทำนี้ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องได้รับการอภัย”

    เสียงเค้นหัวเราะเบาๆเจือด้วยกระแสของความสิ้นหวังและเย้ยหยันต่อคำพูดของฝ่ายตรงข้ามดังขึ้นเบาๆก่อนจะเลือนหายไปกับเสียงกระแสลมที่เรื่มโหมแรงขึ้น  “มันสายเกินไปแล้ว...สายเกินกว่าจะแก้ไขแล้วแอรอว์น”

    “อันตัวข้านั้นมิได้พึงใจต่อการเกิดขึ้นของเด็กผู้เกิดถัดมาแม้แต่น้อยหากแต่ขัดพระประสงค์ของมาอีฟ*** ผู้รังสรรค์ชีวิตสรรพสิ่งมิได้ ทว่าข้ามิใช่ผู้ที่จะอดทนเฝ้ามองความบิดเบี้ยวนี้ได้ ยิ่งนานวันเข้าพวกเด็กผู้เกิดลำดับถัดมาก็ยิ่งเหิมเกริม พวกนั้นจะฝักใฝ่ในอำนาจและความรอบรู้ของทวยเทพซึ่งข้ามิอาจยินยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นได้”

    “เหล่าพรายผู้เฉลียวฉลาดแลงดงามนั้นถือเป็นบุตรลำดับแรกพวกเราจึงมอบความเป็นอมตะให้แก่เขาเพื่อให้พวกเขาได้ปกปักรักษาธรรมชาติ ส่วนมนุษย์ผู้ปราดเปรื่องแลกล้าหาญนั้นถือเป็นบุตรลำดับที่สองพวกเรามอบความหวังให้เขาเพื่อพิทักษ์ดินแดนที่ท่านผู้สร้างได้ก่อกำเนิดขึ้นมา”

    ผู้ที่เป็นฝ่ายยกดาบขึ้นจ่อใส่ใบหน้าอีกฝ่ายแลดูมีท่าทีไมชอบใจนัก “มนุษย์คือตัวปัญหา สักวันพวกเขาจะจะทะเยอทยานในชีวิตอมตะของเหล่าพรายแลใฝ่ใจในอำนาจของทวยเทพเป็นมั่น ข้าเห็นควรที่เราจะต้องตัดไปเสียแต่ต้นลมเพื่อมิให้ความยุ่งยากลุกลามไป”

    “เอวีต้า เจ้ากล่าวเกินเลยไปมากนัก พวกเขาหาได้ใฝ่ใจในเรื่องราวเกี่ยวกับทวยเทพไม่” แม้จะถูกปลอบประโลมด้วยน้ำคำหวานหากแต่ความกริ้วโกรธในทรวงกลับไม่ผ่อนเพลาลงเลยแม้แต่น้อย วาจาเช่นนั้นกลับยิ่งโหมไฟแห่งความไม่พอใจให้กับเจ้าของเรือนผมสีทองคำพิสุทธิ์เพิ่มขึ้นอีกทวีคูณ

    “แม้แต่ท่านก็ยังเข้าข้างพวกเขา...ดีละ เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะสู้ไม่ถอย แพราะเช่นไรแล้วข้าก็ได้ถูกตราหน้าว่าเป็นกบฎต่อสรวงสวรรค์ไปเสียแล้ว”

    “ข้าไม่ต้องการจะสู้กับเจ้า” น้ำคำหนักแน่นยังคงยืนกรานเจตนารมย์เดิมที่ไม่ต้องการจะเสียเลือดเนื้อ “ข้าไม่ต้องการให้ทวยเทพและพวกเด็กๆต้องมารบราฆ่าฟันกันเองแบบนี้”

    “หากท่านไม่เข้ามาข้าจะเป็นฝ่ายรุกเองเสีย...รับมือให้ดีด้วยแอรอว์น” เสียงคมโลหะพุ่งแหวกอากาศไปยังเรือนร่างสูงโปร่งทันทีที่เอื้อนเอ่ยวาจาจบ ผู้เป็นฝ่ายต้องรับมือได้แต่เพียงระบายลมหายใจหนักๆออกมาก่อนจะยกดาบสีเงินยวงของตนเองขึ้นต้านศาตราวุธที่มุ่งเข้ามาอย่างประสงค์จะห่ำหั่นทำลาย

    “ได้โปรดหยุดมือของเจ้าเสียเถิดเอวีต้า ข้าไม่อยากที่จะต้องเป็นคนปลิดชีพเจ้า” แม้มือจะจะยกดาบขึ้นป้องปัดแต่ก็รับรับรู้ถึงทีท่าและน้ำหนักมือที่ฟาดฟันลงมาอย่างแน่วแน่ แอรอว์นแน่ใจว่าอีกฝ่ายเอาจริงตามที่เอ่ยไว้

    ทำไมสองคนที่น่าจะรู้จักมักคุ้นนี้ถึงต้องสู้กันเองเช่นนี้ เพราะอะไรกัน?

    “ถ้าเป็นนั้นก็จงเอาจริงเอาจังให้สมกับที่เป็นผู้รับบัญชามาเสียสิ” โลหะเย็นเฉียบแฉลบผ่านข้างแก้มอย่างรวดเร็วในพริบตา หลาดโลหิตพิสุทธิ์ของเทพหลั่งรินลงมาต้องผืนพสุธาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

    “เจ้า...”

    ดวงตาสีน้ำทะเลครามจับจ้องมาเยือกเย็น แม้จะมีความเย็นชาห่างเหินแผ่ซ่านออกมาชัดเจนหากแต่ลูกแก้วแสนสวยคู่นี้ช่างเป็นประกายตาที่ดึงดูดใจแก่ผู้ที่พานพบชวนให้ลุ่มหลงและใฝ่หาใคร่รู้ว่าความล้ำลึกของมหาสมุทรนั้นมีสิ่งใดแฝงเร้นอยู่

    “เจ้าก็รู้ว่าการที่หยาดโลหิตของทวยเทพตกต้องถึงพื้นจะให้แผ่นดินต้องลุกเป็นไฟ ทำไมเจ้าถึง...” ฝ่ายที่ถูกทำร้ายได้แต่เพียงจ้องมองด้วยความตื่นตระหนกผสานไปกับความขุ่นเคืองอย่างถึงที่สุด

    “เพียงแค่นี้ความผิดของข้าก็ยากแก่การได้รับการอภัยแล้วใช่หรือไม่เล่า?” รอยยิ้มอ่อนจางปรากฎขึ้นบนดวงหน้าให้กับร่างสูงโปร่งซึ่งเร้นกายอยู่ใต้แพรพรรณสีรัตติกาล

    “เจ้าทำให้ข้าไม่มีทางเลือกเอวีต้า” น้ำคำที่เอ่ยตอบกลับออกมานั้นเจือไปด้วยความขมขื่นราวกับต้องตัดใจ

    “อภัยให้ข้าด้วยเถิดแอรอว์น...แม้ว่าผู้รังสรรค์ของข้าจะมิอาจยกเว้นโทษให้แก่ข้าได้”

    ภาพตรงหน้าที่ชัดเจนก็เริ่มพร่ามัวและบิดเบี้ยวไปจนไม่อาจมองเห็นหรือยินยลเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปได้อีก มีเพียงเสียงฟ้าที่สะเทือนลั่นกัมปนาทไปทั่วประหนึ่งจะประกาศก้องให้ทุกสรรพสิ่งได้รับทราบ

    เกิดอะไรขึ้นกันแน่...ที่แห่งนี้คือมิติแห่งมายาหรือเพียงแค่ความฝันกันแน่?

    สายฟ้าสีสว่างจ้าแลบผ่านวูบไหวจนแทบไม่อาจจะลืมดวงตาขึ้นมองความเป็นไปได้ หากแต่เมื่อความสว่างไสวนั้นหายวับไปความพร่ามัวที่แสนน่ารำคาญก็หายวับไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ทว่าภาพตรงหน้าที่ลอดผ่านช่องนัยเนตรนั้นช่างน่าพรั่นพรึงใจยิ่งนัก

    เรือนร่างโปร่งบางโน้มไปด้านหลังโดยมีฝ่ามือของเทพผู้รับบัญชามาประคับประคองไว้อย่างนุ่มนวล แผ่นหลังขาวผุดผาดใต้อาภรณ์สีพิสุทธิ์นั้นแดงฉานไปด้วยหยาดโลหิต และดาบสีเงินยวงเล่มงามนั้นปักลงที่กลางอกอย่างแน่วแน่ กลีบปากสีอ่อนซึ่งเคยเปล่งปลั่งเอิ่บอิ่มกลับแห้งผากสั่นระริกก่อนจะกระอักของเหลวสีเข้มกลิ่นคาวออกมา แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเรียกว่าชัยชนะหากแต่ผู้ที่ได้ลิ้มรสของมันนั้นกลับมีใบหน้าทุกข์ระทมแสนสาหัส

    เสียงกระซิบอย่างแผ่วเบาและอ่อนละมุนของทั้งสองฝ่ายที่มิอาจได้ยินดั่งคำบอกลาก่อนที่แสงสว่างจรัสตาจะพุ่งกระจายออกมาจากร่างของเทพผู้ที่ถูกปลิดชีวาที่อยู่ในอ้อมพาหาก่อนที่แสงนั้นจะสูญสลายไป

    ภายใต้เปลือกตาสีนวลนั้นค่อยเคลื่อนไหวก่อนจะกระพริบลืมขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ลูกแก้วใสกระพริบตาซ้ำถี่ๆอีกหลายครั้งขณะที่จ้องมองความมืดเบื้องหน้า

    “ฝันอย่างนั้นหรอ?” สุ้มเสียงที่ฟังดูเหมือนโล่งใจที่ได้ตื่นขึ้นจากนิทราก่อนที่จะขยับกายลุกขึ้นดูแสงนวลของจันทราที่ยังคงลอยเด่นอยู่กลางพื้นนภายามราตรี

    ความฝันที่แปลกประหลาด ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมากลับจำฝันนั้นได้เพียงเลือนรางเหลือเกิน กี่ครั้งแล้วหนอที่ต้องตื่นขึ้นมาโดยที่ไม่อาจจดจำความฝันนั้นได้อย่างแจ่มชัดสักหน


    =======================


    หมายเหตุ

    1.* Arawn ชื่อของเทพแห่งความตายในตำนานเทพของชาวเวลส์

    2.** Aveta ชื่อของเทพในศาสนา Gallo-Roman

    3.*** Maeve ชื่อของเทพแห่งเสียงเพลงของชาวไอริช ถูกอ้างถึงเรื่องราว Táin Bó Cúailnge.

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×