คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : โชคดี หรือดวงซวย
เช้าวันอาทิตย์
“มิชิโยะจังจะออกไปข้างนอกหรอ?” อิซุมิที่เห็นมิชิโยะแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกก็ถามอย่างสงสัย มิชิโยะพยักหน้าตอบ ก่อนเปิดประตูแล้วเดินออกจากห้องไป
“มิชิโยะจัง จะออกไปไหนน่ะ ไปเดทก่ะรุ่นพี่ริวรึป่าวเอ่ย” ริโอะ แซวเล่นเมื่อเห็นเด็กสาวเดินผ่านมา
“ใช่ที่ออกไปข้างนอก แต่ไม่ได้ไปเดทจ้ะ ว่าแต่ทำไมต้องเป็นริว?” เด็กสาวเอ่ยชื่อของผู้ที่เป็นรุ่นพี่ห้วน ราวกับเป็นคนรุ่นเดียวกัน ดูท่าว่าริโอะจะเลิกใส่ใจแล้วเพราะดูเหมือนพูดไปก็เท่านั้น
“แหม! ก็เห็นรุ่นพี่เขาสนใจเธอนี่ แถมมิชิโยะจังก็ดูจะไม่ได้สนใจใครเลย ดูจะสนิทก่ะพวกรุ่นพี่เขาเป็นพิเศษ ฮิ ฮิ” ริโอะยังแซวไม่เลิก โกโตะ และ เมอิ ที่อยู่ข้างๆก็พลอยหัวเราะคิกคักไปด้วย
“เหอๆ ฉันแค่ไม่อยากยุ่งกับคนที่คิดกับฉันแบบนั้นเท่านั้นเอง ส่วนกับพวกริว ก็แค่รู้สึกเข้ากันได้ก็เท่านั้นเอง เพื่อนน่ะ เพื่อน” มิชิโยะเน้นตรงคำว่า ‘เพื่อน’ เพื่อให้ทั้งสามสาวเข้าใจแต่ดูท่าจะโดนตีความไปว่าเขินซะงั้น “ฉันไปดีกว่า เดี๋ยวโดนบ่น ไว้เจอกันตอนเย็น ไปล่ะ” มิชิโยะพูดพร้อมกับเหวี่ยงกระเป๋าเป้ที่ถืออยู่ขึ้นมาสะพายไว้ที่ไหล่ เพื่อนของเด็กสาวมองตามพลางคิดอย่างงงๆ “ใครบ่น?”
“โย่!” มิชิโยะ ยกมือขึ้นเป็นเชิงทักทายชายหนุ่มที่ยืนพิงรถตู้สีเงินพลางสูบบุหรี่ เมื่อเขาเห็นคนที่ตนยืนคอยก็รีบดับบุหรี่พร้อมพูดทักทาย ก่อนจะมองเด็กสาวอย่างสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ชินมองชุดที่เด็กสาวใส่ก็ทำท่าจะพูดอะไรซักอย่าง ก่อนที่เขาจะได้พูดมิชิโยะก็พูดแทรกขึ้นมา “นี่นายคงไม่คิดว่าฉันจะใส่ชุดผู้ชายออกมาจากหอหรอกนะ อย่างตอนนั้นฉันก็ไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำที่สถานีรถไฟ” พร้อมทั้งชี้ไปที่เป้เป็นนัยว่าชุดที่จะเปลี่ยนอยู่ในกระเป๋านี่ เมื่อได้คำตอบโดยที่ได้ทันได้ถาม ชายหนุ่มก็เปิดประตูรถให้แก่เด็กสาวได้ขึ้นไปนั่งที่ด้านหลัง
รถตู้คันสีเงินแล่นไปตามทางอย่างไม่รีบร้อน ชินหันไปมองกระจกมองท้ายเป็นพักๆ ตอนนี้เด็กสาวเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยที่เธอเอาผ้าพันรอบหน้าอกมาก่อน โชคดีที่เธอพันผ้ามาก่อนเพราะไม่งั้นมีหวังได้ทุลักทุเลแน่ถ้าต้องมาพันในรถล่ะก็นะ “เดี๋ยวเราต้องไปที่สำนักงานก่อน อยากให้เธอไปทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรน่ะ อ้อ! ฉันลืมบอกไปน่ะว่าต้องระบุระยะเวลาทำงานกับทางเราด้วยน่ะป้องกันการไปรับงานจากบริษัทอื่น หวังว่าคงจะไม่มีปัญหา” ชินพูดขึ้นมาโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าตะลึงของคู่สนทนาเท่าไหร่ “ทำสัญญา? แล้วทำไมนายไม่บอกฉันซะตอนหยิบปากกาจะเซ็นเอกสารซะเลยล่ะ” เด็กสาวเหน็บแนม รูสึกไม่พอใจกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้ ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้า ตลอดทางพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลย จนกระทั่งรถตู้คันงามได้มาจอดอยู่หน้าตึกสูงที่มีโลโก้บอกถึงชื่อสถานที่ตระหง่านอยู่บนยอดตึก ชายหนุ่มให้เด็กสาวได้ลงไปทางประตูหน้าก่อนตนจะนำรถไปจอด เด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าตึกสูงถึง 30 ชั้น ภายในไม่เพียงเป็นสำนักงานเท่านั้นทั้งยังมีห้องอัดเสียง อัดรายการ และอื่นๆที่จะเป็นสำหรับวงการนี้อีกมากมาย แต่เนื่องจากเธอไม่ได้สนใจในตรงนั้นเลย จึงรู้สึกเฉยๆกับการที่ตนจะได้มาเป็นหนึ่งในดาราสังกัดบริษัทแห่งนี้ ที่หากเป็นคนอื่นคงจะดีใจจนหุบยิ้มไม่อยู่ที่เดียว
“เอ้า! มาแล้วก็เข้าไปข้างในกัน แล้วอย่าลืมล่ะว่าเธอมาในฐานะอะไร” ชินพูดย้ำในตอนท้าย
“รู้แล้วน่า กับแค่เรื่องให้ทำตัวเป็นผู้ชายน่ะ....” มิชิโยะแทบไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ ก็แค่เธอทำตัวเหมือนปกติเท่านั้นเอง....แค่ทำตัวเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ก็เท่านั้น.....
ชินไม่ได้สะกิดใจอะไร เขาเดินตรงไปยังเคาทเตอร์ประชาสัมพันธ์ เอ่ยทักทายกับพนักงานสาวที่ประจำอยู่อย่างคนคุ้นเคย โดยมีเด็กสาวเดินตามไปโดยทิ้งระยะห่างไว้เล็กน้อย ชายหนุ่มสอบถามเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเองต้องการเสร็จก็หันมาเรียกให้มิชิโยะมาแนะนำตัว “นี่หรอคะเด็กใหม่ที่คุณชินอุตส่าล็อกงานโฆษณาเอาไว้ให้ที่เขาลือกัน น่ารักนะคะ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นผู้ชาย” หญิงสาวทักเล่นเอาชายหนุ่มคนเดียวสะดุ้งเล็กน้อย มิชิโยะไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มพร้อมก้มหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย “แหะๆ ฉันว่าเรารีบขึ้นไปพบท่านประธานดีกว่าเดี๋ยวต้องไปที่อื่นต่อ” ชินพูดเสร็จก็รีบลากเด็กสาวออกจากตรงนั้นทันที
“มากันแล้วหรือ นี่เหรอเด็กที่เธอพูดถึง” ทันทีที่ก้าวเข้าห้องที่อยู่บนชั้นสูงสุดก็เจอชายคนหนึ่งที่ดูภูมิฐาน ดูแล้วอายุน่าจะประมาณ 30ต้นๆ คนนี้เป็นประธานหรอเนี่ยคิดว่าจะเป็นตาแก่กว่านี้ซะอีก
“ครับ ก็เห็นท่านประธานบอกว่าอยากเจอเลยพามาหาท่านก่อนเดี๋ยวจะไปหาคุณโฮชิคาว่าต่อนะครับ” ชินพูดพร้อมดันให้เด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มให้เดินเข้าไปใกล้ๆผู้ที่ได้ชื่อว่าประธาน มิชิโยะเดินเข้าไปซัก2-3ก้าวก็หยุดอยู่ตรงหน้าประธานโดยมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่กั้นกลางเอาไว้ เธอโค้งให้เล็กน้อยพร้อมเอ่ยทักทายพอเป็นพิธี
ท่านประธานพยักหน้าเล็กน้อย เอามือลูบคางที่ไร้หนวดเครา “อืม...หน้าตาใช้ได้ ว่าแต่ชื่ออะไรล่ะ" ทันทีที่จบประโยคคำถามชินก็สะดุ้งเล็กน้อย(สะดุ้งบ่อยแฮะ - -“) ......ยังไม่ได้ตกลงเรื่องชื่อเลยนี่หว่า บอกชื่อจริงไปได้เป็นเรื่องแน่......แต่โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน เด็กสาวก็ตอบชัดเจน “อากิระ ครับ ผมขอใช้ชื่อนี้” ท่านประธานเลิกคิ้วสงสัย “อากิระ? แค่นี้ แล้วชื่อจริงล่ะ?” เด็กสาวยิ้มเล็กน้อย “ก็แค่ถามพอเป็นพิธีให้รู้ว่าจะเรียกใครไม่ใช่หรอครับ แค่ชื่ออากิระก็น่าจะพอแล้ว” ชินแทบจะลมจับที่ได้ยินเด็กสาวพูดจายอกย้อนผู้มีตำแหน่งสูงไปแบบนั้น นี่เขาคิดผิดหรือถูกนะที่พาเจ้าหล่อนมาเนี่ย แต่ดูท่าว่าท่านประธานจะไม่ถือสากับวิธีการพูดนั้นซักเท่าไหร่ “หึ หึ ชิน ท่าทางว่าจะเจองานหนักแน่ๆกับเด็กคนนี้น่ะ ” การพูดคุยดำเนินไปต่อซักพักทั้งเกี่ยวกับเรื่องเซ็นสัญญา และการหาผู้จัดการมาดูแล “แล้วนายไม่ใช่จะมาเป็นผู้จัดการชั้นหรอกหรอ?” เด็กสาวทำหน้างง หันไปถามชิน “ไม่หรอก ช่วงนี้คงมาคอยดูแลเธอไปก่อนซักพักแล้วเดี๋ยวทางต้นสังกัดจะเป็นคนหาผู้จัดการส่วนตัวให้” เด็กสาวพยักหงึกๆเป็นเชิงเข้าใจ แล้วทั้งคู่จึงออกจากบริษัทไปยังสถานที่ถ่ายโฆษณาต่อทันที
“นี่นายก่ะให้ฉันไปเทสหน้ากล้องบ้าบออะไรนั่น ทั้งๆที่ยังไม่ได้กินข้าวเนี่ยนะ” มิชิโยะเริ่มโวยวายเมื่อรู้ว่าตนจะไม่ได้กินข้าวเพราะต้องรีบไปยังสถานที่เทสหน้ากล้องให้ทันเวลา “ไม่เอาๆๆ ยังไงก็ต้องหาอะไรมาให้ฉันกินก่อน นี่ฉันต้องยอมตื่นแต่เช้าเพื่อมากับนายแล้วนะ เนี่ยก็ไม่ทันจะได้กินข้าวเช้าก่อนออกมากับนายเลยนะ แล้วนี่ๆๆ ดูดิจะ 10โมงอยู่แล้ว ช้านนนหิววววข้าวววววว ข้าวๆๆๆ” ชายหนุ่มเริ่มมีอาการปวดหัวกับเด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นมาตงิดๆ ทำไมถึงขี้โวยวายแบบนี้ฟะ “โอเคๆ ไว้ไปถึงที่แล้วจะหาอะไรให้กินก่อนเลย ได้มั๊ย” มิชิโยะมองตาปริบๆ ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อได้ยินว่าจะได้กินทันทีที่ถึงที่หมาย “ได้” พูดจบคำเดี๋ยวเด็กสาวก็เงียบเสียงไปตลอดทางที่เจ้าตัวมาบอกทีหลังว่า เพื่อประหยัดพลังงานจะได้ไม่หิวมากกว่านี้
สถานที่เทสหน้ากล้อง
ตัวตึกที่สูงตระหง่าน หากแต่ไม่เท่ากับตึกแรกที่เธอได้ไปเมื่อเช้าวันนี้ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ชินพาเด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มเข้าไปในตัวตึก เขามองซ้ายขวา ก่อนจะลากเด็กสาวให้เดินไปยังลิฟฟ์ กดชั้นที่ต้องการ “เดี๋ยวพอไปถึงแล้วไปรอฉันที่ห้องแต่งตัวก่อน แล้วเดี๋ยวจะไปหาของกินมาให้ อยู่ดีๆอย่าเที่ยวไปหาเรื่องใครเขาล่ะ” ชินพูดราวกับคนตรงหน้าเป็นเด็กเล็กๆ ซึ่งก็คงจะจริงเพราะตอนนี้ คนตรงหน้ามองเขาตาแป๋วทำหน้าบ้องแบ๋วพร้อมพยักหน้าหงึกๆเป็นการตอบรับ....เฮ้อ! จะรอดมั๊ยเนี่ย.........
ขณะที่มิชิโยะเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวที่ทางทีมงานจัดเตรียมเอาไว้สำหรับผู้ที่เข้าเทสหน้ากล้อง ผู้เข้าสมัครคนอื่นๆต่างหันมามองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว หากแต่เจ้าตัวยังไม่สนใจเดินตรงไปยังเก้าอี้ตัวที่เห็นว่าว่างทันที ผู้เข้ามาเทสหน้ากล้องคนอื่นๆยังคงส่งเสียงซุบซิบ ระงมไปทั่วห้อง ส่วนผู้ที่เป็นหัวข้อกลับยังนั่งทำตาเบลอๆราวกับคนง่วงนอนก่อนที่จะหันหน้าไปฟุบกับโต๊ะเครื่องแป้ง
“เฮ้!ๆ ตื่นๆ เอาของกินมาให้แล้ว” เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที ชินก็เดินกลับมายังห้องแต่งตัวพร้อมกับถุงใบหนึ่งที่ข้างในมีข้าวกล่อง และน้ำ อย่างละ 2 ชุดเอาไว้ มิชิโยะเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจโดยไม่ได้ใส่ใจกับสายตาคนรอบข้าง แล้วรับกล่องข้าที่ชินยื่นมาให้อย่างเต็มใจ ......
“ฮ้า!.....อร่อย อิ่มด้วย ขอบคุณคร้าบ~~” คำพูดหลุดออกมาจากเด็กหนุ่มหน้าตาน่าเอ็นดู ทำให้คนในห้องต่างจ้องมองมาเป็นตาเดียว นั่นเป็นคำแรกที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากบางคู่นั้นน้ำเสียงที่ไม่ทุ้มนักทำให้ใครๆต่างพากันคิดว่าเป็นเสียงของเด็กหนุ่มที่ยังไม่แม้แต่จะเสียงแตกหนุ่ม พอหนังท้องตึงหนังตาก็ทำท่าว่าจะหย่อนอีกรอบเว้นเสียแต่ว่า ชายหนุ่มที่มาด้วยกันนั้นบังคับไม่ให้นอน พร้องทั้งส่งสคริปของเนื้อหาที่ต้องใช้ในการเทสหน้ากล้องยื่นให้กับเด็กสาวที่อยู่ในคราบเด็กหนุ่มผู้มีชื่อว่า ‘อากิระ’ “หยุดเลย ไม่มีเวลามานอนแล้ว นี่บทที่ต้องใช้ตอนเทสหน้ากล้อง” มิชิโยะทำหน้าเซงแต่ก็รับมาอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก สายตาทุกคู่ที่อยู่ ณ ที่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่คนทั้งสองและส่งเสียงวิพาก วิจารณ์ มาให้ได้ยินผ่านหู
“หมอนั่นใครน่ะ ไม่เคยเห็น”
“มากับไซกิซัง ซะด้วย”
และอื่นๆอีกมากมายที่ดังมาเข้าหูคนทั้งคู่ แต่มิชิโยะก็ทำไม่สนใจ สายตายังคงจับจ้องอยู่บนสคริปอย่างใจจดใจจ่อ ปากพลางขมุบขมิบท่องบทที่ได้รับมา บ้างก็มีหันไปถามชายหนุ่มที่มาด้วยกันถึงตัวอักษรที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ พร้อมทั้งหยิบดินสอที่เตรียมมาจดลงไปบนสคริป
‘ปัง’ เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับตามมาด้วยเสียงของทีมงานที่มาเรียกตัวให้พากันไปยังห้องที่ใช้เทส หน้ากล้อง “ ผู้ที่เข้าเทสหน้ากล้องกรุณาช่วยติดเบอร์เอาไว้ที่หน้าอกด้วยนะครับ” เมื่อสิ้นเสียคนก็เริ่มทยอยออกจากห้องแต่งตัวไปยังอีกห้องที่ใช้สำหรับเทสหน้ากล้องทันที
มิชิโยะเดินตามเพื่อไปยังอีกห้องเช่นกันโดยมี ชิน เดินตามมาอยู่ข้างๆ “นี่! ฉันลืมถามไปเลย ว่านี่มันเป็นการคัดเลือกอะไรอ่ะ?” มิชิโยะหันไปถามชิน “คัดเลือกตัวนักแสดงที่จะรับบทน้องชายของพระเอก เป็นซีรี่สั้นๆน่ะ ถ้าผ่านเดี๋ยวจะพาไปเลี้ยง” ชินตอบอย่างอารมณ์ดีพร้อมทั้งเอาของกินมาล่อ ทันทีที่ได้ยินมิชิโยะก็ตาลุกวาว อย่างหมายมั่น “ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้เนี่ย ยังไงก็พาไปเลี้ยงปลอบขวัญด้วยก็ดีนะ” สรุปสุดท้ายไม่ว่ายังไงก็ต้องเลี้ยงซินะเนี่ย
“ว้าว! ลัคกี้นัมเบอร์ 13 พอดีเป๊ะ” เลขที่ใครเห็นก็คงจะคิดกันเป็นเสียงเดียวว่า อัปมงคล แต่เจ้าตัวคนที่ได้ตอนนี้กลับดีใจอย่างประหลาด สีหน้าที่ไร้ความวิตกกังวลใดออกจะสร้างความประหลาดใจให้กับ ชินอยู่บ้าง เพราะโดยปกติไม้ว่าใครเกิดต้องมาอยูในสถานการณ์แบบนี้ก็คงมีอาการตื่นเต้นกันบ้าง แต่คนตรงหน้านี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
การเทสหน้ากล้อง จะทำการคัดทีละ 5 คน ซึ่งมิชิโยะจะต้องเข้าไปเป็นกลุ่มที่ 3 อีกห้องหนึ่งข้างในจะมีคณะกรรมการนั่งรออยู่ข้างใน 6 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผู้ที่ได้รับบทเป็นพระเอกของเรื่อง หลายคนต่างแสดงอาการออกมาต่างกันไป บ้างก็นั่งนิ่งเกร็ง บ้างก็พยายามท่องสคริปที่ได้รับมา ตามแต่ละคน
‘โครม!’ เสียงประตูที่ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง อีกทั้งเสียงสบถที่ดังออกมาเรียกความสนใจ ผู้ที่อยู่ข้างนอกให้หันไปมอง ก็เจอกับกลุ่มแรกที่เพิ่งเข้าไปได้เพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น ต่างเดินออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “มันอะไรกันวะ!...ฮึ่ย!....เฮอะ! พวกแกน่ะไอ้สคริปบ้านั่นอยากท่องไปให้ตายก็ไม่อะไรขึ้นมาหรอก” ชายคนหนึ่งที่ติดหมายเลข 3 เอาไว้หันไปมองกวาดพวกที่ต่างพากันดูสคริปอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่างพากันทำหน้าสงสัย ชายคนที่ได้หมายเลข 3 ขว้างสคริปของตนเองลงพื้นอย่างแรงเพื่อเป็นการระบายอารมณ์ มิชิโยะเดินไปหยิบสคริปเล่มนั้นขึ้นมาเปิดๆดู คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะคลายออกแปรเปลี่ยนไปขบขัน “คิก...อ่ะ....โทษทีไม่ได้หัวเราะนายนะ แต่บทที่เขาให้นายมามีน ตลกดีน่ะ” ทุกคนต่างทำหน้าสงสัย ชายที่ขว้างสคริปของตัวเองทิ้งจึงพูดขึ้น “ไอ้บทบ้าๆ ที่เจ้าหน้าที่ให้เรามาน่ะมันไม่เหมือนกันซักเล่ม นี่ตั้งใจจะเล่นตลกอะไรกันแน่” ระหว่างที่เกิดการโต้เถียงกัน ห้องของคณะกรรมการก็เปิดออก “เชิญ หมายเลข 6 ถึง 10 เข้าไปในห้องด้วยครับ” กลุ่มคนที่มีหมายเลขดังกล่าวเดินพากันเข้าไป ซักพักเพียงเวลาที่ไม่ต่างกับกลุ่มแรกนักทั้ง 5 คนก็เดินออกมาด้วยอาการหงุดหงิด กลับเซื่องซึมไม่ได้ต่างจากลุ่มแรกนัก “เชิญหมายเลข 11 ถึง 15 เข้ามาให้ห้องครับ” สิ้นเสียงคนที่มีหมายเลขดังกล่าวเกือบทุกคนเริ่มไม่มีความแน่ใจในตัวเอง....ข้างในมันเกิดอะไรขึ้น .. ชินเริ่มมีสีหน้าวิตกกังวลเขาเองก็ไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น แต่ดูจากสีหน้าคนอื่นๆแล้ว คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ในบันดาผู้คนที่ต่างวิตกกังวล มีอยู่ไม่กี่คนที่ควบคุมสติของตนเองได้ หนึ่งในนั้นก็คือเด็กสาวในคราบเด็กหนุ่ม....ไม่ซิเรียกว่าควบคุมอารมณ์ของตนเองแทบไม่อยู่เลยต่างหาก ตอนนี้เธอกำลังมีความรู้สึกที่แตกต่างจากคนอื่นๆมากทีเดียว......ความตื่นเต้น......เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นถึงได้รู้สึก...สนุก...
ในห้องมีโต๊ะตัวยาวที่นำมามาต่อกัน 2 ตัว โดยมีคณะกรรมการนั่งอยู่ฝั่งละ 3 คน หน้าโต๊ะนั้นมีเก้าอี้ที่ตั้งห่างออกไป 2 เมตรอยู่ 5 ตัว คาดว่าคงสำหรับผู้ที่เข้ามาคัดเลือก “พวกเธอ 5 คนยืนหน้าเก้าอี้ตามลำดับได้เลย” หนึ่งในคณะกรรมการเอ่ยขึ้นคนๆนั้นดูเป็นชายวัยกลางคนแต่ยังคงมีสายตาที่มุ่งมั่น แหลมคม ด้านหน้ามีป้ายชื่อตั้งอยู่ที่โต๊ะ ‘ฮาจิยะ ซาคุ’ เขามองไล่ผู้เข้าสมัครกลุ่มนี้ทีละคน ในกรรมการทั้ง 6 คน มีเพียงคนเดียวที่ดูจะอายุน้อยที่สุด นั่นคือผู้ที่นั่งอยู่ตรงฝั่งขวาสุด (มองจากด้านผู้เข้าคัดเลือก) ‘โคซึคาคุ คาซึกิ’
ผู้เข้าคัดเลือกทั้ง 5 คน ทำตามที่ฮาจิยะบอก ทุกคนมีอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ไม่เว้นแม้แต่กับมิชิโยะเอง....ไม่ว่ายังไงก็ไม่ค่อยชอบบรรยากาศเครียดๆแบบนี้อยู่ดี..... “เอาล่ะ พวกเธอคงได้บทที่พวกเราแจกในแล้ว พวกฉันอยากให้เธอเล่นตามบทที่แจกให้ ” เมื่อได้ยิน ฮาจิยะพูดเช่นนั้นผู้เข้าคัดเลือกบางคนถึงขนาดผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันทีเมื่อได้ยินประโยคต่อไป “...โดยที่ให้เล่นตามอารมณ์ของ คาซึกิคุง...เขาจะเป็นคนเล่นตามบทที่ได้รับไปเพียงแต่จะเป็นหลากหลายอารมณ์ ฉันอยากให้พวกเธอลองจินตนาการอารมณ์ของ ‘โซมุ’ ให้ดูซักหน่อย ส่วนบทคำพูดที่ใช้ก็เอาเป็นบทที่แจกๆให้นั่นแหล่ะ” เกิดเสียงฮือฮาขึ้นเมื่อได้ยินว่าให้เล่นไปตามอารมณ์ของนักแสดงที่ได้รับบทพระเอก และเริ่มทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน มิชิโยะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตำแหน่งของตนเอง พร้อมทั้งหันไปมองหน้าของ คาซึกิ ครู่หนึ่งแล้วหลับตาลง คนอื่นๆ ทั้งคณะกรรมการ และผู้เข้าคัดเลือกคนอื่นๆต่างมองดูการกระทำของเธออย่าง งงๆ จนกรรมการคนหนึ่งที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวอดที่จะเอ่ยปากพูดไม่ได้ “นั่นเธอ...หมายเลข 13 ใครสั่งให้นั่งได้แล้วอย่างงั้นหรือ?” เด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้น “ก็ผมไม่เห็นมีใครบอกให้นั่งซักที แล้วอีกอย่างพวกคุณก็บอกวิธีการคัดเลือกครั้งนี้แล้วไม่ใช่หรอครับ? แล้วจะให้ผมยืนเป็นหัวหลักหัวตอเกะกะคนที่จะทดสอบคนแรกทำไมล่ะ?” คำพูดที่ดูกวนประสาทสำหรับหลายๆคนเรียกรอยโทสะให้กับหญิงสาวผู้เป็นคนถามได้เป็นอย่างดีทำให้ใบหน้าของเธอคนนั้นบูดเบี้ยวเล็กน้อย คาซึกิเบือนหน้าไปข้างหลังเล็กน้อยไหล่ที่สั่นไหวนั่นบ่งบอกว่าเจ้าตัวพยายามกลั่นหัวเราะเอาไว้อย่างยากลำบาก
‘โซมุ’ เด็กหนุ่มผู้มีร่างกายอ่อนแอมาแต่กำเนิด จึงทำให้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในโรงพยาบาลมากกว่าที่จะใช้ชีวิตตามปกติเหมือนกับเด็กหนุ่มคนอื่นๆในวัยเดียวกัน ผู้คนรอบด้านมักจะเอาอกเอาใจอยู่เสมอด้วยเกรงในเรื่องสุขภาพของเจ้าตัว นั่นจึงทำให้ ‘โซมุ’ เป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง แล้ววันหนึ่ง โซมุก็เกิดมาหลงรักแฟนของพี่ชายเข้า และเพราะทุกคนในครอบครัวต่างกลัวสุขภาพที่อ่อนแอของโซมุจะแย่ลงกว่าเดิม จึงขอให้พี่ชายตามใจน้องชายของตน เพราะถึงอย่างไรโซมุก็ไม่อาจจะมีชีวิตที่ยืนยาว เมื่อหมอได้บอกว่าอาการของผู้เป็นน้องชายนั้นนับวันก็จะมีแต่ยิ่งทรุดหนักลงเรื่อยๆ จนคาดว่าไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้เกิน 22 ปี
......จะให้แสดงเป็นตัวตนของ ‘โซมุ’ พร้อมๆกับดูและเล่นให้เข้ากับคนพี่ด้วยงั้นหรอ......เฮ้อ!ถ้าไม่ได้งานมาก็อย่าว่ากันเลยนะชินาโนะซัง เหอะๆ......มิชิโยะหลับตาลงโดยไม่ได้ใส่ใจกับการแสดงของคนอื่นๆนัก ในใจหวนกลับไปคิดถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ตนเคยเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล นึกแล้วก็รู้สึกสมเพศตัวเองถึงสาเหตุที่ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลถึง 2 ปี...... มิชิโยะสะดุ้งเมื่อกรรมการคนหนึ่งขานหมายเลขของเธอเป็นรอบที่ 3 พลางเอ่ยขอโทษที่ตนเองเผลอเหม่อนานไปหน่อย
ชินที่รออยู่ข้างนอกแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ นับรวมๆเวลาที่มิชิโยะเข้าไปนั้น นี่ก็เกินครึ่งชั่วโมงแล้ว ซึ่งนานกว่าสองกลุ่มแรกที่เข้าไป ขณะที่กำลังคิดโน่นนี่ไปต่างๆนานา ประตูของห้องคณะกรรมการก็เปิดออก พร้อมทั้งคนทั้ง 5 คนที่เดินออกมา ต่างมีอาการที่แตกต่างกัน มิชิโยะยังคงมีสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนเหมือนกับตอนที่เข้าไป แต่อีก 4 คนต่างหันมามองเธออย่างทึ่งๆ ด้วยความร้อนรนชินไม่ทันได้สังเกตคนทั้ง 4 คนที่เหลือตรงไปทางมิชิโยะและสอบถามถึงการทดสอบ เด็กสาวเพียงแค่ยักไหล่ แล้วเดินไปยังเก้าอี้ที่ว่าง “ง่วงอ่ะ ไว้เดี๋ยวดูเอาตอนเขาแปะคนที่ได้รับเลือกเอาแล้วกัน” เธอพูดเพียงเท่านั้นแล้วก็ฟุบหลับทันที
การคัดเลือกดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โดยแต่ละกลุ่มก็เข้าๆออกๆโดยที่ใช้เวลาที่ต่างกันไป จนผู้เข้าคัดเลือกกลุ่มสุดท้ายออกไปจากห้อง รวมๆแล้วนี่คงเป็นการทำการคัดเลือกที่เร็วที่สุดที่เคยมีมาก็ว่าได้ ตั้งแต่เริ่มคือตอน 10 โมงครึ่ง จนตอนนี้ เป็นเวลา 5 โมงเย็น โดยมีผู้เข้าคัดเลือกถึง หนึ่งร้อยกว่าคน “เสร็จซักที” คาซึกิเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งบิดขี้เกียจ ทั้ง 6 คนต่างเอาคะแนนมาแลกเปลี่ยนกันดูแล้วสรุปโดยที่พวกเขาแยกกลุ่มหรือคนที่เข้ามาได้ไม่ถึง25 นาทีออกโดยไม่ต้องคิด ส่วนที่เหลือก็ค่อยมาเลือกกันอีกที มุไค ฮาชิระ ผู้กำกับละครเรื่องนี้ หยิบ profile ของ ‘อากิระ’ ขึ้นมาดู หัวมุมมีหมายเลข 13 กำกับเอาไว้ “เด็กคนนี้ ผมว่าโอเคเลยนะ” 5คนที่เหลือต่างเข้ามาดูว่าคนที่ถูกพูดถึงคือใคร หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มถึงกับเบ้หน้า “เด็กไม่มีสัมมาคารวะ แบบนี้ ใช้ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวจะมีปัญหากับคนอื่นเสียเปล่าๆ” เธออดที่จะต่อว่าไม่ได้ คาซึกิยิ้มนิดๆแต่ไม่ได้พูดอะไร ฮาจิยะเองก็รู้สึกถูกใจ เด็กหนุ่มอากิระเช่นเดียวกับผู้กำกับ และอดทึ่งกับการแสดงของอีกฝ่ายไม่ได้ ที่สำคัญในใบประวัติของเด็กคนนั้น ระบุไว้ว่าไม่เคยผ่านโรงเรียนการแสดงที่ไหนมาก่อน แต่กลับแสดงได้ดีถึงขนาดนั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ช่วงเวลา 11.25 12.10 นาฬิกา
มิชิโยะเดินออกมาข้างหน้า 2-3 ก้าวแล้วส่งบทของตนวางไว้ที่โต๊ะกรรมการ คาซึกิผู้รับบทพี่ชายนั้นยืนรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่สัญญาณเริ่มขึ้น คาซึกิก็เปลี่ยนไปทันทีด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด พูดตะคอกใส่คนตรงหน้า ทำเอาทุกคนอึ้งทั้งอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และ บทที่ได้รับบ่งบอกแล้วว่า.....ผู้เป็นน้องชายมักจะได้รับการเอาอกเอาใจเสมอ........ แต่ตรงหน้านี้กลับเป็นการทะเลาะหรือเรียกให้ถูกคือ การต่อว่าอย่างรุนแรงของผู้เป็นพี่ มิชิโยะผง่ะไปเล็กน้อยกับการที่จู่ๆก็มีเสียงดังมาดังอยู่ข้างๆ....ถึงจะเตรียมใจไว้แต่ก็อดที่จะตกใจไม่ได้.... อาการนิ่งไปของมิชิโยะเกือบจะทำให้กรรมการคนหนึ่งเกือบจะเอ่ยไล่ให้กลับไปนั่งที่เดิม
น้ำตาที่แรกเริ่มเอ่อคลอบัดนี้มันกลับไหลพลั่งพลูออกมาราวกับสายน้ำ สีหน้าที่แสดงออกมาบ่งบอกถึงอาการหวาดกลัว เพียงแค่นั้นก็เรียกความสนใจคนทั้งห้องได้แล้ว จะมีซักกี่คนที่ทันทีที่เริ่มแสดง อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าจังหวะจะมาเมื่อไหร่ แต่กลับสามารถร้องไห้ออกมาได้ทันทีราวกับเปิดก๊อก “ผะ..ผมก็แค่....ผม.....ทำไมพี่ถึงต้องตะคอกแบบนี้ด้วยล่ะ......พี่เกลียดผมแล้ว....โฮ!!!!!!!!!” เสียงร้องที่ดังออกมาบ่งบอกถึงอาการแบบเด็กๆ คาซึกิ ถึงแม้จะแปลกใจแต่ก็ยังตั้งตัวได้ทัน ก็พูดไปตามบทบาทของตัวเองยังคงไว้ด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด แต่ก็อ่อนลงเมื่อเห็นน้ำตาของผู้เป็นน้องชาย “นายเอาแต่ใจตัวเองเกินไปโซมุ ครั้งนี้นายทำเกินไป” มิชิโยะยังคงพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา “พี่ใจร้าย...ฮึก.....ฮึก....ไม่รักผมแล้วซินะ....เกลีย.......เกลียดผมแล้ว......ขอเพียงแค่ผมตายไป ก็จะดีกว่าซินะ” ทันทีที่พูดประโยคสุดท้ายถึงแม้ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยน้ำตา แต่เจ้าตัวก็กลับยิ้มออกมาเช่นกัน ยิ้มด้วยใบหน้าที่ดูขมขื่นราวกับจะต้องตายไปจริงๆ ทุกคนต่างอึ้งกับภาพตรงหน้า.....บรรยากาศอะไรแบบนี้ เด็กคนนี้แสดงแบบนี้ได้ยังไง......ฮาจิยะอดที่จะคิดแบบนั้นไม่ได้......คาซึกิเองก็ถึงขนาดตามบรรยากาศไม่ทันต้องขอเริ่มใหม่อีกครั้ง .
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชิน เดินมายังห้องแต่งตัวในมือถือถุงแฮมเบอร์เกอร์ เอาไว้ถุงใหญ่ ในใจก็พลางคิดไปถึงคนที่สั่ง.....’เอาเบอร์เกอร์ปลา 2 อัน แล้วก็แฮมเบอร์เกอร์ 1 อัน มันฝรั่งทอดอันใหญ่สุด อืม....ขอ 3 แล้วกัน แล้วก็มันบดถ้วยใหญ่อีก 1 นะ แค่นี้แหล่ะ ฝากด้วยน๊า~~ชินจัง’....แค่นี้งั้นหรอ พูดออกมาได้ไงฟะ แค่นี้ของเจ้าตัวนี่กินได้ 3 คนเลยนะเฟร้ย!!!!!!!! (T^T ฮือ...เงินตู) ระหว่างทางเป็นเวลาพอดีกับที่เจ้าหน้าที่เอาผลการคัดเลือกมาแปะเอาไว้พอดี ชิน จึงหยุดดู แล้วเจ้าตัวก็แทบจะทำถุงแฮมเบอร์เกอร์ร่วงลงพื้นทันทีโชคดีที่คว้าไว้ทัน จึงรีบตรงดิ่งไปหา มิชิโยะทันที “เฮ้! มิ....เอ้ย! อากิระ ผลออกมาแล้ว” แต่ดูเจ้าตัวจะไม่ได้ยินเพราะที่หูใส่หูฟังอยู่ ชินจึงเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วดึงหูฟังออก “เมื่อกี้ตอนเดินกลับมาเขาเอาผลคัดเลือกมาแปะไว้แล้ว......เธอ........เธอทำสำเร็จแล้ววววววววววว” พูดเสียงดังพร้องทั้งโผเข้ากอดเด็กสาวทันที ดูท่าทางจะดีใจกว่าคนที่ทำผลงานเอาไว้ซะอีก สายตาหลายๆคู่ต่างจ้องมาทางคนทั้งสองเป็นจุดเดียว “โอ้ย!!!!....รู้แล้วๆ ปล่อยฉันนะเฟ้ย!” มิชิโยะพยายามดันให้หน้าชินออกไปห่างๆ ชินรู้สึกตัวแล้วจึงรีบปล่อยมิชิโยะลง “แหะๆ โทษที ดีใจเกินไปหน่อย” มิชิโยะไม่ได้พูดอะไรเดินตรงไปยังกระดาษที่แปะผลการคัดเลือก มือก็พลางหยิบมันฝรั่งทอดขึ้นมากินทีละชิ้น ......ได้ด้วยแฮะ..... คิดอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน ระหว่างนั้นกลุ่มของคณะกรรมการก็เดินตรงมาที่เธอ แต่ก่อนที่จะถึงตัวก็มีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งเดินมาดักเอาไว้ “ทำไมผมถึงไม่ได้ ผมแย่กว่าเจ้านั่นตรงไหนกัน” มีบางคนที่ไม่พอใจในการตัดสินเข้ามาหาเรื่องกับคณะกรรมการ มิชิโยะอดไม่ได้ “ขี้แพ้ชวนตี” กลุ่มคนที่ถูกว่าหันควับมาทางเด็กหนุ่มที่กำลังหยิบมันฝรั่งขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับคำพูดของตัวเองเลยซักนิด แต่ก่อนที่จะมีเรื่องมีราวมากไปกว่านี้ ผู้กำกับมุไคก็เอ่ยขึ้นอย่างจะตัดปัญหา “เธอสามารถร้องไห้ไปพร้อมๆกับหัวเราะ แล้วหลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นโกรธแค้น แล้วก็หัวเราะ เสร็จก็กลับไปร้องไห้ด้วยอารมณ์ราวกับว่าโลกจะแตกได้ทันทีมั๊ยล่ะ” กลุ่มที่เข้ามาดักเอาไว้นิ่งไปซักพักก่อนจะเป็นชายคนเดิมพูดขึ้น “ต่อให้เก่งขนาดไหนก็คงไม่มีใครทำได้หรอก สร้างอารมณ์ขนาดนั้นในเวลาไล่ๆกันงั้นหรอ ใครจะไปทำได้กันล่ะ” “ขนาดฉันยังทำไม่ได้เลย ” ครั้งนี้เป็นคาซึกิที่พูดขึ้น “เห็นมั๊ยล่ะ” ชายคนเดิมพูดขึ้น “ใช่ ขนาด คาซึกิยังทำไม่ได้ แต่ว่า....คนที่ได้บท ‘โซมุ’ ไปเขาสามารถทำได้” เพียงเท่านั้นทุกสายตาก็ไปจับจ้องอยู่ที่ เด็กหนุ่มที่บัดนี้ใช้ชื่อว่า อากิระ เป็นจุดเดียว
ผู้กำกับมุไค หันไปทาง ชิน “ไง ไม่ได้เจอกันซะนะนานเลยนะ ชินาโนะคุง” “อ่า...นั่นซิครับ” ชินตอบกลับ “ฮ่ะ ฮ่ะ ฮะ ดูท่าว่าครั้งนี้ก็ได้เด็กที่สุดยอดมาอีกแล้วซิเนี่ย” ชินได้แต่ยืนยิ้มอยู่เฉยๆไม่ได้พูดอะไร มุไค จึงหันไปทางเด็กหนุ่มผู้มีนามว่า อากิระ แทน พร้อมทั้งยื่นมือให้ มิชิโยะทำท่าเหมือนจะคิดอะไรได้ จึงรีบเช็ดมือกับกางเกงแล้วจึงยื่นมือไปจับมือของอีกฝ่าย “ฝากตัวด้วยครับ” มิชิโยะ เดินไปจับมือกับคณะกรรมการคนอื่นๆด้วยเช่นกัน ชินก็สอบถามถึงกำหนดการต่างๆเสร็จแล้วทั้งคู่จึงเอ่ยลา
“เอาล่ะ ทีนี้ชินก็ติดเลี้ยงข้าวฉัน หนึ่งมื้อล่ะ มื้อใหญ่ซะด้วย” ระหว่างกลับหอพักของเด็กสาวเธอก็พูดขึ้นราวกับจะเตือนความทรงจำ ที่ชายหนุ่มได้แต่คิดอย่างปลงตก......กินไปขนาดนั้นยังจะเอาอีกหรอเนี่ย โธ่ๆ นี่ฉันมันโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ต้องมาเจอกับยัยนี่เนี่ย......
ความคิดเห็น