ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเล่าบนเขาเซียน

    ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 9 มี.ค. 58


    บทนำ

     

    ทรมานเหลือเกิน...... ทำไมนะ..... ทำไม....

    นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้านะ......

    ทั้งแสบ.... ทั้งร้อน..... ร่างกายของข้า..... เป็นอะไร......

    ทุกสิ่งทุกอย่างดับวูบลงก่อนที่จะมีแสงสว่างเจิดจ้าเกิดขึ้น

    ที่นี่คือที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่  ความทรมานเมื่อครู่นี้เล่า หายไปไหน?

    หรือว่า สิ่งที่ข้าคาดหวังเอาไว้  ใกล้จักเป็นจริงแล้ว......

    มนุษย์เอ๋ยมวลมนุษย์       เจ้าจักสุดสิ้นลงที่ตรงนี้

    เทพมารจะอหังการขึ้นอีกที         ธรณีจักลุกโชนด้วยไฟกัลป์

    ไม่มีผู้หยุดยึดท่านได้                 จงทรมานด้วยจิตใจโศกศัลย์

    จงดับไปทั่วทุกเผ่าพันธุ์              ทั่วโลกแดนสวรรค์บรรลัยเอย.

              ฮึ...ฮึ....ฮึ.... อีกไม่กี่ทิวาราตรีแล้วสินะ ที่ข้าจะกลับมายิ่งใหญ่อีกคราหนึ่งชายกลางคนรูปร่างใหญ่โตเอ่ยเอื้อนก่อนที่จะหัวเราะจะเสียงค่อยๆจางหายไปกับสายลม

              พ่อบุญธรรมขอรับ.. ทำไมท่านถึงจะปล่อยให้ข้าต้องเดินทางไปฝึกวิชาด้วยหรือขอรับ? ท่านก็น่าจะสอนข้าได้นิเด็กชายวัย ๙ ขวบเอ่ยถามบุรุษวัยกลางคนที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่บนเก้าอี้มะเกลือตัวเก่า

              ข้ามิได้มีปัญญามากพอที่จะสอนเจ้านะ หลางชาง เจ้าโตพอที่ต้องเผชิญหน้ากับโลกภายนอกเสีย ป่าเมฆเขียวไม่ได้มีความรู้มากพอสำหรับเจ้าหรอกบุรุษผู้นั้นเอ่ย

              ข้าไม่อยากไปไหนนิขอรับหลางชางเอ่ยขึ้น

              ไม่ได้... ถึงอย่างไรเสียข้าก็จะส่งเจ้าเข้าไปเรียนวิชาในเมืองลั่วสุ่ยให้จงได้บุรุษผู้นั้นเอ่ยก่อนที่จะสะบัดผ้าคลุมหนังพยัคฆ์สีขาวลุกขึ้นเดินออกจากบ้านโพรงไม้ไป

              ข้าไม่ไปแน่ขอรับ  ข้าจะไปอยู่กับท่านแม่หลางชางตะโกนไล่หลังบุรุษนั้น ทำให้บุรุษผู้นั้นหันกลับมา

              แม่เจ้าก็มิสามารถช่วยอันใดเจ้าได้หรอก  หรือเจ้ามิอยากเจอบิดาที่แท้จริงของเจ้าเล่า หลางชางลูกรัก?”บุรุษผู้นั้นถามเด็กน้อยด้วยความจำใจ

              “พ่อบุญธรรมว่าอย่างไรนะขอรับ?” หลางชางเอ่ยถามบิดาบุญธรรมเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

              “เจ้ามิอยากตามหาบิดาที่แท้จริงของเจ้า อย่างนั้นหรือไร? หลางชาง”บุรุษผู้นั้นถามเด็กน้อยพลางเดินกลับมาลูบหัว

              “แล้วทำไมข้าต้องออกตามหาด้วยเล่า? ในเมื่อข้ามีพ่อบุญธรรม ท่านแม่ เหล่าท่านน้านางไม้ แล้วก็มีเหล่าสัตว์ทั่วอาณาเมฆเขียวอีก”หลางชางเอ่ย

              “หลางชางลูกรัก ข้าเข้าใจว่าเจ้าคิดอย่างไร แต่เจ้าไม่คิดที่ปลดปล่อยบิดาที่แท้จริงของเจ้าแน่หรือ? จักปล่อยให้เขา ทนทุกข์ทรมานได้ฉะนั้นหรือ?”บุรุษผู้ที่ได้ชื่อว่าพ่อบุญธรรมเอ่ยถามบุตรชายตัวน้อย

              “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปก็ได้นะขอรับ พ่อบุญธรรม”หลางชางตอบรับคำ

              “เจ้าได้เลือกหนทางที่ดีที่สุดแก่ตัวเจ้าแล้ว หลางชาง”บุรุษผู้นั้นได้ย่อตัวลงโอบกอดเด็กน้อยเอาไว้ ก่อนที่จะลุกขึ้นโอบหลังลูกชายแล้วพาเดินไปยังผาถ้ามังกรแก้วสวรรค์

              เด็กชายผละจากอ้อมแขนของบิดาบุญธรรม ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปกอดสาวงามที่นั่งอยู่บนแท่นแก้วระยับ “ท่านแม่ขอรับ...........”หลางชางร้องเรียกผู้เป็นมารดา

              “ว่าอย่างไรฮึ...หลางเอ้อร์ ทำไมวันนี้มาหาแม่ได้เล่า?”ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามบุตรแห่งตน

              “พ่อบุญธรรมบอกว่า ข้าต้องเดินทางไปฝึกวิชาที่นอกเขาเมฆเขียวขอรับ ท่านแม่”หลางชางเอ่ยตอบผู้เป็นมารดา

              “ไป๋หู่...ถึงเวลาแล้วหรือไร ที่จะให้หลางเอ้อร์ออกไปสู่โลกภายนอก?”สาวงามเอ่ยถาม

              “ใช่แล้ว...เพื่อตัวของหลางชางเอง และก็เพื่อหลงเซินอู่ ด้วยนะเจ้า”บุรุษผู้ที่ยืนเอ่ยขึ้น

              “แต่หลางเอ้อร์ยังเยาว์อยู่นะ ยังไม่พ้นสิบร้อนสิบหนาวเลยด้วยซ้ำ”

              “ถึงยังเยาว์แต่ก็สามารถเอาชีวิตรอดได้แล้ว”บุรุษผู้ที่ยืนพูดอย่างไม่แยแสหญิงงามตรงหน้าไม่

              “แต่บุตรแห่งข้ายังไม่ควรที่จะ....”

              “ถ้าไม่ออกไปตอนนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าเบื้องบนจะล่วงรู้เมื่อใด แต่ถ้าช้าไปกว่านี้ หลางชางอาจจะไร้ซึ่งตัวตนอีกต่อไปได้”บุรุษพูดขัดสาวงามขึ้น

              “ข้าไม่เข้าใจหรอกนะขอรับ ที่ท่านแม่กับพ่อบุญธรรมพูดหมายถึงสิ่งใด แต่ในเมื่อข้าต้องไปทำตามสิ่งที่ข้าควรจะทำ ก็ไม่มีสิ่งใดจะทัดทานได้ไม่ใช่หรือขอรับ?”เด็กน้อยเอ่ยเอื้อนก่อนที่สบตากับผู้เป็นมารดาตน

              “เจ้าควรทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว หลางชาง จงเลือกเดินตามเส้นทางที่ใจของเจ้าเลือกเดินเสียเถิด ลูกรัก ข้าเพียงแต่เลี้ยงดูอบรมเจ้า แต่ความรู้นั้น ขึ้นอยู่ที่เจ้าจะเลือกใช้และขวนขวายมัน”บุรุษที่ยืนอยู่ข้างหลังเด็กน้อยเอ่ย

              “ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรขอรับ ว่าบิดาที่แท้จริงของข้าคือผู้ใด?”หลางชายเอ่ยถามคนในครอบครัวของตนทั้ง ๒

              “หลางเอ้อร์....”ผู้เป็นมารดาเอ่ยเรียกบุตรพร้อมร่ำไห้ออกมา ก่อนที่จะโอบกอดบุตรตนจนแน่น ในอ้อมกอดที่แน่นนี้ทำให้เด็กน้อยรับรู้ถึงความสะเทินไหวของผู้เป็นมารดาเมื่อครั้นเอ่ยถึงบิดาที่แท้จริงของตน

              “หลางชาง จงจำไว้ว่า ถ้าเทพมารหลุดจากผนึกเมื่อใด เจ้าต้องเป็นผู้เลือกว่าจะเดินตามเส้นทางของเซียน หรือจะเลือกเดินตามเส้นทางของมาร เพราะบิดาที่แท้จริงของเจ้าไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้ นอกจากเจ้าผู้เป็นบุตร ไม่มีใครจะเอ่ยนามของเขา นอกจาก พวกเราและหมู่มาร จงจำเอาไว้เถิดหลางชาง หลงเซินอู่ คือชื่อบิดาของเจ้า”

              “ขอรับ ข้าจะจำเอาคำที่พ่อบุญธรรมบอกขอรับ ท่านแม่ขอรับอย่าร่ำไห้ไปกับโชคชะตาของข้าเลยนะขอรับ เพื่อที่ท่านทั้ง ๒ จะได้พบกันอีกครั้ง ข้าจะต้องทำให้สำเร็จจงได้ขอรับ”เด็กน้อยเอ่ยรับคำพร้อมปลอบโยนผู้เป็นมารดา

              “หลางเอ้อร์....”นางเอ่ยเอื้อนปนสะอื้นพลางมองหน้าบุตรแห่งตน

              “หลางชาง เจ้าจงออกเดินทางไปทางทิศเหนือของป่า เพื่อไปสู่เมืองลั่วสุ่ย แล้วตามหาบุคคลผู้ที่มีความรู้พอที่จะถ่ายทอดให้เจ้าได้เรียนรู้ต่อไป”

              “ขอรับ พ่อบุญธรรม”

              “วันนี้เจ้าก็นอนกับมารดาเจ้าก็ได้ ข้าจะกลับไปเก็บของให้เจ้า หลางชาง”บุรุษผู้ที่ยืนอยู่หันหลังกลับเดินออกไปจากถ้ำมังกรแก้วสวรรค์

              “ขอรับ พ่อบุญธรรม”

              หลางชางได้ออกเดินทางพร้อมด้วยเต่าเซียนที่บิดาบุญธรรมของตนมอบให้ มุ่งหน้าไปยังเมืองลั่วสุ่ย เมื่อผ่านผามังกรเกล็ด หลางชางก็ก้มลงเก็บหญ้ามุกวิญญาณห้าสี ซึ่งเป็นพืชหายาก ก่อนที่จะพบ เศษหินผลึกวิญญาณ

              “อันใดกันเล่า... หินแปลกประหลาด มีอักษรแฝงเสียด้วย จีจื่อ”หลางชางบ่นพึมพำกับเต่าเซียนตัวจ้อยของตน

              “เยว่ ถี เอ่อร์ หลัน ปาว ไห่??”หลางชางลองอ่านอักษรแฝง ทันใดนั้น เศษหินละเอียดค่อยๆเปล่งแสงแล้วมีบุรุษแต่งตัวด้วยผ้าต่วนสีขาวสะอาดปรากฏอยู่ตรงหน้า

              “ท่านเป็นผู้ใดกันเล่า?”หลางชางถามผู้ปรากฏใหม่

              “ขอบคุณเจ้าที่ช่วยปลดปล่อยวิญญาณของข้าให้เป็นอิสระ ข้า หลี่หว่านเสี่ยว จะไม่มีลืมบุญคุณของท่าน อันตอนนี้หว่านเสี่ยว ไม่สามารถกลับไปกราบกรานอาจารย์ได้อีกต่อแล้ว ข้าจึงอยากจะขอให้ท่านช่วยข้าอีกสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”บุรุษผู้ปรากฏใหม่เอ่ยถาม

              “ถ้าท่านไหว้วาน ข้าก็จักช่วยเหลือท่าน”หลางชางเอ่ย

              “ขอบใจเจ้าอีกคราหนึ่งแล้ว ข้าอยากให้ท่านไปหาท่านนักพรตไท่อี่ เจ้าสำนักเขาไท่ไป๋ เพื่อบอกท่านว่า หลี่หว่านเสี่ยว ศิษย์ขุนพลอาจารย์หลินปู้จิงผู้นี้ ลำพองใจทำงานมิสำเร็จ ทำให้สำนักเสียชื่อเสียง เพราะโดนสมุนของมารปิศาจปลิดชีพกลางป่าเมฆเขียวเช่นนี้ ข้าอยากให้ท่านนำหินผลึกวิญญาณไปให้ท่านเจ้าสำนักเพื่อที่จะนำข่าวสารนี้ไปแจ้งแก่เหล่าเซียนต่อไป ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะได้ไปสู่ภพภูมิใหม่เสียที”พลันสิ้นเสียงของบุรุษผู้นั้น ร่างของเขาก็ค่อยๆจางหายไปกับสบายลมราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเคยยืนอยู่ตรงนั้น

              หลางชางเริ่มเดินทางต่อเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาไท่ไป๋ ที่ตั้งสำนักไท่ไป๋ แทนที่จะมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองลั่วสุ่ย หนทางหาใช่จะสะดวกสบาย ข้าไม่เคยออกจากป่าเมฆเขียวไปสู่ที่อื่นใดเลย แล้วเยี่ยงนี้ข้าไปถึงได้หรือไม่นะ เฮ้อ~~

              ทันใดนั้นมวนหมอกที่แสนหนาตา ก็ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของหลางชาง ตามนิทานที่เหล่าพี่สาวนางไม้เคยเล่าให้ฟัง เมื่อมีมวนหมอกหนาตาปรากฏอยู่ตรงหน้า พอเดินตรงเข้าไป ก็จะพบกับหออี้สิ่ว ทุกสิ่งทุกอย่างหออี้สิ่วไม่สามารถเอาออกได้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการแลกเปลี่ยน และหออี่สิ่วล่วงรู้ทุกสิ่งบนโลกหล้า ถ้าประมุขของหออี้สิ่วต้องการสิ่งใด หน้าอี้สิ่วก็จะปรากฏอยู่ตรงหน้าสิ่งนั้น เวรล่ะ!! ทำไมถึงต้องการอะไรจากข้ากันเล่า? นึกว่าแค่มีแต่ในตำนานอย่างเดียวเสียอีก หลางชางได้เดินถอยหลังแล้วพยายามหาทางออกจากมวนหมอกนั้น แต่ทำเยี่ยงไรก็ไม่เป็นผล เหมือนยิ่งหาทางก็ยิ่งจะเหมือนเดินเข้าไปอยู่ในที่นั้นมากขึ้น เจดีย์ทรงสูงปรากฏอยู่ตรงหน้าของหลางชาง เฮ้อ~~ต้องเข้าไปจริงๆแล้วใช่หรอ? เอาไงก็เอาวะครานี้ หลางชางนึกในใจก่อนที่จะก้าวเข้าไปยังเจดีย์ทรงสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าตน ภายในนั้นกว้างขวาง แล้วก็ที่น่าแปลกใจคือทุกสิ่งทุกอย่างในนี้ประกอบไปด้วยลิ้นของทุกสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ เหล่าลิ้นเสียงโหยหวนจนน่าขยะแขยง บรรยากาศน่าขนลุกปานนี้ จะมีใครเคยได้มาสัมผัสแบบข้าบ้างหนอ หลางชางเริ่มคิดในใจ

              “ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มีความพิเศษอยู่ในตัว ประมุขของหออี้สิ่วผู้นี้ขอน้อมรับใช้”บุรุษผู้สวมใส่หน้ากากทองดำลิ้นลากยาวมาถึงอกเอ่ยต้อนรับ

              “จริงๆข้าไม่ต้องการสิ่งใด แค่ต้องการออกจากที่แห่งนี้เพียงเท่านั้น”หลางชางเอ่ยเอื้อน

              “ฮึ ๆ ๆ ในบางครั้งท่านก็น่าจะรู้กฎของหออี้สิ่วนะ ตัวเล็ก?”ประมุขของหออี้สิ่วเอ่ยเอื้อน ก่อนที่จะเอื้อมมือของเขาออกมาสัมผัสใบหน้าของหลางชาง

              “ใช่ว่าข้าต้องการจะเข้ามาที่แห่งนี้แต่แรกไม่”หลางชางตอบกลับ

              “อา... ข้าเข้าใจท่านแต่ รู้หรือไม่ว่ากลิ่นอายของท่านช่างหอมหวาน เป็นที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งถึงได้ดึงดูดเหล่าลิ้นในหออี้สิ่วมาหาท่านได้ กลิ่นอายพลังของท่านทำให้เหล่าลิ้นแห่งหออี้สิ่วมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ดังได้รับพลังและชีวิตใหม่ ท่านเป็นผู้ที่ช่วยเหลือหออี้สิ่ว ท่านจะได้รับการช่วยเหลือจากหออี้สิ่ว ๓ ครั้ง ตามใจที่ท่านปรารถนา ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนกับกลิ่นไอและเลือดของท่านเพียง ๑ หยอด เท่านั้น”ประมุขของหออี้สิ่วเอ่ย

              “ถ้าข้าให้ ข้าจะได้ออกไปจากที่นี่ทันทีหรอไม่?”หลางชางถามต่อ

              “ท่านย่อมได้รับสิทธิ์นั้น ถ้าท่านต้องการ”

              “ข้าให้”หลางชางตอบอย่างมั่นใจก่อนที่จะปัดมือของบุรุษตรงหน้าออก บุรุษผู้นั้นได้เสกผลึกแก้วสีชมพูสวยขึ้นมาสะกิดนิ้วของหลางชาง ความเจ็บจี๊ดแล่นเข้าสู้ปลายนิ้วบาง ก่อนที่ผลึกนั้นจะเปล่งสีแดงดุจสีเลือดออกมา

              “สัญญาเสร็จสิ้นแล้ว ท่านจงรับบังเหียนอี้สิ่วนี้ไว้ เมื่อท่านพบกับพาหนะตัวแรกของท่าน ขอให้ท่านจงใช้มัน  โชคดีท่านผู้มีเลือดที่แสนวิเศษ หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีก”ประมุขหออี้สิ่วเอ่ยจบทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

              หลางชางเริ่มต้อนออกเดินทางใหม่อีกครั้ง พาหนะตัวแรก เสียงแว่วๆนี้ก้องอยู่ในหูอีกครั้ง ใช่แล้วพาหนะตัวแรก มะ..มะ... มะเหมียว.. หรอ?? พาหนะตัวแรกของเรา? แต่นี้มันแมวเหมียวแดงฟ้าเลยนะ จะจับขี่ได้จริงๆหรอ? ข้าได้ยินว่ามันโหดร้ายมากเลยนะ กินคนเป็นๆได้ทั้งตัว คิดแล้วสยอง แต่ถ้าได้มาเป็นพาหนะเล่า ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ลองดูก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลย เมื่อคิดได้ดังนั้น หลางชางก็ค่อยๆย่อง ไปด้านหลังของแมวเหมียวแดงฟ้าแล้วก็กระโจนมาจับตัวสัตว์วิเศษตัวนั้น แต่มันก็วิ่งสะบัดพยายามจะทำให้หลางชางตกจากหลังของมัน หลางชางเห็นทีว่าใกล้จะตกเต็มทีจึงปล่อยมือข้างหนึ่งจากขนคอแล้วหยิบเอาบังเหียนอี้สิ่วที่ได้มาสวมใส่สัตว์วิเศษตัวนั้น หลังจากนั้นมันจึงสงบลง

              “ขอบใจนะที่เจ้าจะมาร่วมทางกับข้า ถึงจะไม่ได้อยากมาด้วยก็ตาม ข้าจะเรียกเจ้าว่า เสี่ยวเปียว ละกัน ข้าจะดูแลเจ้า เหมือนดังที่ข้าดูแลจีจื่อ”หลางชางเอ่ยก่อนที่จะลูบหัวสัตว์วิเศษนั้นเบาๆ ก่อนที่จะขึ้นขี่หลังของมัน

              “ข้าไม่รู้ว่าเขาไท่ไป๋ไปทางไหน ต้องวานเจ้าช่วยพาข้าไปเสียแล้วเล่า”

              “มะเมี้ยว”เสียงตอบกลับจากสัตว์วิเศษ เหมือนกับว่ามันเข้าใจในสิ่งที่เจ้านายมันพูด

              ตามตำนานได้เล่าว่า แมวเหมียวแดงฟ้า เป็นสัตว์วิเศษ ตัวสีแดงชาด ในตาสีฟ้าสด มีฤทธิ์มากพอๆกับหงส์เพลิง แต่วิ่งเร็วเป็นลมกรด ดุจม้าเพลิงดำ หรือยิ่งกว่าทางศรของโห้วอี้เสียอีก หลางชางพอเข้าใจแล้วว่า เรื่องที่เล่าขานถึงแมวเหมียวแดงฟ้า จะเป็นจริงถึงเพียงนี้ เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เสียวเปียวก็พาหลางชางมาหยุดอยู่ตรงหน้าของสำนักไท่ไป๋ หลางชางเดินตรงเข้าไปในสำนักก่อนที่จะขอเข้าพบเจ้าสำนักเพื่อแจ้งเรื่องของหลินปู้จิง และฝากตัวเป็นศิษย์ของสำนัก

    “ทารกน้อยเอ๋ยทารก... ถึงยังไงเจ้าก็ยังเยาว์นัก

    ยังไม่ถึงวันเวลาที่เจ้าจะโบยบินแบบเซียนหรอก....

    นอกเสียจาก... เจ้าจะมีปีกแบบนกหรือไม่

    เจ้าก็ต้องเป็นเทพสวรรค์เท่านั้นแหละ”

              เสียงที่ก้องอยู่ในหัวสมองของหลางชางตลอดเวลา และทุกๆครั้งที่นึกขึ้นก็จำจนขึ้นใจ ตั้งแต่ศิษย์สำนักของสำนักไท่ไป๋ที่เป็นนักเรียนฝึกหัด ไปจนถึงระดับหยกสำนัก ได้ยินและเห็นฉากที่นักพรตไท่อี่พูด ก็เหมือนกับสายฟ้าฟาดลงมาบนร่างของหลางชางอย่างจัง หลางชางไม่เคยคิดที่จะใส่ใจกับเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ในเมื่อนักพรตไท่อี่เจ้าสำนักเขา ไท่ไป๋ ไม่รับการกราบไหว้ของข้า ข้าก็ไม่สนใจอะไรแล้วล่ะ หนอย~ ยังมีหน้ามาบอกว่าถ้าอยากโบยบินก็ต้องมีปีก ฮึ ข้าแค่ต้องการทำในสิ่งที่ท่านพ่อบุญธรรมต้องการให้เรียนรู้เท่านั้นแหละ อย่านึกนะว่าข้าจะต้องการโบยบินอะไรนั้นน่ะ เฮ้อ~ เบื่อๆๆๆไม่รู้จะไปอยู่ไหนดี

              “จีจื้อ... เราจะไปอยู่ที่ไหนกันดีเล่า???”หลางชางถามเต่าเซียนตัวจ้อยที่พ่อบุญธรรมมอบให้ แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบกลับมาจากเจ้าเต่าเลย

              “เฮ้ย! เจ้านั้น คอยข้าด้วย”เสียงชายหนุ่มมาดสง่าตะโกนเรียกจากข้างหลัง  คงไม่ใช่ข้าหรอกกระมัง หลางชางคิด ก่อนที่จะเดินต่อไปเรื่อยๆ

              “เจ้านั้นแหละ....ที่เดินคุยกับเต่าโง่ๆนั้นอ่ะ หยุดเลย”ชายหนุ่มนั้นตะโกนเรียกอีก คราวนี้คงเป็นข้าจริงๆแล้วสินะ หลางชางจึงหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองหน้าชายหนุ่มผู้นั้น

              “เจ้ายังไม่มีสำนักอยู่ใช่หรือไม่? สนใจมาอยู่สำนักเดียวกับข้าหรือไม่?”ชายผู้นั้นเอ่ยถาม

              “อืม ~~ แล้วทำไมข้าถึงต้องสนใจไปอยู่สำนักเดียวกับท่านด้วยเล่า?”หลางชางถามกลับ

              “ก็สำนักข้ามีคนน้อย ทั้งข้ายังเห็นแววของเจ้าว่ามีบางสิ่งในตัวเจ้าน่าสนใจ เลยออกปากชวนเจ้าอย่างไรเล่า ตัวข้า เจ้าเฟยเหอ หัวหน้าสำนักละลาย ”ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยขึ้น

              “งั้นข้าก็คงต้องไปอยู่สำนักท่านแล้วจริงๆสินะ”หลางชางเอ่ยขึ้นอย่างเนือยๆ

              “ใช่สิ... ดีจริงๆ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร เป็นใครมากจากไหนล่ะ?” เจ้าเฟยเหอเอ่ยขึ้น

              “ข้าชื่อ หลางชาง ข้าอยู่ในป่าเมฆเขียว ท่านพ่อบุญธรรมบอกว่าข้าโตพอที่จะเรียนรู้โลกภายนอกได้แล้ว ข้าเลยออกมากราบอาจารย์ฝากตัวเป็นศิษย์”หลางชางเอ่ยขึ้น

              “หรือว่าเจ้าเป็นผู้ที่สำนักไท่ไป๋กล่าวถึง???”เจ้าเฟยเหอเอ่ยพร้อมกับทำหน้าตกตะลึง

              “คงงั้น.... ว่าแต่ท่านขึ้นไปทำไมที่สำนักไท่ไป๋??”หลางชางเอ่ยถาม

              “ข้าไปคารวะอาจารย์บนสำนักน่ะสิ.... ข้าเป็นศิษย์นักเวทย์ของสำนักไท่ไป๋น่ะ”เจ้าเฟยเหอเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

    หลางชางมองด้วยหางตา ในเมื่อเจ้าสำนักไท่ไป๋ยังไม่รับข้าเลย เจ้านี่เป็นเพียงศิษย์ยังจะมองเห็นอะไรในตัวข้าด้วยเล่าหนา เฮ้อ.... หลางชางพลางคิดในใจ

              “แต่ข้ายังแปลกใจอยู่นะ ว่าทำไมท่านเจ้าสำนักถึงได้มิรับคนที่มีสิ่งพิเศษแบบไม่เหมือนผู้ใดเช่นเจ้านี่สิ”เจ้าเฟยเหอ บ่นพึมพำกับตัวเอง “ไปเรากลับสำนักของเรากันเถอะ หลางชาง”เจ้าเฟยเหอเอ่ยก่อนที่จะเดินนำทางไป

              ละลาย... สำนักเล็กๆในเมืองลั่วสุ่ยอันมโหฬาร อาศัยอยู่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมทะยานฟ้า โรงเตี๊ยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมือง อลังการเกิน หลางชางคิด

              “เหมยฮวา... เจ้าพาหลางชางไปที่ห้อง และก็ชาระร่างกายให้เรียบร้อย ก่อนมื้อค่ำนะ”เจ้าเฟยเหอสั่งก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องใหญ่

              “เจ้าค่ะ”หลินเหมยฮวาเอ่ยพร้อมโค้งคำนับ ก่อนที่จะพาหลางชางเข้าไปในห้องอีกส่วนหนึ่ง

              “เอ่อ.... แม่นาง...เอ่อ.... ข้านอนที่นี้จริงๆหรือ??”หลางชางเอ่ยถามขึ้น หลินเหมยฮวา เหลือบมองด้วยหางตาก่อนที่จะคลี่ริมฝีปากแดงชาดของตนเพื่อเอ่ยเอื้อน

              “ใช่น่ะสิ..... และอีกอย่างหนึ่ง ข้ามาก่อนเจ้า ฉะนั้นเรียกข้าว่าศิษย์พี่เสียด้วย เพราะที่นี้เค้าเรียกกันตามอาวุโสจากการเข้าร่วมสำนัก ใช่อายุนะ เออ...จริงสิ แล้วเจ้าชื่ออะไร?”

              “ข้าชื่อ หลางชาง... ส่วนเต่าเซียนตัวนี้ชื่อ จีจื่อ แล้วศิษย์พี่เล่ามีนามว่ากระไร?”หลางชางเอ่ยเอื้อน

              “ข้าชื่อ หลินเหมยฮวา ข้าเป็นศิษย์นักธนู เกาะเผิงไหล”หลินเหมยฮวาเอ่ย

    หลังจากที่หลางชางเก็บของเรียบร้อยแล้ว หลินเหมยฮวาก็พาไปยังห้องอาบน้ำ ก่อนที่จะออกไปคอยข้างนอกห้องปล่อยให้หลางชางอาบน้ำอย่างสุขใจ

    “จีจื่อ คิดถึงพ่อบุญธรรมจังเลยเนาะ ถ้าท่านรู้ว่าข้ามีสำนักอยู่แล้วท่านจะรู้สึกดีหรือไม่นะ.... แล้วจีจื่อเจ้าคิดว่าข้าจะเจอกับท่านพ่อที่แท้จริงของข้าหรือไม่ แล้วถ้าพบกันท่านพ่อจะรักแล้วเอ็นดูข้าเหมือนที่พ่อบุญธรรมรักหรือไม่น่ะสิ”

    “เฮ้ๆๆๆ เจ้ายังมิเป็นอันใดใช่หรือไม่??”เสียงของหลินเหมยฮวาตะโกนถามมาจากด้านนอก

    “ข้ายังดีอยู่ขอรับ”หลางชางเอ่ยตอบก่อนที่จะเปลี่ยนชุดออกจากห้องอาบน้ำ หลินเหมยฮวาแลดูหลางชางตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางนึกๆไปว่า พออาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ ก็เปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหวจริงๆ งดงามอย่างพานอันเสียจริง ทารกน้อยผู้นี้

    “ลงไปทานข้าวได้แล้ว ถึงเวลาแล้วอย่าให้ผู้อื่นรอ”หลินเหมยฮวาเอ่ยก่อนที่จะเดินนำหน้าไป

    ในห้องอาหารทุกคนในสำนักมานั่งรวมกัน ที่นั่งหัวโต๊ะจะเป็นเก้าอี้มะเกลือตัวโตๆ เหมยฮวาบอกว่ามันเป็นที่นั่งของเจ้าสำนัก ส่วนเก้าอี้มะเกลือธรรมดาๆที่อยู่รอบโต๊ะ คือ เก้าอี้ของสมาชิกในสำนัก เริ่มสงสัยว่าทำไมเจ้าเฟยเหอถึงไม่ไปนั่งเก้าอี้หัวโต๊ะ แต่กลับมานั่งเก้าอี้ข้างขวาทางหัวโต๊ะแทน

    “คารวะผู้อาวุโสสำนักเจ้าค่ะ”หลินเหมยฮวาเอ่ยพร้อมแสดงความเคารพ หลางชางเลยแสดงความเคารพตามอย่างเสียไม่ได้ ส่วนเจ้าเฟยเหอนั่งอมยิ้มให้อย่างไม่สนใจความฉงนของหลางชางเลย

    “คิ้วขมวดขนาดนั้นหมดภาพลักษณ์ความงดงามบนในหน้าเจ้าเสียเปล่า... ข้าว่าแล้วว่าข้าเลือกคนมาไม่ผิดเสียจริงๆ”เจ้าเฟยเหอพูดมาทำให้ยิ่งฉงนเข้าไปใหญ่

    “คารวะท่านเจ้าสำนัก”เสียงของหลินเหมยฮวาและเจ้าเฟยเหอประสานกัน พร้อมกับหันไปแสดงความเคารพทางด้านประตู หลางชางหันไปมอง

    “ทะ...ทำไม....ทำไม เจ้าเฟยเหอถึงมี ๒ คน???”หลางชางเอ่ยถามแบบงงๆ ส่วนเจ้าเฟยเหอที่เดินไปนั่งที่เก้าอี้หัวโต๊ะส่งสายตามามองอย่างหลางชางอย่างข้องใจ พอๆกับที่หางตาของเขาส่งไปหาเจ้าเฟยเหอคนที่นั่งยิ้มอย่างหน้าระรื่นด้านขวา

    “ฟู่เอ้อร์ เจ้าหาสมาชิกใหม่เข้าสำนัก?”เจ้าเฟยเหอ(ตัวจริง?)เอ่ยถามเจ้าเฟยเหอ(ตัวปลอม?)ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

    “โถ่.........เฟยเอ้อร์ ข้าเห็นว่าสำนักเรามีเพียง ไม่กี่ชีวิต ข้าเลยชวนหลางชางเข้าร่วมสำนักก็เท่านั้นเอง”เจ้าเฟยเหอ(ตัวปลอม?)เอ่ยขึ้น ส่วนเจ้าเฟยเหอ(ตัวจริง?)พลางมองมาที่หลางชางอย่างพินิจพิเคราะห์

    “ทารกน้อยอย่างเจ้าคิดว่าตนเองเป็นอันใดเล่า ถึงได้คิดจะมากราบกรานอาจารย์ตั้งแต่วัยยังมิผ่านสิบขวบปีด้วยซ้ำน่ะ”เจ้าเฟยเหอ(ตัวจริง?)เอ่ยขึ้นแล้วมองหน้าหลางชางด้วยใบหน้าเฉยชา

    “ข้าชื่อหลางชาง ปีนี้ข้าก็เข้า ๙ ขวบปีแล้ว ท่านพ่อบุญธรรมของข้าบอกว่าข้าโตพอที่จะออกมาเผชิญโลกภายนอกแล้วด้วย ฉะนั้นข้าจึงมากราบอาจารย์เพื่อเรียนรู้น่ะสิ”หลางชางตอบ

    “พ่อบุญธรรมของเจ้านี้ก็กระไร ปล่อยให้ทารกที่ยังเยาว์เช่นนี้ออกมาเผชิญโลกภายนอก”หลินเหมยฮวาเอ่ยขึ้น

    “ข้าไม่ได้ต้องการที่จะมุ่งไปเป็นเซียนโบยบิน หรือเป็นจ้าวยุทธ์แต่อย่างใด เพียงว่าข้าต้องการจะออกตามบิดาที่แท้จริงเท่านั้นเอง”หลางชางเอ่ยขึ้นก่อนที่จะอุ้มจีจื่อขึ้นมาวางบนโต๊ะ

    “ทารก ยังไงเสียก็ยังเป็นทารกน้อยวันยังค่ำอยู่ดี”เจ้าเฟยเหอเอ่ย

    “เฟยเอ้อร์ เจ้าไม่เห็นความแตกต่างของเด็กนี้กับเด็กคนอื่นหรือไง?”เจ้าเฟยเหอ(ตัวปลอม?)เอ่ยขึ้น

    “เจ้าฟู่เหอ เด็กขึ้นชื่อว่าเด็กมันก็ไม่ต่างอันใดกันหรอก เจ้าคิดให้ดีๆนะ”เจ้าเฟยเหอ(ตัวจริง)เอ่ยขึ้น หลางชางมองทั้งคู่ที่โต้เถียงเรื่องของตน เฮ้อ~~~นี่เป็นเพราะข้าหรือไร???? เฮ้อ.....

    “ข้าขอบขอบใจพวกท่านมาก งั้นข้าจะขอเดินไปตามทางของข้าก็แล้วกัน ขอลาพวกท่านตรงนี้เลยนะขอรับทุกท่าน” หลางชางเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นออกจากห้องไปเก็บของ แล้วค่อยๆเดินออกจากสำนักลงไปสู่โรงเตี๊ยมทะยานฟ้า

    “เจ้าหนูนี้มันเป็นผู้ใดกัน ถึงกล้ามาเดินตัดหน้าข้า เสือราตรี เช่นนี้”นักฆ่ารูปร่างสูงใหญ่ ฉายาเสือราตรี ผู้เป็นที่น่าเกรงกลัวที่สุดในเมืองลั่วสุ่ยเอ่ยขึ้น แล้วมองหลางชางอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนที่จะคว้าคอเสื้อของหลางชางมามองหน้าใกล้ๆ

    “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด ทารกน้อย ถึงกล้าเดินตัดหน้าข้าเช่นนี้ เงาหัวเจ้ามิมีแล้วล่ะ ทารกน้อย”เสือราตรีเอ่ยขึ้นก่อนที่จะยกดาบสีม่วงเข้มออกมาจ่อคอหลางชาง หลางชางมองด้วยหางตาก่อนที่จะเอ่ยเอื้อนขึ้นมา

    “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเดินตัดหน้าผู้ใด แต่ถ้าท่านยังทำแบบนี้ข้าก็จะไม่ยอมให้ท่านทำได้ง่ายๆหรอก” เมื่อสิ้นเสียงของหลางชาง ทำให้เสือราตรีโมโหยิ่งขึ้น

    “เจ้าอยากตายมากสินะทารกน้อย งั้นดี ข้าจะส่งเจ้าไปยังปรโลกเอง”เสือราตรีเอ่ยก่อนที่จะยกดาบขึ้น

    “เปลี่ยนแปลงร้อยแปด”หลางชางหลบหลีกคมดาบของเสือราตรีไปอยู่ด้านหลังของเขา ดาบในมือของเสือราตรีหายไป แต่กลับมาปรากฏอยู่ในมือของหลางชางแทน เสือราตรีเริ่มโมโหมากขึ้น เมื่อโดนเวทย์ธาตุไม้ที่ตนร่ำเรียนมาทำร้าย

    “ฮึกเหิมชั่วพริบตา”หลางชางร่ายเวทย์ลงคมดาบก่อนที่เวทย์จะทำร้ายเสือราตรีจนสะบักสบอม ถึงเป็นเพียงเวทย์ขั้นแรก แต่กลับใช้ได้ดีกว่าเขาที่บรรลุเวทย์แล้วไปถึงขั้นสุดยอด

    “ครั้งนี้ข้าเสือราตรี พ่ายต่อเจ้า แต่ครั้งหน้าข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่”เสียราตรีเอ่ยก่อนที่จะเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป

    “เฟยเอ้อร์ เจ้าเห็นยังว่าหลางชางผู้นี้สามารถที่จะฝึกฝนได้”เจ้าฟู่เหอเอ่ย ก่อนที่จะเดินมาหาหลางชาง

    “หลางชาง เจ้ากลับมาอยู่สำนักของข้าเถิด ถ้าเจ้าไม่มีอาจารย์ ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์เอง”เจ้าฟู่เหอเอ่ยขึ้นพร้อมกับกอดคอของหลางชาง

    “งั้น~~ข้ารับเจ้าเข้าสำนักก็ได้ทารกน้อย”เจ้าเฟยเหอเอ่ยก่อนที่จะเดินหันหลังกลับขึ้นไปยังสำนัก

    “ขอบใจมากนะขอรับ ที่ท่านรับข้าเข้าสู่สำนัก”หลางชางเอ่ย พร้อมกับคุกเข่ากราบด้วยความยินดี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×