คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : my fengyin
驅策的魂魄要流浪哪條街
射落的紙鳶曾飛過哪片月
磷燈點滿城闕 照徹天不夜
看見什麼 灰飛煙滅
, Application
" อ่า มันเป็นแบบนั้นเองหรอกหรอ ฉันเข้าใจแล้ว "
" โอเค โอเค, ฉันเข้าใจทั้งสองคน เข้าใจเรื่องทั้งหมดที่พวกเธอจะพูด แต่ถ้าลองคิดดูให้ดี พวกเธอจะเห็นว่าเรื่องที่กำลังเถียงกันอยู่เนี่ย ความจริงแล้วมันมีทางออกที่ดีกว่านี้ลองใจเย็นลงหน่อยน่าจะดีนะ "
บท: ( 5. ) แรมโบ้
ชื่อ-นามสกุล: เจียง เฟิงอวิ๋น ( jiang feng yin ) | [ 江 风云(風雲) ]
ชื่อเล่น: เฟิงอวิ๋น ( feng yin ) / อวิ๋นอวิ๋น ( yin yin ) / เสี่ยวอวิ๋น
ความหมายของชื่อ:
ตัว เจียง มีความหมายที่แปลว่า แม่น้ำ
ส่วน เฟิงอวิ๋น แปลได้ว่าสายลม หรือ เมฆา
หากเมื่อผสมกลายเป็นความหมายโดยรวมก็จะออกมาเป็น 'แม่น้ำที่มีสายลมและเมฆาที่คอยเคลื่อนผ่าน'
/
สังกัด: โรส เลดี้ แฟมิลี่
อายุ: 31 yrs.
วันเกิด: 31 December
สัญชาติ: จีน
เชื้อชาติ: จีน
/
ลักษณะรูปร่าง:
ความงามที่ผสมผสานระหว่างบุรุษและสตรีเพศอย่างลงตัว คำนิยามที่ให้คำแรกเมื่อได้แรกพบคงจะเป็นคำว่า แปลกตาทว่าโดดเด่นน่ามอง ทุกอย่างของตัวเธอเกิดขึ้นจากการผสานรวมกันจากอะไรหลายสิ่ง เส้นผมสีน้ำตาลเหลือบดำหยักศกถูกตัดสั้นประหลังคอ เบื้องหน้าถูกแทรกกลางไปตามทรงของโครงหน้า เปิดเผยหน้าผากขาวใสอย่างเด่นชัด บ่อยครั้งที่มักจะเห็นกลุ่มไหมนุ่มนี่ยุ่งเหยิงฟูฟ่องไม่เป็นทรงบ่อยๆจากการไม่ได้ใส่ใจจะดูแลมากนักของเจ้าตัว ถัดลงมาคือคิ้วเรียวคมสีดำเข้มโก่งโค้งดุจคันศร ปลายจมูกโด่งรั้นเชิดขึ้นรับเข้ากับริมฝีปากอวบอิ่มสีระเรื่อน่าสัมผัส นัยน์ตาของเฟิงอวิ๋นนั้นค่อนข้างเรียวคม ในยามจับจ้องให้ความรู้สึกดุดันที่แฝงมาในความราบเรียบ ขณะเดียวกันเมื่อสบมองลึกเข้าไปในดวงตาก็กลับพบแววตาที่แสดงออกถึงความเกียจคร้านในนั้นสีน้ำตาลเปลือกไม้ล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนงามเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ดวงหน้าของเฟิงอวิ๋นนั้นก้ำกึ่งระหว่างความสวยงามของสตรี และ คมคายดังเช่นบุรุษ มองมุมหนึ่งก็สวย หากมองอีกมุมหนึ่งก็รู้สึกว่าหล่อเหลาไม่เบา เครื่องหน้าทุกอย่างรับเข้ากันได้อย่างลงตัว พวงแก้มซูบไม่ได้มีเนื้อนุ่มนิ่มให้บีบดึงตามใจแต้มสีชมพูระเรื่อของเลือดฝาดอย่างมีสุขภาพดี ข้างแก้มข้างซ้ายตรงกลางมีไฝสีน้ำตาลจุดเล็กๆแต้มอยู่ กระนั้นมันก็ไม่ได้เป็นตำหนิที่ลดหลั่นความดูดีของเธอลงได้เลย
ผิวกายของเธอนั้นค่อนข้างขาวสว่าง แทบจะเรียกได้ว่าหลอดไฟเดินได้เลยด้วยซ้ำของการโผล่มาในแต่ละครั้ง เมื่อลองสัมผัสดูกลับพบว่ามันไม่ได้เนียนนุ่ม หากแต่หยาบกร้าน และ แข็งแรงมากกว่าที่เห็นจากภายนอก เฟิงอวิ๋นมีรูปร่างที่สูงโปร่ง โดดเด่นกว่าหญิงสาวคนอื่นด้วยส่วนสูงที่อยู่ที่ 174 เซนติเมตรที่ได้รับการสืบทอดมาจากผู้เป็นบิดาอย่างหมดจด สัดส่วนของเธอนั้นค่อนข้างบอกได้เต็มปากว่าออกไปทางผอมบางจนมองภายนอกดูราวหญิงสาวตัวเพรียวบางคนหนึ่ง กระนั้นก็ไม่อาจดูถูกความเปราะบางนี้ของเธอได้ เพราะแท้ที่จริงภายใต้ร่มผ้าเนื้อลื่น หน้าท้องแบนราบเรียบของเธอประดับประดาด้วยกล้ามเนื้ออ่อนๆ ขึ้นเป็นรูปเลขสิบเอ็ด ไร้เนื้อส่วนเกินที่ปรากฎโผล่พ้นออกมา เช่นเดียวกับท่อนแขนและท่อนขาเรียวที่แข็งตึงเพราะกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายอย่างขะมักเขม้นของเจ้าตัวเอง ทรวดทรงของเฟิงอวิ๋นไม่ได้มีโผล่พ้นมาให้เห็นเท่าไหร่นัก เนื่องจากตัวเธอมักจะอยู่ในเสื้อผ้าตัวหนาและกางเกงสีเข้มที่ปกปิดมิดชิดทุกสัดส่วน ในความเป็นจริงเองเฟิงอวิ๋นก็ไม่ได้เป็นพวกซ่อนรูปอะไร หน้าอกแบนราบที่หากมองเป็นข้างหลังก็ไม่ต่างกันมากนัก ยามเมื่อก้มลงมองก็สามารถมองทะลุไปจนเห็นปลายทางด้านล่างได้เลยทีเดียว รอบเอวของเธอไม่ได้โค้งเว้ากลับกันมันเรียบเป็นเส้นตรง ทว่าเฟิงอวิ๋นกลับมีดีที่สะโพกอวบอิ่มที่ค่อนข้างจะผายออกอย่างน่ามองรับเข้ากันกับก้นกลมกลึงแน่นที่ได้มาจากการออกกำลังอีกเช่นกันให้ความรู้สึกเซ็กซี่อย่างสาวสุขภาพดี ยามเมื่อเจ้าตัวอยู่ภายใต้กางเกงรัดรูปสีดำสนิทที่สามารถอวดทรวดทรงกลมกลึงนี้ได้อย่างชัดเจน
การแต่งกายของเฟิงอวิ๋นนั้นเรียกว่าเรียบง่ายเป็นอย่างมาก เธอไม่ได้ชื่นชอบการใส่เสื้อหรูหรา ใส่กระโปรงบานๆพริ้วๆเหมือนกับผู้หญิงคนอื่น โทนสีที่ชอบใส่ค่อนจะไปทางโทนสีมืดๆเรียบๆ เช่น สีดำ สีเทา สีครีม สีขาว สีเขียว ฯลฯ เป็นส่วนใหญ่ ไม่เป็นเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์ เสื้อสเวตเตอร์แขนยาวเนื้อนุ่มก็จะเป็นเสื้อเชิ้ตบางๆที่ใส่แล้วรู้สึกสบาย เธอไม่ค่อยชอบใส่อะไรที่รัดรูปเท่าไหร่นัก เน้นความสะดวกสบายของตัวเองมากกว่าความสวยงามไว้ก่อน ส่วนกางเกงที่เธอชอบใส่ส่วนมากจะเป็นพวกกางเกงยีนส์สีซีดขาบาน กางเกงสแลคเนื้อยืด กางเกงวอร์มกีฬาโปร่งๆ ในยามที่อยู่บ้านเฉยๆ หรือ ในเวลาปกติ รองเท้าที่เฟิงอวิ๋นชอบจะเป็นพวกรองเท้าผ้าใบสีขาวสลับกับรองเท้าคอมแบตที่ไม่ส่งเสียงในเวลาเดิน ไม่มีเครื่องประดับติดตัวนอกจากนาฬิกาข้อมือสีดำที่ข้อมือข้างขวาพร้อมกับแหวนเงินวงเล็กๆที่ถูกสวมอยู่บนนิ้วกลางข้างขวาที่คนอื่นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงแว่นสายตากรอบกลมที่เธอมักจะหยิบขึ้นมาใส่ในตอนที่อยู่บ้าน อำนวยความสะดวกทำให้ทัศนียภาพเบลอๆ ชัดแจ๋วขึ้น ทำอะไรลื่นมากขึ้นกว่าเดิม หากว่ามองสำรวจบนตัวของเธออีกก็จะพบเพียงความเรียบง่ายของหญิงสาวคนนี้ที่แสดงออกมาเท่านั้น
ลักษณะการพูดจา:
น้ำเสียงของเฟิงอวิ๋นนั้นค่อนไปทางนุ่มนวลสบายหูติดไปทางโทนต่ำๆ และ แหบพร่าในลำคอนิดหน่อยโดยเฉพาะเช้าๆที่เพิ่งตื่นนอน เธอมักจะพูดด้วยโทนเสียงที่เนิบนาบ เรียบเรื่อย ฟังดูค่อยเป็นค่อยไปเฉกเช่นแมวเหมียวที่ร้องเหมียวอย่างเกียจคร้าน ยามเมื่อฟังให้ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มเหมือนกำลังฟังเพลงกล่อมเด็กอยู่ก็ไม่ปาน คำพูดจาค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ เป็นการตัดคำเข้าหากันเพื่อที่ให้ได้รับสารอย่างรวดเร็วที่สุดจนบางทีก็ดูดาษๆ ดื่นๆ ไปบ้าง หญิงสาวพูดไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป ความดังของน้ำเสียงอยู่ในระดับปกติ ไม่ได้กรรโชกโฮกฮากจนเคืองหู ขณะเดียวกันก็ไม่ได้พูดแผ่วเบาอยู่ในลำคออย่างขี้อาย
โดยปกติแล้วมักจะเรียกสรรพนามแทนตัวเองว่า ฉัน แทนคนอื่นว่า นาย หรือ เธอ เป็นส่วนใหญ่ ไม่ก็เรียกชื่อของคนคนนั้นไปเลย มีบางโอกาสที่จะใช้ คุณ กับคนแปลกหน้า คนที่มีอายุมากกว่าและคนที่เธอให้ความเคารพ ตามปกติแล้ว เนื่องจากอายุที่ค่อนข้างมากจนดูเกือบจะอาวุโสที่สุดในแก๊งค์ของเธอแล้ว เวลาที่คุยกับพวกเด็กๆ ในแก๊งค์เธอมักจะพูดอย่างสบายๆ เป็นกันเองมากกว่า ไม่มีคำลงท้ายคำพูดตามไล่หลังมาเพราะอย่างไรก็ค่อนข้างสนิทสนมกันอยู่พอตัว ยกเว้นแต่ในกรณีที่ต้องออกงานพบปะกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักหน้าค่าตา นั่นเธอถึงจะแสดงมารยาทในการพูดที่พึงจะมีออกมาใช้งานกับคนอื่นเขาเสียบ้าง อีกกรณีหนึ่งที่สรรพนามจะไม่เหมือนกับคนปกติก็ในกรณีที่เฟิงอวิ๋นเกิดเอ็นดูใครขึ้นมา หล่อนจะเรียกแทนเด็กคนนั้นว่า หนู หรือไม่ก็ เรา แทนสถาปนาตัวเองว่า พี่ ( ლ(´ڡ`ლ) Character voice - x ( Sailor Uranus )
/
ex. 1 — have a normal time
" หือ? " หัวคิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกระตุกบริเวณแขนเสื้อด้านหลัง นัยน์ตาเรียวรีดุจดั่งแมวปรือขึ้นจากความง่วงงุน ผินดวงหน้าเรียวรูปไข่หันไปคนเรียกเล็กน้อย
" หนูมีอะไรรึเปล่า? " น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามเนิบนาบ เฟิงอวิ๋นบิดกายไล่ความขบเมื่อยด้วยท่าทีที่ดูแสนเกียจคร้าน ก่อนที่จะเอนข้างแก้มซบลงกับกับข้างโซฟา เฝ้ามองสีหน้าลำบากใจของคนเรียกอย่างสงบนิ่ง
" พี่เฟิงอวิ๋นคะ ช่วย — ช่วยอะไรหนูอย่างได้รึเปล่าคะ? "
" ได้ค่ะ หนูว่ามา "
" ช่วยไปเลือกลิปเป็นเพื่อนหนูหน่อยได้รึเปล่าคะ "
ท่าทีลุ้นระทึกพร้อมกับดวงตาวาววับราวกับเธอเป็นหวยงวดใหญ่ที่กำลังจะออกเลขต่อจากนี้ทำให้หญิงสาววัยสามสิบปีอดรู้สึกแปลกเล็กน้อยไม่ได้ เธอไม่ได้ตอบกลับคนตรงหน้า เพียงแค่ลุกขึ้นจากโซฟาตัวนุ่มที่นอนเอกเขนกอยู่อย่างอิดออดเล็กน้อยด้วยอารามที่ยังไม่อยากจาก สองมือขยับปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่มาตั้งแต่กลางคืนโยนทิ้งใส่ตะกร้าที่สุมเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักกองโตที่มุมห้อง
เธอจ้องมองตัวเองผ่านกระจกหน้าโต๊ะที่สะท้อนเรือนร่างทั้งตัวของเธอหน้าท้องแบนราบเรียบชัดขึ้นเป็นรูปสิบเอ็ดพร้อมกับวีไลน์ที่ขึ้นโครงชัด เธอเป่าปากตัวเองอย่างพึงพอใจเล็กน้อย ขณะที่คว้าเสื้อยืดสีดำเรียบๆที่วางอยู่ในหมวดหมู่ที่ต้องรีดขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว ร่องรอยยับยูยี่บนเสื้อไม่ได้ทำให้หญิงสาวสนใจ เธอเมินมันขึ้นมาเสยมือสางเส้นผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงของตนลวกๆพอให้มันออกมาดูได้
ก่อนที่จะหันหน้าไปหาหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
" ไปกันเถอะ พี่เสร็จแล้ว "
สาวเจ้าพยักหน้าหงึกหงัก ปล่อยให้เฟิงอวิ๋นสาวเท้าพาเข้าไปในโรงรถโกโรโกโสของตัวเอง มือเรียวปัดเศษฝุ่นที่เกาะอยู่บนเบาะรถบิ๊คไบค์คันดำของตัวเองเบาๆ หยิบหมวกกันน็อคโยนไปให้อีกคนที่ยืนรออยู่ พลางตวัดเรียวยาวขึ้นคร่อมเพื่อนซี้คู่ใจของตน
" ขึ้นมาเร็วค่ะหนู อย่าลืมจับเอวด้วย เดี๋ยวตก "
" หนูเข้าใจแล้วค่ะ จะเกาะไว้ไม่ปล่อยเลย "
แม้หน้าของคนงามจะหันมองไปทางด้านหน้า แต่คนที่ซ้อนด้านหลังกลับเห็นได้ชัดถึงนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เหลือบมองกลับมาอย่างห่วงๆ เป็นระยะๆ หนำซ้ำเครื่องยนต์ที่ควรแล่นเร็วโฉบเฉี่ยวบนท้องถนนกับเคลื่อนตัวไปอย่างไม่เร็วมากนัก บ่งบอกถึงการใส่ใจเล็กๆ จากอีกฝ่าย
ทั้งๆ ที่หญิงสาวจำได้ดีว่าปกติแล้ว เจียงเฟิงอวิ๋น แทบจะเป็นนักบิดตัวยงเมื่ออยู่ท่ามกลางพื้นถนนเช่นนี้
/
ex. 2 — nice to meet you ( again )
" สวัสดีครับ ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ คุณเฟิงอวิ๋น "
ฝ่ามือหนาเลื่อนขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าแสดงถึงความต้องการเป็นพันธมิตร นัยน์ตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อย พยายามโฟกัสภาพที่เบลอฟุ้งให้ระบุใบหน้าของคู่สนทนาตรงหน้า
เวลาผ่านไปซักพัก ระหว่างคนสองคนเงียบสงัดจนชวนรู้สึกให้คนอื่นที่อยู่รอบด้านรู้สึกประดักประเดิด
ว่ากันว่า เจียงเฟิงอวิ๋น เป็นคนหยิ่งยโส เห็นทีคงเป็นเรื่องจริงตามข่าวลือ ในหัวของผู้คนปรากฎความคิดนี้ขึ้นมากันถ้วนหน้า น่าสงสารชายคนนั้นที่คิดไปคบค้าทำความารู้จักกับหญิงสาวหัวสูงเช่นนั้น
คู่สนทนาของเขายกมือค้างไว้กลางอากาศ รอยยิ้มที่คลี่บนดวงหน้าภูมิฐานเริ่มที่จะเจือจางลงทุกเสี้ยววิ ขณะที่เขาตัดสินใจจะลดมือลง ฝ่ามือเรียวขาวที่แน่นิ่งอยู่ข้างตัวมานานก็ขยับมากอบกุมรอบมือใหญ่
" สวัสดีค่ะ คุณหวัง ยินดีที่ได้พบเช่นกันค่ะ " เธอว่าด้วยน้ำเสียงเนิบ จังหวะโคนไม่เบาไม่ดังนักราวนักธุรกิจผู้ช่ำชองในการทำธุรกิจ แฝงความนุ่มนวลอยู่ในประโยคพัดพาความกระอักกระอ่วนที่มีให้จางหายลงไปจนหมด
ดวงตาของเธออ่อนแสงลงเล็กน้อย ขยับริมฝีปากเอ่ยประโยคถัดไปเสียงเบา
" ฉันต้องขอโทษคุณด้วยที่ไม่ได้ทักทายตั้งแต่แรก พอดีว่าสายตาของฉันค่อนข้างจะมีปัญหาซักหน่อย เลยไม่แน่ใจว่าคุณเป็นใคร ตอนนี้ฉันจำคุณได้แล้ว เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ฉันเสียมารยาทกับคุณไป ให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณซักมื้อนะคะ "
ชายหนุ่มส่ายหน้าไม่ถือสา พร้อมพยักหน้ายินยอมรับข้อเสนอของเธอในที่สุด สองเท้าพาร่างทั้งสองร่างเดินเคียงคู่พูดคุยกันไป ขณะที่ชายหนุ่มดูจะพูดมากกว่าเสียหน่อย ส่วนฝ่ายหญิงรับฟังอย่างสงบนิ่ง ดวงหน้างามผงกตอบรับบ้างในโอกาสที่ถูกไถ่ถามความคิดเห็น
จังหวะที่ไม่มีใครหันมา หญิงสาวแอบพ่นลมหายใจแผ่วเบา แค่พยักหน้าเธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองเหนื่อยล้าขึ้นไปเกือบครึ่งตัวแล้ว
ถ้างานเลี้ยงครั้งนี้แก๊งค์ของเธอไม่ได้เป็นแขกคนสำคัญที่ทำให้เสียชื่อไม่ได้ป่านนี้เธอคงหอบตัวหนีออกไปหามุมนั่งเอื่อยข้างนอกนั่นไปนานแล้ว
มันไม่มีอะไรน่าสนใจซักนิด
" เรื่องของคุณน่าสนใจจังเลยนะคะ "
เฟิงอวิ๋นว่าหลังจากการฟังสาธยายยืดยาวของชายหนุ่มตรงหน้า อันที่จริงมันไหลผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปหมดเพราะเธอมัวแต่นึกถึงสัมผัสนุ่มนิ่มของเตียงนุ่มๆ จนลืมไปที่จะฟังคำของอีกฝ่ายไปเสียสนิท
/
ex. 3 — let’s sing with me , baby
ปลายนิ้วเรียวขยับดีดสายกีต้าร์จนเกิดเสียงดังก้องกังวาลขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยม นัยน์ตาเรียวหลุบจ้องคอร์ดเพลงที่วางอยู่ตรงหน้า ในแล่นหัวทวนจังหวะไปด้วย มือหนึ่งขยับดีดวอร์มตามไปด้วย อีกมือก็ขยับจับคอร์ด
" โอเคแล้ว " เธอว่าเบาๆ เลื่อนสายตาไปมองผู้ชมกิตติมศักดิ์หลายหน่อที่นั่งหน้าสลอนยิ้มเบิกบานอยู่ข้างๆ หน้าม้าพวกนี้ก็เป็นชาวแก๊งค์เธอทั้งนั้น
" รีบๆเล่นเร็วๆสิคะ ฉันอยากฟังแล้ว"
" บอส เด็กดีรอก่อนสิ ฉันกำลังจะเล่นแล้วนี่ไง ฮึ? มันเป็นอยากฟังมากๆเลยหรอคะนั่น "
นึกขันหญิงสาวสละสลวยที่เอ่ยเร่งเร้าขึ้นมาจนต้องถามกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ บอสของเธอ หรือที่เรียกว่าหัวหน้าของแก๊งค์ โรส เลดี้ แฟมิลี่เป็นพวกความอดทนสั้นใครๆก็รู้ หนำซ้ำเจ้าหล่อนยังเป็นมนุษย์ขี้บ่นจนคนฟังต้องยกธงขาวอีก
ปากอวบอิ่มเคลือบลิปสติกสีฉ่ำวาวอ้าออกหมายจะเปล่งคำพูด เฟิงอวิ๋นที่อยู่มานานจนรู้ดีว่าสาวเจ้าจะเริ่มเข้าสู่โหมดพ่นคำบ่นแล้วจึงได้ขัดด้วยการเริ่มพรมนิ้วดีดกีต้าร์ขึ้นจังหวะดังก้องไปทั่วห้อง
บรรยากาศเงียบสงัดถูกกลบทับด้วยเสียงดนตรีจากกีต้าร์สีน้ำตาลตัวใหญ่ที่วางพาดบนตักเธอ ไฟในห้องถูกหรี่ลงเหลือเพียงแสงไฟสีส้มอ่อนๆ เสริมบรรยากาศ
" Sapphire moonlight
We danced for hours in the sand
Tequila sunrise
Her body fit right in my hand la la la
It felt like ooh la la la, yeah."
หญิงสาวโคลงหัวไปตามจังหวะเนิบๆ ของเพลงชื่อดังกระฉ่อนในโลกอินเตอร์เน็ตที่เคยได้ฟังอยู่บ่อยๆ เปล่งเสียงนุ่มทุ้มร้องเพลงแผ่วเบาในท่วงทำนองที่ตนเป็นคนสรรค์สร้างขึ้นมาเอง ก้องกังวาลไปทั่วบริเวณดุจก้อนหินกระทบกับน้ำเป็นคลื่นวงกว้าง นำพาให้คนที่ได้ฟังรู้สึกเคลิบเคลิ้่มไปกับน้ำเสียงจนต้องหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ถูกถ่ายถอดออกมา ริมฝีปากบางคลี่รอยยิ้มบางๆ ที่แทบมองไม่เห็นจุดติดข้างมุมปาก
นัยน์ตาเรียวพราวระยับ
แสงไฟตกกระทบเสี้ยวหน้านวล กรอบแว่นสายตาสีอ่อนตกสะท้อนแสงสีส้ม ยามเมียงมองพลันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังชมเชยภาพวาดผลงานศิลปะชื่อดังชิ้นหนึ่งอยู่
/
ex. 4 — wake up !
ครืด
โทรศัพท์เครื่องหรูสีดำขลับสั่นครืดคราด กระเด้งกระดอนไถลไปมาบนหัวเตียงจนเคสหนากระทบกับผิวไม้บนหัวเตียงส่งเสียงดังเรียกเจ้าของร่างที่กำลังแสนสุขไปกับห้วงนิทราให้ปรือตาขึ้นมาสู่ความจริงในที่สุด
" อือ " เธอครางฮืออย่างเกียจคร้าน ใบหน้าง่วงงุนพลิกซบลงกับหมอนใบโต พลิกร่างวาดเรียวขาขาวใต้กางเกงบ็อกเซอร์เนื้อโปร่งตัวสั้นให้ก่ายกับหมอนข้าง
สัมผัสนุ่มกล่อมให้เธอรู้สึกเคลิบเคลิ้ม จวนเจียนจะหลงจมลงสู่ห้วงนิทราอีกรอบก่อนที่จะต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแผดจ้าของโทรศัพท์อีกรอบ เป็นอันต้องคว้ามันขึ้นมากดปุ่มสีเขียวแนบข้างใบหู โดยที่ไม่แม้แต่ดูชื่อคนโทรเข้าเลยแม้แต่น้อย
" ว่าไง " เฟิงอวิ๋นเริ่มทักทายเสียงแผบพร่า รู้สึกคอแห้งขึ้นมาเล็กน้อยหลังตื่นนอน เธอยกมือขยี้กลุ่มผมนุ่มชี้ฟูฟ่องของตัวเองลวกๆ ก่อนที่จะดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงนอน ทิ้งเศษซากอารยธรรมเละๆของกองผ้าห่มไว้บนนั้น
เดี๋ยวก็กลับมานอนอีกคืนนี้ จะพับไปทำไม เสียเวลา
เธอก้าวเท้าพาตัวเองเดินโซซัดโซเซไปห้องครัว คว้าขวดน้ำดื่มที่หมุนฝาปิดไม่สนิทมาดีดฝามันออกแล้วยกขึ้นจรดริมฝีปาก กลืนหยาดน้ำเย็นลงคออึกๆให้รู้สึกสดชื่นฟื้นสติกลับมาบ้าง
คิ้วเรียวขมวดลงเล็กน้อย หลังจากที่เสียงปลายสายนั้นเงียบลงไปถนัดตา ปกติถ้าเป็นเพื่อนๆของเธอป่านนี้คงได้พูดลากยาวไปล้านแปดทอปปิคแล้ว
ขณะที่เธอกำลังจะยกสายมาดูเบอร์คนโทรเข้า น้ำเสียงโมโนโทนก็ดังขึ้น
" สวัสดีครับ คุณสนใจที่จะร่วมทำประกันสุขภาพกับเรารึเปล่า อายุมากแล้วแต่ว่าลูกหลานของคุณยังมีอนาคตอีกยาวไกล เขาควรมีเงินทุน และ การสนับสนุนจากคนในครอบครัวอย่างคุณ ถึงเวลาที่เราจะสนับสนุนคนที่เรารักแล้ว ถ้าคุณสนใจติดต่อเรามาที่— "
ขายประกันหรอกหรอ
เฟิงอวิ๋นกดตัดสายทิ้งอย่างไม่ไยดี วางโทรศัพท์เจ้าปัญหาลงบนเคาท์เตอร์บนครัว หย่อนก้นทิ้งนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ พลางแหกขาอ้าซ่าไม่อายผีในบ้าน
" เจ็บทุกครั้งที่มีคำว่าอายุมากแล้วเลยแฮะ "
เธออดพึมพำเบาๆไม่ได้ แอบอดรู้สึกที่จะเคลิ้มตามไปกับโฆษณาเมื่อกี้อยู่นิดหน่อย เธอควรที่จะทำประกันชีวิตเผื่อเอาไว้บ้างดีมั้ยนะ? ไหนจะประกันสุขภาพอีก
คิดพลางสอดสายตาส่องเข้าไปในตู้หาถุงขนมที่ซื้อมาตุนไว้ เลือกหยิบออกมาแกะเปิดซองแล้วหยิบเข้าปากเคี้ยวกรุบกรับเอร็ดอร่อย กวาดแขนวาดกอดสิ่งของใช้จำเป็นสำหรับวันนี้พาร่างของตัวเองไปนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น
ระหว่างยังไม่มีหน้าที่อะไรก็เป็นวันธรรมดาของเธอ
เฟิงอวิ๋นกำลังมีใบหน้าเคร่งเครียดราวกับเจอเรื่องที่หนักอกหนักใจที่สุดในชีวิต เธอกำลังประสบปัญหาเมื่อยามจับรีโมตทีวีและดันพบว่าการ์ตูนที่เธออยากจะดูสองเรื่องดันฉายชนกัน
สงครามระหว่าง วีแบร์แบร์ กับ กุเดทามะ ที่ต้องตบตีแย่งชิงพื้นที่ในใจของเฟิงอวิ๋นก็เริ่มต้นขึ้น
/
ex. 5 — story of heart ✒️
" ฉันคิดว่าฉันชอบนาย "
เธอเป็นคนเริ่มเปิดบทสนาก่อน น้ำเสียงนุ่มว่าเรียบเรื่อยเหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป ไม่ได้มีทีท่าเขินอาย ริ้วสีแดงที่ผุดขึ้นข้างแก้ม ผิดกับอีกฝ่ายที่ตัวแข็งทื่อ มื้อไม้ทั้งสองข้างสั่นระริกจับอะไรไม่ถูก กระทั่งช้อนส้อมในมือก็หล่นกระทบกับจานข้าวดังแกร๊ง
" อะ — อะไรนะครับ "
ดวงตาของเขาเลิ่กลั่ก เบิกโพลงราวกับเห็นเรื่องที่ไม่น่าฝันที่สุดในชีวิต ปากหยักของชายหนุ่มผมดำอ้าหุบเข้าหากันหลายรอบ อยู่ในสภาวะการณ์ที่พูดอะไรไม่ออก
แผ่นหลังของหญิงสาวใต้เสื้อสเวตเตอร์สีครีมเอนพิงพนักเก้าอี้ นิ้วเรียวไล้ไปตามขอบแก้วน้ำทรงสูง เรียวขายาวตวัดขึ้นไขว้ห้างอย่างผ่อนคลาย สายตาเรียวเลื่อนสบจ้องมองนัยน์ตาของคนนุ่ม
จดจ้องมองลึกลงไปภายใน
เปิดเผยความรู้สึกที่พลุ่งพล่านในแก้วตาสีช็อคโกแลตอย่างไม่ปิดบัง
" ฉันชอบนาย " เธอเอ่ยย้ำอีกครั้ง แม้ท่าทีจะดูผ่อนคลายสบายใจ ทว่าน้ำเสียงหนักแน่นของเธอย้ำให้เชื่อ เช่นเดียวกับแววตาที่ฉายความรู้สึกส่งออกมาชัดเจนให้คนมองรู้สึกเขินอายกระอักกระอ่วน — " นายอย่าคิดว่าฉันกำลังโกหกหรือล้ออะไรเล่น ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันชอบนายจริง ๆ และกำลังมีความคิดที่จะจีบนาย "
คำพูดตรงไปตรงมาของสาวผมสั้นทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออก
" ได้รึเปล่า "
หากเขาสังเกตไม่ผิด ในแววตาคู่นั้นมันเปล่งประกายออดอ้อนราวแมวตัวโตที่ต้องการปลาอ้วนพี
" ดะ.. ได้ครับ "
เขาเบิกตาโต แทบอยากจะตบปากตัวเองซ้ำหลายๆที แค่โดนมองก็ตัวอ่อนยวบพึมพำตอบกลับไปอย่างไร้สติซะแล้ว
ดวงหน้างามของเฟิงอวิ๋นแม้เรียบนิ่งตายด้าน กระนั้นริมฝีปากของเธอกลับจุดแต้มยิ้มนุ่มนวลที่ข้างริมฝีปาก ดวงตาคู่สวยแปรเปลี่ยนเป็นแพรวพราวระยับ จากแมวตัวโตเข้าสู่สัตว์ป่านักล่าที่พร้อมล่าเหยื่อที่ตนหมายตา
" ถ้านายอนุญาตแล้ว นายเป็นคนของฉัน ต่อจากนี้ไปฉันจะเข้าหา ไม่เกรงใจใครอีกแล้ว "
ฝ่ามือเรียวติดจะหยาบกร้านเนื่องจากทำงานนักขยับเข้ามาวางทาบทับบนมือใหญ่ ก้านนิ้วสวยขยับลากไปบนหลังมืออย่างเนิบช้า บรรจงวาดตัวอักษรจีนแสนคุ้นสายตาบนมือขาวนั่น
‘ 风云 ’
มันเป็นชื่อของเธอ
ที่ถูกบรรจงถูกรังสรรค์ และ ขีดเขียนขึ้นมาด้วยความตั้งใจ
แสดงความเป็นเจ้าของเสมือนสัตว์ป่าที่หวงแหนคู่ของตน
บ้าเอ้ย — ใบหน้าของเขาพลันร้อนผ่าวขึ้นมาในฉับพลัน ล่วงรู้ถึงความหมายที่แสดงชัดที่มือของตน ไม่กล้าที่จะสบสายตามองเธอโดยตรงอีกจนต้องยกฝ่ามือขึ้นมาปิดใบหน้าครึ่งซีกของตน
ก่อนในเวลาถัดมาเขาจะแอบได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเสียงแผ่วเบาจากคนตรงหน้า
ตามมาด้วยเสียงพูดเนิบนาบ
" หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วเราไปเดทกันเลยนะ เด็กดี อยากไปที่ไหน หรือ ทำอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า ขอแค่บอก ฉันก็ยินดีจะตามใจนายไปตลอด "
นี่เธอยังกล้าพูดด้วยใบหน้าตายๆนั่นอยู่ได้ยังไงกัน
/
ex. 6 — fighting with feeling angry , punch in his face !
" ใครมันเล่นตลก กล้าเอาผู้หญิงอ่อนแอแบบนี้มากำจัดฉันเนี่ย เป็นแค่ผู้หญิงที่ควรจะนอนรออยู่บนเตียงๆแล้วแท้ๆ หรือว่าเธอจะมาเสนอตัวให้ฉันเล่นด้วย ก็ได้นะ ฉันสนองให้ได้ตลอ— อั่ก! "
ถ้อยคำดูถูกพร้อมกับปลายนิ้วที่ชี้ใส่ใบหน้าเธออย่าเสียมารยาท สร้างอารมณ์คุกกรุ่นขึ้นสุมอยู่ในทรวงอกของเธอ เฟิงอวิ๋นขบเม้มริมฝีปากตนแน่นจนขึ้นสีซีด ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่นตามแรงอารมณ์ที่ปะทุขึ้นอย่างช้าๆ
เธอไม่พอใจกับถ้อยคำน่ารังเกียจของชายหนุ่มพุงพลุ้ยตรงหน้า อีกฝ่ายเป็นเป้าหมายที่พวกเธอต้องเด็ดหัวในวันนี้ และ เป็นหน้าที่ที่เฟิงอวิ๋นได้รับมอบหมายมาจากบอสบังเกิดเกล้าของตัวเองให้มาลงภาคสนาม ถือเป็นการกลับมารีรันได้กลับมาอาละวาดอีกครั้ง อดทำให้หญิงสาวรู้สึกเลือดสูบฉีดขึ้นมาจนต้องหักนิ้วดังกร็อบแกร็บไม่ได้
เสี้ยววินาทีที่เขายังพร่ำพูดน้ำลายแตกฟองไม่ทันระวัง กำปั้นหนักๆก็กระแทกเข้ากลางเบ้าหน้าของเขาจนภาพดับวูบ ตามมาด้วยแรงถีบยันกลางหน้าท้องดันตัวพลุ้ยด้วยไขมันกลิ้งล้มลงกับพื้น
" โอ๊ย หน้าฉัน หน้าฉัน นังสารเลว นังผู้หญิงชั่ว "
ร้องโอดโอยเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างน่าสมเพช สายตาหญิงสาวเย็นเหยียบราวใบมีดขณะก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วทิ้งตัวนั่งยองๆมองสภาพทุเรศทุรังนั่น มือเรียวกำเส้นผมหรอมแหรมของอีกฝ่าย กระชากใบหน้าขึ้นมาให้อยู่เสมอกับสายตา
" ผู้หญิงอ่อนแอที่ว่าเป็นยังไงล่ะ? ฮึ — เจ็บดีรึเปล่า "
" เจ็บ ฉันเจ็บ ทั้งท้องทั้งหน้า ไม่เอาแล้ว ฉันยอมแล้ว อย่าทำอะไรฉันอีกเลยนะ อยากได้สมบัติ เงินทองอะไรก็เอาไปเลย หรือจะสาวๆ พวกนั้น เธออาจจะชอบก็ได้ ใช่มั้ย เอาไปได้เลย ฉันยกให้ทั้งหมด"
เขายกมือพนมไม่รู้ทิศ น้ำหูน้ำตาไหลงมาอาบทั่วใบหน้าอวบอูมบวมปูด ความรู้สึกเจ็บชากระจายไปทั่วทั้งร่างด้วยฝีหมัดไม้ลายมือของหญิงสาวทำเขาตัวสั่นระริก เสี้ยวพริบตาเดียวเขาก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นต่อหน้าเธอเสียแล้ว
คนตรงหน้าน่ากลัวมากเกินไป
ครั้งแรกที่เขาเห็นเธอโผล่มาในเรือนร่างผอมบางเช่นนั้น ดวงหน้าที่ทั้งงดงามและหล่อเหลาตราตรึงสายตาจนละไม่ได้ ให้ความรู้สึกเหมือนกระแสน้ำเอื่อยเฉื่อย ที่ในเวลาถัดมามันกลับกลายเป็นความเกรี้ยวกราดของผืนธารา
หล่อนผลักหัวเขาให้หงายล้มตึงไปกับพื้น เหยียดสายตามองคนที่อยู่ต่ำกว่าดุจราชสีห์บนบัลลังก์จ้องมองเหยื่อ เรียวขาภายใต้รองเท้าคอมแบตพื้นหน้าไร้เสียงง้างขึ้นช้าๆ ก่อนกระแทกส้นลงมาบนเป้ากางเกงที่เปียกชื้นเป็นวงช้าๆจากอาการปัสสาวะราดของอีกฝ่ายเต็มแรง
โพล๊ะ!
" อ๊ากกกกกกกกกก!"
เสียงกรีดร้องครางทรมาณดังลั่นตามมาด้วยเสียงแตกของบางสิ่ง เธอบดขยี้ส้นลงกับอาวุธลับของชายตรงหน้าหนักๆ ใบหน้าเรียบนิ่งเย็นเหยียบ ดวงตาคมกริบฉายแววดุร้ายแข็งกร้าวที่น้อยครั้งนักจะปรากฏออกมา
" คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้างฮึ? ความเจ็บแค่นี้คงเบาๆใช่รึเปล่า ถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณเคยทำกับคนอื่น — ไม่ต้องกังวล ฉันมีเวลาอยู่กับคุณอีกนาน "
น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยอย่างเนิบช้า ฟังราวกับเทปเล่นเพลงกล่อมเด็กนุ่มนวลอยู่ ทว่าคนฟังกลับรู้สึกเย็นเหยียบไปถึงขั้วหัวใจ
/
ex. 7 — Status Update : feeling so grey
ในห้องนอนที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงการทำงานเบาๆจากเครื่องปรับอากาศ ความเย็นแผ่กระจายออกมาปกคลุมทั่วทั้งห้องอย่างรวดเร็ว ผ้าม่านสีเทาเลื่อนปิดแสงนวลๆที่ส่องเข้ามาจากภายนอก บานกระจกสีใสสะท้อนให้เห็นดวงจันทรากลมโตลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าอย่างงดงาม
ทว่าความรู้สึกผู้พบเห็นภายในตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันไม่ได้สวยงาม
ผ่านม่านน้ำตาที่ขึ้นมาบดบังความงามทุกอย่างจนสิ้น ขอบตาของเธอร้อนผะผ่าว โพลงจมูกคัดแน่นจนจุกไปทั่วทั้งอก หยาดน้ำตาสีใสๆค่อยร่วงหล่นกลิ้งลงมาอาบข้างแก้มช้าๆ
ไม่มีเสียงสะอื้น
ไม่มีเสียงคร่ำครวญโวยวาย
มีเพียงการปลดปล่อยความเหนื่อยล้าผสมหยาดน้ำตาออกมาอย่างนิ่งเงียบ
เพียงตัวคนเดียว
สองเข่าชันขึ้นหากันแนบชิดแผ่นอก เธอโอบแขนรอบพวกมันราวกับเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของตน แผ่นหลังสั่นสะท้านท่ามกลางความมืด
ค่ำคืนนั้น
เป็นค่ำคืนหนึ่งที่ความรู้สึกของหญิงสาวคนหนึ่งแตกสลายลง
/
ex. 8 — kneel kneel before me Ƹ̵̡Ӝ̵̨̄Ʒ
ดวงหน้าของเฟิงอวิ๋นเรียบเฉยราวถูกเคลือบด้วยชั้นน้ำแข็ง หญิงสาวภายใต้ชุดสูทสีดำขลับตวัดเรียวขายาวขึ้นไขว้ห้าง สั่นปลายเท้าภายใต้รองเท้าคอมแบทหนังอยู่ใต้โต๊ะทรงกลมในห้องประชุมของแก๊งค์ราวกำลังนับถึงความอดทนที่ยังมีอยู่ของตัวเอง
เสียงโต้เถียงดังขึ้นจอแจภายในห้อง ลอยข้ามหัวไปมาโดยที่จับประเด็นไม่ได้ ส่วนหนึ่งเห็นด้วย อีกส่วนหนึ่งคือคัดค้าน
นัยน์ตาคู่สวยหลุบลงต่ำ มองฝ่ามือเรียวในถุงมือหนังสีดำที่ประสานกันแนบแน่นอยู่บนโต๊ะ เหนือเอกสารการรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ของแก๊งค์คู่กรณีกับพวกเธอ เนื่องจากว่าวันนี้บอสออกไปทำงานนอกสถานที่ แต่ดันกลายเป็นว่ามีประชุมการตัดสินใจเกิดขึ้นเสียพอดิบพอดี คนที่พอจะควบคุมงานส่วนนี้ได้ก็หายจ้อยเข้ากลีบเมฆ บ้างตามบอสไป บ้างก็ออกไปทำงานของตัวเอง เหลือแค่เธอที่นอซุกตัวเล่นเกมอยู่ดีๆก็ถูกวิ่งกระหืดกระหอบมาเรียกให้ช่วยเป็นผู้คุมการประชุมแทน
" ฉันไม่ยอมหรอกนะคะ การตัดสินใจครั้งนี้มันเสี่ยงอันตรายเกินไป "
" แก๊งค์เราอยู่กันมาตั้งนาน จะมาตายโง่ๆเพราะการตัดสินใจของสมาชิกคนหนึ่งไม่ได้หรอกนะคะ "
" คุณเฟิงอวิ๋น คุณไม่เคยได้ขึ้นมาทำหน้าที่ของบอสมาก่อน คุณคงไม่รู้ว่าคุณจะพูดอะไรง่ายๆออกมาไม่ได้— "
เพล้ง!
แก้วบรรจุกาแฟสีเข้มถูกโยนเข้าไปกลางวง เศษแก้วกระทบพื้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ธารสีน้ำตาลเข้มไหลเจิ่งนองไปทั่วบริเวณ หยุดยั้งบทสนทนาที่เริ่มบานปลายลงโดยฉับพลัน บรรยากาศรอบด้านราวกับแผ่ไอเย็นยะเยือกแช่แข็งผู้คนในห้องประชุมให้ไม่กล้าขยับไปไหน แม้กระทั่งจะเอ่ยปากพูดขัดขึ้นมาซักคำก็ไม่อาจหาญกล้าพอ
เฟิงอวิ๋นรับผ้าเช็ดหน้ามาจากผู้ดูแลข้างกายมาเช็ดมือของตน ร่างเพรียวลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ประธาน ทอดสายตาลงมองลูกฝูงที่ไม่เชื่องของตนด้วยแววตาเย็นเหยียบ
" คำสั่งของฉันถือเป็นที่สุด " เธอกล่าวเสียงนุ่มนวล เนิบช้าทว่าดังก้องกังวาลสลักลงกลางใจของผู้คนที่ได้ฟัง สองเท้าพาร่างของตนเดินลงมาด้านล่าง เสียงส้นรองเท้าดังกระทบกับพื้นเป็นจังหวะที่ดังเพียงหนึ่งเดียว เสมือนกลับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจของคนที่อยู่จนต้องเกร็งตัวทุกขณะที่คนงามขยับเข้ามาใกล้ เหงื่อเม็ดโตไหลกลิ้งลงมาข้างขมับ ลำคอแห้งเหือดจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงลำคอ สองมือบีบเข้าหากันแน่นคลายความรู้สึกอึดอัดที่แล่นเข้ามาเกาะกุมภายในใจของตน
" ในที่นี่ ตอนนี้ ฉันเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุด พวกเธอเป็นใครที่ไหน มีสิทธิ์ที่จะโผล่หัวออกมาแทรกการตัดสินใจของฉันรึไง? " เฟิงอวิ๋นปรายตามองหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้าง ทันทีที่สองสายตาได้ประสานกัน เจ้าหล่อนก็รีบหลบสายตาของเธอไปในทันที
" ตะ แต่ว่า — "
กระนั้นก็ยังมีคนใจดีสู้เสือยกมือขึ้นแย้ง แม้ว่าจะตัวสั่นระริกราวลูกนกแรกเกิดก็ตาม
" ว่าอะไร? ฉันไม่ได้ย้ำเลยรึไง ว่ามีสิทธิ์อะไรที่จะมาแย้งคำสั่งของฉัน "
" คุณทำแบบนี้ไม่ถูกนะคะ ใช้อำนาจบังคับ ถะ.. ถ้าบอสมารู้เข้าล่ะก็ อึ่ก! "
ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสีสดถูกหยุดลงด้วยเฟิงอวิ๋น ฝ่ามือแข็งบีบปลายคางของอีกฝ่ายแน่นจนเจ็บร้าวไปทั่ว หญิงสาวกระชากใบหน้าของอีกฝ่ายให้ขยับเข้ามาใกล้ตน เรี่ยวแรงมหาศาลอันน่าเหลือเชื่อรั้งกายของลูกน้องสาวในแก๊งค์เซวืดเข้ามาหาคนงามทันที
ก้านนิ้วยาวสวยของหล่อนไล้ไปตามกลุ่มผมสีอ่อนยาวสลวยของอีกฝ่าย ประสานดวงตาสีน้ำตาลลุ่มลึกไม่สามารถอ่านออกได้กับนัยน์ตาคู่งามสั่นระริกเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวตรงหน้า
แรงบีบตรงปลายคางเพิ่มมากขึ้น เรียกหยาดน้ำตาสีใสรื้นหน่วงรอบขอบตาแดงก่ำ
" ฉันบอกให้ทำก็คือทำ " เธอว่าเรียบเรื่อย ผละใบหน้าออกมาจากหญิงสาวตรงหน้า ไล่สายตาเฝ้ามองลูกน้องคนอื่นที่ค่อยๆ ตีตัวออกห่างจากพวกเธอสองคนทีละนิด
บางทีเธอก็ปฎิเสธไม่ได้ในการสวมบทบาทผู้นำเผด็จการที่ใช้อำนาจในการข่มขู่เพื่อได้รับความเชื่อฟัง
สัมผัสเย็นเฉียบที่สัมผัสลงข้างขมับทำให้ตัวของลูกน้องสาวสั่นระริกเข้าไปมากกว่าเก่า นัยน์ตาเบิกโพลง จ้องมองใบหน้าของเฟิงอวิ๋นราวกับเจอปีศาจที่ผวาที่สุดกำลังปีนป่ายมาจากนรก
เธอกำลังเอาปืนจ่อขมับอีกฝ่าย
คนงามขยับรอยยิ้มเย็นแต้มเบาบางบนริมฝีปาก ยิ้มที่ส่งผ่านไปไม่ถึงดวงตา
" ฉันไม่ปฎิเสธหรอกนะ ถ้าจะต้องเชือดเธอขึ้นมาซักคนเพื่อให้เป็นตัวอย่างให้คนอื่นดู "
เธอบังคับปากกระบอกมัจจุราชสีดำขลับไล้ลงมาตามกรอบหน้า คลอเคลียข้างแก้มขาวซีดเผือดก่อนจะใช้ด้ามมันตบเบาๆ ที่แก้มของอีกคนพอให้ผิวเนื้อแต้มรอยกระทบขึ้นเป็นสีแดงจางๆ พลันการกระทำนั้นสิ้นสุด ลูกน้องสาวคนนั้นก็แข้งขาอ่อนทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นราวกับตุ๊กตาผ้า พร้อมกับธารสีใสกระฉอกออกมาเจิ่งนองเต็มพื้นเป็นวงกว้าง เปียกชุ่มที่ตรงกลางเป้าเนื้อกระโปรงสีดำทันที
เฟิงอวิ๋นไม่ได้สนใจท่าทีหวาดกลัวของอีกฝ่าย นิ้วเรียวไล้ไปตามเนื้อสัมผัสของปืนพกสีดำ ควงมันเล่นภายในมือ
" บอสเป็นคนมอบอำนาจให้ฉันเองกับมือ คำสั่งนั่นเองก็เป็นบอสที่ให้ฉันลงมา ตอนนี้ฉันก็เหมือนบอส มีสิทธิ์มีอำนาจในการตัดสินใจจนกว่าที่บอสจะกลับมาจากหน้าที่ ฉันมีหน้าที่ในการรักษาการณ์แทนบอส และ จัดระเบียบในแก๊งค์ระหว่างที่รอเธอกลับมา อีกฝ่ายก็คงไม่ว่าอะไรเช่นกันถ้าเกิดว่าจะถอนรากถอนโคน กำจัดลูกน้องที่ไม่ยอมภักดีอออกไปซะบ้าง อาจจะซักคนสองคน หรือมากกว่านั้น —ฉันก็ไม่สนใจหรอก ชีวิตของพวกเธอก็ต้องดูแลกันเอาเองเพราะสำหรับฉันทางเลือกของพวกเธอมีแค่ว่า ทำ หรือ ทำ เท่านั้น "
เธอว่าเสียงนุ่ม เว้นระยะไปช่วงหนึ่งให้ลมหายใจของคนรอบข้างสั่นสะท้าน ก่อนจะกล่าวต่ออย่างเรียบเรื่อย " อยากรู้มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น หลังจากที่พวกเธอตายขึ้นมาก็แค่หาลูกน้องใหม่ พวกเด็กๆ ที่กำลังเทรนอยู่ก็กำลังพอดีที่จะได้ลองลงงานจริงๆ ดูเหมือนกัน แถมพวกเขายังดูจะว่านอนสอนง่ายกว่าพวกเธอเยอะเลยทีเดียว "
" เอาล่ะ เลือกมา ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมารอพวกเธอตัดสินใจทั้งวัน "
ใช่ มันเหนื่อยเป็นบ้าเลย
เธอคิดถึงความสนุกกับการ์ตูนที่ยังเปิดค้างไว้กับเตียงนุ่มๆ และ เยลลี่หนุบๆ ในห้องเต็มแก่แล้ว
บอสนะบอส —คุณรีบกลับมาคุมพวกเด็กๆ พวกนี้ได้แล้ว
/
อุปนิสัย:
/
ก้อนความทระนงตนเดินได้ที่ทำให้รู้สึกไม่น่าเข้าไปใกล้
เฟิงอวิ๋นในสายตาผู้คนอื่นเป็นความรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างยิ่งเมื่อได้เดินเข้าไปใกล้ และ ได้เปิดปากทักทาย นอกจากเธอจะไม่หันหน้ากลับมาแล้ว แม้กระทั่งปรายตามองซักเล็กน้อย อ้าปากตอบซักเล็กน้อยก็ไม่มี บ่อยครั้งที่ทำให้คนอื่นยืนแข็งค้างท่ามกลางฝูงชนโดยที่เธอไม่ได้ใส่ใจอะไร หนำซ้ำยังเดินหนีไปอีกทางทำให้เขาหน้าเสียหนักไปกว่าเก่าเสียอีก เสียงลือเล่าอ้างถูกว่ากันปากต่อปาก รวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ไม่นานใครต่อใครต่างฟังคำคนที่กระพือข่าว และ มองเธอในเป็นคนในแง่มุมเหล่านั้น ว่ากันว่าหญิงสาวจากดินแดนรุ่งอรุณแห่งความรุ่งโรจน์ผู้ ภายใต้ธงสีแดงสดที่สะบัดพริ้วผู้นี้ช่างแสนหยิ่งยโส ทระนงตน และ หัวสูง ไม่รู้จักการเข้าสังคมหรือคบค้าสมาคมกับคนอื่นรอบข้างเลย เมื่อย่างก้าวไปตามงานอะไรก็มักจะเป็นหัวหลักหัวตอที่ยืนนิ่งอยู่เพียงคนเดียว โดดเดี่ยวและสันโดษเหมือนหมาป่าเดียวดายไม่คิดที่จะก้าวเข้าไปยื่นจับมือเป็นพันธมิตรใครก่อน เช่นเดียวกันกับคนอื่นที่ไม่มีใครคิดเข้าหาเธอ ฟังดูจากคำบอกเล่ากับสิ่งที่เจอก็อดที่จะทำให้ผู้คนที่มองรู้สึกเสียดายไม่ได้ เฟิงอวิ๋นเป็นหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์น่ามองไม่น้อย เธอมีเสน่ห์ที่แตกต่างจากผู้หญิงปกติธรรมทั่วไปที่สามารถดึงดูดทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวให้เข้ามาใกล้ได้ ดวงหน้าความงดงามที่ผสมผสานทั้งความอ่อนหวานของสตรีเพศ หากก็มีส่วนที่ดูคมคายไม่แพ้บุรุษเป็นสิ่งที่สะดุดตาคนอื่น อยู่ในชุดธรรมดาก็น่ามอง หรือจะอยู่ในชุดสูทสีดำขลับเข้มก็ดูดี หากว่าเธอรู้จักเป็นมิตรมากกว่านี้ สนใจอะไรอื่นรอบตัวมากกว่านี้ซักหน่อย ป่านนี้เจียงเฟิงอวิ๋นคงจะได้ขึ้นชื่อกลายเป็นหญิงสาวเสน่ห์แรงที่เป็นที่จับตาต้องใจของใครหลายคนไปแล้ว น่าเสียดายความงามเสียของของเธอเสียจริง
/
สายตาที่ไม่ชัดเพราะว่าภาพมันเบลอหรือว่าเธอชอบเล่นเกม
ในขณะที่ความจริงแล้วเฟิงอวิ๋นเป็นมนุษย์ที่มีปัญหาด้านการมองเห็นในระยะไกล เธอแยกแยะสิ่งที่อยู่ในระยะสายตาที่ไกลมากๆ ไม่ได้ ปัญหามันมาจากว่าเธอนั้นดันมีค่าสายตาที่สั้นกว่าคนปกติอยู่เล็กน้อย ผลมันเกิดมาจากนิสัยเสียๆ ของคนแก่ติดเกมอย่างเธอที่ชอบคว้าโทรศัพท์มาเปิดแสงจ้าๆ แยงตาเล่นเกมตอนปิดไฟมืดๆ เพื่อนเตือนแล้วเตือนอีก ตอนแรกก็ไม่สนใจเท่าไหร่ พอมารู้ตัวอีกทีก็มองอะไรไม่ค่อยโฟกัสไปแล้ว ถ้าบอกว่าสิ่งที่คนปกติมองเห็นคือภาพที่ชัดเจน เห็นหน้าคนอื่น เห็นสีสันของสิ่งรอบข้างได้ชัดแจ๋ว ตัวของเฟิงอวิ๋นกลับต้องใช้การเพ่งเพื่อเจาะจงสิ่งนั้น ถ้าไม่ได้ยืนมองในระยะใกล้ๆ จนหน้าแทบจะทิ่มใส่ หรือ หยีตาลงมองซักพักเกือบๆ หลายนาทีเพื่อระบุเป้าหมาย ทัศนียภาพที่เธอมองออกก็ยังเป็นแค่โลกที่เบลอๆ มัวๆ เหมือนเวลามองหยาดน้ำที่เกาะบนกระจกรถจนเห็นหมาเป็นหมีก็เท่านั้น แม้จะไม่ได้มากจนมองไกลๆ ไม่เห็นเลยเหมือนคนตาบอดต้องคลำทาง แต่เฟิงอวิ๋นก็ จะอ้าปากทักคนอื่นร้อยทั้งร้อยก็ทักคนผิดทั้งร้อย เวลามีคนที่เข้ามาทักที่ไม่ขานตอบก็เป็นเพราะหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ กลัวจะไม่ใช่เพื่อนแต่ดันกลายเป็นใครที่ไม่รู้จักจนได้สาวความยาวต่อความยืดไปไกลจนกู่ไม่กลับ ยิ่งเป็นศัตรูคู่แข่งของแก๊งค์ที่จะเข้ามาหลอกล้วงความลับอะไรก็ยิ่งแล้วใหญ่ วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีก็เลยเลือกตัดปัญหาด้วยการไม่ตอบกลับไปเลย ยืนนิ่งเป็นหุ่นไล่กาที่ไม่หือไม่อือกับอะไรรอบข้างจนกว่าจะจบงาน เพราะแบบนั้นก็เลยทำให้ถูกมองกันไปนักต่อนักว่าเธอหยิ่ง บางทีพอครุ่นคิดไปมาว่าควรอ้าปากตอบซักหน่อยให้คนรู้ไว้ว่าเธอไม่ได้เป็นมิตร ครั้นจะตอบรับเบาๆในลำคอกลับไปเป็นเชิงบอกว่าเธอรับฟังอยู่ รู้เรื่องทั้งหมด เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดก็ดันถูกมองว่าเป็นการตอบส่งๆ ไม่อยากตอบ ไม่อยากคุยไปอีกซะอย่างนั้น เป็นเฟิงอวิ๋นจะใช้ชีวิตอะไรก็แสนยากลำบากเหลือเกิน ตั้งใจจะทำให้เห็นแบบนี้ แต่คนอื่นดันเข้าใจไปในอีกแบบ เจตนาไม่เคยที่จะตรงกันซักรอบ มักจะสร้างความเข้าใจผิดๆ ให้กับคนอื่นที่เล่าลือถึงตัวตนภายนอกของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสมอ
/
ตัวจริงเป็นแค่ไอ้ต้าวแมวตัวโตปุ๊กปิ๊กไม่ตรงปกตัวหนึ่ง กับความน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนว่าโตตามตัวไปด้วยของเธอ
แท้จริงแล้วตัวตนของเฟิงอวิ๋นเป็นหญิงสาวที่ไม่ได้ดุร้ายตามเนื้อความที่ใส่สีตีไข่กันมาเลย นิสัยจริงๆ ขัดกับหน้าตาภายนอกที่ดูหน้านิ่งหยิ่งยโส ถามหาความร้ายกาจจากเธอก็ต้องปฎิเสธเอาลูกเดียวว่าไม่มีเลย กระทั่งเล่ห์กลตลบแตลงอะไรที่ซุกซ่อนอยู่ก็ไม่มี เป็นแมวตัวใหญ่เคล้ากลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟอ่อนๆ ในยามเช้าลอยมาตามลมที่มีทวงท่าเอื่อยเฉื่อยที่ผสมผสานความเกียจคร้านอยู่เป็นนิจ มีหลอดแถบพลังงานที่มักลดหลั่นอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดชนิดที่ว่าแค่หายใจเบาๆ ก็รู้สึกเหนื่อยหมดแรงขึ้นมาได้แล้ว ต้องการที่จะเข้าสู่โหมดจำศีลนอนกอดหมอนแทบตลอดเวลา หากว่าไม่มีเรื่องราวอะไรจำเป็นก็จะสามารถพบเห็นเจ้าแมวเหมียวตัวนี้บิดตัวอย่างเกียจคร้านได้ที่เตียงนอน หรือตามพื้นที่แถวโซฟา ไม่เคลื่อนตัวไปไหนมาไหน และ ตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกไปโดยสิ้นเชิง เพ่งเล็งอยู่แต่กับอะไรที่เธอสนใจ โดยปกติแล้วมักจะเป็นหมอนใบนุ่ม จะผ้านวมสุดอุ่น หรือวิดิโอเกมออกใหม่ล่าสุดที่ดึงความสนใจของเธอได้ดีที่สุด พอได้อะไรที่เป็นจุดโฟกัสซักอย่างเฟิงอวิ๋นก็จะไม่สนใจคนอื่น ไม่สนใจรอบข้าง เสียงพูดคุยจอกแจกจอแจอะไรก็ไม่ได้ทำให้สมาธิอันสูงส่งของเฟิงอวิ๋นหลุดออกมาจากโลกที่เธอสร้างได้เลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเฟิงอวิ๋นเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างโลกส่วนตัวสูงอยู่พอสมควร เธอนั้นค่อนข้างรักสันโดษ มักชอบปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอย่างเรียบเรื่อยมากกว่าที่จะอยูร่วมกับฝูงเพื่อนคนอื่น กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าแอนตี้การอยู่ร่วมกับคนอื่น ให้อยู่ก็อยู่ได้ไม่มีปัญหา ไม่ได้เรื่องมากอะไรด้วยซ้ำ ทว่าเธอแค่ค่อนข้างชื่นชอบความสงบสุข และ ความเรียบง่าย เป็นตัวตนของความธรรมดาดาษดื่นที่มีชีวิตลืมตาอ้าปากได้อยู่ถมเถบนโลก เป็นเหมือนสีสันที่กลมกลืนไปกับสังคมรอบด้าน เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง กิจวัตรประจำวันของหล่อนก็ดำเนินไปเหมือนคนปกติรอบข้าง ไม่ได้มีสีสันฉูดฉาดที่น่าสนใจ ไม่มีกิจกรรมอะไรที่ทำให้รู้สึกสนุกสนาน ไม่มีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นในระบบชีวิตของเฟิงอวิ๋น โดยรวมแล้วเธอไม่ค่อยจะมีความกระตือรือร้น และการตอบสนองต่อสิ่งเร้ามากนัก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจจะเข้าหานั่นคือบรรยากาศรอบตัวของเธอ มันเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย และความรู้สึกสบายอกสบายใจในความธรรมดาที่ต่อให้เธอจะไม่ได้อ้าปากพูดอะไรออกมาซักแอะ แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจกับการที่นั่งเงียบๆกันอยู่แบบนี้เลยแม้แต่น้อย
มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจากชาวบ้านชาวช่องอย่างเด่นชัด เป็นผู้หญิงที่เกิดออกมาแหกคอกผ่าเหล่าผ่ากอจากหญิงสาวปกติจากผู้หญิงคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าหญิงสาวส่วนมากชอบเดินนวยนาดออกไปช็อปปิ้งในวันหยุด เลือกซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับเครื่องประทินโฉมเสริมความงามของตัวแล้วล่ะก็ ตัดภาพกลับมาหาเฟิงอวิ๋นที่ใช้เวลาว่างทั้งหมดไปกับการนอนเกาตีน อ้าปากเคี้ยวเยลลี่ในถุงขนมดังกร้วมๆ โดยไร้กริยาอาการสำรวม ดูวีแบร์แบร์หมีสามตัวอยู่ที่บ้านคนเดียวอย่างสนุกสนานที่ไม่เข้ากับช่วงอายุเอาซะเลย ความสวยความงามนี่ไม่ต้องคิดที่จะอ้าปากพูดกับเธอเลย สำหรับผู้หญิงที่ อะไรก็ได้ และ ช่างมันเถอะ ไปกับทุกอย่างแล้ว ลำพังแค่ให้มีเสื้อใส่กับกางเกงใส่ในตอนเช้าก่อนที่จะออกจากบ้านก็พอ ต่อให้จะอยู่ในสภาพโกโรโกโสแบบสีตก ขาดเป็นรูแหว่งๆ ที่ไม่สมควรจะถูกโล๊ะทิ้งไปแล้วแต่ก็ยังจะมีอยู่ในตู้ แล้วข้างบนจะเขียวข้างล่างจะแดง ถุงเท้าจะรุ้งก็ไม่ได้ทำให้เฟิงอวิ๋นคิดใส่ใจจะกลับเข้าบ้านไปเปลี่ยน เธอไม่ค่อยใส่ใจตัวเองมากนัก ทั้งภาพลักษณ์ และ การดูแลตัวเองเลย เป็นผู้หญิงที่สามารถปล่อยตัวเองหน้าโทรมผมเผ้ารุงรังต่อหน้าสาธารณะชนได้อย่างโนสนโนแคร์ หน้าสดปากซีดเดินออกจากบ้านทุกวัน ถ้าไม่มีคนเตือนให้ดูแลตัวเองหน่อยก็จะได้เห็นเฟิงอวิ๋นในสภาพเหมียนหมาอย่างนั้นไปอีกหลายวันเลยทีเดียวกว่าที่จะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ ไร้อ่อนหวานเรียบร้อย ประณีตประณตแบบที่ผู้หญิงพึงจะมี ความรอบคอบในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เธอก็หลงลืมมันไปเช่นกัน บางทีก็ได้ปล่อยไก่ตังเบ้อเริ่มจนน่าขำ อย่างลืมดึงป้ายราคาที่ติดเสื้อออก หรือ เดินออกจากบ้านมาแล้วเพิ่งรู้ว่าตัวเองใส่รองเท้าคนละข้างกัน อีกข้างคีบแตะ ส่วนอีกข้างเป็นผ้าใบ ประมาณนี้ แต่ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแหละ ถ้าเป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้นมาอีกนิดเฟิงอวิ๋นจะค่อนข้างจริงจังเป็นพิเศษจนไม่ปล่อยให้จุดผิดเล็กๆ ให้ผ่านพ้นสายตาของตัวเองไปเด็ดขาด (ขืนทำงานพลาดขึ้นมานอกจากงานเละแล้วตัวเธอก็คงจะเละเป็นเต้าหู้นิ่มด้วยอีกคน)
เซ้นส์ในการเลือกสรรค์ห่วยแตกมากจนน่าเป็นห่วง เช่นเดียวกับรสนิยมง่ายๆ สบายๆ ที่สักๆ หยิบไว้ก่อน ใช้เวลาอันสั้นในการหยิบจับนู่นนี่ ไม่พอใจค่อยเอามาเปลี่ยนทีหลังหรือหาอันใหม่ได้ก็ยังไม่สาย มักง่ายกับอะไรจุกจิกรอบๆตัวมากๆ แบบวันๆหนึ่งกินอะไรก็ได้ มาม่ากับข้าวเปล่าก็ได้ วันนี้จะไปเที่ยวแต่ไม่มีรถไป งั้นเที่ยวที่บ้านก็ได้ แทบเหมือนผู้ชายที่เข้าร้านเครื่องสำอางของผู้หญิงแล้วยืนกระอักกระอ่วนเลิ่กลั่ก เฟิงอวิ๋นก็คือเป็นอย่างนั้น เพื่อนยื่นสีลิปมาให้เลือกก็ได้แต่ยืนมึนตึ้บเอ๋อกินมันตรงนั้น ระหว่าง สีแดง กับ สีแดงตุ่นที่ว่า มันต่างกันตรงไหน ดูๆ ยังไงก็แดงเหมือนกันไม่ใช่หรอ รองพื้นเฉดนี้กับเฉดนั้นมันต่างกันยังไง ไอ้ที่เรียกว่ามาสคาร่าอะไรนี่ สองแบบที่ให้เลือกเนี่ยมันใช้ยังไงก่อนเฟิงอวิ๋นยังไม่รู้เลยก่อนที่จะตัดสินใจเลือกว่าอันไหนดีกว่ากัน ถึงจะมีคนอธิบายแล้วอธิบายอีกก็ยังไม่เข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้อยู่ดี เอาเป็นว่าเรื่องความอ่อนหวาน สารพัดความจุกจิกซ่อนเงื่อนของผู้หญิงเฟิงอวิ๋นไม่สามารถเข้าถึงได้เลยแม้แต่น้อย ให้เธอไปนั่งแก้สมการอันนี้ยังพอจะรู้เรื่องมากกว่าซะอีก
/
ก้าวแรกของการออกไปเที่ยวโลกกว้างของเจ้าแมว
แมวตัวโตดูจะมึนๆ งงๆ กับการออกไปเผชิญโลกภายนอกไม่น้อย ท่าทางที่แสดงออกถึงความอึนๆ ดูเมาๆ และ เด๋อด๋าเหมือนมนุษย์งานบริษัทที่โดนบอสสั่งโปรเจ็คใหญ่มาเป็นของขวัญวันหยุดจนมีเวลานอนน้อย สติไม่เข้าร่าง สมองไม่แลนดิ้งจนมักจะหลุดทำอะไรอ๊องๆ ออกมาอยู่บ่อยครั้งที่ชวนทำให้รู้สึกน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ลบเลือนภาพลักษณ์เจียงเฟิงอวิ๋นผู้หยิ่งยโสทิ้งไปอย่างไม่เห็นเศษฝุ่น อย่างการทำหน้าหน้าเครียดขบคิดจริงจังเหมือนโลกกำลังจะแตกที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกเครียดขึงตามไปด้วย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเจ้าตัวกำลังคิดอยู่ว่าจะกินนมสตอเบอร์รี่หรือนมช็อคโกแลตดีก็เท่านั้น หรือจะในมื้ออาหารที่ศัตรูในชามบะหมี่ที่เธอคีบเส้นไม่ขึ้นจนทำให้เธอหัวเสีย หมดแรงที่จะกินได้แต่นั่งจ้องมันนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นจนคนอื่นอดลุ้นตัวเกร็งกินข้าวไม่ลงไปด้วยอีกคน หล่อนมีความอยากรู้อยากเห็นตามภาษาแมวตัวโต ปกติแล้วเธอไม่ได้ดีดสนอกสนใจกับทุกเรื่องตลอดเวลา แต่บางเรื่องบางทีมันก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ สงสัยในความเป็นมาเป็นไปอะไรหลายๆ อย่างๆ ที่ตัวเองไม่เคยรู้อยู่บ่อยครั้งคราวแม้ว่าจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ แต่เธอก็ไม่ได้รู้จักทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้อย่างถ่องแท้ หญิงสาวสามารถผุดคำถามขึ้นมาในใจอย่างเงียบๆ แล้วจะติดนิสัยที่ชอบนั่งจ้องมันนิ่งๆ ด้วยความใคร่รู้ พยายามที่จะหาคำตอบของคำถามในหัวของเธอให้ได้ บางทีก็อดใจไม่ไหวที่จะเอามือไปเขี่ยๆ จิ้มๆ เพราะความสงสัยที่อัดแน่นอยู่ในอก กล่าวโดยรวมแล้วเฟิงอวิ๋นแทบมีลักษณะนิสัยไม่ต่างอะไรจากแมวตัวจริงเสียจริงเลยเสียด้วยซ้ำ
เอาจริงๆ แล้วตัวของเฟิงอวิ๋นค่อนข้างที่จะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่พวกที่ซื่อบื้ออยู่ซักเล็กน้อย ตามอะไรชาวบ้านชาวช่องไม่ทันเท่าไหร่นักโดยเฉพาะความคิดที่ไวกันปุบปับของคนอื่นเขา แผนการซับซ้อนที่ตกลงกันเสร็จสิ้น ขณะที่เธอยังอยู่ในสภาวะที่ เมื่อกี้ว่ายังไงนะ? อยู่เลย ทำให้มักกลายเป็นเหยื่อที่จะถูกคนอื่นแกล้งหลอกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ่อยๆ และ ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้าตัวจะเกิดรู้ว่ากำลังโดนหลอก (กรณีนี้มีอยู่ไม่กี่อย่างคือนอกจากเคยโดนหลอกมาก่อนแล้ว ก็คือเห็นชาวบ้านเขาโดนผ่านๆ ตามาเลยจำได้) ก็ไม่ได้โวยวายอะไร แถมยังยินยอมให้เขาหลอกต่อโดยที่ตัวเองทำเป็นไม่รู้ พยักหน้าทำตัวเออๆ ออๆ ตามน้ำไปอีกด้วยเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี หรือ หัวเสียที่โดนรู้เท่าทันซะก่อน เนี่ย อบอุ่นมากเลยเห็นมั้ย เฟิงอวิ๋นเป็นแมวที่มีดีแค่ในขนาดตัว ทว่าไม่ได้มันสมองมาเท่าไหร่นัก อย่างที่บอกเลยคือเธอไม่ฉลาด การพัฒนาทางสมองอยู่ในระดับปานกลางที่พอเขียนพออ่านได้ พอมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่หัวเธอค่อนข้างจะช้า ในบางครั้งสมองก็แบลงค์จนไม่สามารถทำความเข้าใจกับอะไรยากๆ ได้ เช่น คำพูดอะไรที่มันยากๆ ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเป็นชั้นๆ เธอก็ไขไม่ออก มุขตลกที่มาเล่นใส่เธอแล้วนอกจากเธอจะไม่ตลกยังต้องเสียเวลาคนอื่นมานั่งอธิบายให้เธอเข้าใจอีกด้วย หรือจะศัพท์ใหม่ๆ ที่กำลังฮอตฮิตอยู่ในโลกปัจจุบันเธอก็ไม่เข้าใจ ความที่เธอไม่ค่อยจะอินเทรนด์ตามยุคสมัย หรือไหลไปตามกระแสสังคมเท่าไหร่เป็นตัวที่ทำให้เธอเหมือนพวกคนที่สร้างบ้านอยู่หลังเขา ล้าหลัง ถึงจะตามทันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีกับไอ้เทรนด์ใหม่ๆเนี่ย ที่พอรู้ติดสมองมาก็มีแต่ได้ยินมาจากที่เพื่อนร่วมแก๊งค์เป็นคนพูดให้ฟังนั่นแหละ
/
ราวกระแสน้ำที่พัดผ่านไปอย่างเชื่องช้า สายลมที่เคลื่อนตัวอย่างแผ่วเบา
เฟิงอวิ๋นด้วยลุคง่ายๆ สบายๆ สโลว์ไลฟ์เย็นๆ เหมือนสายน้ำที่เคลื่อนตัวไปอย่างเรื่อยเปื่อยไร้ทิศทาง ดูรวมๆ แล้วไม่มีพิษมีภัยอะไรที่แสดงออกมา แม้ว่าใบหน้าที่เธอแสดงออกมาจะเรียบนิ่งตายด้านไม่สื่ออารมณ์อันใดออกมามากนัก แต่คนอื่นๆ ก็รู้ว่าภายใต้ความเรียบนิ่งนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนนุ่ม อบอุ่นเหมือนฤดูซัมเมอร์ และ นุ่มนวลเหมือนอุ้งเท้าแมวเวลาที่ย่างก้าวไปไหนมาไหนเลยทีเดียว ความละมุนละไมที่ไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่ก็ทำให้คนอื่นอบอุ่นหัวใจกันไปตามๆ กัน อายุอานามที่มากทำให้เธอค่อนข้างที่จะเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะ ทัศนคติ และ ความคิดต่างๆ ที่โตไปตามวัยด้วย ความอดทนและความใจเย็นที่ตั้งอยู่ของเธอค่อนข้างสูง เศษเสี้ยวอารมณ์ความไม่พอใจ ความโกรธเคืองต่างๆ นั้นแทบจะไม่มีทางได้เห็นจากเธอแม้จะยั่วโมโหกวนประสาท หรือชี้หน้าด่าเธอขนาดไหนก็ตาม ถึงจะมีความรู้สึกพวกนั้นก็ไม่มีทางได้เห็นจากเธออยู่ดี เอาจริงๆ เรียกได้ว่าเต็มปากเต็มคำทุกคนแทบจะเดาความรู้สึกของเฟิงอวิ๋นไม่ออกเสียด้วยซ้ำ คาดเดาไม่ได้ว่าตอนนี้เธอกำลังมีฟีลลิ่งแบบไหนคลุ้งกระจายอยู่ในอกกันแน่ เนื่องจากว่าเธอไม่แสดงอะไรออกมาเลย ปิดบังอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ภายใต้หน้ากากตายด้านที่ไม่ว่าจะมองดูด้านไหนก็เห็นอยู่เพียงแค่ด้านเดียว
ถ้าได้เล่นเกมไพ่ก็คงต้องบอกว่าเธอคงเป็นคนที่เหลือรอดอยู่จนเกือบจะจบเกมหรือจบเกมได้เลย โป๊กเกอร์เฟซได้เก่งและแนบเนียนสุดๆ แทบจะจับไต๋สีหน้า แววตาอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าสีหน้าใดๆ ก็ตายด้านเหมือนกันหมด จึงทำให้ต่อให้หญิงสาวพูดตอแหลเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วยหน้านิ่งๆ อยู่ตรงนี้ก็อาจจะมีคนบางส่วนหลงเชื่อเธอไปได้เต็มๆ เช่นเดียวกัน เวลาทำอะไรผิดก็แถแถดๆ ปัดความผิดออกจากตัวเอง ก็ยังคงอยู่ในสภาพหน้านิ่งๆ เหมือนเดิม ทั้งที่ความจริงสีข้างถลอกรุ่งริ่งไปหมดแล้ว นั่นถือเป็นข้อดีส่วนหนึ่งของเฟิงอวิ๋นเลยทีเดียวล่ะนะ จนถึงตอนนี้เองใครหลายๆ คนยังอดรู้สึกทึ่งไม่ได้เลยกับการปั้นน้ำขึ้นมาให้เป็นตัวหลอกลวงผู้บริโภคคนอื่นอย่างหน้าไม่อายของสาวเจ้า ถึงจะได้เห็นอยู่บ่อยครั้งก็ตามทีเถอะ ในเวลาที่เธอเกิดนึกคึกอยากที่จะเอาคืนด้วยการแกล้งหลอกใครซักคนกลับไปให้รู้ซึ้งเสียบ้าง ขี้ปั่น ว่ากันว่าคนที่โดนก็แทบจะประสาทแตกตายอยู่รอมร่อ ปกติแล้วเฟิงอวิ๋นเป็นมนุษย์ที่ไม่ค่อยจะมีอารมณ์ขันเท่าไหร่ เรียกว่าไม่หัวเราะกับอะไรเลยดีกว่า ใครเล่นอะไรตลกมาก็นั่งนิ่งเป็นหุ่นไล่กา ถ้าไม่มีคนบอกว่าเป็นเรื่องตลกนะก็จะนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่มานั่งหัวเราะแหะๆ ฝืดๆ เฝื่อนๆ เพื่อรักษาน้ำใจเพื่อน แต่ในขณะที่อยู่ในสายตาของเพื่อนเฟิงอวิ๋นดันกลายเป็นพวกกวนส้นตีนหน้าตาย ลองนึกภาพคนอื่นหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนาน เพื่อนข้างๆ อ้อมมาสะกิดเธอว่าสนุกมั้ย เฟิงอวิ๋นก็จะฟีลลิ่งประมาณว่า อ๋อ ห๊ะ? ต้องตลกหรอ โอเค ตลกก็ได้ ฮ่ะๆๆๆ ( หัวเราะแห้งมาก แถมใบหน้าก็คือเรียบสุดๆ ) ประมาณนั้น
เป็นมนุษย์ที่ลอยลำเหนืออารมณ์ในแง่ลบทั้งปวง ละทิ้งความประสาทแดกขึ้นมาเหมือนพระที่ปลงต่อโลก ดังนั้นนอกจากจะยุเธอไม่ขึ้นแล้วก็ดันจะรู้สึกเหมือนเส้นประสาทจะแตกซ่านขึ้นด้วย เมื่อเฟิงอวิ๋นไม่หลับอัดกลางคัน ก็นั่งเงียบๆ เหมือนฟังดีๆ แต่พอหลังจากที่อีกฝ่ายหอบแฮ่กเจ้าตัวก็หันหน้าตายๆ มามองเป็นเชิงว่า —เธอพูดจบตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่ทันได้ฟัง ด้วยเพราะอารามแบบนี้ที่ใจนิ่ง อารมณ์คงที่เหมือนเส้นตรงมากก็เลยทำให้เฟิงอวิ๋นขึ้นชื่อกลายเป็นผู้รักษาที่เยี่ยมยอดของแก๊งค์ ไม่ว่าจะเจออะไรที่บั่นทอนประสาทอย่างไรก็ไม่มีผลต่อเฟิงอวิ๋น ทั้งเจ้าหล่อนมีฝีไม้ลายมือ และ สัมผัสที่แผ่วเบาราวกับปุยนุ่นทำให้ผู้คนรู้สึกเคลิบเคลิ้มเข้าใจความรู้สึกที่อยากจะนอนของเธอขึ้นมา ลักษณะของเธอเหมือนพี่สาวคนโตที่มีความเข้าอกเข้าใจในตัวของคนอื่น รู้จักการประณีประณอมเพื่อหาทางลงที่ดีที่สุด ถ้าคนอื่นไม่ยอมถอยเฟิงอวิ๋นก็จะเป็นฝ่ายที่ยอมถอยง่ายๆ มักใช้หลักเหตุผลในการเจรจาสื่อสารมากกว่าการซัดอารมณ์เข้าใส่กันโต้งๆ นอกจากจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ คนที่ฟังก็ยิ่งรู้สึกแย่ตามลงไป หลายๆ ครั้งที่ตัวเฟิงอวิ๋นมักจะเป็นคนที่คอยไกล่เกลี่ยจัดการเรื่องราววุ่นวายในแก๊งค์ให้สงบเสงี่ยมลงได้อย่างน่าประหลาด
ที่หลายๆ คนนั้นยอมลงให้เธอไม่ใช่เพราะว่าอายุของเธอที่อาวุโสกว่า แต่เป็นเพราะคำพูด ความคิดทัศนคติที่ได้รับการกลั่นกรองออกมา และ ความเป็นกลางของเฟิงอวิ๋น การจะตัดสินใจอะไรใครเธอไม่ได้มองแค่เพียงมุมมองด้านเดียว จะเป็นเพื่อนๆ ในแก๊งค์ของเธอไปตีกับคนต่างแก๊งค์ข้างนอกจนเกิดเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตกินเส้นกันไม่ลงขึ้นมา เธอก็ไม่ใช้ความที่อยู่ในแก๊งค์เอนเอียงเข้าข้างเพื่อนๆ ของตัวเองเช่นเดียวกัน หากว่าผิดก็ผิด และก็ว่าไปตามผิดว่าควรจะทำอย่างไร ขอโทษ ไถ่โทษให้อีกฝ่าย เฟิงอวิ๋นไม่ได้มีแง่แนวคิดในเรื่องของการพ่นคำด่าทอใส่ ความรุนแรง หรือ ข่มอำนาจผู้สูงอายุใส่ใครในกรณีที่ไม่มีใครฟังเธอ กลับกันตัวเธอมีวิธีการจัดการเป็นของตัวเอง แค่ยืนอยู่แบบนั้นนิ่งๆ มองสองคู่กรณีที่กำลังวิวาทกันอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้างแล้วคว้าแขนใครซักคนให้หยุดด้วยสายตาเรียบๆ ถ้ายังไม่ยอมก็จะไม่ปล่อยมือจนกว่าจะเลิกบ้า ใช้ความนิ่งสงบของตัวเองสยบทุกอย่าง บรรยากาศรอบๆ ก็พลันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันตาเห็น
/
เป็นตัวของตัวเองได้อย่างลงตัวคือสิ่งที่ทำให้ทุกคนจดจำไม่รู้ลืม
ผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเอง มีเอกลักษณ์ และ ไลฟ์สไตล์เฉพาะตัวที่โดดเด่นชัดเจน ให้ความรู้สึกที่ว่าเห็นครั้งแรกแล้วจำได้ขึ้นใจ ครั้งต่อไปต้องร้องอุทานออกมาว่า เฮ้ ฉันจำเธอได้ ผู้หญิงคนนั้นไงล่ะ อะไรประมาณนี้เลย แนวทางถูกปูมาเป็นเส้นตรงอย่างแน่ชัด ไม่ไหลตามกระแสของคนอื่นที่บีบบังคับ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามคำพูดของคนอื่นๆ เธอยังคงความเป็นเจียงเฟิงอวิ๋นของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมแม้จะได้ยินมาอยู่บ่อยๆ จากปากของใครหลายคนว่า เฟิงอวิ๋น นี่เธอเป็นผู้หญิงนะ ช่วยทำตัวให้ดูเหมือนผู้หญิงหน่อยได้มั้ย? หรือ — จริงๆ เธอเป็นผู้หญิงที่ดูดีนะ ถ้าไม่ติดว่านิสัยเธอเหมือนผู้ชายมากเกินไป ฉันคงจะจีบเธอไปนานแล้ว แต่เธออย่างกะทอมแหนะ สรุปเธอเป็นทอมใช่รึเปล่าเนี่ย? เหตุผลของความคิดแบบนี้ที่เริ่มขึ้นอาจจะเป็นเพราะด้วยความต้องการที่ไม่เหมือนใคร เธอไม่ได้ดูน่ารักน่าทะนุถนอมบอบบางเหมือนผู้หญิงทั่วไป เธอออกกำลังกายเพาะรูปร่างของตัวเองให้ดูลีนมีกล้ามเนื้อสุขภาพดีไม่แพ้บุรุษ เธอตัดผมสั้นด้วยเหตุผลที่ว่ามันร้อน ไม่อยากสระผมบ่อยๆ และ ขี้เกียจไว้ยาวผิดกับคนอื่นที่ดูแลเป็นอย่างดี เธอเลือกที่จะใส่กางเกงแทนกระโปรงยาวๆ ที่ผู้หญิงควรจะใส่ เธอกล้าหาญเกินตัวของที่ผู้หญิงควรจะเป็น เฟิงอวิ๋นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนขีดเส้นใต้แบ่งว่าผู้หญิงที่ดีควรจะเป็นอย่างไร ส่วนเธอที่เป็นแบบนี้คือพวกที่นอกคอก เธอแค่ไม่กลัวแมลง สามารถจับจิ้งจก ตุ๊กแกที่ไต่บนผนัง ควานไปจับแมลงสาบที่วิ่งดุ๊กดิ๊กอยู่ที่พื้นเดินไปปล่อยข้างนอกห้องได้อย่างหน้าตาเฉย กลายเป็นผู้กล้าแทนเพื่อนสาวที่ปิดปากกรีดร้องตัวสั่นไม่กล้าทำอะไรอยู่ เธอแค่เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้เรียบร้อยราวผ้าพับไว้ ไม่ใช่กุลสตรีที่ใครต่อใครต่างอิจฉา เธอสามารถนอนแหกแข้งแหกขา ส่งมือไปเกาพุงแกรกๆ ขณะที่หยิบขนมเข้าปากได้อย่างสบายใจเฉิบ ใส่เสื้อกล้าม ทำตัวโนบรา (ที่ทำได้เพราะว่านมไม่มี แบนราบเรียบเป็นแผ่นไม้กระดาน) และ บ็อกเซอร์เดินโทงๆ อยู่ในบ้านได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง ไม่สนใจคำพูด ไม่แคร์สายตาใคร รวมไปถึงไม่ก้าวก่ายความชอบใครก่อน คนอื่นเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาวุ่นวายกับรสนิยมความชอบของเธอเช่นกัน โลกของเฟิงอวิ๋นเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว หญิงสาวเปิดหูเปิดตา ไม่ฝังตัวเองอยู่ในกะลา ออกมารับวัฒนธรรมใหม่ๆ ละทิ้งความเชื่อเก่าๆ ที่มีดั้งเดิมทิ้งไป เธอเชื่อมั่นว่าตัวเองก็มีสิทธิเสรีภาพ มีอิสระในการเลือกที่จะเป็นหลายๆ อย่างเช่นกัน นี่ก็คือสิ่งที่เธอเลือกที่จะเป็น และ เลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองไปไหน
เกือบเกินครึ่งที่ลุคของเธอดูจะเบี่ยงไปทางผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เช่น หลักๆ เลยคือรสนิยมที่เธอชอบโทนสีเข้มๆ ดำๆ ดังนั้นในห้องนอนของเธอจึงถูกจัดอย่างนั้น ชื่นชอบการดูกีฬาฟุตบอล ดูบาสเกตบอล นั่งเล่นเกมออนไลน์ที่ยิงกันตู้มต้ามแตกหนึ่งแตกสอง หรือ ขับขี่มอเตอร์ไบค์ไปตามถนนด้วยความเร็วที่โฉบเฉี่ยวจนถ้าเป็นตอนกลางวันคงถูกตำรวจเปิดหวอตามไล่จี้ก้นแน่ๆ อะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้เธอดูเป็นหญิงสาวมาดเท่ขึ้นมาในสายตาผู้คนอื่น นิสัยก็ตามที่บอกว่าไม่ค่อยจะสมหญิงมากเท่าไหร่นัก ทำทุกอย่างที่ผู้ชายหลายๆคนทำได้ค่อนข้างดี ถึงจะไม่ทุกอย่าง เช่น เดินยกของหนักๆ เดินไปไกลได้หลายกิโลด้วยความแข็งแรงภายในตัว เธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะสมบุกสมบัน อยู่ติดดิน กินนอนได้กับทุกที่ตราบใดที่มีที่ซุกหัวสามารถกินอิ่มนอนหลับได้ก็เป็นพอ ไม่ค่อยใส่ใจสภาพการเป็นอยู่ของตัวเองหรอก สังเกตได้จากความไม่เป็นระเบียบเท่าไหร่นักในห้องนอน ไม่ค่อยทำอะไรเรียบร้อย ผ้าไม่พับ เสื้อก็ใส่มันยับๆ ทั้งที่ยังไม่รีด ข้าวของวางระเกะระกะแทบทุกที่บนผืนทางเดิน ซึ่งเจ้าตัวก็จะไม่เก็บจนกว่าจะเดินสะดุดล้มหน้าทิ่มเข้าซักวันนั่นแหละ วันต่อมามันถึงจะได้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น เช่นเดียวกับความสะอาดที่ไม่ค่อยจะสนใจนัก อยู่เป็นเพื่อนร่วมโลกฝุ่นได้แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้อยู่ในสภาวะที่เละเทะจนน่าเป็นห่วง แต่แค่ว่านานๆ ทีอย่างซักอาทิตย์หนึ่งจะได้ฤกษ์จับไม้กวาดกวาดห้อง หรือว่า จะลงมือซักเสื้อที่ถูกถอดๆ วางรวมกันกองเป็นภูเขาน่ะนะ
ผู้ชายบางคนอาจจะต้องยอมแพ้ยกธงขาวให้กับความมาดแมนที่ดูจะเกินหญิงเธอ ถึงจะไม่ค่อยใส่ใจตัวเองเท่าไหร่จนดูมีสภาพเป็นผู้หญิงมาดเซอร์ๆ ราวกับพนักงานบริษัทที่ฟุ้งเฟ้อกับงานจวนจะสติแตกกลายเป็นบ้าอยู่รอมร่อ แต่ตัวของเฟิงอวิ๋นก็ใส่ใจคนอื่นรอบข้างมากๆ นะ ในรูปแบบของเธอเองที่ไม่ได้เหมือนใคร ไม่ได้แสดงว่าสนใจใส่ใจแบบชัดๆ แทน ตามภาษาคนที่ไม่ค่อยจะมีอารมณ์แอคทีฟวิ่งไปหาใครคนนู้น จุ้นกับคนนี้ แก่แล้วไม่ค่อยจะมีเรี่ยวมีแรง ความฮึกเหิมแบบคนเด็กเขา ให้ไปวิ่งเล่นก็กลัวจะขาเปลี้ยน็อคกลางทางเหมือนกันเพราะแบตเตอรี่ในตัวเธอมันจะลดฮวบๆ กลายเป็นเลขศูนย์สนิทในเวลาอันสั้น การกระทำของเฟิงอวิ๋นเลยจะกลายเป็นการเฝ้ามองคนอื่นระหว่างอยู่บนเตียงใหญ่ๆ กับผ้าห่มหนานุ่มของตัวเองเงียบๆ อะไรเทือกนั้น ทว่าจดจำทุกรายละเอียดไว้ในหัวอย่างมั่นเหมาะไม่มีทางลืมเลือน ค่อนข้างมีความละเอียดอ่อนอยู่ในตัวสูงทดแทนความประณีตประณตที่หักเลี้ยวหน้าทิ่มลงกลางคลองแบบไม่ทันได้เบรก การทรีต หรือ ดูแลเอาใจใส่หลายๆ อย่างเป็นอย่างดีชนิดไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย มักจดจำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่นได้สร้างความรู้สึกประทับใจให้แก่คนรอบข้างมากขึ้นไปกว่าเก่า ลองนึกภาพว่านั่งทานข้าวกันอยู่สองคน อะไรที่เฟิงอวิ๋นจำได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบก็จะตักออกมาวางใส่จานตัวเองโดยไม่ต้องปริปากบอกเลย หรืออะไรที่อีกฝ่ายชอบเธอก็จะตักใส่ชามข้าวให้โดยที่ไม่ต้องพูดให้มากความ
ชอบการที่จะเป็นฝ่ายดูแลคนอื่นอยู่พอตัวเลย ยื่นมือให้ความช่วยเหลืออยู่หลายๆ ครั้งที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงอะไร เก่งการตามใจ และ เอาใจคนอื่นอย่างไม่รู้ตัว มันเป็นไปตามกลไกเคยชินของมันเอง เฟิงอวิ๋นไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นผู้หญิงต้องดูแล ผู้ชายเองเธอก็ดูแลเหมือนๆ กันอย่างเท่าเทียมกัน อาจจะแค่ว่าเฟิงอวิ๋นไม่ได้ทะนุถนอมอีกฝ่ายไว้กลางฝ่ามือขนาดนั้น เพียงแค่ดูแลในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต่อเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น อะไรเล็กน้อยที่พอทำได้โดยไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็จะทำให้ อย่างการแกะกุ้งให้เพื่อนร่วมแก๊งค์ตอนไปทานอาหารด้วยกัน ซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ให้ทางฝั่งนั้น ให้เพื่อนสาวยืมแขนสคอวทลิปไปทั้งแถบโดยไม่ปริปากบ่นแม้ว่ามันจะเปื้อนเลอะขึ้นมายันเสื้อของเธอเอง หรือการก้มตัวลงผูกเชือกรองเท้าให้อีกฝ่ายตอนที่หอบข้าวของพะรุงพะรังไว้ในมือ แต่ก็ไม่ได้ตามใจจนถึงขั้นเคยตัว อะไรที่มันมากเกินไปเธอก็จะออกปากเตือนอีกฝ่ายให้รับฟังดีๆ พอเห็นว่าอีกคนมีท่าทีเชื่อฟังก็จะเอ่ยชมไปเรียบๆ อย่างอ่อนโยนสมกับเป็นพี่สาวคนโต เป็นที่พึ่งพิงในหลายๆ เวลาของคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี แทบจะเป็นทุกอย่างในชีวิตให้เธอแล้ว เป็นบังเกอร์ให้คนอื่นเกาะแขนเกาะไหล่เวลาที่คนอื่นกลัวหนังผีแล้วผีโผล่มาแฮ่ใส่หน้า โล่มนุษย์กันแมลงบินแสกเข้าใส่กลางหน้า เป็นสนามอารมณ์รองรับฟังแรงอารมณ์ต่างๆ นาๆ ของเพื่อนที่อกหักดังเป๊าะ หรือเจอมรสุมในอะไรหลายๆ เรื่อง เพราะแบบนั้นด้วยท่าทีการเอาใจใส่ที่อ่อนโยน และ ความเป็นสุภาพสตรีที่มีมากล้น ( ? ) ในตัวของเธอแบบนั้น ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจที่บางทีจะมีสาวๆ หลายคนน้าวศรรักพุ่งเข้าหาเธอ ซึ่งแม้กระทั่งกับหนุ่มๆ บางคนเองก็เช่นกัน โดยที่เจ้าตัวต้นเรื่องยังมึนๆ งงๆ กับตัวเองอยู่เลยด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เป็นหญิงสาวที่มีมีความติสท์แตกที่เอาเรื่องจนบางครั้งก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เหมือนสายลมที่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ตลอดเวลา ย้อนแย้งในตัวเอง ประมาณว่าทำสิ่งนี้อยู่ เดี๋ยวจู่ๆ ก็ไม่ทำแล้ว เปลี่ยนไปสนใจอย่างอื่นทิ้งอะไรที่ทำอยู่ไว้ค้างๆ คาๆ แบบนั้น ไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอในการทำงานเท่าไหร่นัก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ล้วนๆ ที่รองลงมาคือความเกียจคร้านในตัว ถ้ามีอารมณ์ก็ลุยงานแบบไม่หลับไม่นอนจนน่าเป็นห่วงว่าจะน็อคเข้าซักวัน ส่วนถ้าไม่มีอารมณ์ก็นอนนิ่งๆ กระดิกเท้าเฉยๆ เป็นศพอยู่บนเตียงของตัวเอง ความคิดในหัวแตกต่างจากคนอื่นไปมากพอสมควร มีอารมณ์ศิลปินสูง ค่อนข้างเปิดตามองโลกกว้างจนทำให้มีแนวคิดแปลกๆ แง่มุมแปลกใหม่ที่ไม่เหมือนใครเด้งเข้ามาในหัวให้ชวนคาดไม่ถึงตลอด คนอื่นหมกมุ่นอยู่กับการหากุญแจเปิดประตูบานหนึ่ง ทางเฟิงอวิ๋นดันกลับเสนอวิธีการถีบประตูให้เปิด หรือพังประตูเข้าไปเลยแทนการเสียเวลาตามหากุญแจ การที่คิดแบบนี้ทำให้มีคนบางส่วนมองว่าเธอเป็นพวกขวางโลกขึ้นมาโดยสัปดล ทั้งๆ ที่ตัวของเฟิงอวิ๋นแค่ต้องการแก้ปัญหาที่มันพันซับซ้อนกันให้มันง่ายมากขึ้นก็เท่านั้น หากแงะในหัวเธอออกมาดูก็จะเห็นเพียงความคิดง่ายๆ ไม่คิดอะไรมาก อะไรที่ปล่อยได้ก็จะปล่อยทิ้งไปได้ง่ายๆ จนแทบจะช่างแม่งกับทุกเรื่องความเฮงซวยที่ประเดประดังเข้ามาในรอบข้าง
เน้นความรวดเร็วในการตัดสินใจเป็นหลัก เฉียบขาดมาก เลือกแล้วคือเลือกเลย ถ้าหากว่าหล่อนได้ลงไม้ตัดสินใจไปแล้วก็จะแน่วแน่กับการเลือกของตัวเองมากๆ ใครมาโน้มน้าวยังไงก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนความคิดของตัวเองไปไหนทั้งนั้น ต่อให้ผลลัพธ์ที่ตามมาจะรู้ว่าตัวเองทำผิดหลาดเจ้าหล่อนก็จะไม่มีทางวิ่งแจ้นกลับมาขอโอกาสแก้ไขมันทีหลังเด็ดขาด แอบมีความดื้อเพ่งจนน่าจับมาฟาดให้หลาบจำซักทีสองทีอยู่ลึกๆ ในตัวเองพอสมควร ในการเลือกทำแต่ละอย่างเธอถือความคิดของตัวเองเป็นใหญ่มากกว่าการชักจูงของคนอื่น เชื่อมั่นในตัวเอง และ ยึดมั่นอุดมการณ์ ความคิดของตัวเองเป็นที่หนึ่ง กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะยึดติดจนไม่ยอมเปิดหูฟังคำพูดของใครเลย ถ้ามันอยู่ในการทำงานร่วมกันเป็นแบบกลุ่มที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันแล้วล่ะก็เฟิงอวิ๋นก็จะผันตัวเปลี่ยนบทบาทกลายเป็นผู้ฟัง และ ผู้ตามที่ดีคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่แค่ในยามที่ตัวเธอเองได้อิสระทางความคิดเป็นตัวของตัวเองเมื่อไหร่ การตัดสินใจทั้งหมดก็ขึ้นอยู่ที่เฟิงอวิ๋นคนเดียวเท่านั้น โดยส่วนมากเธอก็จะเลือกที่จะเชื่อแค่ตัวของตัวเองเป็นหลักก็แค่นั้น
/
จริงๆ แล้วแมวก็เป็นสัตว์เป็นมิตรนะ
ว่าด้วยเรื่องของการเข้าสังคม เดิมทีอย่างที่บอกว่าเฟิงอวิ๋นไม่ได้หยิ่งยโสอะไรแค่ว่าเธอเป็นมนุษย์สายตาสั้นนิดหน่อย ไม่ได้เข้าหายาก และ ถือตัวอะไร ความเป็นมิตรที่เธอมีอยู่ในระดับกลางพอให้มีเพื่อนๆ มาคบค้าสมาคมอยู่บ้าง ถึงจะไม่ได้มากจนแตกระแหงเป็นกิ่งก้านใบไม้ได้ก็ตามที แต่กระนั้นก็เป็นข้อยืนยันที่บ่งบอกได้ว่าเฟิงอวิ๋นยังมีคนคบอยู่ไม่น้อย การเข้าสังคม และ มารยาทเองก็มีติดตัวเหมือนคนอื่นทั่วๆ ไป เฟิงอวิ๋นพยายามที่จะรักษามันให้อยู่คงมาตรฐานตลอด แม้บางเวลาจะอยากเอาหมอนขึ้นอุดหูเพราะเอียนกับการฟังการทักสวัสดีซ้ำๆ เต็มทนแล้วก็ตาม ดังนั้นถ้าอยากคุยกับเธอจริงๆ ก็เข้ามาทักตรงๆ ได้ไม่มีกัดหรืออะไร เป็นคนที่ถ้าถามมาก็ตอบกลับ ถ้าทักมาก็คุยกลับ แต่ทว่าไม่ได้เป็นฝ่ายที่เปิดปากพูดทักคนอื่นก่อน จริงๆ แล้วเฟิงอวิ๋นไม่ได้เป็นคนประหยัดคำพูดอะไรนัก แค่ว่าเธอค่อนข้างขยาดการเข้าสังคมสำหรับผู้หญิง ยิ่งในงานใหญ่ๆ ที่ต้องสร้างประดิษฐ์ประดอยคำพูดขึ้นมาชมเยินยอกันยิ่งทำให้เธอรู้สึกขยาดเข้าไปใหญ่เหมือนต้องของร้อน หากเลี่ยงได้จะเลี่ยง หากเลี่ยงไม่ได้เมื่อเผชิญหน้าก็คงจะอ้าปากตอบให้น้อยที่สุด เพราะตามเดิมเธอค่อนข้างจะเข้าขากันได้ดีกับพวกผู้ชายซะมากกว่า มันดูเปิดอก และทำความเข้าใจไม่ยากเท่ากับการสนทนาในงานเลี้ยงข้างบน ตัวของเฟิงอวิ๋นนั้นค่อนข้างซื่อตรง เถรตรงเป็นเส้นไม้บรรทัดตรงไม่มีโค้ง บางครั้งคำพูดของเธอก็ดูดาษๆ ดื่น ๆ ตรงไปตรงมา แต่กระนั้นก็แสดงออกถึงความจริงใจที่ไร้การปรุงแต่งจากภายใน
ลึกๆ แล้วค่อนข้างเป็นพวกที่เอาแต่ใจอยู่พอสมควร ติดนิสัยของการทำอะไรตามใจตัวเองมาอยู่ในหลายครั้งหลายคราวโดยที่ไม่รู้ตัว จะไม่สนอะไรทั้งนั้นนอกจากสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เพ่งเล็งแต่สิ่งที่ตัวเองเกิดสนใจขึ้นมา บ่อยครั้งที่เธอจู่ๆ ก็นึกอยากที่จะทำก็ทำตามอารมณ์คนติสท์ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเฟิงอวิ๋นควบคุมตัวเองได้ดีมากๆ เลย ทั้งการกระทำ รวมไปถึงเรื่องอย่างอารมณ์ กระนั้นคำว่าอารมณ์ชั่ววูบก็ทำให้มนุษย์อย่างเธอนั้นเผลอหลุดก๊อกได้เช่นเดียวกัน เหมือนว่าความต้องการในอกอันแรงกล้ามันกู่ร้องให้เธอตอบโต้กลับไปอย่าไปยอมแพ้มัน ยิ่งเวลาที่เจอพวกชวนหงุดหงิดที่ชวนคุยดีๆ ไม่เป็น เฟิงอวิ๋นก็อาจจะอดตัวเองไว้ไม่ได้แล้วเผลอทำสิ่งที่เสียมารยาทอย่างการเดินหนีไปทางอื่น นั่นคือการประณีประณอมที่สุดของเจ้าตัวแล้ว ถ้ายังไม่ยอมแพ้มาตามวอแวเธอไม่หยุดก็อาจจะมีหลุดคำพูดมาชะงักเขาซะอยู่หมัดอย่าง "อย่าวุ่นวาย อยู่เงียบๆ" หรือ— "อย่ากวนฉัน มันน่ารำคาญ" เบาๆ สั้นๆ แต่เจ็บซึมลึกไปถึงไส้ในเลยทีเดียว นี่เป็นที่สุดของการด่าคนสำหรับเธอแล้วจริงๆ ทั้งที่ปกติแล้วตัวของเฟิงอวิ๋นไม่เคยที่จะอ้าปากด่าใครมาก่อน แค่คำหยาบเบาๆ ก็ไม่เคยที่จะหลุดออกมาจากปากเธอให้คนอื่นเสียน้ำใจเล่นจนคนที่ได้นี่ต้องพิจารณาตัวเองแล้วว่าตัวเองถึงขั้นไหนกันแน่ ด้วยขีดจำกัดของเส้นความอดทนที่มากกว่าปกติ กระนั้นมันก็ยังมีลิมิตที่จะทนได้ หากโดนรบเร้ามากๆ เข้า ถึงจะไม่โกรธก็สามารถเกิดความรู้สึกรำคาญใจเล็กๆ ขึ้นมาในอกจนต้องทำอะไรซักอย่างเหมือนกัน
/
☘️
สัญชาตญาณอันแรงกล้าหล่อหลอมในการใช้ชีวิต เมื่อต้องเป็นผู้นำก็กลายเป็นราชสีห์จ่าฝูงที่องอาจ
แม้ว่าแมวตัวโตอย่างเธอเท่าที่ดูเหมือนจะไร้อันตราย ไม่มีพิษมีภัยหรืออะไรที่น่าหวาดกลัวเลยซักนิดเดียว ทว่าบางสิ่งบางอย่างหากเกิดประมาทจนเกินไปก็จะสามารถนำพาอันตรายกลับคืนมาสู่ผู้ที่ประมาทมันได้เลยทีเดียว อย่างไรเสียสัตว์ป่าก็มีการใช้ชีวิตของตัวเอง ต่อให้เป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ก็ยังมีสัญชาตญาณที่หล่อหลอมในการใช้ชีวิตอยู่ดี ยามเมื่อต้องดุร้าย เฟิงอวิ๋นก็พร้อมที่จะเปลี่ยนจากแมวตัวโตแสนเฉื่อยชากลายมาเป็นราชสีห์ผู้องอาจ และ สง่างาม ปรียบเสมือนกระแสน้ำที่เบื้องบนเคลื่อนตัวแช่มช้าทว่าภายใต้บิดมวนเป็นเกลียวคลื่นที่พร้อมจะฉีกกระชากทุกคนที่กล้าดีเข้ามาหยามให้ถอยทัพกันไปตามกัน แท้จริงของเฟิงอวิ๋น เธอเป็นคนที่ฆ่าได้หยามไม่ได้ ศักดิ์ศรี และ เกียรติยศของเธอถือเป็นที่สุดในการใช้ชีวิต จะไม่ยอมเด็ดขาดถ้าเกิดมีคนมาเหยียบย่ำมันเหมือนแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง ใต้ความสงบราบเรียบนั่นมันก็คือความแข็งกร้าว และ ทระนงตนดีๆ นี่เอง เฟิงอวิ๋นไม่คิดก้มหัวยอมให้ใครที่เธอไม่เคารพ ต่อให้บังคับเธอ รุมทุบตีทารุณเธอ จ่อความตายอยู่ที่ข้างขมับก็ไม่ได้ทำให้ความรั้นของเธอน้อยลง กลับกันหญิงสาวที่ดูไม่มีอะไรคนนี้กลับจะพยศ ฟาดฟันคมเขี้ยวออกมาขบกัดคนอื่นให้ได้เลือดมากขึ้นเสียด้วย ไม่มีใครที่สามารถควบคุมเธอให้อยู่ใต้อาณัติ บังคับให้เธอเชื่อฟังได้นอกเสียจากว่าเธอจะเป็นฝ่ายที่ภักดี ยินยอมพร้อมใจก้มหัวสดุดีแด่คนๆ นั้นเอาซะเอง ไม่มีทางที่การบีบบังคับให้เธอกลายเป็นลูกไก่ในกำมือจะใช้ได้กับเฟิงอวิ๋น และ ก็ไม่มีทางเช่นกันที่คิดจะมาหลอกให้เธอเชื่อใจ ถึงเฟิงอวิ๋นจะไม่ได้ฉลาดมากนัก แต่ปฎิญาณไหวพริบในตัวของตัวเธอมีไม่น้อย พอจะมองออกว่าคนทางฝั่งนั้นมีเจตนาเข้ามาหาเธอในแง่ไหนกันแน่ เมื่อรับรู้ถึงอันตรายจะตีตัวออกห่างโดยอัติโนมัติ
ไม่เชื่อใจใครง่ายๆ ยกเว้นเพียงแค่เหล่าคนในแก๊งค์ที่พูดอะไรก็จะเชื่อโดยไม่มีข้อแม้ (และด้วยเหตุนี้ก็ทำให้เธอโดนคนในแก๊งค์หลอกเล่นหัวอยู่บ่อยๆ) กับคนแปลกหน้าคนอื่นมักขีดเส้นแบ่งระหว่างตนกับอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เฟิงอวิ๋นจะไม่เข้าไปก้าวก่ายกับอีกฝ่าย เช่นเดียวกับฝั่งตรงข้ามที่ไม่มีสิทธิ์จะก้าวล้ำเข้ามาในอาณาเขตหวงห้ามของเธอ ว่ากันว่าแมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่หวงแหนอาณาเขต เฟิงอวิ๋นเองก็เช่นกัน พื้นที่ส่วนตัวของเธอไม่ใช่รันเวย์สนามบินที่ใครต่อใครจะมาเหยียบได้ ต่อให้เธอจะเชื่อในตัวอีกฝ่ายขนาดไหน ถ้ามาป้วนเปี้ยนกับเรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรจะยุ่งของเธอแล้ว เฟิงอวิ๋นก็ไม่มีความอ่อนข้อที่จะมอบให้เพราะคำว่าเราสนิทกัน ในเมื่อห้ามแล้ว แต่ไม่ยอมฟังก็ตามเนื้อผ้าแล้วกัน ยิ่งกับคนที่ไม่รู้จักมักจี่ด้วยแล้ว เฟิงอวิ๋นเองก็ไม่มีใครลังเลใดๆ ในการลงมือเฉดหัวอีกฝ่ายไปไกลๆ จากตัวเอง เธอมีความเด็ดขาดที่คนอื่นในแก๊งค์นั้นรู้ๆ กันดี ปกติทั่วไปแล้วเฟิงอวิ๋นเป็นคนใจดีที่เล่นด้วยได้ แต่เมื่อมาอยู่บทบาทที่ต้องสวมฐานะมาเฟียแล้วความเห็นอกเห็นใจที่มากไปเป็นสิ่งที่ไม่ควรมี เธอนุ่มนวลอย่างพอเหมาะ ดุร้ายในเวลาที่เห็นว่าสมควร และรู้จักการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ในเวลาที่บีบคั้น ตัดสินใจที่ยอมสละคนหนึ่งเพื่อให้อีกหนึ่งร้อยคนเอาชีวิตรอดได้โดยไม่มีความลังเลได้อย่างง่ายๆ ถ้าอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวที่หากคนปกติคงสติแตกไปนานแล้ว แต่เฟิงอวิ๋นมีสติติดตัว และคอยควบคุมตัวเองได้อยู่ตลอดเวลาอย่างน่าชื่นชม กลายเป็นผู้นำคอยนำคนหมู่มากได้อย่างมีเกียรติ แม้ปกติเธอจะอยู่ภายใต้การชี้นิ้วของบอส รับฟังคำสั่งของอีกคนอย่างว่าง่าย เป็นมือซ้ายมือขวาที่อำนวยความสะดวกให้โดยไม่คิดที่จะทรยศ กระนั้นความเป็นจ่าฝูงก็ไม่ได้สูญเสียไปเมื่อได้ถูกมอบหมายงานให้ขึ้นเป็นคนนำ เธอควบคุมคนได้เก่ง มีวิธีการต่างๆ ที่จะใช้ในการทำให้คนอื่นเชื่อฟังอยู่หมัด เริ่มต้นด้วยวิธีการที่ประณีประณอมซึ่งกันและกันตามแบบฉบับของตัวเอง เป็นการทำงานร่วมกันที่ง่ายที่สุด ต่างคนต่างรู้สึกสบายใจ ไม่ตึงเครียดระหว่างกัน หากว่าไม่ได้ผลเฟิงอวิ๋นก็เลือกไม่ได้ที่จะใช้ความเผด็จการเป็นตัวที่ดีที่สุดลงดาบบังคับ ห้ามปริปาก ห้ามโต้แย้ง ห้ามเงยหน้ามอง ห้ามต่อต้าน สารพัดคำสั่งห้าม ขีดเส้นให้คนเหล่านั้นอยู่ในการควบคุมและการใช้งานของตัวเองเพียงคนเดียว ถ้ายังไม่ยอม ดื้อรั้นท่าเดียว่าจะไม่อยู่ในอาณัติ เธอเองก็จะไม่มีความปราณีที่จะลงมือทำโทษเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่ว่าจะด้วยวิธีทางจิตใจ หรือ แม้กระทั่งการใช้ความรุนแรงต่างๆ ตั้งแต่การขู่เล็กๆ น้อยๆ จนไปถึงขั้นลงไม้ลงมือหนักกว่านั้น คนที่ได้เห็นเธอในโหมดนี้ขึ้นมาต่างน้ำตาตกในกันไปตามๆ กัน ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าผู้หญิงที่ดูธรรมดา ไม่มีอะไรแบบนี้ พอได้ทำงานจริงๆ จังๆ และ งานที่เกี่ยวข้องแก๊งค์ของตนแล้วกลับกลายเป็นพญาราชสีห์ที่อันเลืองชื่อกัดกระชากคอคนขาดมากแล้วนักต่อนักในสนามแล้ว
สัญชาตญาณที่บ้าคลั่งหมุนเวียนอยู่ภายในตัวของเธอ เฟิงอวิ๋นมักใช้มันในการใช้ชีวิต รวมไปถึงการตัดสินใจในหลายๆ อย่างแทนมันสมองที่เดิมทีก็ไม่ได้มีอยู่มากของเธอ เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก หากความรู้สึกบอกให้ทำเธอก็จะทำตามมันโดยที่ไม่ยั้งคิดสิ่งใด เปรียบเสมือนสัตว์ป่าที่ถูกปล่อยกลับสู่ป่าไม้ที่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง เอาตัวรอดตามสถานการณ์ต่างๆ ได้เก่ง รวมไปถึงปรับตัวตามสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ไวราวกิ่งก่าที่เปลี่ยนสี ก่อกำเนิดหญิงสาวที่แข็งแกร่งไม่แพ้ผู้ใดออกมา หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นสตรีที่มีความบ้าดีเดือด และ บ้าคลั่งซุกซ่อนอยู่ข้างใน เมื่อถึงจุดๆ ที่เธอได้ลงสนาม หรือ อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อตัวเธอเอง เธอจะละทิ้งภาพลักษณ์นุ่มละมุนของตัวเองทิ้งไปเหลือเพียงหญิงสาวนักสู้คนหนึ่ง หากว่าต้องการอาละวาด เธอก็จะเปรียบเหมือนสัตว์ป่าที่ทำมันเลยโดยไม่ไตร่ตรองอะไรอีก เพ่งคิดเพียงแต่ความรุนแรง การทำลายอย่างไม่หยุดยั้งจนกว่าทุกอย่างจะราบเป็นหน้ากลอง ความดุดันของเธอเป็นสิ่งที่ไม่อาจดูถูกได้เลยแม้แต่น้อย คนที่รู้จักหญิงสาวคนนี้ดีต่างบอกคำเดียวกันว่า ภายนอกเธอจะดูอ่อนนุ่ม เป็นผู้หญิงที่ดูแลคนอื่นเก่งมากขนาดไหน แต่เมื่อในสถานการณ์จริงจังเธอจะเปลี่ยนราวกับเป็นคนละคนที่พร้อมจะกลายเป็นสัตว์นักล่าตัวโตที่ล่าเหยื่อกระจ้อยร่อย ไม่มีความปราณีที่มอบให้ มีเพียงการพ่ายแพ้หมดรูป หรือ การละทิ้งชีวิตไปกับฝ่ามือของเธอ อย่างไรเสียเธอก็เป็นหนึ่งในสมาชิกมาเฟียคนหนึ่ง ถึงจะไม่ใช่เป็นนักฆ่าอย่างฝั่งคิลเลอร์โดยตรง กระนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่มาร์ชเมลโล่เนื้อนุ่มที่เคี้ยวได้ง่ายๆ เหมือนกับปากว่าหรอก มาเฟียที่ไหนไม่เคยจับปืนจับมีดนั่นก็คงเป็นมาเฟียปลอมแล้ว ถ้าไม่กล้ายิงไม่กล้าฆ่าเธอก็คงไม่ได้มายืนอยู่ในจุดนี้ถึงทุกวันนี้หรอก หากใครต้องการที่จะท้าประลอง เธอก็จะกำราบคนที่กล้าดีคนนั้นให้จดจำด้วยความแข็งแกร่งที่มีมากกว่า ศิลปะการต่อสู้ที่เลื่องลือของเธอไม่เคยพ่าย เธอเก่งกาจ และ ทระนงในตัวเอง เฟิงอวิ๋นมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นในฝีมือของตน หากแต่ก็ไม่ได้แสดงความอวดดีออกมามากจนเกินไป ถึงจะแข็งแกร่งอยู่แล้ว เธอก็ยังจะต้องการที่จะฝึกฝนพัฒนาตัวเองให้ก้าวกระโดดมากขึ้นกว่าเดิม อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน บางวันอาจจะมีใครซักคนที่โผล่ออกมาโค่นล้มเธอได้ เพื่อตอบสนองความกระหายชัยชนะที่มีอยู่ลึกๆ ในตัวของเธอก็ทำให้เธอกลายเป็นราชาที่ไม่ยอมละทิ้งบัลลังก์แห่งเกียรติยศของตัวเอง จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะล้มลงถึงที่สุด หากยังลุกขึ้นได้ก็จะลุกขึ้นต่อ มีความดันทุรังที่สูงพอๆ กับความไม่ชอบการพ่ายแพ้ที่ฝังติดรากลึกอยู่ในตัว
เกลียดการถูกดูถูกเรื่องอ่อนแอเป็นที่สุด ถ้ามีใครซักคนเปิดประเด็นเหยียดเธอขึ้นก็เตรียมตัววางมวยได้เลย ยอมไม่ได้ถ้าจะได้ยินคำดูถูกหลุดออกมาจากพล่อยๆ พวกนั้น คนอย่างเฟิงอวิ๋นให้ความสำคัญกับคำพูด เธอเคารพคนแข็งแกร่งกว่าแต่ไม่ได้พะเน้าพะนอมากจนเกินไป ถึงจะข่มคนที่อ่อนแอกว่าแต่ก็ไม่ได้เหยียบอีกฝ่ายซ้ำ ดังนั้นจึงมักจะจี้จุดมากเป็นพิเศษถ้ามีใครมาชี้หน้าดูถูก แค่ครั้งเดียวแล้วบอกเลยว่าเธอไม่ลืม และ เป็นเรื่องเดียวเท่านั้นที่เธอไม่ทน ความอาฆาตแค้นฝังหุ่นยิ่งกว่างู จำฝังใจไม่มีทางลืม จะสองปีสามปีสิบปีก็ยังจำได้ดี เลือดมันต้องล้างด้วยเลือดเท่านั้นถึงจะสมน้ำสมเนื้อ ใจพี่มันล้อน หนูอย่าห้าม ถ้าได้เปิดด้วยหมัดสัญญาเลยว่าต่อไปจะไม่มีทางหยุดแค่หมัด หากว่าไม่ได้เห็นเธอไปนอนม่องเท่งอยู่กับพื้น หรือไม่ก็ฝั่งนู้นโดนน็อคหมดสภาพซะเองก็คงไม่ได้สงบใจกันง่ายๆ หรอก ซึ่งบางทีมันก็เป็นอะไรที่น่าสงสัยว่าเธอมีฝาแฝดอีกคนสลับเปลี่ยนตัวกับเธอรึเปล่าเนี่ย ทำไมถึงได้ดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเสียขนาดนี้ จากมาร์ชเมลโล่นุ่มๆ สู่สัตว์นักล่าหัวรุนแรงที่พร้อมจะกระโจนขย้ำทุกอย่างที่ขวางหน้าเมื่อก้าวลงสู่สนามของตน
/
" คุณคาดหวังอะไรกับฉันกันแน่ ต้องการให้ฉันเป็นแบบไหนในความคิดของคุณ
ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ทั้งฉันและคุณ เราก็ต่างเป็นคนธรรมดาด้วยกันทั้งคู่ "
เฟิงอวิ๋นเป็นหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง แม้การใช้ชีวิตของเธอจะไม่เหมือนคนอื่น ทว่าก็ไม่มีใครที่เหมือนกันไปโดยทุกอย่างแม้กระทั่งกับพี่น้องในบ้านเดียวกัน แต่กระนั้นสิ่งที่เหมือนกับคนอื่นก็คือเธอลืมตาเหมือนคนปกติ ทานอาหารเหมือนคนปกติ หายใจก็เหมือนคนปกติทั่วไป ดังนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติที่เฟิงอวิ๋นเองก็จะมีการแสดงอารมณ์ในแง่มุมต่างๆ เหมือนคนอื่นเช่นกัน ลักษณะนิสัยของเธอจะมาดแมนปราดเปรียวราวชายชาตรีแล้วอย่างไร แท้จริงแล้วเธอก็แค่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง มีความสุขได้ และ ยิ้มได้เท่าที่อยากจะยิ้ม แม้ว่าปกติเธอจะมีความสุขอยู่แล้วก็ตาม ใบหน้าเรียบนิ่งตายด้านราวไร้อารมณ์ นั่นจะแสดงความผ่อนคลายออกมามากขึ้นชนิดที่คนในแก๊งค์เดินเข้ามาทักว่าวันนี้มีความสุขใช่มั้ยคะ ขณะที่คนภายนอกกลับรู้สึกราวกับมีเครื่องหมาย ?????????? แปะทับบนหน้า ไม่อาจเข้าใจโลกใบที่สองที่ถูกสร้างขึ้นมาได้ว่าไอ้ใบหน้านิ่งสนิทเป็นปลาตายนี่ก็แข็งทื่อเหมือนเดิมนี่ มันไปดูออกว่ามีความสุขตรงไหนกันวะ อันที่จริงสังเกตผ่านดวงตาของเธอก็ได้ว่ามันจะวาววับเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยจากที่ปกติมันเคยราบเรียบไม่แสดงสิ่งใด และ ริมฝีปากที่จุดรอยยิ้มเล็กๆ ที่เรียกว่าเป็นการขยับปากจะดีซะกว่าขึ้นมาประดับบนใบหน้า นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอกำลังมีความสุข สามารถเกิดขึ้นได้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไป เช่น การได้ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนนุ่มๆ แล้วหลับตาพริ้มเปี่ยมสุข หรือ จะเป็นการได้ฟังเพลงสากลที่ชอบผ่านสายหูฟังที่เชื่อมต่อทางโทรศัพท์ ขณะที่เฟิงอวิ๋นกรุ่นโกรธจะเป็นอะไรที่ดูออกได้ง่ายมากกว่า เพราะบรรยากาศรอบข้างที่เคยผ่อนคลายจะเปลี่ยนไปถนัดตา
แล้ว—เวลาโกรธก็ไม่ใช่พวกที่อาละวาด คลุ้มคลั่งเป็นหมาบ้า ปาข้าวปาของแตกแต่อย่างใด เจ้าตัวก็แค่จะนั่งนิ่งๆ เฉยๆ อยู่อย่างนั้นของตัวเอง แต่จะกลายสภาพเป็นแมวหยิ่งยโสที่เมินหน้าของคนที่ทำให้ตัวเองโกรธไปโดยสิ้นเชิง คุยกับคนอื่นปกติแต่สำหรับคนที่กำลังโกรธอยู่จะไม่สนใจไยดี ทำประหนึ่งว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงธาตุอากาศที่เลื่อนสายตาผ่านไปได้ง่ายๆ จนกว่าจะได้รับคำขอโทษ และ การสำนึกผิดจากอีกฝ่ายที่ทำให้เธอไฟโกรธสุมอกขึ้นมาเท่านั้น ตราบใดที่อีกฝ่ายยังไม่สำนึก ตัวของเฟิงอวิ๋นก็จะไม่สนใจเช่นกัน เธอเป็นพวกโกรธคนยาก ทว่าพอโกรธขึ้นมาก็หายยาก และ จำฝังใจมากเช่นกัน ครั้งแรกยังพอว่า หากมีครั้งต่อไปขึ้นมาอีกเรื่อยๆ จนไม่จบไม่สิ้นซักทีหญิงสาวก็พร้อมจะใจแข็งตัดอีกฝ่ายปลิวหายออกไปจากวงโคจรของเธอได้โดยไม่คิดอะไร เธอไม่ต้องการที่จะคบค้าสมาคมกับใครที่เป็น toxic ในชีวิตของเธอแล้วบั่นทอนความรู้สึกของเธอไปเรื่อยๆ หรอก เห็นเฉยๆ มึนๆ ความจริงแล้วก็รู้สึกแย่เป็นเหมือนกันนะ เธอไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่สามารถอดทนอดกลั้นต่อมรสุมที่พัดเข้ามาติดต่อกันหลายๆ รอบได้หรอก ปากบอกว่าเข้มแข็ง แข็งแกร่งก็จริง สุดท้ายแล้วเธอมันก็แค่คนคนหนึ่ง มนุษย์ธรรมดาเพียงคนหนึ่งเท่านั้น ยามผ่านมรสุมหนักมันก็ต้องมีเซเสียหลัก หรือว่า มีล้มลงกระแทกพื้นกันเสียบ้าง ถึงอย่างนั้นเธอก็จะใช้เวลาพักฟื้น และ ตั้งตัวซักพัก ก่อนที่จะสามารถยันตัวเองลุกขึ้นมายืนหยัดใหม่ได้อีกครั้งในเวลาถัดมา
มุมความเศร้าเสียใจของเฟิงอวิ๋นน้อยคนนักที่จะได้เห็น เธอแทบจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นจนกล่าวได้ว่ามันไม่มีอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกเสียใจจะดีกว่า บางเรื่องก็เก็บอมพะนำเอาไว้จนคนที่เห็นอดรู้สึกอึดอัดเสียซักแทนไม่ได้ ปากหนักปากแข็งกับเรื่องของตัวเอง ง้างแทบตายก็ไม่ยอมบอกความไม่สบายใจของตัวเองออกมา มักปัดไปด้วยคำว่าไม่มีอะไร กับไม่จำเป็นต้องใส่ใจอยู่หลายครั้งคราว พยายามทำตัวเป็นวีรสตรีเดอะแบกของทุกคนตลอดเวลา คนนู้นระบายมาได้ คนนั้นบอกว่าเสียใจก็พร้อมรับฟัง กระนั้นก็ไม่ชอบให้ใครมาเฝ้ามองเธอในยามเมื่อเสียใจเป็นที่สุด เฟิงอวิ๋นมักจะแสดงออกมาอย่างแตกสลาย มันปลอบใจคนอื่นได้แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองกลับรู้สึกเหมือนคนบื้อใบ้โง่งมที่แค่ปลอบตัวเองให้หยุดร้องไห้ยังไม่สามารถทำได้ เพราะไม่รู้วิธีที่จะทำ เธอจะแบกรับทุกอย่างไว้จนถึงที่สุดก่อนจะแสดงออกมาในสภาพที่พังยับเยิน ปกติแล้วเฟิงอวิ๋นร้องไห้ยาก น้ำตาซักหยดหนึ่งที่จะไหลออกมาเหมือนสิ่งที่ล้ำค่ามากๆ ในสายตาผู้คน ดูหนังเศร้าสะเทือนอารมณ์ขนาดไหนก็ไม่เห็นน้ำตา จะมีก็แต่ความรู้สึกที่มันซึ้งไปกับหนังกับหน่วงๆ ในอกอยู่ซักหน่อยก็เท่านั้น แต่เมื่อไหร่ที่ร้องไห้ออกมาจะเป็นคนที่ดูน่าสงสารที่สุด แค่เธอรู้สึกว่ามันเหนื่อยมากๆ อดทนไม่ไหวอีกต่อไปจนอยากที่จะร้องไห้ออกมาเหมือนคนบ้า ความรู้สึกสะสมในอกที่มีอยู่มันแย่มากๆ จนอยากจะระบายออก คนที่ไม่เคยแสดงออกว่าเป็นอะไร มานั่งปลดปล่อยน้ำตาเงียบๆ ไม่มีแม้แต่เสียงสะอึกสะอื้น ปล่อยตัวเองจมลงไปกับความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นออกมา ลาดไหล่กว้างทั้งสองกับแผ่นหลังที่สั่นระริกน้อยๆ ทำให้รู้สึกว่าเธอนั้นดูน่าสงสาร และ แสนเปราะบางราวกับแก้วร้าวที่ต้องจับประคองขึ้นมาอย่างทะนุถนอมที่หากแตะรุนแรงไปแม้แต่เพียงเสี้ยวหนึ่งมันก็อาจจะสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยได้ในสายตาของผู้พบเห็น
/
อายุที่เพิ่มมากขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นเช่นกัน
เฟิงอวิ๋นเติบโตมาสามสิบเอ็ดปีด้วยกัน อายุอานามไม่ใช่น้อย จากครั้งหนึ่งที่เป็นสาวน้อยแรกแย้มต่อโลก เวลาเจอชายหนุ่มเดินผ่านก็อดที่จะหน้าแดงระเรื่อขึ้นอย่างเขินอายเสียไม่ได้ก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้ยางอายขึ้นมา หน้าด้านหน้าทนตามจำนวนเลขอายุที่เพิ่มขึ้น เหมือนยิ่งเอาปูนมาฉาบไว้ให้หนาขึ้น หนาขึ้น หนาขึ้นเรื่อยๆ และ ตายด้านต่อเพศตรงข้ามไปโดยสิ้นเชิง ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเลิกชอบผู้ชายไปแล้ว แต่หมายถึงว่าแค่เห็นมาชินตาจนจากที่รู้สึก ว้าว ผู้ชายคนนั้นหล่อจังเลย คนนี้หน้าตาดีมากเลย กลับกลายเป็นตายด้าน ไม่รู้สึกเนื้อเต้นอีกแล้ว ไร้ซึ่งความกระเหี้ยนกระหือรือทางเพศอีกต่อไป ถ้าเป็นผู้ชายก็จะเรียกว่าอาการน้องชายปั่นไม่ขึ้น เฟิงอวิ๋นเฉยชาต่อมุขเสี่ยวเกี้ยวสาวทุกชนิด ขนาดร่างกายแน่นหนัดกล้ามเนื้อของผู้ชายที่ต่อให้เธอจะเห็นทั่วทั้งตารางนิ้ว ตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่ได้รู้สึกแก้มร้อนอะไรจนเป็นฝั่งนั้นแทนที่เขินสายตาตายด้านมองแทบพรุนของเธอ จะเห็นเธอเขินอายบิดม้วนซักครั้งเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าเห็นผีซะอีก ทำให้เหล่าคนที่เข้าหาเสียความมั่นใจไปนักต่อนักกับอากัปกริยาไม่หือไม่อือทั้งสิ้นของเธอเนี่ย โดนยิงมุข ป้อนคำหวานออดอ้อนที่สยบผู้หญิงคนนั้นคนนี้มาแล้ว หรือใช้การกระทำแสนอ่อนโยนที่ชวนให้ระทวยหัวใจบอกเลยว่าใช้กับเฟิงอวิ๋นไม่ได้ผล เธอก็ทำแค่เท้าคางมองอีกคนที่พยายามจะจีบเธอที่เริ่มเลิ่กลั่กขึ้นมาทีละนิดไปนิ่งๆ นั่งหน้ามึนๆ จนฝั่งนั้นน้ำตาตกในใจเข้าให้นั่นแหละ
จริงๆ แล้วประเด็นเรื่องของเรื่องคือเฟิงอวิ๋นไม่รู้ ไม่เข้าใจด้วยว่าอีกฝ่ายจะจีบตัวเองยังมึนๆ งงๆ กระพริบตาปริบๆ ตอนโดนชวนออกเดทด้วยคำหลอกล่อขอไปทานข้าวด้วย แต่ดันมานั่งจ้องหน้าด้วยสาวตาแปลกๆ ทั้งมื้อ ในหัวเฟิงอวิ๋นก็จะมีแต่ความคิดที่ว่าจะทานข้าวแล้วเรียกมานั่งมองหน้าทำไม เพราะเจ้าตัวเข้าใจว่าอีกฝ่ายชวนมาทานข้าว ไม่ได้มีความคิดแง่มุมในเชิงชู้สาวอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย หัวช้าเรื่องปกติไม่พอ ยังอืดอาดแม้กระทั่งกับเรื่องความรู้สึกของคนอื่น ถ้าไม่บอกก็ไม่มีทางรู้ และ ถึงจะเปิดปากบอกเธอไปก็ใช่ว่าจะสมหวังอยู่ดี หากไม่ใช่คนที่เฟิงอวิ๋นพึงใจก็ไม่มีวันที่จะได้สานสัมพันธ์ต่อ ว่ากันว่าเธอค่อนข้างเลือกมาก ไม่ใช่ใครต่อใครก็จะคุยได้ตามใจชอบ สนใจกันจะลองคุยกันดูก็ได้ แต่พอไม่ใช่ไทป์ก็แค่แยกกันไปคนละทางไม่สานต่อ สนใจคนง่าย แต่ชอบคนยาก รักคนเองก็ยากเช่นเดียวกัน ไม่มีเยื่อใยกับใครมากเกินไปกว่าเส้นที่ขีดแบ่งเอาไว้ เกาะแกะเธอได้เท่าที่อนุญาต มีเส้นแบ่งเขตลิมิตกับสถานะคนคุยอย่างเด่นชัด ถ้าไม่มากเกินก็โอเคอยู่กันได้ ถ้ามากไปจนชวนรำคาญก็พร้อมที่จะสลัดทิ้งออกจากวงโคจร มันไม่โอเคก็ควรจะแยกกันไปคนละทาง อย่าดันทุรังฝืนต่อเลย จะอึดอัดใจกันทั้งคู่จนมองหน้ากันไม่ติดซะเปล่า เธอมีคนเดียวบนโลก แต่คนอย่างเธอไม่ได้มีคนเดียวบนโลก มีคนอีกมากมายที่เข้ากับอีกฝ่ายได้ดีมากกว่าเธอ เป็นการหักอกอย่างนุ่มนวลที่สุดของเฟิงอวิ๋นแล้ว
กระนั้นเพราะด้วยอาการที่ไม่มีรีแอคชั่นอะไรกับใครเลย แม้กระทั่งกับคนคุยคนเก่าที่เลิกคุยมาก็ไม่ได้ทำให้เฟิงอวิ๋นร้องไห้หรือเสียอาการอะไรได้ คนส่วนมากลือกันว่าเธอคงตายด้าน ไม่มีความรู้สึก คงไม่มีใครอยู่เคียงคู่เธอไปทั้งชีวิตแหงแซะ เฟิงอวิ๋นอยู่โลกมาก็นาน เฝ้ามองคนอื่นมาก็มาก ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดชีวิตอายุสามสิบเอ็ดปีก็พอมี ได้มองเพื่อนสาวตัวเองโดนหนุ่มเข้ามาเกี้ยวอยู่บ่อยก็พอจะจดจำทริควิธีได้บ้าง (ส่วนของตัวเองไม่ได้จำเพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาเกี้ยว) เฟิงอวิ๋นก็เลยแปรสภาพตัวเองให้กลายเป็นสัตว์นักล่าที่พุ่งตัวเข้าหาเหยื่อที่ตัวเองต้องการเองซะเลย เมื่อรู้สึกตัวกับการเข้าหาของคนอื่นช้าแสนช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน ถ้าไม่บอกก็จะไม่จะไม่รู้ แต่ดันจับความรู้สึกของตัวเองได้ไวกว่าใครเขาซะอีก อาจจะเพราะด้วยตัวเธอเป็นตัวเอง เลยมักจะรับรู้ และ เข้าใจตัวเองมากกว่าคนอื่นที่รู้จักเพียงผิวเผินได้ดี มั่นใจในความรู้สึกตัวเองเมื่อไหร่ ไม่ต้องรอคอยใครให้เข้ามาหาเธอ เฟิงอวิ๋นจะกลายเป็นคนที่รุกคืบเข้าหาคนอื่นที่ตัวเองสนใจก่อนตลอด จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ตราบใดที่เธอคิดว่าสนใจ พึงพอใจเวลาที่อยู่ด้วย และ อยากที่จะครอบครองก็ไม่ได้ใส่ใจนักว่าจะเพศสภาพใด คิดแค่ว่าไหนๆ ก็แก่แล้ว ซักนิดซักหน่อยก็แล้วกัน เลือกใช้ประโยชน์จากความหน้าด้านหน้าทนของตัวเองเป็นฝ่ายที่จะเปิดเกมจีบก่อน หนำซ้ำยังรุกแรงมากอีกด้วย ถึงเนื้อถึงตัวได้อย่างไวว่องขัดกับหน้าตาตายๆ ที่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่เป็น ทั้งที่ในความจริงแล้วเป็นนักล่าตาแพรวพราวที่พร้อมตะครุบเหยื่อตามสัญชาตญาณจ่าฝูงลึกๆ ที่อยู่ในตัว มักมีอาการขี้หวงของ ชอบแสดงตัวเป็นเจ้าของเจ้าของอย่างเงียบๆ ให้คนอื่นๆ รู้ว่าคนๆ นี้สมบัติเป็นของเธอ อยู่ในถิ่น หรือการดูแลปกครองของเธอ ไม่มีสิทธิ์ที่จะยื่นมือเข้ามาแฉลบแตะต้องแม้กระทั่งกับปลายนิ้ว มีวิธีการเข้าหาคนที่ดูสร้างสรรค์ ไม่ได้รุกเข้าหาโต้งๆ ที่ทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เพราะเป็นคนที่ดูแลคนอื่นเก่งอยู่เป็นทุนเดิมด้วยแล้ว การจะดูแลคนที่ชอบซักคนก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรง หนำซ้ำยังจะเอาใจใส่มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ อะไรที่ไม่เคยทำเฟิงอวิ๋นก็จะลองที่จะทำมัน อย่างการลองเข้าครัวลองทำเมนูง่ายๆออกมาจะให้อีกฝ่ายทาน แม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้มันจะพังเละเทะไม่เป็นท่า ทำให้เธอเริ่มที่จะปลงกับฝีไม้ปลายจวักที่ห่วยแตกของตัวเองเต็มทนแล้ว จับข้าวยังไงให้กลายเป็นก้อนของเสีย ลุกขึ้นมาปฎิวัติห้องนอนของตัวเองอยู่บ่อยๆ เปลี่ยนจากอาทิตย์ครั้งเป็นสามวันต่อครั้งแทน ถึงแม้แทบจะดูไม่ต่างอะไรจากเดิมเลย แต่ก็ถือเป็นความพยายามของเฟิงอวิ๋นนะ การอยู่ด้วยกันกับเธอ เฟิงอวิ๋นก็จะพยายามหาอะไรที่ทำไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเบื่อหน่ายขึ้นมาชวนทำกัน บางทีก็นั่งดูการ์ตูนด้วยกันเงียบๆ นั่งเล่นเกมกดเคียงข้างกัน เอนหัวนอนซบไหล่กันและกัน หรือไม่ก็นั่งฟังเฟิงอวิ๋นดีดกีต้าร์เป็นทำนองพลางฮัมเพลงรักจีบแผ่วเบาดังคลอกับความเงียบสงบที่ล้อมรอบรอบด้านราวกับโลกใบนี้มีแค่เราสองคนอะไรเทือกนั้น เมินเฉยต่อโลกภายนอก ไม่สนคนรอบข้างไปที่โดนยัดอาหารหมาใส่ปากจนรู้สึกเหมือนจะกลายเป็นหมาหัวเน่าอยู่รอมร่อ จุดรวมสายตาของเธอเพียงอย่างเดียวก็คือคนที่เธอชอบเท่านั้นแหละ ดังนั้นการที่จะเห็นเฟิงอวิ๋นสื่ออารมณ์ผ่านสายตาโดยการมองเขาตาหวานเชื่อมเหมือนชุบน้ำตาลมาทั้งถังก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เธอเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ เฟิงอวิ๋นเป็นเมฆ เมฆาแปลว่าความเสรีไร้ที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นฉันจะไม่มีวันตกเป็นทาสของคำว่ากรงขัง ฉันไม่ใช่อิเย็น ไม่ต้องให้ชั้นมาถุหลังให้หล่อน! ล่องลอยเอ้อระเหยไปบนท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย เธอจะทำอะไรก็ได้ มีอิสระทางความคิด และ ความต้องการ เฟิงอวิ๋นชื่นชอบในการเป็นอิสระ ไม่ชอบถูกปิดกั้นความคิด เป็นปักษาสีขาวที่สามารถสยายปีกโบยบินได้ไปในทุกทุกที่ที่ต้องการ เป็นหญิงสาวแนวยุโรปเกิร์ลที่ค่อนข้างเปิดเผย ชอบใครก็บอกชอบ เดินหน้าเข้าหาเต็มกำลัง ไม่มีแม้แต่การเล่นตัว หรือว่าความรักนวลสงวนตัวอะไรทั้งสิ้น แตะเนื้อต้องตัวได้อย่างหน้าตาเฉย จะไวไฟตั้งแต่วันแรกเลยก็ไม่ว่าอะไร แถมตั้งตั้งตัวตีในการเริ่มก็คือคนหน้าตายอย่างเฟิงอวิ๋นเนี่ยแหละ ฟังดูไม่น่าเชื่อนะ แต่มันคือเรื่องจริงที่ว่ามีไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนอยู่ นอกจากจะไม่ห้ามไม่ดับไฟให้มอดแล้ว เธอก็จะเป็นคนสาดน้ำมันสุมกองไฟให้มันใหญ่ขึ้น เนื้อแท้ของสาวเจ้าเป็นคนสุดเหวี่ยง ปล่อยตัวปล่อยตัวเองตามใจ ใช้ชีวิตเละเทะตามใจชอบไปตามการขับเคลื่อนของความต้องการ ละเลงสีสันความหลุดโลกสุดเหวี่ยงต่างๆ ที่ตอนนั้นคิดอยากที่จะระบายวาดฝัน หลุดออกนอกไปจากกรอบที่ถูกขีดตีเอาไว้โดยคนรอบข้าง หรือว่า สังคม ตามเพียงแค่คำพูดเพียงคำๆ เดียวว่าเธออยากที่จะทำ เฟิงอวิ๋นมองแค่ว่าชีวิตหนึ่งมีครั้งเดียว ไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน จะมีโอกาสได้เล่นเกมสนุกๆ กินอิ่มนอนหลับอีกหรือไม่ มันก็เลยเป็นเหตุผลเล็กๆเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เฟิงอวิ๋นอยากที่จะใช้ชีวิตของตัวเองให้คุ้มค่าที่สุดอย่างการทิ้งตัวนอนลงบนที่นอนให้นานที่สุด กินขนมกรุบกรอบในร้านสะดวกซื้อหลายๆ รสที่อยากจะกิน ดื่มนมหลายๆ ยี่ห้อที่ยังไม่เคยลอง ใช้เวลาว่างๆ ที่มีอยู่หมกมุ่นกับนั่งเล่นเกมสนุกๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ (แน่นอนว่าโดนเพื่อนบิดหูลากคอให้ออกมากินข้าวกินปลาบ้างก่อนที่จะหิวตายคาห้องซะก่อน) จีบคนที่เธอรู้สึกสนใจขึ้นมา ก่อนที่ในบางวันเธอจะไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกต่อไปแล้ว
/
ประวัติ :
ธาตุ: อรุณ
อาวุธ: กระบองสองท่อน
เป็นกระบองสองท่อนล่ามโซ่เหมือนในพวกหนังจอมยุทธ์จีนค่ะ เห็นดูเป็นแท่งเพรียวบางเหมือนไม้ตะเกียบแบบนี้ ความจริงแล้วมันคือเหล็กนะคะ แข็ง แถมยังห้ำหนักมากด้วย ต้องใช้กำลังแขนค่อนข้างมากในการควงมันไปมา ฟาดทีถ้าไม่หลบให้ดีมีสิทธิ์หัวแตกได้เลยนะ แต่เฟิงอวิ๋นหุ้มปลอกหนังเอาไว้เพราะกันมือลื่นค่ะ กลัวควงโชว์อยู่แล้วมันปลิววืดหลุดมือไป เสียอะไรก็ได้แต่เสียฟอร์มไม่ได้ค่ะ และ ยังมีออฟชั่นเสริมพิเศษในการสามารถต่อกลายเป็นกระบองยาวได้
/
สัตว์กล่อง: แมวป่า (จัดอยู่ในหมวดหมู่ของสัตว์ในวงศ์ Felis Chaus )
หน้าตาเหมือนเสือแต่ความจริงเป็นแมวนะคะ แค่อยู่ในวงศ์ประเภทเจ้าเหมียวเหมือนกันเฉยๆ
น้องเป็นแมวป่าที่ถึงจะเลี้ยงได้ แต่ว่าไม่ได้เชื่องเต็มร้อยนะคะ ยังมีความพยศ ดุร้าย ก้าวร้าว และ ชอบการเล่นอะไรแรงๆ อยู่อย่างการกระโจนเข้าใส่ ขบกัดเจ้าของแรงๆจนได้เลือด พลังกายของน้องเยอะมากค่ะ ดังนั้นต้องเลี้ยงดูน้องให้ดี จะปล่อยปะละเลยไม่ได้เลยนะคะ อย่างกรณีที่เจ้าของผลักน้องออก น้องก็จะคิดว่าเจ้าของเล่นกับน้องด้วย จะยิ่งทวีความเล่น(ในความคิดของน้อง)ที่รุนแรงมากขึ้นอีก ทำให้คนเลี้ยงบาดเจ็บได้ แต่ในหัวน้องก็คิดแค่ว่ามันเป็นการเล่นสนุกๆ ของเค้าน่ะค่ะ ถ้าจะเลี้ยงก็ต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่อย่างดีเพราะมันอันตรายมาก สัญชาตญาณของนักล่าในตัวน้องยังเต็มเปี่ยมอยู่เลยค่ะ
เจ้าของกับแมวมีความเหมือนกัน เจ้าของเป็นยังไง สัตว์กล่องก็เป็นอย่างนั้นเลยค่ะ เหมือนกันประหนึ่งคลานตามออกมาจากท้องแม่ด้วยกันยังไงยังงั้น (.....)
มีชื่อด้วยนะ เฟิงอวิ๋นมองหน้าน้องแล้วก็ตั้งชื่อสั่วๆเท่าที่สมองน้อยๆจะเค้นออกมาว่า 'จูหง' ค่ะ ชื่อดูไพเราะเพาะพริ้งนะ แต่ถ้าเรียกจริงๆในภาษาบ้านๆของเรา ความหมายมันก็คือ เห้ย ว่าไงวะ ไอ้ส้มเพื่อนยาก 55555555555555555555555555555 เพราะจูหงแปลว่าสีส้ม ถึงจะมองยังไงน้องก็ออกจะเป็นสีน้ำตาล แต่ความติสท์แตกไม่เข้าใครออกใครหรอกค่ะ ก็จะตั้งอะ อยากได้สีส้มนี่ เป็นฟีลลิ่งที่เอาป้ายมาแปะแล้วบอกว่าแมวตัวนี้เป็นสีส้ม เฟิงอวิ๋นชอบเรียกด้วยความเอ็นดูว่า เสี่ยวหง ถึงจะตัวใหญ่เท่าบิ๊คไบค์ยามาฮ่าก็ยังเป็นตะเร้กตะน้อยในสายตาของเธออยู่ดี
/
การใช้พลังธาตุต่างๆ:
— ๑. สืบเนื่องมาจากแสงสว่างเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต เฟิงอวิ๋นสามารถใช้ไฟธาตุของตัวเองในการตีบวกบัฟให้กับคนอื่นรอบข้างได้ และตัวเองได้ ส่วนมากมักจะใช้สนับสนุนคนอื่นมากกว่า เหมือนกับสายฮีลที่มีพลังซัพพอร์ตอะไรทำนองนี้ คืนค่าพลังความรู้สึกฮึกเหิมกลับให้ สามารถบวกค่าสเตตัสร่างกายของคนอื่นเพิ่มขึ้น เช่น กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงมากขึ้น พละกำลังที่หายไปถูกเติมเต็มกลับมา เคลือบเสริมความแข็งแรงของอาวุธ ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ว่องไวราวกับสัตว์ป่าในกรณีแรกที่สนับสนุนคนอื่นทั่วไป หากในยามจำเป็นเธอจะสามารถใช้ในการเปิดขีดจำกัดความเป็นไปได้ของมนุษย์ทำให้ความเจ็บปวดไม่มีผลต่อร่างกายไปชั่วขณะหนึ่ง เหมือนกับอาวุธชีวภาพที่พร้อมจะเข้าจู่โจมคนอื่นได้อย่างไม่เกรงกลัวความตาย แม้ว่าหลังจากนั้นจะต้องมานอนนิ่งเป็นผักอืดจากกระทบของไฟอรุณที่ย้อนกลับมาก็ตามที นอกจากที่ใช้แล้วจะหมดแรงยังสูบพลังไปเยอะอีกด้วย
— ๒. กลับกันไฟอรุณนอกจากจะใช้รักษา กระตุ้นการทกงานของกล้ามเนื้อ เฟิงอวิ๋นประยุกต์ใช้มันในทางที่กลับกันโดยที่จะกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อฝั่งศัตรูให้มีการสูบฉีดเลือดที่มากเกินไปจนทำให้เกิดความเหนื่อยล้า และ อ่อนแรงลง กล้ามเนื้อทุกสัดส่วนเกร็งเครียดขึงจนร้อนผะผ่าว โดยที่เธอสามารถเร่งอุณหภูมิจากอรุณที่มีให้เกิดประโยชน์ในการเผาไหม้การทำงานของกล้ามเนื้อให้เร็วยิ่งขึ้นจนไปถึงการทำลายกล้ามเนื้อของอีกฝ่ายไปโดยสิ้นเชิง สามารถทำให้เอ็นเกิดการฉีกขาด และ เกิดการเลือดออก สร้างอาการบาดเจ็บขึ้นมาจากภายในร่างคู่ต่อสู้ได้ โดยที่เงื่อนไขในการใช้ไฟอรุณที่อยู่ต้องสัมผัสโดนตัวแล้วส่งพลังธาตุเข้าไปในร่างจำนวนหนึ่งที่เหมาะสม มีแค่เศษเสี้ยวพลังกระจ้อยร่อยในร่างก็ไม่เกิดผลต่ออีกฝ่ายแต่อย่างใด โดยปกติแล้วเธอมักจะใช้ประโยชน์จากความคล่องแคล่วของเจ้าเหมียวสัตว์กล่อง เคลือบไฟอรุณไว้ที่กรงเล็บแหลมแล้วกระโจนเข้าข่วนศัตรู บางทีเธอก็จะใช้เคลือบกับกระบอกสองท่อนของเธอหรือตามแขนขาตัวเองเพื่อใช้ในการโจมตีผสมผสานกับกลยุทธ์หมัดมวยจีนใส่เป้าหมาย (ต้องตีโดนฝ่ายตรงข้ามซักประมาณกลายรอบอยู่พอตัวในการโจมตีปกติ แต่ถ้าอัดเข้าไปเต็มแรงเน้นๆก็รอบเดียวที่จะทำให้ศัตรูอ่อนแรง และ พลังมีผลสร้างอาการบอบช้ำภายในขึ้นมาได้ เหมือนฟีลลิ่งเล่นเกมแล้วเสี่ยงดวงติดพิษอะไรประมาณนั้นค่ะ)
เราพยายามที่จะทำให้น้องไม่ดูโกงมากเกินไป ดูเป็นสายพยาบาล ซัพพอร์ต ฮีลลิ่งอะไรแบบนี้น่ะค่ะ ขณะเดียวกันก็สามารถโจมตีได้เหมือนกันนะ u — u
พยายามไม่ให้หลุดกรอบจากคำว่า ไฟอรุณมีความสามารถในการรักษาค่ะ เราก็เลยคิดว่าในเมื่อใช้การรักษาได้ก็ต้องใช้ในทางกลับกันได้เหมือนกัน จากสร้างกล้ามเนื้อก็เปลี่ยนมาทำลายกล้ามเนื้อ ทำลายเอ็น กระตุ้นเลือดออกทางภายใน เป็นพลังที่มีทั้งประโยชน์ และ โทษในตัวค่ะ
/
สิ่งที่ชอบ: ขนมกรุบกรอบ / นมหลากรส / เล่นเกม / เตียงนอน &ผ้าห่ม & หมอนนุ่ม / เวลาสบายๆที่ไม่มีอะไรมารบกวน / ได้ทำอะไรตามใจชอบ / ได้ดูแลคนอื่น / เพื่อน (ส่วนมากจะเป็นเพื่อนในแก๊งค์เดียวกันนั่นแหละ) / แมว / ปลาเนื้อนุ่มๆ / ถังหูลู่ (เป็นขนมเคลือบน้ำตาล โดยจะใช้ซานจาสองลูกมาเสียบ ลูกเล็กอยู่บน ลูกใหญ่อยู่ล่างทำให้ดูมีรูปร่างเหมือนกับน้ำเต้า สมัยราชวงศ์ซ่ง หรือซ้อง เชื่อกันว่าถังหูลู่จะนำพาเอาความโชคดีและความมั่งคั่งมาสู่ตน มักนิยมทานกันในตอนฤดูหนาว) / เพลงดีๆ / ชาเขียวอุ่นๆ / การนอน / การที่มีคนเข้าใจ / การ์ตูนเด็กๆ (ที่บอกว่าการ์ตูนเด็กก็คือเด็กจริงๆ ไม่มีจ้อจี้ เจ้าตัวชอบดูแนวฟีเรียสแอนด์เฟิร์ส วีแบร์แบร์ กุเดทามะ แอดเวนเจอร์ไทม์ เบ็นเท็น ฯลฯ อะไรแบบนี้) / ภาพวาด & งานศิลปะ / ดีดกีต้าร์ / ดูพวกช่องถ่ายทอดสดกีฬา (บาสเกตบอล หรือฟุตบอลชิงแชมป์ต่างๆ)
สิ่งที่ไม่ชอบ: น้ำหอมฉุนๆ / สุนัข / ผักใบเขียว / การมีเรื่องยุ่งยากวุ่นวายในชีวิต / การร่วมงานสังคม / โดนรบกวนเวลาส่วนตัว / ถูกผิดคำสัญญา / การจากลา
สิ่งที่เกลียด:
พวกคนปากพล่อย : ชอบพูดดูถูกเหยียดหยามคนอื่น เป็นหนึ่งในคนประเภทที่เธอจะไม่ทน ครั้งหนึ่งจำไปจนวันตาย สำหรับคนประเภทนี้ไม่ตายกันไปข้างก็จะไม่มีวันสงบใจ เฟิงอวิ๋นแอนตี้พวกที่มีความสุขบนความพยายาม หรือว่าความทุกข์ใจของคนอื่น
การสูญเสีย : เป็นอีกหนึ่งความรู้สึกทั้งเกลียดทั้งกลัวของเฟิงอวิ๋น
แพ้: -
อื่นๆ:
เจ้าหล่อนมีบิ๊คไบค์คู่ใจอยู่คันหนึ่ง สีดำขลับ โฉบเฉี่ยว ท่อดังเฟี้ยวฟ้าว เป็นเพื่อนรักคู่ใจอีกหนึ่งของเฟิงอวิ๋น แถมมันยังมีชื่อด้วย เรียกว่า เสี่ยวมาว อืม— หมายความว่าแมวนั่นแหละ
ตามงานปาร์ตี้เล็กๆ ที่มี มีแอลกอฮอลมีนู่นมีนี่ครบ เฟิงอวิ๋นจะเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ได้นานที่สุด คอแข็งมาก ดื่มทั้งวันก็ยังไม่เมาออกจะกรึ่มๆ มึนๆ ซะมากกว่า ทุกงานต้องมีเธอดวลเหล้ากระดกลงคออึกๆ คิดจะมอมเหล้าเธอนี่ฝันไปได้หลายตื่นเลย
มีปมฝังใจกับหมาเล็กน้อย สมัยก่อนเคยถูกหมาไล่กัดมา แม้จะไม่ได้เป็นอะไร แต่ก็ยังจำฝังใจอยู่ดี ทำให้ไม่ชอบมาจนถึงทุกวันนี้ เวลาที่เจอทีไรจะมีรีแอคชั่นเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกเล็กๆ ไม่ค่อยอยากที่จะเข้าไปใกล้หรือจับตัวน้องเท่าไหร่นัก จิตใต้สำนึกข้างในมันบอกให้เธอไม่ควรเข้าไปหา ยิ่งน้องเข้ามาเล่นก็จะเหมือนเห็นเฟิงอวิ๋นที่เป็นรูปปั้นยืนแข็งทื่ออยู่กับที่อยู่อย่างนั้น
สกิลการฟรีรันนิ่งมีอยูดีไม่เบา จากการฝึกมวยจีนมาทำให้เจ้าตัวค่อนข้างที่จะมีร่างกายที่ยืดหยุ่นมาก มีความคล่องตัวสูง หลบหลีกพวกสิ่งกีดขวางได้แม่นยำ เช่นเดียวกับการปีนป่ายกำแพง กระโดดข้ามตึกช่วงสั้นๆ ได้คล่องแคล่ว ถึงปกติเจ้าตัวจะชอบนอนเอื่อยเฉยๆ มากกว่าเพราะขี้เกียจขยับตัว แต่ว่าพอเอาเข้าจริงเป็นคนที่ว่องไวมากนะคะ ถ้าเป็นโจรวิ่งราวก็คือตำรวจตามจับไม่ได้ เพราะเหมือนเอาแมวมาให้มดวิ่งไล่จับน่ะค่ะ มองหาทางหนีทีไล่ได้ตลอด
มีสกิลภาษานิดหน่อย สามารถพูดภาษาจีนได้คล่องปร๋อ แน่นอนว่าต้องทำได้อยู่แล้วเพราะมันเป็นภาษาบ้านเกิดเธอเอง ส่วนภาษาอังกฤษเธอก็สามารถพูด อ่านออก เขียนได้ไม่มีปัญหา อาจจะติดขัดบางครั้งที่เป็นคำศัพท์ใหม่ๆ ยากๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้งงๆไปซักเล็กน้อย นอกจากนั้นยังมี ภาษามือ ที่ตัวของเฟิงอวิ๋นสามารถใช้ในการสื่อสารแทนการพูดปากเปล่าได้
ที่เหลือก็เป็นความสามารถกิ๊กก๊อกอย่าง วาดภาพสวยอยู่พอตัว อารมณ์ติสท์แตกในร่างมันทำให้งานอาร์ทของเจ้าหล่อนจะออกมาในโทนของการใช้สีสัน ศิลปินประจำใจของเฟิงอวิ๋นคือแวนโก๊ะนั่นแหละ มักจะได้อินสปายเรชั่นมาจากผลงานที่โด่งดังอยู่บ่อยๆ อีกทั้งเธอยังโดดเด่นทางด้านดนตรี จากการที่ดีดกีต้าร์กับพอจะร้องเพลงได้นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เพราะแว่วหวานฟังแล้วทำให้เคลิ้มอะไร มันเป็นแค่งานอดิเรกที่ตอนเธอว่างๆ มักจะหยิบมันขึ้นมาทำบ่อยๆ
เป็นคนที่จมูกไวมากอย่างน่าเหลือเชื่อ ใครๆ ก็ชอบแซวว่าเธอเหมือนแมวจริงๆ มีความเซนซิทิฟในการได้กลิ่นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน แหยงกับพวกน้ำหอมดอกไม้กลิ่นฟุ้งๆ เข้มๆ จัดๆ แทบอยู่ไม่ได้เลยกับคนที่ฉีดน้ำหอมแบบนี้มาเพราะมันทำให้เธอรู้สึกฉุนกึกจนแสบจมูก
เรื่องน่าอัศจรรย์ใจยังไม่จบลงแค่นี้ ฉายาลับๆ ใต้ดิน ( ? ) ของเธอถูกตั้งขึ้นว่า แมวอวิ๋น บางคนแทบยืนยันหัวชนฝาว่าเธอเหมือนแมวมากจริงๆ เธอสามารถแกะก้างออกจากเนื้อปลาได้อย่างเรียบเนียนมากๆ โดยที่ไม่มีแม้แต่ซักเสี้ยวที่เนื้อจะเละ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เป็นคนที่ประณีตอะไร งานละเอียดอ่อนงานฝีมือนี่พังเละเทะหมด ขนาดต้มมาม่าครั้งหนึ่งยังทำชามที่ต้มระเบิดเป็นรูโหว่งไปจนถูกแปะป้ายห้ามเข้าครัว แต่ถ้าเป็นเรื่องของปลาต้องบอกเลยว่าจะละเอียดอ่อนเอาเสียมากๆ บางทีเธออาจจะเป็นแมวที่มีร่างมนุษย์ปลอมตัวมาใช้ชีวิตอย่างแนบเนียนก็ได้
แน่นอนว่าถ้าให้น้องแข่งเล่นเกมที่ต้องใช้สมอง ให้ร้อยแพ้ล้านแน่นอน เพราะหนึ่งคือไม่ฉลาด กากคณิต กากการคำนวณมาก ถ้าติดในห้องปิดตายแล้วให้แก้โจทย์ออกมา จะเป็นคนแรกที่ถอดใจล้มตัวนอนในนั้นก่อน ตายก็ตาย ดีกว่าสมองแตกตาย เก่งแต่ใช้สัญชาตญาณเอาตัวรอด และ กำลังล้วนๆ ( มวยจีนทีเดียวนี่ชาวบ้านปลิวเป็นพายุพัด )
ที่ว่าปล่อยเบลอกับอะไรหลายๆอย่างนี่คือปล่อยจริงนะ ช่างแม่งได้กับทุกเรื่อง แบบอะไรก็ช่างแม่ง โดนด่าก็ช่างแม่ง อกหักก็ช่างแม่ง หมาคาบเอารองเท้าวิ่งหนีไปก็ช่างแม่ง คือเป็นฟีลลิ่งประมาณพระที่ปลงทางโลกแล้วอะ แบบเออๆ ช่างมันไปเลย ไม่อะไรแล้ว ทำนองนี้
คาร์ส่วนหนึ่งของน้องนี่ได้แรงบันดาลใจมาจาก หลานวั่งจี ในปรมาจารย์ลัทธิมารค่ะ แต่น้องไม่ได้เคร่งขรึมกับเคร่งคัดเท่า แต่เรฟฟอเร้นท์ส่วนมากคือได้มาจากพี่แกจริงๆ ค่ะ ต้องขอบคุณอีกฝ่ายจริงๆ ที่ทำให้พี่เจียงเฟิงอวิ๋นเป็นตัวเป็นตนออกมาให้เชยชมได้ซักที เอื้อก
ที่ยังใช้สกุลเจียงอยู่ก็เพราะว่าเป็นสกุลของแม่และพี่ชายที่ใช้ เธอเองก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาเลยไม่ยอมเปลี่ยนแซ่ไปเป็นแซ่ จิน ของคุณตา ถือว่าเป็นการให้เกียรติผู้เป็นบิดาและมารดา และยังคงความเคารพแก่ทั้งสองที่เสียไปแล้วด้วย
/
☎
talk! talk!
JM: สวัสดีค่าาท่านผปค. เรามีนามแฝงว่า จัสมินนะคะ
A: สวัสดีค่า คุณจัสมิน เราชื่อว่าคิเคียวนะคะ เรียกว่าเคียวก็ได้ค่า
JM: อะไรดลใจให้มาสมัครเรื่องนี้หรอคะ??
A: อันที่จริงช่วงนี้กำลังว่างค่ะ อยากจะเกลาฝีมือรับสมัครของตัวเองก็เลยลองสมัครดู ปั่นแบบมึนๆ เบลอๆ ด้วยไม่รู้จะออกมาในแง่มุมแบบไหน ยังไงก็ขอฝากน้องเฟิงอวิ๋นไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของคุณจัสมินด้วยนะคะ
JM: ถ้าไม่ติดจะโกรธมั้ยคะ?
A: ไม่โกรธเลยค่ะ มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณจัสมินอยู่แล้วว่าคนไหนที่เหมาะกับบทบาทมากกว่ากัน เราไม่โกรธ และ เคารพในการตัดสินใจของคุณจัสมินค่า
JM: ถ้าไม่ได้บทบาทที่สมัครอยากได้บทอะไรคะ ตัวอย่างแบบนี้ เช่น ลูกน้องในหน่วย คนสนิท หรือตัวร้ายแบบนี้
A: เป็นคนสวนได้มั้ยคะ5555555555555555555555555555555555555 ล้อเล่นค่ะ เอาเป็นคนสนิทแล้วกันค่ะ หรือตามแต่ที่คุณจัสมินจะเลือกน้องได้ตามใจชอบเลยค่ะ
JM: ขอให้โชคดีนะคะะะะ
A: ขอบคุณมากนะคะ ขอฝากเนื้อฝากตัว และ ฝากน้องไว้ในอ้อมใจด้วยน้า ที่ปั่นตัวละครแบบนี้มาเรามีเหตุผลนะคะ! เราคิดคาร์แรมโบ้ในมุมมองของหนุ่มขี้กลัว เจ้าน้ำตาน่ะค่ะ อีกสิบปีถัดมามันก็ยังจะดูเป็นอย่างนั้นอยู่ (....) เราก็เลยลองส่งสาวหล่อสุดแกร่งไปนางกระโดดไปเกาะซักหน่อย พร้อมเป็นเดอะแบกคอยปกป้องเธออะไรทำนองนี้ เห็นว่าทางคุณไรท์ไม่ได้จำกัดอะไรมากด้วยก็เลยลองนึกคึกมาเขียนอะไรทำนองนี้ดู อยากเพิ่มสีสันให้เรื่องค่ะ แหะ ยังไงก็รบกวน และ ฝากดูแลอวิ๋นอวิ๋นน้อยของเราด้วยนะคะ
ความคิดเห็น