ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ➽ โ น เ น ม } ➹ Room 'ⓢ

    ลำดับตอนที่ #14 : Revival of Gunnar การคืนชีพอีกครั้งของยอดอัศวิน ( 3 )​

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ค. 63


            
    Z K T
       

    APPLICATION





    ชื่อ-นามสกุล :: คีอาร์ ( Ciar )

    เพศ :: ชาย

    นิสัย ::



    คนปกติที่เข้าข่ายคำว่าธรรมดาที่สุด



    เป็นบุคคลดาษดื่นที่มีอยู่เต็มท้องตลาด ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะพบเจอคนประเภทคีอาร์ได้เป็นนับสิบนับร้อย เขาเปรียบเสมือนสีที่ผสมกลมกลืนไปกับคนอื่นเป็นเนื้อเดียวกัน ยามเมื่ออยู่ร่วมกับฝูงชนอื่นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นคีอาร์โดดเด่นออกมา ไม่มีบรรยากาศข่มขู่ที่เป็นอันตรายแผ่ซ่านออกมาเลยแม้แต่น้อย ไร้พิษสงพิษภัยอย่างเด่นชัด ความธรรมดาและความเรียบง่ายของเขาเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้อื่น เหมือนตัวประกอบเกรดซีที่ใช้แล้วทิ้งตัวหนึ่ง กวาดมองตั้งแต่หัวจรดแม่โป้งตีนก็ไม่ได้มีจุดไหนที่ให้ความรู้สึกว่ามีเสน่ห์ต้องแตะสายตา ไล่มาเป็นงานอดิเรก การใช้ชีวิตก็ต้องบอกว่าสโลว์ไลฟ์เรียบเรื่อยแสนน่าเบื่อในสายตาคนอื่นที่สุด ไม่มีความรู้สึกโดดเด่นน่าสนใจอะไร ในชีวิตแทบจะเรียกได้ว่าตัวของคีอาร์นั้นจืดจางในสายตาชาวบ้านอยู่พอสมควร กล่าวถึงเสน่ห์ก็ต้องบอกได้ว่านอกจากหน้าตาที่พอดูเข้าข่ายแล้วนั้น อย่างอื่นก็ให้ความรู้สึกแสนธรรมดา คีอาร์เป็นคนที่ใช้ชีวิตในกรอบของคำว่าง่ายๆ สบายๆ ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยพ่นลมหายใจทิ้งๆ ขว้างๆ ให้หมดไปในหนึ่งวันอย่างไร้ประโยชน์ก็พอ งานอดิเรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากตัวคีอาร์มีอยู่สามอย่างคือไม่นั่ง ก็นอน ไม่นอนก็กิน สามอย่างนี้สลับวนกันไปมาอยู่อย่างนั้นในวันหนึ่ง ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนี้ จะเห็นเขาเดินออกไปข้างนอกทีก็ยากแสนยากยิ่งกว่างมหาเข็มในมหาสมุทร จนเรียกได้ว่าไม่มีโอกาสได้เห็นเลยมากกว่ายกเว้นแต่เสบียงที่สะสมอยู่ของเขาจะเกิดหมดเกลี้ยงขึ้นมา



    คีอาร์เป็นมนุษย์หลอดพลังงานต่ำ แสนขี้เกียจขี้คร้านเป็นที่หนึ่ง หากโลกนี้สามารถให้เลือกมีกลางคืนซักยี่สิบสามชั่วโมงส่วนกลางวันหนึ่งชั่วโมงคนที่เลือกคนแรกก็คือคีอาร์ นอนได้ตลอดเวลาและแทบจะทุกที่ เอเนอร์จี้สามารถลดฮวบได้ตลอดเวลาแม้ว่าตอนนั้นจะแค่กำลังนั่งหายใจอยู่เฉยๆก็ตามที อ้าปากพ่นลมหายใจก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาแล้ว ชอบการหยุดค้างอยู่กับที่เพื่อสะสมพลังงานเป็นส่วนใหญ่ ไม่ชอบการเคลื่อนไหวไปไหนมาไหน ความกระตือรือร้นต่อทุกสิ่งเป็นศูนย์ ไม่มีแม้แต่อารามตื่นเต้นจนถูกมองว่าเป็นพวกตายด้านกับทุกสิ่งรอบข้าง ต่อให้จะมีผู้หญิงหน้าตาสวยสดเดินผ่านหน้ามาก็จะได้รับเพียงแค่สายตาเนือยของคีอาร์ตอบกลับไปทำนองว่า มาทำอะไร? บางคนอาจจะมีจุดประสงค์ในการเข้าหาก็เป็นต้องถอยหนีไปแทบทุกรายในเวลาถัดมา เพราะสิ่งที่จะได้รับมีเพียงแค่สายตาแสนเนือยที่พ่วงมาด้วยความอึนเต็มพิกัดของเขาตอบกลับก็เท่านั้น



    หากเปรียบคีอาร์เป็นสัตว์ซักประเภท เจ้าตัวหน้าขนอย่างสล็อตก็จะเด้งขึ้นมาในหัวของคนอื่นในสัปดล ทุกการกระทำนั้นอืดอาดยืดยาดเป็นที่สุด สับสนมึนงงในชีวิตของตัวเองจนดูอึนตลอดเวลาคล้ายมีเครื่องหมาย ? ลอยขึ้นประดับอยู่เหนือหัว เชื่องช้าเสียยิ่งกว่าเต่าคลาน หากจะแก้ตัวก็ต้องบอกว่าเป็นคนที่ทำทุกอย่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าคนอื่นที่พยายามจะสื่อสารกับเขาจะต้องมีความอดทนเป็นอย่างสูงมากก็ตามที เพราะนอกจากการกระทำที่เชื่องช้า มีความเฉื่อยชาเหมือนถูกแรงเฉื่อยรั้งตัวเอาไว้แล้วระบบความคิดของคีอาร์ก็ไม่แพ้กัน เขาต้องใช้เวลาในการย่อยข้อมูลเป็นเวลานานจนเหมือนตัดขาดออกจากโลกภายนอกไปโดยสิ้นเชิง เมื่อมีคนพูดเรื่องหนึ่งขึ้นมา กว่าตัวของคีอาร์จะอ้าปากตอบกลับก็ใช้เวลาเกือบสองนาทีโดยร่วม ยิ่งถ้ามีศัพท์อะไรที่ยากหรือซับซ้อนในเชิงความคิดขึ้นมาก็จะยิ่งใช้การตีความนานมากกว่าเดิม บางทีก็เงียบไปเกือบสิบกว่านาทีจนคนรอฟังรากงอกกว่าเจ้าตัวจะอ้าปากตอบที คีอาร์ถูกจ่อชื่อในมนุษย์ที่พูดไม่รู้เรื่อง ถามคำตอบคำเหมือนถูกป้อนโปรแกรมเอาไว้ โดยคำตอบที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้งคือระหว่างคำว่า ใช่ และ ไม่ใช่



    เพราะแบบนั้นเลยค่อนข้างเป็นคนที่ดูจะเข้าใจยากอยู่พอสมควร ไม่มีใครล่วงรู้ความคิด หรือ ความต้องการของคีอาร์เพราะเจ้าตัวไม่เคยแสดงออกมา มองตาก็เห็นเพียงความมึนงงที่จับกระแสอารมณ์อะไรไม่ได้ทั้งนั้น ภายนอกที่เขาแสดงออกมาก็มีเพียงความราบเรียบเป็นเส้นตรง ไร้อารมณ์ ไม่มีใครเคยเห็นชายหนุ่มคลี่ยิ้มแย้ม หรือหัวเราะ อารามโกรธเคืองเสี้ยวอารมณ์แง่ลบก็ไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น แม้ว่าจะโดนพ่นคำด่าใส่หน้าด้วยถ้อยคำที่รุนแรงมากขนาดไหน ก็เหมือนจะไม่ได้กระเทือนต่อจิตใจของเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย คนอื่นบอกกันว่าตัวของคีอาร์มีความอดทน และ ความใจเย็นที่เกินมนุษย์มนาไปมากโข ไม่แม้แต่จะอ้าปากตอบโต้คำอะไรเหล่านั้น เขาสามารถใช้ชีวิตได้แม้กระทั่งถูกตามด่าเป็นวรรคเป็นเวร ทำตัวเป็นปกติกับทุกสิ่งรอบข้างแม้ว่าจะโดนมองด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ต่อให้ไม่มีเพื่อนคบตัวของคีอาร์ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ไม่มีปัญหา เพราะเดิมทีตัวเขาเองก็ไม่ใช่มนุษย์สังคมอะไร เรียกได้ว่าคีอาร์ไม่เข้าสังคมเลยด้วยซ้ำ คิดจะเห็นเขาเดินเข้าไปผูกมิตรกับชาวบ้านชาวช่องก่อนก็ฝันไปอีกระรอก เพื่อนไม่คบ และ ตัวเขาเองก็ไม่คบเพื่อน มิตรภาพในตัวของเขาเป็นศูนย์เช่นเดียวกับความเป็นมิตร ที่จริงไม่ได้เป็นคนดุหรือไม่น่าคบหาอะไร แต่ปัญหาคือเขาไม่รู้จักเซย์เฮลโลกับใครหน้าไหน ขนาดนั่งอยู่ใกล้กันจนลมหายใจจนเกยกันอยู่รอมร่อ ตัวคีอาร์ก็ยังคงคีพซิกเนเจ้อมนุษย์สัมพันธ์ย่ำแย่อยู่อีกตามเคย ไม่จ้องมองพื้นก็หันไปจ้องหน้าอีกฝ่าย แต่ไม่พูดอะไรทั้งนั้นจนพาลทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจนฝ่ายนั้นต้องเป็นคนอ้าปากทักเขาเอง ถึงจะได้สนทนากันเหมือนมนุษย์มนาปกติทั่วไป



    รักสันโดษเปรียบเสมือนหมาป่าเดียวดายที่ชอบอยู่ตัวคนเดียวต่างจากฝูง มักตีตัวแยกออกมาห่างจากคนอื่นตลอด ไม่ค่อยชอบการอยู่ร่วมเป็นกลุ่มเท่าไหร่เพราะเขาเองก็เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยจะได้ เป็นบุคคลประเภทรักสงบ ไม่ชื่นชอบแสงสี ไม่ชื่นชอบเสียงมะเทิ่งเอะอะโวยวาย ความเงียบงันอันเผ็นนิรันดร์เป็นสิ่งที่เขาพึงปราถนา ดังนั้น​การเห็นตัวของคีอาร์เที่ยวไปไหน​ต่อไหนเพียงคนเดียวไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดนัก ซึ่งพอมาอยู่กับตัวเองคนเดียวหลังจากนั้นก็ตัดตัวเองออกจากสิ่งเร้ารอบข้างและโลกภายนอกไปโดยสิ้นเชิง ไม่แม้แต่จะรู้ว่าโลกนั้นไหลไปไหนต่อไหนแล้ว ใครเป็นอะไรก็ไม่ได้ใคร่รู้กับเขาเลย ยกตัวอย่างมีมคนตัดหญ้าที่เปรียบเป็นตัวของคีอาร์ ส่วนพายุเฮอร์ริเคนคือความชิบหายวายป่วงของชาวบ้านชาวช่อง เป็นชายหนุ่มโลว์เทคที่อาศัยอยู่ในรั้วบ้านปกติแต่ดันให้ความรู้สึกเหมือนเจ้าตัวไปอยู่ป่ามาเป็นสิบปีซะอย่างนั้น กล้าบอกเลยว่าคีอาร์ล้าหลังมาก ชนิดหากเทียบเป็นเต่าล้านปีก็ยังรู้สึกอายแทนเต่า โลกรู้ ทุกคนรู้ กระทั่งหมาแมวยังรู้แต่คีอาร์ไม่รู้ มนุษย์ทุกคนเปลี่ยนวิธีการดำรงชีวิต ตัวคีอาร์ก็ยังคงอยู่ในสภาพใช้ชีวิตในรูปแบบเก่า ถ้าไม่มีคนมาบอกมาสอนก็ไม่ได้คิดที่จะเรียนรู้ หรือ ปรับเปลี่ยนมันเลยแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กวัยกำลังโตที่เริ่มเรียนตั้งแต่ศูนย์ไปจนถึงหนึ่งร้อย





    ย่างก้าวแห่งการเรียนรู้

    เหมือนเด็กหนุ่มตัวน้อยคนหนึ่ง


    คีอาร์เหมือนเด็กหนุ่ม , เด็กหนุ่มวัยสิบกว่าขวบอะไรเทือกนั้น ทุกการกระทำของเขาต้องมีคนอื่นเป็นคนสั่ง หากไร้ผู้สั่งการก็จะเหมือนหุ่นยนต์ที่ยืนชัตดาวน์นิ่งอยู่ที่เดิม เขาเหมือนเด็กที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ คีอาร์ค่อนข้างจะว่านอนสอนง่ายอยู่เป็นทุนเดิม ใครให้ทำอะไรก็ทำ ให้เป็นกระโถนฟังความรู้สึกก็ฟัง ให้นั่งก็นั่ง ให้ยืนก็ยืน ไม่ปริปากบ่น ไม่หือไม่อือแม้จะเป็นคำสั่งที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ แทบจะดูเหมือนพวกไร้หัวคิดไปโดยสิ้นเชิงหากไม่มีคนคอยสั่งคอยกำกับ ชายหนุ่มสามารถหยุดยืนอยู่กับที่นานเป็นชั่วโมงได้ถ้าเกิดในหัวเขาคิดไม่ออกว่าอยากทำอะไร แทบจะแปรสภาพเป็นเด็กที่ต้องมีพี่เลี้ยงคอยอยู่ดูแลกำกับไว้ด้วย มีลักษณะเหมือนเด็กที่อยู่ในกลุ่มของอาการออทิสติก ความรู้สึกของคีอาร์นั้นเชื่องช้าเสียจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มี เรียกแล้วไม่หันต้องเรียกหลายย้ำหลายรอบจนมั่นใจว่าเป็นชื่อของตัวเองถึงจะหันหน้ามามอง มองหน้าแต่ไม่มองตา ไม่มีความยืดหยุ่นในตัวเองแสดงออกความเฉยเมยไร้อารมณ์ ไม่คิดจะปรับตัวเข้าใคร ไม่เข้าใจในอารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่คุยด้วยเช่นเดียวกันกับผู้อื่นที่ไม่เข้าใจในตัวตนของเขาเช่นกัน อ่านออกได้ยาก คาดเดาไม่ได้ รวมไปถึงเอาแน่เอานอนต่ออะไรเช่นเดียวกัน เขามีความคิดเป็นเชิงตรรกะที่แตกต่างจากชาวบ้านชาวช่อง คิดอะไรนอกแบบแผน นอกทฤษฎี และ นอกตำราอยู่หลายครั้งคราวตามใจและความพึงพอใจของตัวเองที่เกิดขึ้นชั่ววูบ เสมือนจิตใต้สำนึกของเขาเป็นคนสั่งว่าควรทำแบบนั้นเพื่อเอาตัวรอดตามสถานการณ์ต่างๆ ในบางครั้งบางคราวก็ดูเหมือนจะเป็นพวกตัวประกอบที่โผล่ออกมาให้โดนตัวเอกตบเกรียนเล่นให้ตายง่ายๆ แต่ความจริงแล้วค่อนข้างดวงแข็งเอาเรื่อง พลิกแพลงสถานการณ์รอบตัวให้กลายเป็นโอกาสได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่บนโลกนี้คนคนนี้ยังสามารถเอาตัวรอดและหยัดยืนอยู่ได้ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความดวงดีของเจ้าตัวเอง หรือว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่



    กระนั้นคีอาร์เองก็ค่อนข้างเป็นคนที่หัวดีอยู่เป็นทุนเดิม เรียนรู้อะไรได้อย่างว่องไว ความจำของเขานั้นถือได้ว่าดีเยี่ยม เส้นทางที่ยากคดเคี้ยวซับซ้อนชายหนุ่มมองปราดเดียวก็สามารถจำได้อย่างแม่นยำ คิดคำนวณเลขหลายหลักได้เพียงไม่กี่วิ จดจำเลขวันที่ตรงกับวันที่ได้ถูกต้องโดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดปฎิทินดูเอง การอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของคีอาร์นั้นจากคนปกติใช้เวลาสองชั่วโมงตัวเขากับใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง สามารถจดจำรายละเอียดยิบย่อยในหนังสือนั้นได้ ด้วยตัวชายหนุ่มเองก็เป็นคนมีสมาธิสูง ไม่ค่อยจะล่อกแล่กอะไรเท่าไหร่นัก ไม่มีสิ่งใดที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้ยกเว้นแต่เขาใคร่รู้อยากที่จะสนใจขึ้นมาเอง ปกติก็เลยวนเวียนอยู่แต่การหมกมุ่นอยู่กับอะไรซ้ำเดิมวนไปวนมาตลอด ถ้าอ่านหนังสือก็จะอ่านเล่มเดิมจนหนังสือเปื่อยยุ่ย ก่อนที่พอเปลี่ยนไปอีกเล่มหนึ่งก็จะทำซ้ำเดิมเหมือนกับที่ทำกับเล่มนี้ไม่ผิดเพี้ยน



    ทำให้คนอื่นรู้สึกประสาทแดกขึ้นมาได้ไม่ยาก คีอาร์เหมือนเป็นตัวกวนประสาทหน้าตายแบบอธิบายไม่ถูก ยั่วตีนชาวบ้านแบบไม่รู้ตัว นิสัยของเขาคือยามที่ไม่เข้าใจอะไรจะถามซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งคราวจนคนฟังรู้สึกหัวเสียขึ้นมาพิกล มีปัญหาเกี่ยวกับการทำความเข้าใจในบางเรื่อง บางสิ่งที่ไม่เคยเจอ ยกตัวอย่างเช่นการใช้ตะเกียบทานอาหารที่ตัวคีอาร์ใช้ไม่เป็น เขาก็จะถามวิธีใช้ พอคนอื่นสาธิตให้ดูก็จะลองใช้ตามพอไม่ได้ก็จะถามวนซ้ำไปอีกสิบกว่ารอบ กว่าจะคีบเส้นเข้าปากได้ก็เย็นชืดขึ้นอืดลอยตุบป่องขึ้นมาแล้ว มีการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งรอบข้างที่ค่อนข้างน้อย ใช้อะไรไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ บางทีก็น่าตกใจว่ามีคนแบบนี้อยู่บนโลกอีกหรอ ไร้ความละเอียดอ่อนทุกอย่าง ขาดการคิดวิเคราะห์และการไตร่ตรองว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่าเคยถือช็อคโกแลตอยู่แท่งหนึ่งโดยที่ยังไม่ทันได้แกะห่อ เขาก็ยัดมันเข้าปากทั้งห่อทั้งช็อคโกแลตแล้วก็เคี้ยวมันกลืนลงท้องไปเลย คนอื่นเห็นต้องรีบตาโตวิ่งไปเขย่าคอให้เขาคายออกมา สรุปไม่ทันแล้วเพราะคีอาร์ก็กินแบบนี้ไปเกือบสิบกว่าชิ้นแล้ว เป็นคนที่มีความคิดพิศดาร แหกคอกจากชาวบ้านไปมากโข ถ้าไม่มีคนคอยคุมคงอาจจะได้ข่าวว่าคีอาร์นั่งแทะตะเกียบแทนเส้นในชามก็เป็นได้ จ่าหัวอยู่ในหมวดบุคคลที่น่าเป็นห่วงในการใช้ชีวิตที่สุด





    เรื่องราวการใช้ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่

    แปรสภาพเป็นความเบี้ยวบิดไปมากโข


    คีอาร์เปรียบเสมือนคลื่นลมราบเรียบที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนทิศไปมาได้ตลอดเวลาอย่างเนิบช้าไร้พิษภัยขณะที่มรสุมกำลังก่อตัวขึ้นมาทีละนิด โดยที่ไม่มีใครได้ทันรู้ตัว เนื้อแท้ของเขาเป็นสัตว์ป่า ตราบใดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ป่า ชายหนุ่มก็ยังไม่ลืมสัญชาตญาณ และ เขี้ยวเล็บของตัวเองที่ยังมีอยู่ของตนไป เขาใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณดิบของตัวเองเป็นตัวนำพา มีความกล้าหาญต่อทุกอย่างจนเรียกได้ว่าเขาไม่รู้จักคำว่าความหวาดกลัวเสียมากกว่า ตัวตนข้างในของชายหนุ่มเปรียบเสมือนกับกล่องที่วางกลวง ลึกลงไปก็เป็นโพรงลึกทีพ่อมุดเข้าไปก็จะเจอกับห้วงสีดำกว้างขวางไม่รู้จบสิ้น เป็นจุดว่างเปล่ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่ไม่อาจต่อติดได้ ขาดความเข้าใจทางด้านอารมณ์ หลายครั้งที่ยืนมองความตายได้อย่างเลือดเย็นเหมือนเป็นเรื่องปกติที่หลังจากทานข้าวเสร็จก็เดินออกมามองคนตายได้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่มีความรู้สึกสงสาร ไร้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อคนอื่น เฉยเมยเย็นชาดังเช่นรูปปั้นที่ไม่สะทกสะท้าน ความปราณีเพียงอย่างเดียวที่เขามีคงเป็นการเบือนหน้าหนีจากภาพความโหดร้ายนั่นกระมัง เป็นความบิดเบี้ยวจุดเล็กจุดน้อยที่แม้กระทั่งตัวคีอาร์ก็ไม่อาจรับรู้ คราเมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็เหมือนเป็นสีเทาที่ยืนอยู่นิ่งระหว่างสีดำกับขาว ไร้ความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ไร้ความรู้สึกเชื่อมั่นในความหวัง



    ถ้าติดอยู่ในห้องปิดตาย สิ่งแรกที่คีอาร์จะทำก็คือทำใจ ไม่คิดสวดอ้อนวอนภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้นแหละ เขามั่นใจอย่างแรกว่าต้องตายแน่นอน ไม่ขาดอาหารตายก็ขาดน้ำตายซักทางหนึ่ง ความคิดแง่ร้ายพลุ่งพล่านขึ้นมาจุกอยู่กลางใจจนกลายเป็นมองโลกในแง่ร้ายไปโดยสัปดล คำพูดคำจาเองก็ตลกร้ายเสียดสีชีวิตจนคนฟังรู้สึกจุกขึ้นมาแทน ที่จริงก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันเข้าข่ายความเป็นจริงด้วย เพราะในเมื่อห้องปิดตายนั้นไร้ทางออก การที่คีอาร์จะคิดว่าต้องตายแน่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร กระนั้นเขาเองก็ไม่ได้ดิ้นรนตะเกียกตะกายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย ปรับสภาพอารมณ์ของตัวเองได้อย่างไวว่อง เปลี่ยนจากเฉยชาให้กลายเป็นยอมรับความตายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เฝ้ามองคนอื่นแสดงท่าทางขวนขวายเอาชีวิตรอดไปเท่านั้น ไม่ได้ห้าม ไม่ได้ยื่นมือไปช่วยอะไร ศรัทธาในชีวิตที่เขามีมันอยู่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คีอาร์ไม่ได้กลัวด้วยซ้ำว่าถ้าเกิดต้องตายตอนนี้ ชายหนุ่มไร้ความทะเยอทะยาน ความโลถ ความต้องการทุกอย่างเปรียบเสมือนเลขที่เคลื่อนกลายเป็นเลขศูนย์ ไม่มีทางที่จะได้เห็นอารามกรีดร้องโวยวายด้วยความหวั่นวิตกจากคีอาร์ นอกจากความนิ่งเงียบสงบนิ่งราวปล่อยวางทุกอย่างลงแล้วก็ไม่มีอารมณ์ในรูปแบบอื่นที่โผล่พ้นออกมาให้เห็นอีก



    เป็นคนที่ปฎิเสธไม่ได้ว่าข้างในของเขามันกลวงจริงๆ นั่นแหละ เหมือนมีแค่จิตวิญญาณและกายเนื้อ ส่วนความรู้สึกเป็นสิ่งที่ทำให้หล่นหายไป อารมณ์ธรรมดาของเขายังทำหาย จะนับภาษาอะไรกับความรู้สึกทางกายที่เรียกแทบจะไม่มี หากเขากลายเป็นนักโทษที่ถูกทรมาณด้วยวิธีทารุณโหดร้าย คีอาร์ก็จะเพียงนั่งนิ่งอย่างเฉยชา แม้แขนจะถูกหั่นถูกเลาะชายหนุ่มก็ไม่มีเสียงร้องซักแอะ ไร้ความรู้สึกเจ็บปวด มันแปรเปลี่ยนสภาพจิตใจของเขาให้กลายเป็นชินชา เป้าหมายของเขาคือการใช้ชีวิตไปในแต่ละวันที่เหมือนถูกป้อนคำสั่งมาก็เท่านั้น ดังนั้นต่อให้แขนข้างหนึ่งของเขาจะหัก ขาข้างหนึ่งจะขาด ตราบใดที่เขายังไม่ขาดใจตายไป ตัวคีอาร์ก็ยังจะใช้ชีวิตปกติธรรมดาของตนไปได้ต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ตักข้าวเข้าปากทั้งที่สภาพเลือดซ่กอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ อะไรที่มันไม่ได้ลำบากต่อการใช้ชีวิตของเขาคีอาร์ก็ไม่คิดที่จะใส่ใจ บางทีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเลือดออกบาดเจ็บหนักอยู่ มันเป็นอะไรที่น่ากลัวไม่หยอกที่คีอาร์โดนก้อนอิฐทุบหัวจนเลือดอาบล้มลงไปนอนกับพื้น จากนั้นไม่นานเขาก็ยันตัวลุกขึ้นมาเดินต่อได้ จะมีก็แต่คนที่ปะทุษร้ายใส่เขาเองแหละที่เป็นฝ่ายหวาดผวาเอาเสียเองแทน



    ไม่ได้จัดการได้ง่ายขนาดนั้น ว่านอนสอนง่ายแล้วอย่างไร ตัวของคีอาร์ก็ดูถูกไม่ได้เลยทีเดียว เขาพร้อมที่จะกลืนกินทุกคนโดยไม่สนว่าจะเป็นใครหน้าไหน มิตรสหายสนิทมากขนาดไหนก็ไม่ได้ทำให้คีอาร์รู้สึกผิดได้ สามัญสำนึกของเขามันต่ำเกินเยียวยา ความรู้สึกทางอารมณ์ก็บอกแล้วว่าเป็นเชิงลบ น้ำหนักของเส้นคำว่า มิตรภาพ ในใจของคีอาร์ไม่ได้สูงมากนัก กระนั้นก็ไม่ได้ต่ำมากจนเกินไป อย่างน้อยพอมีสติยั้งคิดแยกแยะได้อยู่ว่าบางคนก็ไม่ควรที่จะทำลายทิ้ง เป็นอีกหนึ่งในความปราณีเล็กน้อยที่คีอาร์พอจะมีให้แก่คนผู้นั้นได้เสียบ้าง สัตว์นักล่าที่ใดจะเลี้ยงได้เชื่อง แน่นอนว่าต่อให้บ่มเพาะมากขนาดไหนสุดท้ายก็ไม่มี คีอาร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น หนึ่งในประเภทสัตว์เลี้ยงไม่เชื่องที่พร้อมจะแว้งกัดคนอื่นได้ตลอดเวลาโดยไม่สนบุญคุณ อย่าเผลอไผลที่จะเชื่อใจสัตว์ป่าจำศีลตัวนี้ แม้ยามปกติจะไม่มีพิษมีภัยอะไร ความจริงแล้วเขาเป็นภัยร้ายที่กำลังหลับไหลอยู่ต่างหาก ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเขาจะทำร้ายชาวบ้านซี้ซั้ว จิตสำนึกอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินยังพอจะมีเมตตาเตือนให้เขารู้ตัว ดังนั้นคนที่คีอาร์จะพยศทำร้ายกลับก็คือคนที่ทำให้เขารู้สึกว่า ไม่พอใจ ขึ้นมา โดยปกติแล้วแม้ตัวของเขาจะแทบเปรียบเป็นมวลน้ำ ดูเย็นๆ ขัดความร้อนรุ่มไปโดยสิ้นเชิง ปล่อยชาวบ้านชาวช่องเล่นหัวเล่นหางของตัวเองได้ตามใจไม่ปริปากบ่นอะไร การที่จะเห็นเขาเกิดความไม่พอใจมันก็ยากๆ พอกับการทำให้นายกรัฐมนตรีของประเทศหนึ่งฉลาดขึ้นมาซักเล็กน้อยได้ ยกเว้นแต่คนคนนั้นจะเข้าข่ายที่ว่าสุดจริงๆ ต่อให้จะทำร้ายเขาขนาดไหนคีอาร์ก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจหรือโกรธเคืองอะไร ใช้ชีวิตเป็นทาสของคนอื่นได้อย่างไม่สนเกียรติสนในศักดิ์ศรี เพราะแบบนั้นถึงได้บอกว่าคนที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาได้นั้นสุดยอดมากจริงๆ สิ่งที่พอจะกระตุ้นให้เขารู้สึกแบบนั้นขึ้นมามีอยู่ไม่กี่อย่าง หนึ่งคือการมาแตะเกล็ดย้อนของเขานั่นเอง คีอาร์มีคนสำคัญที่ไม่สามารถแตะต้องได้เป็นที่รู้กัน ถ้าเกิดมีคนคิดอยากจะลองดีอยากลองแหย่เสือหลับขึ้นมา พอโดนกัดจมเขี้ยวขึ้นมาจะมาร้องโอดโอยครวญครางขอชีวิตทีหลังไม่ได้เช่นกัน ชายหนุ่มมีความคิดที่โหดร้ายเอาเรื่อง ความปราณีไม่จำเป็นต้องมีกับคนแบบนี้ เขาไม่คิดจะฆ่าคนอื่น แต่มีความคิดที่จะทำให้รู้สึกทรมาณแบบอยู่ไม่สู้ตายแทนจะดีซะกว่า มันน่าสนุกมากกว่าเยอะที่จะทำให้พวกนั้นลิ้มรสความรู้สึกของความเจ็บปวดและจมอยู่กับมันไปทั้งชีวิต ความคิดของคีอาร์ปฎิเสธไม่ได้หรอกว่ามันดำมืดขนาดไหน


    พลัง ::


    พาราไซต์ ( Parasite )​

    - พลังสายพิเศษ -​


    เป็นพลังที่ค่อนข้างจะดึ๋ยอยู่นิดนึง อันที่จริงแล้วมันเป็นพลังที่ถูกเรียกว่า ปรสิต ใครต่อใครที่ฟังต่างบอกว่ามันเป็นพลังของความรักจากพระผู้เป็นเจ้า ไฉนถึงมอบชื่อที่แสนน่ารังเกียจเช่นนี้ให้กันเล่า ทว่าก็ไม่มีใครรู้ดีถึงมันดีที่สุดนอกจากผู้ครอบครองอย่างเขา มีความสามารถในการฟื้นฟูรักษาร่างกายของตัวเองในระยะเวลาที่รวดเร็ว ต่อให้จะถูกตัดแขน ตัดขาก็ยังงอกขึ้นมาใหม่ได้ ถูกแทงอก หั่นสับเป็นสองสามท่อน ถูกปาระเบิดอัดจนระเบิดเป็นเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยกองอยู่บนพื้น คีอาร์ก็ยังไม่ตาย สามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากเศษเนื้อเซลล์เล็กๆนั่นให้ขึ้นมากลายมาเป็นตัวของคีอาร์ในรูปแบบไร้บาดแผลดังเดิมได้ เป็นพลังที่ฆ่าไม่ตายโดยแท้เหมือนสภาวะนั้นจะเปลี่ยนเขากลายเป็นสภาพซอมบี้ไปโดยสมบูรณ์ ต่อให้ถูกตัดหัวแยกออกจากตัว เขาก็ยังสามารถบังคับให้ตัวที่ไร้หัวของเขามาถือหัวไว้ในอ้อมแขนได้ โดนผ่าร่างเป็นสองซีกจนตับไตไส้พุงทะลักออกมาก็ยังสามารถกลับสภาพกลายเป็นคีอาร์คนเดิมได้เหมือนเดิม มีเงื่อนไขในการก่อตัวจากสภาพไม่สมประกอบคือต้องมีเนื้อซักชิ้นของเขาหล่นแหมะอยู่จนแทบเรียกว่าเป็นเศษขนตาก็ยังได้ จะเล็กแค่ไหนก็สามารถใช้ได้ อยู่ที่ระยะเวลา หากชิ้นจิ๋วหนึ่งก็จะใช้เวลานานซักหน่อยในการกลับสภาพร่างเดิม แต่มีข้อแม้ว่าหากมันถูกทำลายจนหมดไม่เหลือเศษซักชิ้น อย่างเช่นการถูกไฟเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าไปทั้งหมด อันนี้ไม่รอดแน่นอน เขาก็จะไม่มีโอกาสที่กลับมามีชีวิตได้อีกเป็นครั้งที่สองแล้ว คงความเป็นอมตะของร่างกายจนได้รับขนานนามว่ามนุษย์ที่ฆ่าไม่ตาย ไม่จำเป็นต้องรับยา ไม่ต้องรับการรักษา เพียงแค่ต้องใช้เวลาไม่นานรอคอย บาดแผลที่เคยมีก็จะจางหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน


    แน่นอนว่ามีผลแค่อาการบาดเจ็บเท่านั้น หากหิวข้าวตายหรือหิวน้ำตายอันนี้ใช้ฮีลตัวเองไม่ได้นะ เขาก็เลยแก้ปัญหาด้วยการอีโวขึ้นมาโดยการ กิน สิ่งรอบข้างซะเลย ปรสิตสามารถสิงสู่ปรับตัวได้ในสภาพแวดล้อมรอบด้าน ตัวของคีอาร์ก็เช่นกัน หากหิวขึ้นมาเขาจะหยิบกิ่งไม้แถวนั้นมาเคี้ยวเข้าปากให้เป็นพลังงานของตัวเองก็ย่อมได้ กินได้อย่างไม่รู้บันยะบันยัง​ เป็นความตะกละที่ไม่ยั้งคิด ทุกอย่างที่ขวางหน้าเขาสามารถกินได้หมดตั้งแต่สิ่งของไปจนถึงมนุษย์ด้วยกันเอง กินที่แปลว่ากินจริงๆ ไม่จ้อจี้ เนื้อคืออาหาร ส่วนเลือดคือน้ำ แน่นอนว่าหากอยู่ในกรณีห้องปิดตายกับคนหนึ่ง เขาก็จะเป็นฝ่ายกินอีกฝ่ายเข้าไปอย่างไม่รู้สึกรู้สาเพื่อประทังชีวิตของตัวเอง กินไปไม่ได้อะไรหรอก ไม่ได้พลังด้วย ได้อย่างเดียวคือแค่อิ่มพร้อมนอนต่อ เหมือนพวกกูลในเรื่องของโตเกียวกูลงน่ะ​ค่ะ ลองนึกภาพดู อะไรทำนองนั้นเลย


    อันที่จริงแล้วไม่ได้ใช้ยาไส้เลย แต่ชอบใช้ตอนไม่พอใจใครก็กัดแขนมันให้ขาดไปเลยซัดข้าง


    ( สามารถปรับเปลี่ยนความเหมาะสมได้ตามใจชอบค่ะ โกงไปก็ลดได้ค่ะ หรือว่าอยากเพิ่มอะไรก็เพิ่มได้ตามใจชอบเลย พลังน้องคนนี้รู้สึกแอบหลุดโลกไปจนน่ากลัวเลย มันจะดูดึ๋ยไปบ้าง แหะ ขอฝากด้วยนะคะ )​


    อาวุธประจำตัว ::



    เข็มฉีดยา


    เป็นเข็มฉีดยาที่บรรจุสลบ รวมไปถึงสารพัดยาพิษไว้ตามแต่ละเข็ม ตัวของคีอาร์มักพกติดตัวเป็นยี่สิบสามสิบเข็มซ่อนอยู่ในเสื้อโค้ทของตัวเองโดยแบ่งหมวดหมู่อย่างละเอียด มักเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เช่นตอนที่หลบหนีจะใช้เข็มยาชาปักคอชาวบ้านให้ล้มทื่อลงกับพื้น โดยไม่ลืมเก็บเข็มกลับมาเติมยาเพื่อใช้ไว้คราวหน้าต่อด้วย


    ชอบ :: บะหมี่ / เวลาได้นอน


    เกลียด :: คนที่ทำให้รู้สึกไม่พอใจ / โดนแย่งของกิน ( เคยมีปัญหาแย่งอาหารกับหมาเพราะเรื่องนี้ ตบตีเป็นจริงเป็นจังมาก จนชาวบ้านเวทนา​เอาอีกชิ้นมาให้เขาแทน )​


    เอกลักษณ์ ::


    - ความธรรมดา เรียบง่ายที่ไม่ได้ดูโดดเด่นในสายตาคนอื่น

    - ความอึนมึนงงกับทุกอย่างรอบข้าง

    - เหมือนกับมนุษย์ที่เป็นออทิสติก มีความเข้าใจกับอะไรยาก และ ขาดความละเอียดอ่อนในด้านการใช้ชีวิต

    - เส้นผมสีดำกับดวงตาสีเขียวสดเรืองรองดูแปลกตา

    - ถ้าไม่พูดก่อน ก็ไม่มีทางที่คีอาร์จะตอบ

    - ไร้อารมณ์ทางความรู้สึก และ ไร้อารมณ์ทางร่างกาย ตายด้านต่อคนรอบข้างเช่นเดียวกับความเฉยชาต่อความเจ็บปวด

    - มีความจำที่ดี สามารถจดจำทุกรายละเอียดได้อย่างชัดเจน

    - มีความรู้ความสามารถทางด้านการแพทย์อยู่ไม่น้อย รู้จุดตายจุดอ่อนของร่างกายและโครงสร้างทางร่างมนุษย์เป็นอย่างดีจากอดีตที่เคยอยู่ในครอบครัวตระกูลแพทย์มาตลอด เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จิตใต้สำนึกเป็นตัวบอกให้เขาจดจำไว้ แค่มองปราดเดียวก็สามารถใช้วิชาชีพนี้ได้

    - โดนต่อยไม่หัวเสีย โดนเตะไม่โกรธ ที่ทำให้รู้สึกงุ่นง่านได้คือใช้ตะเกีบบคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาไม่ได้

    - จนมาก ปัจจุบันเป็นคนเร่ร่อนแฝงอาชีพยาจก

    - ความสามารถทางกายภาพต่ำ แรงน้อย แทบไม่ออกกำลังกายเลยเพราะนอนอย่างเดียวเท่าน้้น

    - หลังเขามาก ไม่รู้อะไรกับเขาซักอย่าง ขนาดตอนนี้อยู่ที่ประเทศอะไรยังไม่รู้ชื่อประเทศเลย

    - มนุษย์ที่มีแรงเฉื่อย นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นนอน

    - เห็นหน้าก็รู้สึกหมั่นไส้ ติดนิสัยชอบจ้องหน้าแต่ไม่พูดจนดูเหมือนหาเรื่องชาวบ้านชาวช่องตลอดเวลา


    อยากมีคู่มั้ย ::


    ตัวนี้เราพามาแหกคอกมากจนคิดว่าไม่น่าจะมีคนเอาอยู่แน่เลย เรื่องคู่มีหรือไม่มีก็ได้ค่ะ ตามใจคุณนีสเห็นจะสมควรเลน แต่ความคิดเราให้เขาโสดดีกว่า เพราะหมอนี่บกพร่องเรื่องความรู้สึกมาก ถ้าได้ไปเป็นคนรักก็จะเหมือนเลี้ยงลูกมากกว่าจะเลี้ยงสามี ภรรยาที่อยู่กับนางต้องประสาทแดกตายก่อนค่ะ มีสามีใช้ตะเกียบไม่เป็น คีบเส้นไม่ได้ หงุดหงิดมากก็เลยกินตะเกียบซะเลย (.....) 


    สไตล์การพูด ::

    น้ำเสียงของเขานุ่มทุ้มราบเรียบโมโนโทนไร้การแสดงความรู้สึก หากเปรียบเทียบในปัจจุบันก็เหมือนสิริที่เป็นผู้ชายเนี่ยแหละ ค่อนข้างเป็นคนพูดเบา สั้นกระชับฟังรู้เรื่องทันทีแต่จะติดยานคาง กว่าจะพูดจบหนึ่งประโยคก็ทำเอาคนฟังรู้สึกเหมือนจะสัปหงกได้ แม้ส่วนมากจะเป็นการถามคำตอบคำก็ตาม แทนตัวเองว่า ผม แทนคนอื่นว่า คุณ ไม่ว่าจะเป็นใคร รูปประโยคติดจะห้วนเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี บางทีนึกได้ว่าต้องลงท้ายคำพูดก็ลงท้าย บางทีนึกไม่ได้ก็พูดจาห้วนตามเดิม


    ex.

    " วันนี้อากาศดี "

    " ใช่ครับ "

    " ไม่ใช่ครับ "

    " ไอ้นั่น.. ในมือของคุณ.. มันใช้ยังไง? "

    " ผมทำได้แล้วครับ.. เพราะว่าคุณ.. เป็นคนช่วยเอาไว้ "

    " หิว.. แล้ว กิน.. บะหมี่กัน"

    " ลูกอม.. หวานจัง "

    " ทำไม.. ถึงทำไม่ได้ล่ะ.. ครับ?" 

    " งั้นหรอ.. เข้าใจแล้ว.. "

    " ให้อยู่นิ่งๆ.. เขาบอกให้ผม.. อยู่นิ่งๆ"​

    " อื้อ "

    " ไม่.. ไม่เอา.. อยู่รวมกลุ่ม.. มันวุ่นวาย.. "

    " ยิ้ม? ยิ้ม.. ทำยังไง "

    " ชอบ.. หรอ? "

    " ต่อให้.. ดิ้นรน.. ก็ตายอยู่ดี.. มันไม่มี.. ทางออก คุณ.. คิดว่า... เราจะรอด.. ได้ยังไง.. "

    " เข้าใจแล้ว.. ผมจะทำตาม.. ที่คุณสั่ง.. ครับ "

    " ผม.. ไม่.. พอใจ.. ที่คุณ.. พูด "

    "​ ไม่.. เข้าใจ "

    "​ ฝันดีนะ "

    " อย่า.. ซน "

    "​ ไม่.. ยุ่งแล้ว "

    " ไม่.. เห็นจะอร่อย.. เลยซักนิด "



    ประวัติ ::


    — ประวัติมีความรุนแรงมากนะคะ มีความแหยงนิดหนึ่ง การทำร้ายร่างกาย อาการทางจิต พูดถึงเรื่องยากล่อมประสาท ค่อนข้าง creepy มีการกินที่ไม่เหมาะสมตะกละตะกลามมากจนเกินไป และพูดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ —


    ความรู้สึกที่ว่าโศกเศร้าเสียใจมันเป็นเช่นนี้เองหรือ?

    คีอาร์ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิด สองเท้าของเขาเปลือยเปล่า กำลังก้าวเดินไปตามทางที่ถูกปกคลุมด้วยสีดำอย่างเชื่องช้า ไม่รู้จุดหมายปลายทางที่กำลังมุ่งหน้าไป หัวสมองของเขานั้นโล่งเปล่าไร้ความคิด สายตาเฉยชาสีอ่อนมองไปยังเบื้องหน้า ชั่วครู่ก็รู้สึกปวดหน่วงจนต้องกระพริบตา

    ยามเมื่อลืมตาอีกทีกลับพบว่า​ต​นเองยืนอยู่ท่ามกลางห้องนอนห้องหนึ่ง แสงอาทิตย์ในยามเช้าสอดลอดผ่านหน้าต่างและม่านสีจางออกมากระทบผืนปูเตียงสีเข้ม และดวงหน้าของเขา

    ใบหน้าคมผินมองบานกระจกเงา มันสะท้อนดวงหน้าของเขา, ทว่ากลับเยาวว์วัยกว่าที่เคย มันคือเขาที่ย้อนเวลาเข้าไปสู่ช่วงวัยเด็กแสนสุข เป็นอีกครั้งที่เขากำลังยืนโง่งมอยู่หน้ากระจกบานเดิมที่เขาส่องมาเป็นสิบๆครั้ง

    ใช่ สิบๆครั้ง — คีอาร์ฝันถึงเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เขาต้องกลับมาวนเวียนอยู่ที่นี่ รับรู้ความรู้สึกที่ประเดประดังเข้ามาจนน่าวิงเวียน เฝ้ามองภาพที่แล่นไปตามเนื้อเรื่องเหมือนกำลังดูหนังซักเรื่องที่เขารู้บทสรุปของมันจนหมดสิ้น ครานี้ก็อีกเช่นเคย

    เขาจำมันได้ดี ซักพักเขายืนอยู่ที่นี่ก็มีหญิงสาวนางหนึ่งเข้ามาหาเขา

    แกร๊ก

    เสียงลูกบิดประตูห้องนอนดังขึ้นพร้อมบานประตูสลักลายไม้ฉลุงดงามถูกเปิดออก ร่างของสตรีนางหนึ่งสับเท้าเข้ามาภายในห้องด้วยทวงท่าสง่างาม บนดวงหน้ารูปไข่ของนางประดับประดาความงดงาม เส้นผมสีดำขลับยาวสลวยจรดบั้นท้ายกลมถลึง นัยน์ตาคู่งามสีอเมทิสต์จับจ้องมายังเขาอย่างอ่อนโยน หล่อนสาวเท้าเข้ามาใกล้เขา วางมือนุ่มลงบนกลุ่มผมสีดำเช่นเดียวกันก่อนจะลูบแผ่วเบา

    " คุณชายน้อยของแม่ตื่นเร็วเสียจริงวันนี้ " เสียงหัวเราะหวานใสของมารดาในความฝันของเขาดังขึ้น ดวงตาของหล่อนหยีลงเป็นเส้นโค้งแสดงถึงความสุขใจ ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงก่ำขยับเข้ามากดจูบลงบนกระหม่อมขาวของเด็กน้อยคีอาร์ " เด็กดี เรารีบลงไปทานข้าวกันเถอะ คุณพ่อและพี่ชายนั่งรอเราอยู่นานแล้ว "

    เธอขยับฝ่ามือลงมากอบกุมฝ่ามือเด็กที่เล็กกว่าของเขาเอาไว้ อุ้งมือนุ่มนิ่มมอบความอบอุ่นแผ่ซ่านส่งผ่านให้คีอาร์จนเด็กน้อยเผลอชะงักไปชั่วครู่

    จะกี่ครั้ง กี่ครั้งเขาก็ไม่เคยชินกับความรู้สึกดังกล่าว — ความรู้สึกร้อนผ่าวที่แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจจนกระบอกตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวขึ้นมา

    " คีอาร์? " มารดาของเขาเรียกสติเด็กหนุ่ม กระชากให้คีอาร์หลุดพ้นจากห้วงอารมณ์อันไร้สาระ เขาสะบัดหัวเรียกสติเล็กน้อย เงยหน้าสบสายตาที่เฝ้ามองมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของเธอ 

    ฉับพลันความรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาดก็ซึมซับเข้ามาทั่วในอกจนเขาเผลอเกร็งตัว 

    เอาอีกแล้ว 

    เขาเม้มริมฝีปากแน่น ใบหูอื้ออึง กระบอกตากลับมาร้อนผ่าวอีกคราอย่างน่าประหลาด ครั้งนี้มันแปลกมากเกินไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ควรจะมีมันแล่นริ้วขึ้นมาอัดเต็มความรู้สึก เขาพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกข่มมันลงไปเบื้องล่าง ฝ่ามือเล็กเผลอบีบมือน้อยของสตรีตรงหน้าแน่นขึ้น

    " คีอาร์ลูก " 

    ในชั่ววินาทีแห่งความเงียบงัน สุรเสียงของเธอดังขึ้นอีกคราเรียกใบหน้าของคีอาร์ให้เงยขึ้นสบนัยน์เนตรคู่งามเบื้องหน้า บางสิ่งภายในใจกู่ร้องคลุ้มคลั่งจนเขาเผลอหลุดริมฝีปากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำตอบกลับผู้เป็นมารดา " ไปทานข้าวกันเถอะครับ คุณพ่อกับพี่ชายรอนานจะไม่ดีเอา "

    ทั้งที่ในความทรงจำทุกครั้งของเขา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แตกต่าง

    เป็นครั้งแรกที่เห็นหญิงสาวโฉมงามตรงหน้าคลี่รอยยิ้มแสนหวาน สอดมือเข้ามากอบกุมฝ่ามือเขาแล้วนำพาเขาออกจากห้องนอนกว้างใหญ่ไปด้วยกัน

    มันช่างแตกต่างกับทุกครั้งที่เขามาหยัดยืนอยู่ที่นี่เหลือเกิน

    เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันนะ

    คีอาร์ไม่อาจรับรู้

    เป็นเพราะประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า การหยอกล้อเล่นของเทวาบนสวรรค์ หรือเกิดขึ้นจากความต้องการในส่วนลึกของเขาเอง เด็กหนุ่มก็มิอาจรับรู้ดังเคย



    คีอาร์ ดวอยน์ ดักลาส นามเก่าแก่ที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำที่ยังเหลืออยู่ เขาเป็นบุตรชายคนเล็กสุดในตระกูลขุนนางแพทย์เก่าแก่ดักลาส เด็กหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนโต๊ะอาหารตัวยาว จ้องมองเสต็กเนื้อราดไวน์แดงกลิ่นหอมกรุ่นที่ลอยขึ้นแตะจมูก ทุกอย่างยังคงรูปแบบเดิม ไม่มีใครเพิ่มจำนวนขึ้นบนโต๊ะอาหาร บิดาผู้เคร่งขรึมของเขานั่งอยู่บนหัวโต๊ะ มีมารดานั่งขนาบข้างทางซ้าย พี่ชายคนโตขนาบข้างทางขวา ตามมาด้วยคีอาร์ที่นั่งลงเคียงข้างผู้เป็นพี่ชายของเขา บนโต๊ะกรุ่นกลิ่นอายด้วยความสุขของครอบครัวนั้นลอยไปทั่ว เหล่าพ่อบ้านแม่บ้านและคนใช้ที่เห็นต่างก็อมยิ้มกันกับความอบอุ่นเล็กน้อยภายในครอบครัวกันถ้วนหน้า

    คีอาร์รู้สึกแปลกประหลาดกับความฝันครั้งนี้ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอยู่กลางห้อง ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามแบบเดิม ทว่าความรู้สึกของเขากลับบอกว่ามันไม่ใช่ มีความรู้สึกประหลาดที่แทรกซึมเข้ามาแผ่ซ่านอยู่กลางใจ สัมผัสถึงความสุขที่ทั้งชีวิตของตนไม่เคยได้สัมผัส รสชาตินุ่มนวลของเสต็กเนื้อที่ในชีวิตไม่ว่าเขาจะตักมันเข้าปากเท่าใดก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเอร็ดอร่อยจนอยากที่จะทานเพิ่ม ยามเมียงมองรอยยิ้มนุ่มนวลของผู้เป็นมารดาก็นึกอยากจะเปล่งเสียงออกมาเจื้อยแจ้ว ทำตัวออดอ้อนผู้เป็นบิดาถึงความเหน็ดเหนื่อย คลี่รอยแย้มยิ้มวิ่งไปเล่นกับผู้เป็นพี่ชายให้รู้สึกราวกลับว่ากลับไปเป็นเด็กน้อยอีกคราหนึ่ง

    ทุกอย่างในชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อย เวลาไหลผ่านวันแล้ววันเล่ามันยังคงรูปแบบลูปเดิมที่เขาเคยเจอไม่ผิดเพี้ยน ทุกตัวละครที่เขาได้เห็นยังคงทำแบบเดิม บิดาบ้างานไม่กลับบ้านช่อง มารดาเป็นเลดี้ที่ชอบเข้าสังคมพบปะกับมิตรสหายคนอื่นในสวนนั่งเล่น เสียงหัวเราะคิกคักของเหล่าคุณนายเป็นสิ่งที่เขาได้ยินอยู่บ่อยครั้งบ่อยคราวลอดผ่านมาทางหน้าต่าง พี่ชายของเขาก็ยังเป็นเด็กน้อยที่มีความมุ่งมั่นอยากจะกลายเป็นอัศวินเพื่อปกป้องผู้คนบริสุทธิ์ไม่ผิดเพี้ยน คีอาร์เฝ้ามองทุกอย่างที่ดำเนินไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในใจ เขาได้รับการเรียนการสอนจากครูที่บิดาจ้างมาสั่งสอนให้สมฐานะบุตรแห่งตระกูลดักลาส เขาจดจำเนื้อหาที่พวกครูเหล่านั้นพร่ำสอนได้เป็นอย่างดี มันไม่มีสิ่งใดแตกต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย ปลายปากกาขนนกจรดลงบนหน้ากระดาษสีขาวด้วยลายมือสีขาวสะอาด 

    เสร็จสิ้นการจดบันทึกหลังจากเรียนเสร็จสิ้น

    บันทึกครั้งที่สิบเกี่ยวกับการเรียนรู้แสนซ้ำซากของคีอาร์

    เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทิ้งแผ่นหลังเอนพิงเก้าอี้ไม้แข็งของตนหลังจากขยับฝ่ามือพลิกปิดหน้าสมุดลง เหม่อสายตาออกไปไกลแสนไกล เฝ้ามองท้องฟ้าสีนภาประดับประดาด้วยเหล่ามวลก้อนเมฆที่ลอยตัวเข้ามาบดบังพระอาทิตย์ให้หม่นแสงลง

    อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ยามราตรี

    จุดสิ้นสุดของความฝันที่วนเวียนซ้ำสิบรอบคือช่วงเวลาที่ความมืดได้เข้ามากลืนกินทุกอย่าง

    แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ถูกมันกลืนกินจมหายไปกับสีดำทมิฬ ทุกครั้งที่เข้ามาสู่ความฝันวนลูปนี้ เขาสามารถจดจำจุดเริ่มต้นของตนได้อย่างขึ้นใจ ทว่าหากถามถึงจุดจบ มันกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถตอบได้

    บทสรุปของความฝันเป็นอย่างไร ทุกครั้งที่เขาตื่นขึ้นมาก็ไม่มีความทรงจำที่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย

    เริ่มต้น เคลื่อนผ่านมายังจุดกึ่งกลางคีอาร์ไม่เคยลืมเลือน 

    จุดจบของมันเป็นสิ่งเดียวที่เขาสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอด คราแรกที่เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากห้วงความฝันอันแสนยาวนาน เขาปราถนาที่จะขวนขวายหาคำตอบในบทสรุปเหล่านั้น ทว่าไม่ว่าจะทำอะไร พยายามด้วยวิธีไหนก็ไม่อาจจดจำมันได้ จนเริ่มหลงลืมไปตามกาลเวลา 

    กระทั่งยามนี้มันปลุกความรู้สึกที่อยากรู้ของเขากลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

    จิตใต้สำนึกของเขากำลังกู่ร้องขึ้น บอกให้คีอาร์ต้องรับรู้ถึงมัน

    " คีอาร์ " 

    " ครับ? " 

    เสียงของผู้เป็นพี่ชายกระชากเขาหลุดจากภวังค์เหม่อลอย เบนใบหน้าหันกลับมาสบสายตาดวงหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาตนเกือบสี่ส่วน ต่างกันแค่สีนัยน์ตาที่เป็นสีอเมทิสต์เช่นเดียวกับผู้เป็นมารดา ขณะที่เขาสืบทอดรูปแบบทุกอย่างมาจากคนเป็นพ่ออย่างเด่นชัด อีกฝ่ายอยู่ในสภาพเหงื่อซ่กร่างกาย ริมฝีปากหยักเผยอหอบหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะวาดรอยยิ้มเจิดจ้าขึ้นมาประดับบนใบหน้า

    ดวงตาคู่งามราวประดับดวงดาวในนั้นพราวระยับ

    " วันนี้พี่ได้ยินมาว่าจะมีดาวตก น้องสนใจไปดูกับพี่หรือไม่ " อีกฝ่ายว่าด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ท่าทางแสดงออกถึงความคาดหวังจนคีอาร์เผลออ้ำอึ้งไปเสียพักใหญ่ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้เขาปฎิเสธอยู่แล้ว

    เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงมองท่าทางนั้นอย่างเงียบงัน ก่อนพยักหน้าตอบรับคำพูดของคนเป็นพี่ชายอย่างสดุดีในเวลาถัดมา

    ไม่ได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนไปที่ไม่เคยมีมาก่อนในห้วงความทรงจำเขา

    คีอาร์ตอนนั้นเพียงแค่รู้สึกมีความสุข

    เขากำลังรู้สึกยินดีที่ได้ทำให้บนใบหน้าของคนเป็นพี่นั้นวาดเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สองแขนชูขึ้นสูงกระโดดโลดเต้นราวได้รับคะแนนสูงสุดในวิชาฟันดาบที่อีกฝ่ายตั้งใจนักตั้งใจหนา

    มันก็ไม่เลวดีเหมือนกัน

    ความรู้สึกของสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว

    ความอบอุ่นถูกจุดขึ้นมาอยู่กลางใจของคีอาร์ เปรียบเสมือนเปลวเพลิงแสนอบอุ่นที่ปลอบชโลมเขาผู้ไม่เคยได้รับความอ่อนโยนแห่งพระผู้เป็นเจ้า


    เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นมาในยามค่ำคืน ผ้าม่านสีอ่อนถูกสายลมแผ่วเบาพัดหวีดหวิวให้เคลื่อนขึ้นเผยให้เห็นดวงจันทรากลมกลึงที่ขึ้นมาแทนที่ดวงอาทิตย์

    คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย

    ทำไมพี่ชายถึงไม่ยอมมาซักที 

    เวลาล่วงเลยจนเกือบเข้าเที่ยงคืน หน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาสีทองเด่นชัดในความมืด เข็มสีทองเลื่อนเกือบชี้เลขสิบสอง

    เขาลุกออกจากที่นอนนุ่ม หย่อนฝ่าเท้าลงบนพื้นแผ่วเบาไปยังประตู มือหมุนลูกบิดเปิดประตูพยายามทำให้เกิดเสียงเบาที่สุดเพื่อที่จะไม่รบกวนบิดามารดาที่อยู่ห้องข้างๆ

    ท่ามกลางความมืดที่เขาคุ้นชินดีกับทางเดินที่เห็น​เ​ป็นสิบรอบ ทำให้ไม่มีปัญหามากเท่าใดนักกับการหลบหลีกสิ่งกีดขวางระเกะระกะข้างทาง

    เขาคิดที่จะไปห้องของพี่ชาย หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้หลับอุตุอยู่บนเตียงจนลืมสัญญาของเขาหรอกนะ แบบนั้นเขาควรจะแกล้งโกรธอีกฝ่ายซักหน่อย

    เป็นคนชวนเองแต่ดันผิดนัดเองอีก

    ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไร ความสนใจของคีอาร์กลับถูกดึงไปในอีกทางแทน ถัดลงไปจากบันไดขึ้นมาสู่ชั้นสองที่เขายืนอยู่ ในโถง — รู้สึกว่าจะเป็นช่วงแถวห้องรับประทานอาหารมีไฟสว่างเปิดรำไรอยู่

    ใคร? 

    มีคนตื่นอยู่? 

    หรือว่าเป็นคนร้าย? 

    ความสงสัยเอาชนะความรู้สึกกลัวที่แล่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ตัวเด็กหนุ่มสั่นระริก​เล็กน้อย กระนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะลงไปดูมันให้เห็นกับตา

    เผื่อว่าจะมีใครซักคนยังไม่หลับไม่นอนให้เขาต้องเตือน

    คีอาร์เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงไปมากโขของตนขณะที่ก้าวเท้าลงบันไดเดินไปยังชั้นล่าง ในหัวครุ่นคิดถึงความรู้สึกมากมายที่เป็นมุมมองที่เขาเผลอหลงลืม

    นัยน์ตาเริ่มชินชากับความมืด เขาย่ำเท้าไปอย่างไม่เร่งรีบนักเดินไปที่โต๊ะอาหาร แสงเทียนสีส้มถูกจุดอยู่กลางโต๊ะเพิ่มความสว่างเล็กน้อย หยาดน้ำตาเทียนไหลเกาะเต็มตัวแท่งจนรูปทรงมันบิดเบี้ยว

    ร่างของเด็กหนุ่มหยุดชะงักลง เขาไม่เข้าใจ

    บนโต๊ะอาหารที่ถูกปูผ้าสีสะอาด ไม่น่าแปลกใจเท่ากับการมีคนมาเข้าร่วมมื้ออาหารในยามค่ำคืน บิดาของเขายังคงนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ มารดาของเขายังนั่งขนาบข้างหนึ่งของบิดาเช่นเดียวกับพี่ชาย ที่เบื้องหน้าของพวกเขามีจานเปล่าวางอยู่ ทุกคนมานั่งครบตำแหน่งพิธีการ เหลือก็แต่เจ้าของที่นั่งและจานเปล่าอีกใบที่อยู่เคียงข้างกับผู้เป็นพี่ชาย

    นั่นคือเขา

    มันเป็นที่นั่งของเขาเอง

    " เคียร์ มาแล้วหรือลูก " มารดาเป็นคนสังเกตเห็นเขาก่อน เอ่ยเรียกเขาด้วยสรรพนามแปร่งหูที่ไม่คุ้นชิน

    เหตุใดถึงเป็นเคียร์? 

    เธอยังคงรอยยิ้มอ่อนหวานไว้เช่นเคย ดวงหน้าโฉมงามเปล่งประกายกระทบแสงเทียน

    ช่างดูงดงามราวภาพเขียนจิตกร

    ทว่าชั่ววูบหนึ่งเขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผลกไป

    มันน่าขนลุก และ น่าสะอิดสะเอียนจนเด็กหนุ่มมเผลอผงะถอยหลังหนีไปสองสามก้าว

    " เคียร์ ทำไมยังไม่มานั่งอีกล่ะ " คราวนี้เป็นพี่ชายที่อ้าปากร้องเรียก ใบหน้าหันมามองเขาด้วยดวงตาดำมืด อีกฝ่ายคลี่ยิ้มกว้าง ตบฝ่ามือลงบนเบาะนุ่มบนเก้าอี้อีกที่ที่ว่างเปล่า

    " มานั่งสิจ๊ะ เราจะได้เริ่มมื้ออาหารของเรา อ๋า แม่ตื่นเต้นจะแย่ ครั้งนี้จะมีอะไรให้ทานกันนะ " เธอยกมือขึ้นกอบกุมแก้มอิ่ม ดวงตาล่องลอยเคลิ้มฝัน นึกถึงอาหารแสนอร่อยในมื้อยามค่ำที่เธอเคยลิ้มลองยังคงตราตรึงใจกับมันอย่างเช่นเคยจนอาหารทุกอย่างไร้รสชาติไปโดยสิ้นเชิง

    คีอาร์อ้ำอึ้งเหมือนคนน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะหลุดสิ่งใดลอดผ่านออกไปดี

    เห็นท่าทาง​คะยั้นคะยอจากพี่ชาย อ้อนวอนจากคนเป็นแม่ สายตาที่เฝ้ามองมาของผู้เป็นบิดาก็ทำให้เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ พยักหน้าตอบรับคำพูดก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกค​นเป็นพี่ดึงออกมารอนั่ง

    ก้นแตะลงบนเนื้อนุ่มของเก้าอี้ไม่ได้เท่าไหร่ คนเป็นบิดาก็ปรบมือสามครั้ง เสียงผิวเนื้อกระทบกันดังก้องกังวาลในความมืดที่มีเพียงแสงเทียนสองสว่าง

    ไม่นานนักเสียงล้อเคลื่อนก็ดังขึ้นในระยะโสตประสาท รถบรรจุเมนูอาหารที่ถูกฝาสีทองคำปิดไว้เลื่อนมายังเบื้องหน้า จานถูกยกขึ้นวางลงกลางโต๊ะ

    เขาได้เห็นกริยาหลายอย่างจากคนรอบข้าง

    คนเป็นพี่ชายสองมือจับช้อนส้อมไว้คนละข้าง กระแทกมันลงบนโต๊ะรัวๆจนเกิดเสียงดังตึงๆจากเหล็กกระทบไม้ดังขึ้น

    มารดาของเขาแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีเสียมารยาทเหมือนคนเป็นพี่ แต่สายตาที่วาววับของเธอก็พอจะบอกให้รู้ว่าต้องการที่จะลิ้มลองมันมากขนาดไหน

    ส่วนบิดาพยักหน้าราวพึงพอใจในบางสิ่ง ดวงตาของเขากวาดมองไปที่สมาชิกที่นั่งอยู่ทีละคน ไล่ตั้งแต่พี่ชาย ภรรยาของตนและมาหยุดอยู่กับบุตรชายคนเล็ก

    สองสายตาประสานกัน ต่างฝ่ายต่างจ้องลึกราวจะกรีดกระชากกำแพงที่ปิดบังอยู่ให้พังทลาย

    ลึกลงไป

    ลึกลงไปในตัวตน

    เข้าไปในความจริง

    เขาเห็นประกายบางอย่างแล่นพาดผ่านในดวงตาของอีกฝ่าย แม้ในเสี้ยววิถัดมามันจะจางหายไปอย่างรวดเร็วก็ตาม

    " เอาล่ะ " เนิ่นนานกว่าเขาจะได้ยินเสียงผู้เป็นบิดา อีกฝ่ายปรบมือเรียกความสนใจจากทั้งสอง " วันนี้เป็นวันแรกที่เคียร์ ลูกชายของเรามาร่วมบนโต๊ะอาหาร เราจะต้องเอาใจเขาเป็นพิเศษซักหน่อย " 

    [ จากนี้ขออนุญาตบรรยายเป็นแบบนี้แทนนะคะ เนื่องจากช่วงต่อไปค่อนข้างมีความรุนแรงด้วย เราบรรยายโดยรวบให้มันรวบรัดไปเลยดีกว่า มื้ออาหารมื้อนั้นเป็นมื้อแรกที่น้องสัมผัสความสยองขวัญค่ะ ตระกูลแพทย์ของน้องเนี่ยไม่ใช่ตระกูลปกติแล้ว เบื้องลึกเบื้องหลังมันคือตระกูลคลั่งพระเจ้าค่ะ คลั่งศาสนา เชื่อมั่นในคำสั่งสอน ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวแค่ไหนก็ยังรับฟัง ไอ้อาหารในถาดเนี่ย พอเปิดออกมาก็คือยังเป็นเนื้อสดชุ่มเลือดอยู่เลย สิ่งที่ทำให้น้องพะอืดพะอมมากก็คือจานตรงกลางที่ถูกเปิดออกมา มันคือหัวมนุษย์ที่ยังสดอยู่เลย ดวงดำมืดเป็นหลุมเพราะลูกตาถูกควักลงมาวางข้างตัวแล้ว ริมฝีปากอ้าค้างให้เห็นฟันที่ถูกเลาะออกและลิ้นที่ถูกตัดเตี้ยน มื้ออาหารครั้งแรกที่เขาจดจำไปตลอดทั้งชีวิตคือเขากินคน จำสัมผัสคาวในปากได้ชัดเจน เสียงกรุบกรับในโพรงปากท่ามกลางสายตาคาดหวังของสามคนที่นั่งอยู่ ให้เขาเป็นประเดิมก่อนตัวเองค่อยกินตาม หลังจากนั้นน้องก็วิ่งหนีอาเจียนสำรอกออกมาตามระเบียบ มันเป็นจุดจบที่เขาไม่เคยรู้ ปกติน้องจะจำไม่ได้ คราวนี้รู้ชัด แถมยังมีภาคต่ออีก

    ชีวิตในฝันน้องระแวงมาก หนีไปนอน ตื่นขึ้นมาคือมองหน้าใครไม่ติดเลย ทุกคนทำตัวปกติ มีแค่น้องที่ไม่ปกติ ยังคงอยู่ในความสับสนมึนงง ในตอนเช้าทุกคนเรียกน้องคีอาร์ แต่ทุกกลางคืนที่น้องถูกเรียกลงไปรับประทานอาหารค่ำด้วยจะถูกเรียกว่าเคียร์ จะหนีก็ไม่รอด เคยที่จะเบี้ยวไม่เข้าร่วมไปทว่าถัดมาประตูก็ถูกทุบปึงปังพร้อมน้ำเสียงดุร้ายของคนเป็นพี่

    จนแล้วจนรอดน้องก็ต้องกล้ำกลืนกินเมนูมนุษย์ที่สรรหามาทุกวันเพื่อความเป็นอมตะอันเป็นนิรันดร์ที่ได้กลืนกินชีวิตของคนอื่น ความเชื่ออันบิดเบี้ยวของคนในตระกูลเขายิ่งสัมผัสมันได้อย่างถลำลึกมากขึ้น  เวลาชั่วฝัน แต่น้องเหมือนได้อยู่ได้เติบโต เจอคนประสาทแดกที่อยู่ด้วยกันมา แน่นอนว่ามันก็เลยเปลี่ยนความคิดน้องให้ประสาทแดกตาม มันเริ่มวิกลจริตตามคนอื่นทีละเล็กละน้อยแบบไม่รู้ตัว จากหวาดผวากลายเป็นเฉยชา น้องจำได้ตอนที่เข้าฝันมาน้องอายุสิบห้ากว่าปี พอมาหยุดยืนน้องเติบโตขึ้นมาสามปีกลายเป็นสิบแปด งานวันเกิดของน้องถูกจัดขึ้นในครอบครัว

    ตอนกลางคืนอีกแล้ว เป็นครั้งแรกที่พลังน้องตื่นขึ้น ตอนนี้น้องเผลอทำแก้วไวน์ตกบาดนิ้วตัวเองจนเหวอะ เลือดอาบส่งกลิ่นคลุ้งเรียกสายตาวาววับจากคนรอบข้าง แต่แผลน้องกลับถูกรักษาหายด้วยเวลาอันรวดเร็วจนเหลือแค่รอยเลือด วินาทีนั้นคืออื้ออึงมาก น้องได้ยินว่าเสียงที่พูดขึ้นมาว่าน้องกลายเป็น ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก ก่อนจะตามมาด้วยความเจ็บแปลบที่ศีรษะจนต้องล้มไปกองกับพื้น วันนั้นน้องโดนครอบครัวรุมทึ้ง กิน น้องเพราะความเชื่องมงายค่ะ กลายเป็นอาหารบนจานทองคำแทน ฉีกแขนฉีกขา ยังจำได้ดีถึงกลิ่นคลื่นเหียน ร่างกายสภาพที่กลายเป็นเหมือนเศษก้อนเนื้อและความเจ็บจนไม่อาจอธิบายได้แล่นไปทั่งร่าง แต่น้องไม่ตาย จากก้อนเนื้อก็กลายมาเป็นคนอีกรอบ มันก็กลายเป็นวงจรอุบาทว์​ไม่รู้จักจบสิ้นตรงที่น้องก็จะโดนครอบครัวฆ่าเพื่อกินอีกรอบ ทุกครั้งตะเกียกตะกายหนีความเจ็บปวด ร้องไห้จนใจชา กรีดร้องจนเสียงแหบแห้ง นิ้วมือแตกระแหงครูดไปกับพื้นจนภลอกปอกเปิด พยายามพาตัวเองคลานหนีออกไปยามไม่มีขา แต่สุดท้าย — หนึ่งไม่อาจสู้สี่ก็พ่ายแพ้และตกเป็นอาหารอยู่ดี เคยเจ็บมากซักพักก็แปรเปลี่ยนเป็นความเฉยเมย เขาโดนรุมทึ้ง โดนรุมกิน เวลาล่วงเลยผ่านไปจนไร้ความรู้สึก เฝ้ามองหน้าท้องที่ถูกผ่า กระดูกที่แทงทะลุตัวได้อย่างหน้าตาเฉยไม่มีความรู้สึก ต่อให้เจ็บเจียนตายขนาดไหนก็กลับมาเช่นเคย ต่อให้กำลังจะตาย พระผู้เป็นเจ้าก็เหมือนนึกสนุกสนานนำพาเขากลับมามีชีวิตและพบเจอกับความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่ามกลางครอบครัววิปลาศ เด็กน้อยผู้หวาดผวาได้แปรเปลี่ยนตัวตนกลายเป็นเด็กหนุ่มผู้เฉยชา มีชีวิตอยู่เพื่อกลายเป็นเพียง อาหาร หลงลืมตัวตน หลงลืมความเป็นตัวเอง หลงลืมการใช้ชีวิต หลงลืมแม้กระทั่งความรู้สึก จะมีไปทำสิ่งใด ในเมื่อทั้งชีวิตของเขาก็เกิดมาเป็นเพียงแค่ผู้ถูกกลืนกินเท่านั้น ในหัวคือที่มีชีวิตมาโดนสอนแค่ว่า อยู่เพื่อกิน กินเพื่ออยู่ โดนล้างสมองจนมีสภาพเหมือนเด็กที่เพิ่งเริ่มการใช้ชีวิต

    จุดสิ้นสุดของบทสรุปอยู่ที่ — ในจุดที่เหมือนจะหลงลืมไป จิตใต้สำนึกของน้องก็ปลุกตัวเองขึ้นมาทำให้ชั่ววูบเกิดความผิดพลาด ทุกครั้งที่น้องจำได้ว่ากำลังจะถูกสังเวยกินแด่พระเจ้า น้องพลั้งมือฆ่าแม่ตัวเองตายก่อน ความสนใจของพ่อและพี่ชายน้องเลยพุ่งไปกินแม่แทน ตะกละตะกลามไม่ยั้งคิด น้องได้แต่ยืนมองภาพนั้นนิ่ง เพียงแค่มีเหยื่อสังเวยคนหนึ่งคนอื่นก็พร้อมที่จะพุ่งไปโดยไร้การไตร่ตรอง ความสงสัยน้องไปสะดุดอยู่เข้ากับบานประตูห้องหนึ่งที่เปิดแง้มไว้ ในความมืดน้องเลยเนียนใช้เข้าไปดู นั่นเป็นสิ่งที่ความจริงเปิดเผยขึ้น ในนั้นมีคัมภีร์ศาสนามากมาย พร่ำสอนเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า เนื้อหามันบิดเบี้ยวไปจนหมด รอบข้างในความมืด กลิ่นคาวคละคลุ้งจากร่างมารดา เขาสังเกตเห็นป้ายชื่อบางอย่าง เคียร์ ดวอยน์ ดักลาส 

    แท้จริงแล้ว — แท้จริงแล้ว เคียร์ต่างหากที่เป็นบุตรชายที่แท้จริงของตระกูลดักลาส ส่วนคีอาร์, คีอาร์เป็นเพียงเด็กหนุ่มท่ามกลางสายฝนกระส่ำห่าใหญ่ เนื้อตัวผอมซูบซีด ดวงหน้า​อ​่อนเยาว์ในคราแรกสะท้อนสู่สายตาของผู้ที่เรียกตนเป็นบิดรของเขา แท้จริงแล้วมันคลับคล้ายคลับคลากับเคียร์อยู่หลายสัดส่วน นั่นเลย​เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงถูกเรียกว่าเคียร์ เพราะแท้ที่จริงแล้วเขาถูกมองเป็นตัวแทน เงาแสงของเด็กหนุ่มผู้ล่วงลับไปตั้งนานแล้วต่างหาก บิดาหาเขามาเพื่อไม่ให้มารดาที่เสียบุตรชายคนเล็กอันเป็นที่รักนั้นเศร้าโศกมากจนเกินไป หลอกลวงทั้งเธอ หลอกลวงทั้งตน หลอกลวงบุตรชายคนโตจนเบี้ยวบิดหลีกหนีความเป็นจริง กระดาษปึกใหญ่ถูกวางอยู่บนโต๊ะทำงานข้างเข็มฉีดยาสาหลอดที่ไร้ของเหลวอยู่ในนั้น เนื้อความในกระดาษเกี่ยวกับการทดลอง — ทดลองตัวยาที่หลอกสมองให้เห็นเป็นภาพที่มีความสุขที่สุด มันถูกฉีดให้กับครอบครัวสกุลดักลาสทั้งสามคนที่ไม่อาจทนความเศร้าโศกได้ไหว บิดาของเขาใช้ความสามารถทางการแพทย์เป็นตัวประดิษฐ์มันขึ้นมา ฤทธิ์คือการหลอนประสาท ไม่มีผลในยามที่กำลังมีความสุข หากว่าเจ้าของร่างกายมีความเสียใจเมื่อไหร่จะหลอกหลอนประสาทให้เห็นภาพหลอนจ่าขึ้นชัด มันแสดงให้เห็นว่าตัวตนของเคียร์ถูกซ้อนทับลงบนตัวเขาตั้งนานแล้ว การที่เขาโดนฉีกกระชากกายเนื้อ มันเป็นเพียงการแสดงความรักที่บิดเบี้ยว รักมากจึงต้องกลืนกิน มุมมองความรักแสนวิปลาศ เมื่อ​เสียไปครั้งหนึ่ง อีกครั้งที่กลับคืนมาจึงต้องกินให้รู้ถึงความรัก เป็นเพราะความปราณีของผู้เป็นเจ้าที่มอบกลับมาให้ก็ต้องกินเพื่อแสดงความเคารพกลับต่อพระผู้เป็นเจ้า วนซ้ำไปซ้ำมา — ความจริงที่เปิดเผยทำเขาอื้ออึงไปเสียพักใหญ่ มันหนักอึ้งในใจจนพูดไม่ออก 

    จุดจบของเรื่อง แท้จริงเป็นเช่นนี้เองหรือ? 

    ครอบครัวที่กล่าวกันว่าแสนสุข มันเยือกเย็น และ โหดร้ายมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ? 

    เขาไม่ได้ถูกรักอย่างแท้จริงเสียด้วยซ้ำ  เป็นครั้งแรก เขายืนนิ่งอย่างโง่งมอยู่ตรงนั้น ขอบตาพลันร้อนผ่าว ไม่อาจสะกดกลั้นของเหลวสีใสที่ไหลลงมาอาบแก้มอย่างเชื่องช้า 

    ก้อนเนื้อในอกบีบรัดกันอย่างปวดหน่วง

    ความเสียใจที่ได้รับ แท้จริงหลงลืมมาอย่างยาวนาน ทรมาณถึงขนาดนี้เชียวหรือ? 

    เด็กน้อยผู้สิ้นหวัง ความรู้สึกที่แสดงถึงความรักแตกร้าวไม่มีชิ้นดี เขาออกไปภายนอก กลิ่นคาวเลือดเจือจางลง สังเกตเห็นร่างสองร่างที่นิ่งอึ้ง ร่างของบิดรประคองร่าง ที่แทบไม่อาจเรียกว่าเป็นมนุษย์ของผู้เป็นมารดาในไว้ในอ้อมแขน หยาดเลือดหลั่งรินอาบไล้อาภรณ์จนชุ่มฉ่ำ เนื้อตามตัวของเธอถูกกัดแทะจนเห็นกระดูกสีขาว เห็นเป็นรอยฟันที่กัดกระชากออก ดวงหน้าที่เคยงดงาม บัดนี้กับเละเทะจนไม่อาจมองเห็นเค้าความงามได้อีกแล้ว

    เสียงกรีดร้องดังขึ้น 

    เขาสัมผัสได้ถึงความแตกสลายในน้ำเสียง

    ยามที่ความรู้สึกขึ้นแตะความสุขที่สุด ทำให้อาการหลอนทางสมองสลายหายไป

    และเมื่อกลับมาสู่ความเป็นจริง สิ่งที่ได้พบก็ช่างโหดร้ายเกินกว่าผู้ใด

    ไม่นานนักเสียงกรีดร้องที่เคยร่ำไห้ก็แปรเปลี่ยนเป็นการหัวเราะ หัวร่อ​อย่างคลุ้มคลั่งราวคนที่เสียสติ เขาเฝ้ามองผู้เคยเป็นบิดาโอบกอดร่างเละเทะของมารดาไว้แนบแน่น พร่ำบอกความรักด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขทั้งที่หยาดน้ำตากำลังรินไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ

    ฝ่ามือของคีอาร์เผลอแตะกับด้ามขวานที่นอนพิงอยู่กับกำแพง

    ชั่ววูบ — ความคิดบางประการแล่นขึ้นพาดผ่านขึ้นมาในหัวของเขา นัยน์ตาสีเขียวสดปรากฎแววตาดำมืดขึ้นมา 

    เรียวนิ้วแตะลงบนด้ามขวาน ดึงมันขึ้นมากอบกุมด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่อย่างเชื่องช้า พินิจความคมกริบของปลายด้ามขวาน แวววาวสะท้อนกับนัยน์ตาของเขาให้เห็นถึงประกายความคลุ้มคลั่งที่ปรากฎอยู่ภายใน

    นิ้วเรียวแตะลงบนความคมกริบ มันบาดเอาหยาดเลือดไหลซึมอาบไปตามด้ามสีเงิน 

    เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บ กลับกันยิ่งกดให้มันบาดลงมาลึกขึ้นจนจมลงไปกับผิวเนื้อ แตะเลื่อยกระดูกราวกับจะให้มันขาดออกจากกัน

    เท้าเยื้องย่างไปเบื้องหลัง ในดวงตาสะท้อนเพียงแผ่นหลักกว้างของเสาหลักของครอบครัว 

    ใกล้ขึ้น

    ใกล้ขึ้นทีละนิด

    จนหยุดลง

    และตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เงื้อมันขึ้นแล้วฟาดฟันลงมา



    เขานั่งเงียบอยู่กับตัวเอง เสื้อผ้าอาภรณ์ชุ่มฉ่ำด้วยคาวเลือดสีแดง ขวานในมือถูกโยนทิ้งไปด้านข้าง คีอาร์เป็นผู้ล่าเหนือห่วงโซ่อาหารเพียงคนเดียวที่มีชีวิตเหลือรอดเพียงคนเดียว

    เขาทอดสายตามองร่างไร้ลมหายใจของมารดร บิดา และผู้เป็นพี่ชายที่ล้วนแล้วแต่มาจากฝีมือของเขาทั้งสิ้น

    ก่อนหลุบสายตาก้มลงมองสองฝ่ามือที่เปรอะเปื้อนด้วยเลือด

    ลมหายใจแผ่วเบาพาลเอาหยุดชะงัก

    ไม่มีแม้แต่โกรธเคือง ไร้ความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจ ไม่หลงเหลือแม้ซักเสี้ยวความอบอุ่น

    แต่น่าแปลกว่าทำไมเขากลับรู้สึกถึงความเปียกแฉะที่ข้างแก้มจนต้องยกมือขึ้นมาแตะ

    พบว่าหยาดน้ำสีใสกำลังไหลรินลงมา

    ขอบตาของเขาพลันร้อนผ่าว ราวมีบางสิ่งอัดแน่นอยู่ให้ไม่สามารถสูดลมหายใจได้ตามสะดวก

    คีอาร์เอื้อมมือไปแตะผิวข้างแก้มเย็นเฉียบของคนเป็นพี่ชาย ไล้ปลายนิ้วไปตามเนื้อขาวสะอาด ทิ้งร้อยปื้นแดงของคราบเลือดไปเป็นทาง

    เบนสายตาหันไปมองผู้เป็นบิดาที่นอนอยู่เคียงข้าง ดวงตาเบิกโพลง แสดงความหวาดผวาที่แล่นวนอยู่ภายในนั้นอย่างเด่นชัด

    รัก

    รักมาก

    และ หากว่ารักมากก็จำเป็นต้องกลืนกินเพื่อแสดงความรัก

    " คุณเคยบอกผมเอาไว้เช่นนั้น " 

    น้ำเสียงแผ่วเบาดังก้องขึ้นในความมืด ว่ากับความว่างเปล่าที่คอยรับฟังแทนที่สิ่งอื่นใด เขาละปลายนิ้วออกมาจากข้างแก้ม ยกเรียวนิ้วที่ชุ่มด้วยเลือดขึ้นแตะลงบนปลายลิ้น

    ความรู้สึกคาวคลุ้งกระจายไปทั่วโพรงปาก

    ช่างน่าวิงเวียนจนอยากจะอาเจียนออก

    ไม่เห็นจะอร่อยเลยซักนิด

    มันทั้งคาวคลุ้ง ขมปร่า 

    แต่กระนั้น ทั้งที่ไม่อร่อย 

    เขาก็ยังคงนั่งแตะมันลงบนปลายลิ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับซึมซับความรักที่ตนได้เผลอทำหล่นหายไปเมื่อกาลก่อน

    พร้อมกับหยาดน้ำสีใสที่หลั่งรินลงมาอาบข้างแก้ม หยดลงซึมสู่หน้าตักจนกางเกงเปียกชุ่ม


    บทสรุปของความฝันที่แสนยาวนานของเขาก็เป็นเช่นนี้ ยามนั้นแทบจะเป็นครั้งแรกที่ตัวของคีอาร์สัมผัสถึงความเสียใจ เขาเศร้าโศก แม้ใบหน้าเรียบนิ่งราวรูปปั้น แต่หยาดน้ำตากับรินไหลไม่หยุด หัวใจเองก็ปวดหนึบมากเช่นกัน

    รสชาติความรักของเขา มันขมปร่าสิ้นดี

    ถัดจากวันนั้น

    คีอาร์ไร้จุดหมาย เขาเปรียบเสมือนกับคนโง่งมที่ไม่รู้จะเดินต่อไปทางใดดีเมื่อไร้ผู้ควบคุม อยู่เพื่อกิน กินเพื่ออยู่เป็นคำสอนจากครอบครัว ทว่าตอนนี้ล่วงลับไปจนหมดสิ้นทำให้เขาไม่อาจก้าวเดินไปต่อ ยังคงจมปลัก วนเวียนไปมากับมันเหมือนตกลงสู่ฝันที่ซ้อนฝันอีกครา

    เขาเคยคิดฆ่าตัวตาย

    หลายครั้งหลายคราวเลยทีเดียว

    เมื่อไม่มีเป้าหมาย ไม่มีแรงผลักดัน ไม่มีแรงบันดาลใจ

    ไร้ความศรัทธาต่อแสงสว่าง หรือจะความมืดก็ไม่มีการเคารพเทิดทูน

    จำได้ดีตอนที่ตนถือคมมีดแหลมแทงลงกลางอก ปักลงกลางตำแหน่งของหัวใจ

    ชั่ววินาทีนั้น ลมหายใจของเขาสะดุดห้วง ไร้ความเจ็บปวด คีอาร์หลับตาลงนึกถึงความตายสีดำที่โอบล้อมรอบร่าง

    ทว่า ไม่นานนักเขาก็ลืมตาขึ้นมาอยู่ในที่เดิม

    มีดแหลมเปื้อนเลือดตนยังวางอยู่ด้านข้าง เสื้อของเขาเองก็ขาดและเลอะคราบเลือดเป็นหลักฐานการยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่อัศจรรย์ใจมีอยู่แค่ว่า เขาไม่ตาย

    ลองผูกคอตายห้อยต่องแต่งอยู่กับคานเพดาน ใช้เวลาไม่นานในการปิดทับหลอดลม อึดอัดไปทั่วทั้งลำคอ เหมือนหัวจะระเบิดออก ลมหายใจติดขัด ดวงตาพร่าเบลอคลับคล้ายจะถลนออกจากเบ้า ลิ้นจุกปากก่อนจะสิ้นลมในเวลาที่นานเสียซักหน่อย

    ก่อนที่เขาจะฟื้นขึ้นมาเช่นเคย แม้กว่าจะตัดเชือกได้จะต้องตายไปอีกรอบก็ตามที

    ครั้นจะลองจมน้ำตายก็ยังรอด 

    ลองเดินโง่ๆให้ท่อนไม้เสียบทะลุท้องได้ก็ยังไม่ตายพร้อมกับบาดแผลที่หายเป็นปลิดทิ้งในเวลาไม่นาน

    เขาใช้เวลาที่มีอยู่ในการค้นหาจุดเงื่อนไขของพลังจนพบว่าหากไม่เหลือเศษซากของร่างที่ตนอยู่ ครานั้นเขาคงจะสิ้นใจไม่เหลือแล้ว แต่มันเสียเวลามากเกินไปกว่าที่จะทำลายร่างของตัวเองจนไม่เหลือผุยผง เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหลายรอบเมื่อตัดสินใจที่จะหันหลังเดินออกมาจากตระกูลดักลาสในค่ำคืนหนึ่ง ละทิ้งความเป็นตัวตนของตนเอง ปลดปล่อยครอบครัวให้อยู่เคียงคู่กัน เป็นเพียงตระกูลเก่าแก่ที่ล่มสลายไปในวันหนึ่ง

    คีอาร์ออกมาใช้ชีวิตระหกระเหิน เร่ร่อนไปเรื่อย ช่วงแรกแสนลำบาก ไม่มีที่ซุกหัวนนก็ต้องทิ้งตัวนอนลงอยู่ข้างทาง เศษอาหารเล็กน้อยพอประทังชีวิตได้ก็กิน 

    ไม่ได้เรื่องมากอะไร ใครต่อใครเห็นก็ต่างเวทนาตัวขา

    เด็กหนุ่มผู้ไม่รู้เรื่องทางโลก 

    ดูราวกับเด็กแรกเกิดที่ไม่มีประสบการณ์ในชีวิต

    แค่ตะเกียบย​ังใช้ไม่เป็นเลย

    เจ้าตัวหัวเสียมากจนกัดตะเกียบหัดคาปากแม้ใบหน้ายังคงเรียบนิ่งเช่นเคย

    เป็นภาพจำของคนอื่นที่มองคีอาร์เป็นเช่นนั้น ทุกวันนี้เขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไหลเนียนรวมกลายเป็นเนื้อเดียวกับพวกคนรอบข้าง ดาษดื่น ธรรมดา ไม่แตกต่าง ใช้ชีวิตหายใจทิ้งขว้างเป็นของตัวเอง

     อันที่จริงต้องเรียกว่าเป็นคนเร่ร่อนเสียมากกว่า 

    ไม่มีถิ่นที่อยู่ที่สามารถปักตัวตนเป็นหลักเป็นแหล่ง ใครต่อใครก็สามารถเห็นเขาได้กันทั้งนั้นในทั่วทุกพื้นที่ หากลองตั้งใจสังเกตดู แม้ปกติเขาจะกลืนหายไปกับฝูงชนเลยก็ตามที

    นี่คือเรื่องราวที่ไม่เคยได้บอกใครของคีอาร์ มันเป็นเพียงภาพความทรงจำเก่าแก่เขรอะฝุ่น

    จางหายไปตามกาลเวลา

    เช่นเดียวกับความรู้สึกที่เขาได้หลงลืมมันไปอีกครา ]​




    เพิ่มเติม ::

    - ปัจจุบันอายุประมาณ 23 — 24 ปี

    - ไม่ได้ทำอาชีพอะไร เป็นคน​เร่ร่อน และยาจกที่แท้จริง ได้เงินมาจากความเวทนาของชาวบ้านชาวช่องซะส่วนใหญ่

    - อยู่อย่างไม่อาบน้ำได้ บุคคลซกมกที่มุดท่อได้ไม่มีปัญหา

    - เห็นแบบนี้ก็โมเม้นต์ที่เมินชาวบ้านเหมือนกัน ด้วยความที่โลว์แบตเตอรี่ เวลามีคนมาพูดอะไรยาวเหยียดให้ฟังแบบไม่หยุดซักทีจะหลับอัด

    - สิ่งที่พกไปกับตัวอีกอย่างคือหมอน

    - คนที่เจ้าตัวแบ่งอาหารให้จะแสดงถึงความมีมิตรภาพไมตรีที่ดีของเขา แม้ว่าอาหารนั้นจะถูกเขากัดไปซักเล็กน้อยแล้วก็ตาม

    - ไม่ใช่ว่าไม่มีมารยาท บางทีมันดูบื้อ ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวมากกว่า

    - เป็นคนเร่ร่อน เป็นยาจก มีความคิดใหม่ที่โดนแนะนำมาจากเพื่อนยาจกด้วยกัน กำลังคิดจะเปลี่ยนไปเป็นขอทาน

    - เป็นมนุษย์ที่ความชอบน้อยมาก เพราะไม่สนใจอะไรเลยทั้งชีวิต

    - มีคนบอกว่าหมอนี่เซ็กส์เสื่อม อันที่จริงเรียกว่าตายด้านมากจนเกินไปจะดีกว่า ต่อให้ผู้หญิงจะมาแก้ผ้าตรงหน้า เจ้าตัวก็ยังคงมองด้วยความอึนแล้วก้มหน้าพยายามหาทางใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่อยู่ จนรอดแล้วตนรอดคีบไม่ได้ก็ยังมีหน้าไปขอให้ผู้หญิงที่ยืนค้างไปแล้วช่วยด้วย

    - พาราไซต์นี่เป็นชื่อที่เจ้าตัวตั้งเอง เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปรสิตเหลือเกิน

    - อันที่จริงพลังได้แรงบันดาลใจมาจาก resident evil

    - คนที่แตะไม่ได้ของนางก็คือครอบครัวนั่นแหละค่ะ เป็นมุมมองความรักที่บิดเบี้ยว​ รักจนต้องกิน ความจริงแล้ว อืม น้องกินครอบครัวตัวเองลงท้องก่อนจะออกมาค่ะ ความรักสุดท้ายของน้องที่มีต่อทั้งสาม อย่างว่า คนเป็นยังไง คนที่ซึมซับออกมาก็เป็นอย่างนั้น— ดังนั้นถ้ามีคนมาพูดอัดว่า ครอบครัวสั่งสอนไม่ดี พ่อแม่ชั่วอะไรแบบนี้ ต่อให้ไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริงน้องก็ไม่พอใจอยู่ดี ก็อยู่กับเขามาตั้งหลายปี มันก็พอที่จะหลงเหลือเสี้ยวความรักไว้อยู่ซักนิดนึง

     

    พู ด คุ ย กั บ ผู้ ป ก ค ร อ ง

    1. ข้อมูลทุกอย่างไรท์อาจเปลี่ยนโดยไม่บอกล่วงหน้านะคะ?

    :: รับทราบค่ะ ไม่มีปัญหาเลย


    2. เรื่องนี้จะมีคนตายยย...ถ้าผปค. ไม่คอมเม้นท์ติดตาม ออริมีสิทธิ์โดนคัดออกและตายได้ หวังว่าโอเคนะคะ?

    :: เข้าใจแล้วค่า เราจะตามติดไรท์เป็นวิญญาณตามติดเลยค่ะ เอิ้ก


    3. ถ้าไรท์แต่งนิสัยออกมาไม่ตรง ก็ขอโทษด้วยน้าค้า

    :: ไม่มีปัญหาเลยค่ะ ตัวนี้เองก็ดูแต่งยากด้วย ตอนเราปั่นเองเราก็ยังรู้สึกว่ามันแอบยากเลย


    4. สุดท้ายมีไรอยากถามหรือบอกไรท์มั้ยค๊า? ขอบคุณที่เข้ามาสมัครค่ะ :D

    :: คีอาร์อันที่จริงแล้วเราไม่รู้จะปั่นน้องมาทางไหนดีค่ะ แบบ จะว่าร้ายมันก็ไม่ได้ร้ายขนาดนั้นนะ แต่ถ้าจะพูดว่าดีก็ไม่เต็มร้อย ตามแต่ที่คุณไรท์เห็นสมควรจะยัดน้องเข้าไปในบทไหนดี เป็นตัวละครที่อีโวมาจากนิโคลัสค่ะ มีนิสัยบางส่วนอย่างความเฉื่อยชา อืดอาดที่เหมือนกัน แต่ส่วนตัวน้องจะออกแนวเฉยชามากกว่า เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรมให้ทำตามสั่งอะไรแบบนี้ คือพยายามคงคาร์นิโคลัสที่สุดแล้ว แต่เพราะเราเองก็—ทำน้องหาย หลงลืมข้อมูลพวกนั้นไปแทบจะหมดแล้ว แง ก็เลยคลอดน้องที่บอกว่าจะเหมือนก็เหมือน จะต่างก็ต่างออกมาฝากคุณไรท์พิจารณาค่ะ ตัวร้ายก็ได้ เพราะมันไม่สนอะไรรอบตัวเลย ตัวดีก็ได้ เป็นยาจก (?)​ ที่ผ่านมาข้างทางก็ได้ค่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×