ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BTS] HOW TO TRAIN YOUR BOYFRIEND | KOOKV

    ลำดับตอนที่ #20 : Chapter 17 | เด็กมันบอกเลิก (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.51K
      101
      4 ธ.ค. 60













    -17-



    “ลาออก?”


    “ใช่ครับ ที่จริงตอนนี้จองกุกมันก็กลับไปอยู่บ้านแล้วผมเลยไม่มีรายจ่ายอะไรมากมาย” แทฮยองหลุบตามองมือตัวเองระหว่างที่อธิบายเหตุผลกับซอกจินว่าทำไมเขาถึงขอลาออกจากงาน


    ช่วงนี้ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถยังชีพจากเงินเก็บในบัญชีไปได้อีกหลายเดือน ถ้าหากไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอะไร ซึ่งคนอย่างคิมแทฮยองก็ไม่ใช่คนประเภทไม่รู้ค่าของเงินอยู่แล้ว


    “นายเหนื่อยเหรอ?”


    “ก็...ประมาณนั้นครับ”


    “เรื่องงานหรือเรื่องพี่ล่ะ?”


    คำพูดของซอกจินทำให้แทฮยองต้องเงยหน้าเพื่อบอกปฏิเสธ ดวงตาของคนไหล่กว้างจ้องเขม็ง เขาเห็นแววตาเสียใจอยู่ในนั้นและก็เช่นเคย...เขาเลือกจะมองข้ามมันไปแล้วทำเป็นหัวเราะเพื่อให้บทสนทนาดูไม่ซีเรียสเกินไป


    “ไม่ใช่ทั้งคู่เลยครับ ผมแค่เหนื่อยใจที่จนเรียนจบมาแล้วก็ยังหางานที่ชอบของตัวเองไม่ได้สักที”


    “งั้นเหรอ อืม...” ซอกจินลากเสียงระหว่างทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงใจดี “ลองมาทำงานที่สถาบันสอนภาษาพี่ไหมล่ะ?”


    “โหย ผมไม่ได้เก่งภาษาขนาดนั้น แค่ภาษาเกาหลีผมยังพูดผิดๆ ถูกๆ อยู่เลย” ใบหน้าหงอยๆ ทำปากยื่นปากยาวนั่นเรียกเสียงหัวเราะจากคิมซอกจินได้ดี


    “ไม่ได้บอกให้ไปสอนสักหน่อย งานพวกประชาสัมพันธ์ก็มี พี่ว่าเหมาะกับเราดี ลองไปทำดูก่อนก็ได้ไม่ชอบค่อยว่ากัน”


    เพราะรอยยิ้มที่มีแต่ความจริงใจหยิบยื่นให้แบบนี้ไง...ทำเขาปฏิเสธไม่ลง


    “แบบนี้ผมต้องเจอน้าทุกวันเลยสิ เบื่อคนแก่เวลามีความรักจะแย่อยู่แล้ว” แทฮยองว่าอย่างติดตลก เขานึกถึงตอนจีมินมันทำหน้ายับยู่ยี่เวลาที่น้ายุนกิตามติดมันแจ  



    เหมือนจองกุกเมื่อสามปีก่อนเลย



    อีกครั้งที่แทฮยองดันนึกถึงแฟนเด็กต่อหน้าผู้ชายคนนี้ เขาพยายามที่จะรักษาน้ำใจของซอกจินแล้ว แต่เอาจริงๆ เข้าก็ยังแอบรู้สึกอึดอัดเวลาที่เจอหน้ากันอยู่ดี


    ก็เล่นปฏิเสธคนที่ทำดีกับตัวเองไปขนาดนั้น...


    แทฮยองเดินออกจากร้านของซอกจินหลังจากรับปากว่าจะลองเข้าไปทำงานที่สถาบันสอนภาษาของอีกฝ่ายดู เขาเองก็คิดว่าจะลองทำระหว่างหางานอื่นไปด้วย ช่วงนี้ก็อยากจะให้ตัวเองงานยุ่งจะแย่จะได้ไม่ต้องมีเวลาคิดฟุ้งซ่าน...เรื่องจองกุก


    เด็กบ้า! พอไกลหูไกลตาหน่อยก็ออกลายอีหรอบเดิม


    ทั้งๆ ที่บอกว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม...มึงเปลี่ยนคนแรกเลยจองกุก


    ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเป็นรอบที่ร้อยของวันก็ไม่มีเสียงแจ้งเตือนจากเด็กน้อยสักแอะ จะเรียกว่าท้อใจก็คงไม่ถูกเรียกว่าเหนื่อยใจเถอะ เขาพยายามรับมือกับเด็กอย่างจองกุกแล้วนะ แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยเห็นอกเห็นใจคนรออย่างเขาสักนิด


    ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวภายในจิตใจ แทฮยองเงยหน้ามองสัญญาณไฟสลับกับจอมือถือ จนกระทั่งไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวเขาเลยก้าวขาข้ามถนนอย่างไม่เร่งรีบ อาจเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์พร้อมกับโดนเบียดไหล่ทำให้คนตัวผอมยังเดินถึงแค่ครึ่งทาง


    สัญญาณไฟสลับเป็นสีแดง กว่าจะรู้ตัวเสียงบีบแตรและเสียงกรีดร้องของผู้คนข้างทางก็ดังลั่น พร้อมกับแรงกระแทกที่ทำให้เขาชาไปทั้งตัว



    โครม!



    อ่า...ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่แฮะ


    แทฮยอง! หลบหน่อยครับคนรู้จักผมเอง! แทฮยอง!!!


    แทฮยองพยายามลืมตาที่พร่าเบลอของตัวเอง เขาได้ยินเสียงของซอกจินดังฝ่าเข้ามาในวงล้อมแว่วๆ เห็นเงาคนมามุงดูจนแทบไม่เห็นแสงสว่าง กระทั่งแรงสั่นของโทรศัพท์ที่ตกอยู่ไม่ไกลเรียกให้หันไปมอง


    สายเรียกเข้าจาก จองกุก ทำให้เขาเผลอดีใจแม้ว่าตอนนี้กำลังถูกหามใส่เปลเพื่อไปขึ้นรถพยาบาล



    พี่จะรีบตื่นมารับสายนายนะจองกุก...




    **




    “พี่มันไม่รับสาย”


    “เออ! ก็ดีแล้วไง มึงเลิกทำอะไรตามอารมณ์ชั่ววูบสักทีเถอะจองกุก” ยูคยอมถอนหายใจให้กับคนที่นั่งไถเก้าอี้คอมไปมา “กี่ครั้งแล้วที่มึงกับพี่แทฮยองมีปัญหากันเพราะคำพูดไม่คิดของมึง”


    “กูคิดแล้ว”


    “คิดแล้ว?”


    “เออ!” อดไม่ได้ที่จะกระแทกเสียงตอบกลับไปหลังจากได้ยินเสียงเหอะของยูคยอม


    “นี่ขนาดมึงคิดแล้วนะยังวิ่งแจ้นมาปรึกษากูทุกรอบ ยอมรับสักทีเถอะว่ามึงมันเด็ก คิดแบบเด็กๆ ทำตัวแบบเด็กๆ หัดฟังคำพูดคนอื่นบ้างดิวะ ที่กูพูดเพราะเห็นมึงเป็นเพื่อนรักหรอกนะไอ้กุก”


    ถึงแม้น้ำเสียงของยูคยอมจะดูจริงจังแต่จองกุกก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดอยู่ดี เขาเกลียดคำนั้นขึ้นสมอง เบื่อเวลาที่แทฮยองเอาแต่บอกเขาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เขาโตแล้วนะเรื่องบางเรื่องมันก็ควรให้เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจเองสิ


    “ถ้าเห็นกูเป็นเพื่อนมึงก็เลิกพูดเรื่องนี้สักทีได้ไหม กูเบื่อ ตั้งแต่มาปูซานกูรู้สึกว่ากูสบายใจที่อยากทำอะไรก็ได้ทำ ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าใครจะคิดยังไง”


    จองกุกรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ตอนแรกที่มาอาจจะรู้สึกลำบากใจที่ต้องมาปรับตัวทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ หรือคิดถึงแทฮยองจนไม่เป็นอันทำอะไร และการที่ห่างจากคนพี่ทำให้เขาต้องทำนั่นนี่ด้วยตัวเองแม้ในคราแรกจะรู้สึกยากลำบาก แต่สุดท้ายความเคยชินทำให้เขาเริ่มปรับตัวรู้จักช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น


    พอมาอยู่แบบนี้แล้วจองกุกได้ทำอะไรด้วยตัวเองหลายอย่าง ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่กับแทฮยอง ที่จริงเขาก็ทำได้แต่แค่ไม่อยากทำเพราะมีคนคอยทำให้


    หัดทำอะไรด้วยตัวเองมันไม่ตายหรอกนะ ถ้าไม่มีกูแล้วมึงจะใช้ชีวิตยังไง


    น้ำเสียงเนือยของแทฮยองที่เคยบ่นตอนเข้ามาเก็บชามข้าวที่ถูกกองไว้หน้าคอมถูกรีเพลย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จำได้ว่าตอนนั้นเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงยียวนว่า ไม่รู้ ยังไม่ได้คิดแต่ตอนนี้เขาอยากย้อนกลับไปตอบแทฮยองว่าเขาใช้ชีวิตได้ และใช่ – มันไม่ตาย


    “มึงหมายความว่ายังไง” ยูคยอมถามเสียงแผ่ว เขามองท่าทีจองกุกที่ทำสีหน้าลำบากใจ


    “กูรู้ว่าถ้ากูพูดไปมันฟังดูเห็นแก่ตัว”


    “หยุด! กูว่ากูพอจะเดาได้ว่ามึงหมายถึงอะไร อย่าให้กูต่อยมึงอีกครั้งเลยไอ้ห่า เจ็บมือนะเว้ย!” เด็กตัวสูงทำโวยวายกลบเกลื่อนแม้ลึกๆ ในใจจะโคตรเกลียดตัวเองที่ดันรู้ใจเพื่อนผิดเวลา


    “ไหนๆ มึงก็อยู่กับกูแล้วกูต้องพูด ขอล่ะไอ้ยูค...แค่มึงสักคนที่เข้าใจความคิดกู” คราวนี้จองกุกเป็นฝ่ายพูดอย่างจริงจังบ้าง เขารู้ว่าเพื่อนรักกำลังลำบากใจกับเรื่องพวกนี้แต่ถ้าสิ่งที่เขาพูดจะทำให้เขาเสียคนรอบข้างไป อย่างน้อยขอแค่มีใครสักคนรู้เหตุผลของเขาก็ยังดี


    “มึง—“



    “กูอยากเลิกกับแทฮยอง”



    “ไอ้เหี้ย...”


    “ฟังกูให้จบแล้วค่อยด่า” ยกมือขึ้นมาห้ามเพื่อนที่กำลังทึ้งหัวตัวเองอย่างหมดอาลัยตายอยาก มันทำท่าจะหยิบหมอนมาปิดหูเขาเลยรีบลุกไปดึงออกแล้วนั่งลงข้างมัน “มึงพูดถูกที่กูมันเด็ก เป็นคนทำอะไรไม่ค่อยคิดเอาแต่ใจไม่ยอมฟังคนอื่น แถมยังเป็นภาระให้แทฮยองมาหลายปี”


    “สัส อย่างหลังนั่นมึงประชด”


    “เออ แต่ทำไงได้วะก็นั่นมันนิสัยกู ให้กูเปลี่ยนกูทำได้นะแต่มันก็อึดอัดอยู่ดีเพราะไม่ใช่ตัวตนกู ที่แทฮยองดูแลกูทุกอย่างมันก็ดี...ในความคิดกูเมื่อสองเดือนที่แล้ว จะให้กูกลับไปเป็นเด็กเดินตามก้นพี่มันเหมือนเดิมกูทำไม่ได้ กูรักแทฮยองนะเพียงแค่ตอนนี้กูอยากใช้ชีวิตแบบนี้ของกู”


    “เหมือนเดิม”


    “อะไร?”


    “เห็นแก่ตัว”


    “เออ” จองกุกพยักหน้ายอมรับ เขาเห็นแก่ตัวจริงๆ และไม่มีข้ออ้างอะไรด้วย ในความรู้สึกตอนนี้ของจองกุกคือเขารักแทฮยองแน่นอน แต่ตอนนี้เขาอยากให้อีกฝ่ายเข้าใจเขาเหมือนกัน



    เขาแค่อยากใช้ชีวิตในแบบที่ไม่มีแทฮยองดู


    “ถ้ามึงตัดสินใจแล้วกูก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่จำไว้นะ พี่แทฮยองเขาก็เป็นคนเหมือนมึง เขาเห็นแก่ตัวได้แต่เขาไม่ทำ”




    **




     

    “อาการแทฮยองเป็นไงบ้างวะไอ้จิน”


    “ไม่หนักมากยังดีที่มันเหยียบเบรกก่อนถึงตัวหลานมึง แต่คงช้ำในเพราะกระแทกลงข้างฟุตปาธ เดี๋ยวรอดูผลเอ็กซเรย์อีกที”


    “ไม่น่าเลยหลานรักของน้า อายุยังน้อยแท้ๆ”


    “ผมยังไม่ตาย”


    แทฮยองถอนหายใจใส่คนตัวขาวที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างเตียง ก็เห็นอยู่ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมากยังจะเล่นใหญ่อีก แอบเหลือบมองคนไหล่กว้างที่ยกยิ้มเมื่อเห็นว่าเขาอารมณ์เสียใส่คนเป็นน้า เสื้อสีอ่อนอีกฝ่ายมีจุดสีแดงแต้มจนดูน่ากลัว เดาว่าคงเป็นเลือดของเขาเอง กี่ครั้งแล้วที่อีกคนช่วยเหลือเขาแบบไม่ร้องขออะไรตอบแทน


    แต่ถึงจะร้องขอ...เขาคงตอบแทนให้ไปไม่ได้


    “น้าล้อเล่นเฉยๆ น่า ดีนะที่มีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยทันแถมยังได้รักษาตัวที่โรงบาลเอกชน โอ้โหชีวิตดี๊ดีจริงๆ หลานรัก” ยุนกิทำหน้าระรื่นแอบส่งสายตาเชิงล้อหลานชายยิกๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทคิดอะไรกับหลานตัวเอง อีกนิดนี่จะใส่พานถวายให้ซอกจินแล้วถ้าจองกุกมันไม่กลับมาทวง


    “จะดีกว่านี้ถ้าคนถูกชนเป็นน้า”


    “แกจะเอาใช่ไหม?”


    “เริ่มเองทำไมล่ะ”


    “ตอนล้มแกน่าจะเอาปากลงฉันจะได้สั่งให้หมอเย็บปากแก” ว่าอย่างหมั่นไส้ ตอนแรกที่รู้เรื่องก็ตาเหลือกทิ้งนักเรียนไว้แล้วรีบบึ่งจากสถาบันสอนภาษามาดูใจหลาน ถ้ารู้ว่าแค่ช้ำในนิดหน่อยแถมภายนอกมีแค่พวกรอยถลอกจะไม่มาให้มันด่าเลยจริงๆ ไอ้หลานทรพี


    “กลับไปสอนนักเรียนได้แล้วไป” แทฮยองว่าอย่างรำคาญใจ เขามองดูคนที่ทำปากมุบมิบเหมือนด่าแม่ในใจก็อดจะสงสารจีมินมันไม่ได้ ได้แฟนแถมพ่อกูดีใจกับมึงด้วย


    “เออๆ ทีหลังจะข้ามถนนก็หัดดูรถดูราซะบ้างไม่ใช้ก้มหน้าดูแต่โทรศัพท์ เด็กสมัยนี้มันยังไงนะเฮ้อ” พอสบสายตานิ่งๆ ของเจ้าหลานตัวดำก็ได้แต่เกาหัวแก้เก้อพร้อมกับบอกลาเพื่อนตัวเอง “ไปละๆ ไอ้นี่นิ นี่น้าแกนะเว้ย”


    “ฝากบอกจินฮีด้วยว่าวันนี้กูไม่เข้าไปนะ” ซอกจินบอกคนที่พยักหน้ารับแล้วเดินออกไปทิ้งให้เขาอยู่กับคนเจ็บที่ดูเหมือนไม่เจ็บเท่าไหร่


    “ขอบคุณมากนะครับ ผมทำพี่ลำบากอีกแล้ว”


    “อย่าพูดแบบนั้นสิ...พี่เต็มใจนะ” แทฮยองเงยหน้ามองคนที่ยื่นมือมาลูบหัวเขาแผ่วเบา ผู้ชายคนนี้ขยันทำให้เขารู้สึกผิดเหลือเกิน แต่เรื่องหัวใจใครจะไปบังคับมันได้ ไม่งั้นเขาเองคงไม่มานั่งเสียใจกับเด็กอย่างจอนจองกุกซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก


    ก็คนมันรักไปแล้ว...


    “พี่เห็นโทรศัพท์ผมไหมครับ? พอดีมันกระเด็นหลุดมือตอนถูกชน ผมไม่รู้ว่ามีใครเก็บมาให้หรือเปล่า” พอนึกถึงจองกุกเขาเลยคิดได้ว่าก่อนภาพจะตัดไปเขาเห็นสายเรียกเข้าจากเด็กนั่น ไม่รู้ว่าป่านนี้จะนั่งน้อยใจที่เขาไม่รับสายหรือเปล่านะ


    “อ๋อ พี่เก็บมาให้เอง หน้าจอมันแตกนิดหน่อยสงสัยจะเป็นตอนร่วงนั่นแหละ แต่ไม่แน่ใจว่าจะยังใช้ได้ไหม” ซอกจินล้วงเครื่องมือสื่อสารสีดำของอีกฝ่ายยื่นให้ เขาเห็นว่าแทฮยองยิ้มกว้างก็พลันเกิดความรู้สึกแปลกๆ ในอกแต่ก็ต้องทำเป็นปกติ อย่างน้อยบทบาทเพื่อนของน้าก็ยังทำให้เขาได้อยู่ข้างๆ คิมแทฮยอง


    “เปิดไม่ติดเพราะแบตหมดนี่เอง พี่พอจะมีสายชาร์จไหม?”


    “มีๆ แต่อยู่ในรถเดี๋ยวพี่ลงไปหยิบมาให้นะ”


    พอเห็นว่าอีกคนทำท่าจะออกไปเอาที่ชาร์จแบตมาให้จริงๆ แทฮยองเลยรีบร้องห้ามเสียงหลง “ไม่! ไม่ต้องครับ เดี๋ยวค่อยชาร์จทีหลังก็ได้”


    “เหมือนนายจะต้องรีบใช้มัน”


    “อ่า...ผมแค่จะโทรไปหาจองกุกน่ะครับ กลัวน้องมันเป็นห่วง”


    “อ่อ งั้นเหรอ...”


    เกิดความเงียบในห้องพักใหญ่เพราะสีหน้าเจื่อนของซอกจินทำให้แทฮยองไม่กล้าพูดอะไรต่อ นึกอยากทุบหัวตัวเองที่ดันพูดไม่รักษาน้ำใจผู้มีพระคุณ ซอกจินทั้งช่วยเรื่องงานไหนจะช่วยหามมาส่งโรงพยาบาลอย่างดี


    เขาก็ดีแต่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย...


    “งั้นเดี๋ยวพี่ลองไปถามพยาบาลดู เผื่อเขามีให้ยืม” ชี้นิ้วออกไปนอกห้องแล้วตัดสินใจเดินออกมาเลยโดยไม่ฟังเสียงท้วงของคนเจ็บสักนิด ซอกจินยิ้มแกนๆ ให้กับตัวเอง



    ตรงไหนของคิมซอกจินที่สู้จอนจองกุกไม่ได้?


    เขาเผลอคิดในตอนที่เห็นนางพยาบาลตอบคำถามเขาเรื่องสายชาร์จอย่างเคอะเขิน แน่ล่ะ พูดแบบคนมั่นหน้าเลยว่าเขาหล่อมากแถมไหล่กว้างๆ ก็ถูกหญิงสาวหลายคนชมมันบ่อยครั้ง เขารวยนะ พูดได้อย่างเต็มปากเลยด้วยว่าเงินที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงตัวเองนั้นมีไม่น้อย ไหนจะมรดกจากพ่อแม่ที่ใช้ชาตินี้ก็ไม่หมดอีกนั่นล่ะ


    และซอกจินมั่นใจว่าเขาดูแลแทฮยองได้ดีกว่าเจ้าเด็กบกพร่องด้านการควบคุมอารมณ์นั่นแน่นอน


    แล้วตรงไหนของเขาที่สู้ไม่ได้?


    “ขอบคุณมากนะครับ” แทฮยองยื่นมือมารับสายชาร์จจากคนตัวสูง เขาวานขอให้อีกฝ่ายช่วยเสียบให้กับปลั๊กข้างเตียงก่อนจะรอให้หน้าจอมันติด เหลือบมองซอกจินที่ถอยไปนั่งกดโทรศัพท์อยู่ตรงโซฟาน่าจะคุยเรื่องงานเขาเลยไม่ได้ส่งเสียงรบกวนอะไร


    คนตัวผอมกดโทรหาแฟนเด็กทันทีที่หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบ เลยไม่ทันเห็นข้อความที่อีกฝ่ายส่งมา



    JK


    พี่...เราเลิกกันเถอะ




    60%




    “เชี้ย...แทฮยองโทรมา”


    “ก็รับดิ”


    จองกุกจ้องหน้าจอที่มีชื่อของอดีตแฟนโชว์พร้อมกับรูปตลกๆ ที่เขาเป็นคนตั้งเองกับมือ “ไม่เอาอ่ะ กูกลัวได้ยินพี่มันร้องไห้”


    “มึงมากกว่ามั้งที่จะร้อง” ยูคยอมว่าให้เพื่อนดีแต่ปากก่อนจะหันไปสนใจกับหน้าจอคอมตรงหน้า หลังจากที่โทรยังไงพี่แทฮยองก็ไม่รับสายสักทีมันเลยส่งข้อความไปแทน แต่ก็เงียบจ้อยไม่มีเสียงตอบรับจากพี่แทฮยองสุดท้ายเลยกลายเป็นมันเองที่นอนหงอยแดกติดเตียง ส่วนเขาที่เบื่อๆ เลยเปิดคอมมันเล่นเกมระหว่างรอดูความพินาศของเพื่อน


    “ขอเวลาทำใจสามนาที” จองกุกว่าพลางสูดลมหายใจเข้าแต่ยังไม่ทันผ่อนลมหายใจออกสายเรียกเข้าของแทฮยองก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เชี้ยยังไม่ถึงสามวิเลย”


    “มึงก็รับๆ ไปเถอะน่า อยากเลิกไม่ใช่ไง๊ กูรอดูคนเก่งอยู่ค่า”


    “ค่าที่หน้ามึงสิ” จองกุกชูนิ้วกลางให้กับเพื่อนตัวโตก่อนจะกดตัดสาย จะไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีกทั้งนั้น เขาไม่พร้อมจะได้ยินเสียงแทฮยองจริงๆ


    “เอ้า ไม่รับ?”


    “เออ” ว่าพลางโยนโทรศัพท์ให้ห่างจากตัวเมื่อสายเรียกเข้าเงียบไปแล้ว


    “กลัวร้องไห้ขี้มูกโป่งล่ะสิ”


    “มึงดูด้วยนี่ใคร”


    “จ้า พ่อคนเก่งพ่อคนจริง”


    “มึงว่า...แทฮยองจะเสียใจไหมวะ?” คนที่นั่งอยู่หน้าจอชะงักกับคำพูดของเพื่อนสนิท เขาอยากจะหัวเราะดังๆ แล้วพุ่งไปจิ้มหน้าผากพร้อมกับด่ามันว่ามึงมันเด็กกะโหลก!’ นิสัยเดิมๆ อย่างการที่เก่งแต่ปากยังแก้ไม่หาย และยูคยอมไม่คิดจะช่วยพูดอะไรอีกแล้ว จองกุกมันต้องยอมรับผลที่ตามมาจากการกระทำของตัวเอง


    “แล้วมึงจะแคร์ทำไมล่ะ อยากเลิกเองไม่ใช่เหรอ?”


    “มันก็ใช่แต่กูรู้ว่ากูทำเกินไป พี่มันไม่ได้ผิดอะไร”


    “ถูก ถ้าจะผิดคือผิดที่หลงมารักเด็กเหี้ยแบบมึงไง” คราวนี้ยูคยอมกดปิดเกมก่อนจะหันหน้ามามองคนที่นอนแผ่บนเตียง จองกุกมันมองเพดานนิ่งๆ พร้อมกับพรูลมหายใจเข้าออกเป็นระยะเหมือนคนคิดไม่ตก


    “ไม่ด่ากูสักวันจะตายไหม”


    “ตาย”


    “มึงนี่...” จองกุกเหลือกตาใส่คนตอบกลับทันควัน “จริงๆ กูก็ไม่ได้อยากเลิก แต่มึงเข้าใจฟีลป่ะว่ายิ่งคบกันมันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกูต้องคอยทำอะไรที่มันขัดใจตัวเองอ่ะ ตอนนี้กูไม่ใช่เด็กแล้วนะเว้ย กูจะยี่สิบแล้วแต่แทฮยองยังทำเหมือนกูเป็นไอ้เด็กเมื่อสามปีก่อน ใครจะชอบให้ถูกมองเป็นลูกแหง่ติดแฟนบ้างวะ”


    “รู้สึกเหมือนโดนดูถูกว่างั้น?”


    “ก็เออ กูไม่มีโอกาสทำแบบที่กูอยากจะทำ แต่พอมาอยู่ที่นี่กูรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้น สามารถปกป้องคนอื่นได้ มันแตกต่าง...กับตอนที่กูอยู่กับพี่มัน”


    “เดี๋ยวๆ ที่มึงพล่ามมาทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องบอกเลิกพี่แทฮยองเลยนะไอ้กุก” ยูคยอมรีบเบรกเพื่อนที่ดูเหมือนมันจะทำอะไรตามใจตัวเองแบบผิดๆ



    “ก็...กูอยากลองคบกับคนอื่นดู”



    “ไอ้เหี้ย! เด็กหนุ่มตัวสูงตะโกนลั่น เขาไม่สนแล้วว่าแม่จองกุกมันจะขึ้นมาดูหรือเปล่า แต่คำพูดของอีกฝ่ายทำเขาเบิกตากว้างยิ่งกว่าไข่ห่าน “มึงพูดเหี้ยอะไรออกมารู้ตัวบ้างไหม? โคตรเหี้ยยิ่งกว่าตอนที่มึงบอกอยากเลิกกับพี่แทฮยองอีก”


    “เออกูเหี้ยเองอ่ะ พอใจมึงยัง?”


    “มึงไม่สงสารพี่แทฮยองเหรอวะ? พี่เขารักมึงมากนะเว้ยจองกุก รักแบบคนเหี้ยๆ อย่างมึงไม่สมควรถูกรักมากขนาดนี้อ่ะ” พูดอย่างอ่อนใจ เขาหมดหนทางที่จะพูดกับมันแล้วจริงๆ ยูคยอมนึกสงสารคนที่อยู่โซลจับใจ อยากจะด่ามันมากกว่านี้แต่ตัวเขามันก็แค่คนนอก ต่อให้จองกุกมันเลิกกับพี่แทฮยองไปสถานะเขาก็ยังคงเป็นเพื่อนสนิทจองกุกอย่างเดิม


    “แล้วไม่ใช่เพราะกูไม่อยากทำให้พี่มันเสียใจมากไปกว่านี้เหรอวะถึงได้บอกเลิก ถ้ากูคบซ้อนมันไม่ยิ่งทำให้แทฮยองเสียใจกว่าเดิมเหรอวะ กูพยายามแล้วนะยูคยอม แต่กูคิดว่าเรื่องระหว่างกูกับแทฮยองควรจบแค่นี้”


    “มึงชอบผู้หญิงคนนั้นเหรอ?”

     

    คำถามของเพื่อนสนิททำให้จองกุกคิดอยู่นาน เขายังรักแทฮยองอยู่แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้เขาอยากลองคบกับผู้หญิงสักคนดู “ไม่รู้ว่ะ...ใช่มั้ง”


    “มึงกำลังสับสนอะไรอยู่หรือเปล่าวะไอ้กุก? มีอะไรปรึกษากูได้นะถึงกูจะด่ามึงยังไงกูก็รักมึงอย่างเพื่อน คือตอนนี้มึงดูสับสนกับตัวเองมากอ่ะ”


    “กู...รักแทฮยองนะแต่แบบไม่รู้ดิ พอมันถึงจุดที่กูโตขึ้นแทฮยองก็เอาแต่เรียกร้องให้กูกลับไปเป็นเด็กคนเดิมเมื่อสามปีที่แล้ว แต่มันเป็นไปไม่ได้ไง กูรู้สึกอึดอัด แต่พอกูมานี่กูก็ได้ใกล้กับพวกเด็กผู้หญิง แรกๆ มันก็น่ารำคาญนะแต่พอทำความรู้จักแล้วกูก็คิดว่ามันแตกต่างกับตอนที่คบผู้ชายอย่างแทฮยอง แบบมันมีฟีลที่กูได้ยืดอกปกป้องใครสักคน”


    “สัส เหมือนคนสับสนทางเพศนะมึงอ่ะ”


    “ก็คงงั้น” จองกุกหยิบโทรศัพท์ที่เหมือนจะกลายเป็นของร้อนหลังจากส่งข้อความบอกเลิกแทฮยองไป มองภาพคนที่ถูกตั้งเป็นวอลเปเปอร์แล้วเหมือนถูกรอยยิ้มอีกฝ่ายบีบหัวใจเขาอย่างจัง “กูอยากลองทำตามใจตัวเองดูสักครั้ง อยากให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่กูทำร้ายความรู้สึกพี่มัน”


    “แต่มันก็ไม่ยุติธรรมกับความรู้สึกของแฟนมึงอยู่ดี เฮ้อ...เอาเหอะว่ะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด กูไม่รู้ด้วยแล้ว อย่างมากมึงก็แค่เสียคนดีๆ ไปจากชีวิตหนึ่งคน”




    **



     

    แทฮยองเห็นข้อความนั้นแล้ว...


    ความรู้สึกแรกที่เห็นคือร่างกายของเขาชายิ่งกว่าตอนที่ถูกรถชน ตามมาด้วยความรู้สึกเหมือนคนจมน้ำทั้งที่ยังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล มันจุกอกและรวดร้าวยิ่งกว่าอะไร เขาเอาแต่จ้องมองข้อความอยู่นั่น ภาวนาให้ชื่อคนที่ส่งมาไม่ใช่จองกุก


    แต่เขาหนีความจริงไม่ได้


    มันเป็นเรื่องจริงที่จองกุกบอกเลิกเขา


    ข้อความยังไม่ได้ถูกเปิดอ่านเพราะฉะนั้นมันยังไม่ได้ขึ้นเตือนอีกฝ่ายว่าอ่านแล้ว แต่แทฮยองเลือกที่จะลบมันทิ้งทำเหมือนกับว่าเขายังไม่เห็นมัน


    เด็กนั่นเป็นบ้าอะไรถึงคิดบอกเลิกเขา เมื่อวันก่อนเราเพิ่งจะคุยกันดีๆ จองกุกไม่มีท่าทีที่จะพูดเรื่องนี้กับเขาเลยสักนิด ในหัวของแทฮยองปวดหนึบเมื่อเขาพยายามหาเหตุผลว่าตัวเองโดนบอกเลิกด้วยสาเหตุอะไร


    ไม่เคยเลย...


    แทฮยองไม่เคยจะคิดถึงวันที่เราต้องเลิกกันจริงๆ เลยสักครั้ง และถึงแม้จะแอบนึกหวั่นแต่ความเชื่อใจที่เขามีให้เด็กคนนั้นมันมากกว่าอะไรทั้งหมด


    มากจนกระทั่งเขาลืมเผื่อใจเสียสนิท


    “ทุกอย่างจะเหมือนเดิมใช่ไหม?

    สัญญานะ...

    ใครผิดสัญญาขอให้ไม่มีความสุขตลอดชีวิต


    คนที่ผิดสัญญาจะไม่มีความสุขตลอดชีวิตเลยนะจองกุก นายจะต้องร้องไห้ จะต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่นายทำผิดกับคนรัก แล้วแบบนี้...บอกเลิกกันทำไม


    ความรักเป็นสิ่งไม่แน่นอน แทฮยองรู้...แต่เขาคิดเสมอว่าความมั่นคงที่เขามีให้น้องจะเอาชนะความไม่แน่นอนนั่น แล้วกลายเป็นว่าสุดท้ายเขาก็เอาชนะคำบอกกล่าวนั้นไม่ได้ ในเมื่อการจะเป็นคนรักกันมันประกอบด้วยความรู้สึกของคนสองคน


    จองกุกไม่รักเขาแล้วอย่างนั้นเหรอ?


    แล้วเขาที่ยังรักน้องมันอยู่ล่ะควรทำยังไงต่อไปดี ให้เขาง้อเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้องมันยังมีใจอยู่ไหม ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะโทรไปด่าอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเลข้อหาเล่นอะไรแผลงๆ แต่พอห่างกันเขาไม่รู้ว่าตอนนี้จองกุกคิดยังไงอยู่ จริงจังกับคำบอกเลิกนี้แค่ไหน


    มีเรื่องให้เขาคิดไม่หยุด หลังจากที่ได้เห็นตัวหนังสือไม่กี่คำ แม้แต่จะร้องไห้แทฮยองยังร้องไม่ออกเลย มันตื้อไปหมดเพราะความรักที่เขามีต่ออีกฝ่าย


    คิมแทฮยองแย่แล้ว...


    เขาเหมือนจะตายทั้งที่เพิ่งรอดตายมาแค่ไม่กี่ชั่วโมง




     

    ซอกจินเงยหน้ามองคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง เขาเห็นว่าแทฮยองมีท่าทีแปลกไปหลังจากกดโทรหาไอ้เด็กนั่นแล้วอีกฝ่ายไม่รับสาย แต่ใบหน้าซีดเซียวดูจะเจ็บปวดกับอะไรสักอย่างทำให้เขาทนนั่งมองเฉยๆ ไม่ได้เพราะคิดว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะเจ็บแผล


    “เป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าดูไม่ค่อยดีให้พี่เรียกพยาบาลมาดูอาการไหม?”


    “ไม่ต้องครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร” ปฏิเสธทันควันเมื่อเห็นว่าคนไหล่กว้างทำท่าจะเดินไปกดกริ่งเรียกพยาบาลมาจริงๆ


    “แต่พี่ว่า—“


    “ผมบอกว่าไม่ต้องไง!!แทฮยองตะโกนด้วยเสียงแหบพร่า ความเจ็บปวดภายในแล่นริ้วขึ้นมากลางอก เขายกมือขึ้นจับหน้าอกไว้พร้อมกับอาการหอบฮัก หัวใจเขาเต้นระรัวจนน่ากลัวว่ามันจะหลุดออกมาข้างนอก “ฮึก...ผมบอก...ว่าไม่เป็นอะไรไง”


    ซอกจินทำตัวไม่ถูกเมื่อคนเจ็บดูท่าจะอาการหนักกว่าที่คิด หนักในที่นี้คือแทฮยองเอาแต่ร้องไห้แล้วพร่ำบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร จะต้องไม่เป็นอะไร


    ถึงแม้จะไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมาแต่คนตัวสูงก็ได้แต่ลูบศีรษะคนที่สะอื้นไม่หยุด แทฮยองเหมือนคนฟิวส์ขาด เหมือนคนที่เก็บกดกับอะไรบางอย่างแล้วระเบิดทันทีที่ถูกเขาเข้าไปเซ้าซี้


    “ผมขอโทษที่เสียงดังใส่พี่” หลังจากสงบสติอารมณ์ได้คนตัวผอมไม่ลืมที่จะเอ่ยขอโทษคนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเขาไม่ห่าง มองมือหนาที่กอบกุมมือตัวเองเอาไว้ ปลายนิ้วโป้งที่ลูบแผ่วเบาเหมือนปลอบใจก็ทำให้เขารู้สึกจุกภายในอกอีกครั้ง


    คนที่ดีอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่เขาดันไม่รัก ไปรักเด็กใจร้ายอย่างจองกุก


    “เป็นอะไร บอกได้ไหม?” น้ำเสียงทุ้มพยายามเอ่ยถามอย่างนุ่มนวลที่สุด เขาไม่รู้ว่ามันจะไปกระตุ้นความรู้สึกเจ็บปวดของแทฮยองไหม แต่เขาแค่อยากรู้ว่าตัวเองพอจะช่วยเยียวยาอีกฝ่ายได้บ้างหรือเปล่า


    “จองกุก...ฮึก” พูดได้แค่นั้นก้อนสะอื้นก็ตีขึ้นมาจนต้องเม้มปากแน่น เขากระพริบตาถี่ไล่น้ำตาที่จวนจะไหลออกไป “ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิด แต่น้อง...บอกเลิกผม”


    “ไม่ต้องพูดแล้วถ้านายรู้สึกไม่ดี”


    “ผมเจ็บตรงนี้” ซอกจินมองมือที่ชี้ที่เข้าหาอกของเขา เขาเข้าใจดีเพราะตอนนี้เขาก็เจ็บที่ตรงนั้นอยู่ไม่น้อย “เจ็บเหมือนจะตายเลย”


    ซอกจินรู้แล้วว่าเขาแพ้จองกุกที่ตรงไหน


    “ชู่ว...อย่าร้องเลยนะ ถ้ารู้สึกเจ็บมากก็จับมือพี่ไว้พี่จะอยู่ข้างนายเอง”



    ตรงที่แทฮยองรักเด็กผู้ชายที่ชื่อจอนจองกุกไม่ใช่เขา






    TBC.




    ชื่อเรื่องมันบอกอยู่แล้ว การที่จะได้คนรักดีๆสักคนมันไม่ง่าย

    เดี๋ยวจองกุกก็ได้บทเรียนสักวันนึง :)






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×