ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BTS] HOW TO TRAIN YOUR BOYFRIEND | KOOKV

    ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 14 | เด็กมันติดเพื่อน (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.58K
      69
      8 ก.ค. 60














    -14-



    การเรียนในรั้วมหาลัยของจองกุกผ่านมาได้เดือนกว่าแล้ว ถามว่ามันแตกต่างกับตอนมัธยมไหมก็ตอบได้อย่างเต็มปากว่าโคตร เพราะอย่างแรกที่เปลี่ยนไปเลยคือจองกุกตั้งใจเรียนกว่าเมื่อก่อนมาก ยิ่งพอนึกถึงว่าคู่แข่งเบอร์ต้นของตัวเองจบจากนอกแล้วความตั้งใจยิ่งลุกโชน อย่างน้อยมีปัญญาเข้าคณะวิศวะของปูซานได้เขาก็ควรเรียนให้จบ


    ไอ้เกียรตินิยมอะไรนั่นเลิกหวังไปนานแล้ว เรียนให้จบก่อนดีกว่า ระหว่างนั้นจองกุกก็ทำตัวเป็นเด็กวัยสิบขวบโทรไปเล่าเรื่องตัวเองให้แทฮยองฟังในแต่ละวัน มีบางวันที่แทฮยองกลับบ้านดึกแต่ก็ยังตั้งใจฟังเรื่องที่เขาพูดและถามกลับมาเป็นบางครั้ง



    อย่างน้อยเรื่องระหว่างเราสองคนยังเหมือนเดิม แทฮยองยังรักเขาและเรารักกัน


    จองกุกเชื่อแบบนั้น



    “ช่วงนี้มึงดูอารมณ์ดีจังนะ” คำแซวของเพื่อนใหม่ที่ชื่อว่าแดเนียลทำให้จองกุกหันไปยักคิ้วตอบรับ


    เพื่อนคนนี้จองกุกภูมิใจนำเสนอสุดๆ มันเล่นเกมเก่งเหมือนพ่อมันเป็นคนผลิตเกมอ่ะ แถมมีเงินซื้อไอเทมใหม่ๆ มาให้ลองเล่นเพราะบ้านมันรวย จองกุกก็รวยนะ เงินในเกมตั้งเป็นล้านแค่ถอนออกมาใช้ชีวิตจริงไม่ได้เท่านั้นเอง


    แล้วกูจะอวดทำไมวะ?


    “ก็แฟนกูน่ารักแม่งขึ้นทุกวัน เมื่อวานไปทำผมทรงใหม่มาน่ารักฉิบ” จองกุกเปิดรูปแทฮยองในแอปแชทให้เพื่อนดู เขาไม่อายหรอกเรื่องที่มีแฟนเป็นผู้ชายและแดเนียลเองก็ไม่ใช่พวกเหยียดเพศ


    “อืม น่ารักดี” แดเนียลไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่การที่เห็นรูปแทฮยองแล้วบอกว่าน่ารักแสดงว่าแฟนตัวผอมของจองกุกคงจะน่ารักในสายตาคนอื่นพอสมควร เด็กหนุ่มอมยิ้มกับตัวเองก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์ไปให้แทฮยอง


    “มึงก็ดูรักแฟนมึงดีนี่หว่า แล้วกับคนที่สวยๆ นั่นมึงไม่ได้จีบเขาเหรอวะ?” แดเนียลเลิกคิ้วถามเพื่อนใหม่ที่ดูท่าว่ามันจะไม่ได้ฟังเขาเลย เอาแต่กดพิมพ์ตอบแฟนพร้อมอมยิ้มจนฟันหน้าโผล่มาสองซี่ อยากลองไปดูหน้าพ่อแม่มันเหมือนกันเผื่อจะเป็นพี่น้องฝาแฝดที่พัดพรากกันมา


    “มึงพูดว่าไงนะ?”


    “กูถามว่ามึงไม่ได้จีบเด็กนิเทศที่สวยๆ เหรอวะ?” ถามย้ำอีกครั้งเมื่อจองกุกยังไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอมามอง


    ไอ้เพื่อนหน้าหยกของเขาเห็นแบบนี้มันก็ดังในหมู่เฟรชชี่ไม่น้อย เจอครั้งแรกเขายังคิดว่ามันเป็นพวกเสือผู้หญิงอะไรเทือกๆ นั้น แต่พอสนิทกันแล้วพบว่ามันเป็นเสือไบ เพราะเคยถามว่ามันเป็นเกย์หรือเปล่า มันก็บอกว่าไม่รู้แต่แค่แฟนคนแรกมันเป็นผู้ชาย


    มันไม่เคยคบผู้หญิง...


    แดเนียลก็ไม่ค่อยอยากชี้โพรงให้กระรอก แต่ช่วงนี้ได้ยินข่าวลือว่าไอ้คนบ้าเกมข้างๆ กำลังตามจีบตัวเก็งดาวนิเทศเขาก็แปลกใจ ตั้งแต่รู้จักกันมันก็พูดถึงอยู่แค่สองอย่าง คือเกมกับแฟนที่ชื่อแทฮยอง แต่เพราะเห็นว่ามันคุยกับจีซูบ่อยๆ เลยอดจะสงสัยไม่ได้


    “ไม่อ่ะ เพื่อนกัน มึงก็รู้ว่ากูมีแฟนเป็นผู้ชาย”


    “เออกูลืมไปว่ามึงมันตุ๊ดเด็ก”


    “เด็กไรมึง กูโตแล้วเว้ย” ทำท่าจะบ้องหูคนขี้แซว ก่อนจะเห็นว่าเพื่อนอีกคนที่มันหายหัวไปตั้งแต่เช้าเดินสะลึมสะลือเข้ามา “นั่น เป็นผีตายซากเลยมึง”


    ไลควานลินที่อิมพอร์ตจากไต้หวันยกมือท่าปางห้ามญาติเมื่อเพื่อนทั้งสองกำลังจะเปิดปากสวด หาวหวอดๆ ก่อนจะเดินไปนั่งข้างจองกุกแล้วฟุบลงไปกับโต๊ะ


    “ไม่มาตอนเลิกเรียนเลยล่ะ เหลือของจารย์คิมแกคนเดียวนิ”


    “ได้เหรอ?”


    “ถุย! กูประชด” แดเนียลส่ายหัวให้กับคนที่หัวเราะหึก่อนจะเงียบลงไปอีกครั้งเมื่อเข้าสู่นิทรา มึงมาเพื่อนอนจริงดิ


    “เออไอ้กุก...กูได้ข่าวว่ามึงจะสอยดอกฟ้าเหรอ?” แม้ว่าจะฟุบหน้าอยู่แต่ก็ยังไม่วายไขความข้องใจของตัวเอง เพื่อนที่เล่นบาสด้วยกันบ่อยๆ เอาแต่ถามเขาจนน่ารำคาญ


    “ดอกฟ้าที่ไหนวะ?”


    “เออช่างเถอะ” ควานลินบอกปัดก่อนจะหาวอีกครั้ง เขาไม่ใช่คนจู้จี้เหมือนไอ้ตาขีดนั่นหรอก


    “สภาพแบบนี้กูว่ามันตี้ถึงเช้า” จองกุกหรี่ตามองคนที่ขอบตาคล้ำเป็นแฝดกับแพนด้า


    “อือ”


    “ไอ้สัสคนจริง มึงดูไว้นะไอ้กุกอนาคตคนเรียนพร้อมเพื่อนจบพร้อมแพทย์” ฝรั่งปลอม(จองกุกตั้งให้)กระแหนะกระแหนใส่คนที่คิดว่าหลับไปแล้ว จนมันตอบเสียงเนือยๆ กลับมาถึงได้ยิ้มแหย


    “ปากดีไอ้แป๊ะยิ้ม อย่าให้กูเห็นชื่อมึงออนตอนตีสามนะ”


    “ก็กูนอนไม่หลับ...” ได้แต่ตอบเสียงอ่อยโดยมีเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดมันหัวเราะสะใจอย่างออกนอกหน้า “หุบฟันมึงไปเลยไอ้กุก”


    “พูดกับกูก็มองกูสิ หลับตาทำไม”



    “กูลืมตาอยู่!

     


    20%



    หลังจากเลิกเรียนจองกุกนัดกับเพื่อนทั้งสองไว้ว่าจะไปกินเนื้อย่างด้วยกัน ไม่มีเนื่องในโอกาสพิเศษอะไรทั้งนั้น ถ้าจะมีก็คงเป็นวันเกิด...อยากจะแดก พวกเขาสามคนเดินลงบันไดจากตึกคณะเพื่อไปรอรถที่ป้ายรถบัส เห็นเดินมาเท่อย่างกับบอยแบนด์แบบนี้ไม่มีรถขับกันซักตัว ทั้งที่ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ยากจนแร้นแค้นอะไรกันขนาดนั้น


    ตัวจองกุกเองไม่ต้องพูดถึง แม่บอกให้ลองทำงานบ้านด้วยตัวเองให้ได้ก่อนถึงจะซื้อรถให้ขับ ส่วนไอ้แดเนียลที่ดูท่าจะมีแววได้รถขับก่อนใครเพื่อนก็มีอันต้องพับเก็บไปก่อน มันบอกตอนมัธยมแม่มันออกรถสี่สูบให้ขับ แต่วันฉลองเรียนจบมัธยมปลายด้วยความเมาเลยเอารถไปวัดพื้นตรงทางโค้งแถวบ้าน ตอนนี้แม่มันยังเก็บรถเป็นซากอนุสรณ์สถานเตือนใจอยู่หลังบ้าน สะเทือนใจสัสๆ


    ส่วนไอ้เพื่อนต่างด้าวอีกคนของเขานั้น...หล่อแต่ขับรถไม่เป็น จบนะ


    “มึงนั่นจีซูไม่ใช่เหรอวะ?”


    แดเนียลพยักเพยิดหน้าให้จองกุกดู ควานลินเองที่เห็นกลุ่มจีซูตั้งแต่แรกแต่ไม่ได้ทักก็มองตาม เห็นว่าเธอมองมาทางพวกเขาแล้วนะแต่ไม่ยักทำท่าจะทักไอ้จองกุกเลยซักนิด หรือเพื่อนเขาจะไม่ได้ตามจีบอย่างที่เขาลือๆ กัน


    “จีซูหวัดดี” จองกุกที่กำลังเดินผ่านกลุ่มพวกสาวๆ เลยทักไปตามมารยาท จีซูหันมามองทำหน้าตกใจก่อนจะฉีกยิ้มแบบที่ชอบทำบ่อยๆ


    “อ้าว จองกุกเลิกเรียนแล้วเหรอ?”


    “อืม เธอล่ะ?” จองกุกสอดสายตามองหาเพื่อนของจีซูอีกคนก็ไม่เห็นว่าจะอยู่ตรงนี้ เด็กสาวคนอื่นๆ ยิ้มให้เขาเลยยิ้มตอบกลับพอเป็นมารยาทเพราะไม่รู้จักใครเลยซักคน


    “อ่า เราก็เลิกเรียนแล้วกำลังจะกลับบ้านน่ะ”


    “โอเค งั้นกลับบ้านดีๆ นะ”


    “จ้า นายก็เหมือนกันนะ” หญิงสาวตัวเล็กโบกมือให้น้อยๆ ก่อนจะหันกลับไปคุยกับเพื่อนทันที เหมือนกับว่าจองกุกแค่มาขัดจังหวะเธอกับเพื่อนเท่านั้น


    เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของนักศึกษาคนอื่นๆ หลังจากคล้อยหลังกลุ่มจองกุกเดินผ่านไปก็มีเสียงซุบซิบกันเกิดขึ้น เรื่องความรักของคนหน้าตาดีมันก็เป็นอะไรที่ถูกจับตามองเสมอ


    แม้ว่าจองกุกกับแดเนียลจะเดินไปไกลแล้วแต่เด็กหนุ่มจอมอืดอาดที่เดินตามหลังมาดันได้ยินอะไรดีๆ เข้า


    “เรื่องที่จองกุกจีบแกนี่เรื่องจริงใช่ไหมยัยจีซู เขามาทักแกก่อนด้วยอ่ะ”


    “กรี๊ด ฉันอิจฉาคนสวยๆ แบบแกชะมัดเลย”


    “ไม่หรอก เราเคยคุยด้วยแค่วันปฐมนิเทศอ่ะ”


    “โห นี่จีบแกตั้งแต่วันโน้นเลยเหรอ”


    “อ่า...”


    แล้วควานลินก็ไม่ได้ยินว่าจีซูพูดอะไรต่อ แต่ไอ้ท่าทีปฏิเสธเพื่อนแบบไม่จริงจังก็ทำให้พอจะเดาอะไรบางอย่างออก

     



    **




    วันนี้โปรเจ็คจบของแทฮยองผ่านไปได้ด้วยดีแม้จะสาหัสแทบเลือดตากระเด็นก็เถอะ รวมถึงเพื่อนขาสั้นของเขาเองก็ดูจะลักกี้อินเกมพร้อมลักกี้อินเลิฟ หลังจากโป๊ะแตกตอนแวะไปหาจีมินมันที่บ้านกับพี่จินแล้วพบว่าตัวภาระนัมเบอร์ทูของแทฮยองนั่งเอกเขนกกินข้าวบนโซฟาเหมือนอยู่บ้านตัวเอง


     ไม่อยากจะเล่าว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้พัฒนาแบบงงๆ ซึ่งจีมินมันเอาแต่บ่นกับเขาในแชทว่าน้ายุนกิไม่มีท่าทีจะชอบมันสักที แล้วไอ้การที่น้าเขาไปรับไปส่ง(น้าเพิ่งออกรถใหม่เอี่ยม)แถมไปฝากท้องที่บ้านมันบ่อยๆ นี่ดูไม่ออกเลยเหรอวะ? หรือมึงแกล้งโง่เอาดีๆ


    แต่แทฮยองก็ไม่ใช่พวกที่จะเชียร์น้าตัวเองออกหน้าออกตา ก็บอกแค่ว่าให้มันเอาใจน้าเขาเยอะๆ แค่นั้นแหละ


    ส่วนคิมซอกจินก็ยังทำหน้าที่สารถีให้แทฮยองเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือชอบเนียนขอกินข้าวฟรีที่บ้าน เขาไม่เคยเอ่ยถามถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพยายามทำอยู่ เพราะใจจริงก็แอบรู้สึกดีเวลาที่มีคนมารับในวันฝนตกหนัก อากาศเย็นๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะของคนไหล่กว้างไล่ความเหน็ดเหนื่อยในแต่ละวัน บรรยากาศที่คุ้นชินในรถมันซึมเข้ามาในอกของแทฮยองอย่างช้าๆ



    เหมือนกับทฤษฎีสะพานแขวนและแน่นอนเขารู้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่ยั่งยืน



    และทุกครั้งมันก็ถูกผลักออกไปเวลาที่แทฮยองล้มตัวลงนอนพร้อมกับเสียงเรียกเข้า


    วันนี้ผมเจอเพื่อนใหม่ด้วยแหละพี่ หน้าตามันก็ดีอ่ะแต่สู้ผมไม่ได้หรอก แล้วก็วันนี้...


    เรื่องราวในแต่ละวันที่ถูกเล่าออกมาพร้อมกับน้ำเสียงตื่นเต้นของเด็กน้อยของเขา แทฮยองเคยกลัวความไม่แน่นอนของความรัก เหมือนที่คนอื่นๆ มักกลัวความห่างของระยะทาง ไม่งั้นมันจะมีประโยครักแท้แพ้ใกล้ชิดมาให้หงุดหงิดเล่นเวลาไอ้จีมินมันเป่าหูเขาหรือไง


    แต่พอนึกถึงเวลาที่ตัวเองเผลอใจกับความแสนดีของซอกจินบ้างก็ได้แต่ถอนหายใจ เรื่องของความรู้สึกมันห้ามกันได้ที่ไหน แต่อย่างน้อยแทฮยองก็โตพอที่จะรู้จักกับคำว่าหักห้ามใจ เขาไม่ใช่พวกเปลี่ยนใจง่ายแต่กับจองกุกก็ไม่แน่


    เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่แทฮยองกำลังเดินออกไปรอซอกจินที่หน้ามหาลัย หยิบออกมาดูก็เป็นเจ้าเด็กปูซานที่ปกติไม่ค่อยโทรเข้ามาในเวลานี้


    “มีอะไรเหรอจองกุก?”


    (ต้องมีอะไรเหรอผมถึงโทรหาพี่ได้อ่ะ)


    “นี่...” แทฮยองกดเสียงเข้มใส่คนชอบยอกย้อน


    (ล้อเล่นๆ วันนี้ผมไปกินเนื้อย่างกับเพื่อนนะ อาจกลับดึกนิดหน่อย)


    “อือ โทรบอกแม่หรือยัง?”


    (ก็เดี๋ยวจะโทรไปหลังวางสายกับพี่อ่ะแหละ)


    “ทีหลังโทรขอแม่ก่อนค่อยโทรมาบอกพี่เข้าใจไหม? พี่ไม่ใช่ผู้ปกครองเราแล้วนะ” แทฮยองเงยหน้ามองรถที่มาจอดอยู่ข้างหน้า พี่จินลดกระจกมามองเขาที่ชี้โทรศัพท์แล้วทำท่ากางมือออกว่าขอเวลาคุยห้านาที อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วปิดกระจกขึ้นเหมือนเดิมอย่างว่าง่าย


    (ก็เป็นแฟนผมไหมล่ะ? อย่าพูดอะไรแบบนี้ดิพี่)


    “อืม...ขอโทษแล้วกัน แต่พี่อยากให้เราโทรบอกแม่ก่อนจริงๆ นะ พี่ไม่อยากให้แม่เขาเป็นห่วง”


    (คร้าบบบ เดี๋ยววางสายแล้วโทรไปเลยเนี่ย คุณนายเขาอนุญาตอยู่แล้ว)


    “แล้วก็ห้ามดื่มเข้าใจไหม อายุยังไม่ถึงไม่ใช่เหรอ?” แทฮยองอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงโห่พร้อมกับน้ำเสียงออดอ้อนที่ไม่ได้ยินมานาน


    (ขอนิดเดียวนะ เพื่อนผมมันก็ดื่มกันหมดอ่ะ ผมไม่อยากอายเพื่อน น้า...นะครับ)


    ก็ได้ๆ ตอนกลับถึงบ้านส่งข้อความมาบอกด้วยจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”


    (โอเคครับแม่)


    “เด็กนี่...” แทฮยองส่ายหัวกับคนทะเล้น เขามองหน้าจอให้แน่ใจว่าจองกุกวางสายไปแล้วถึงได้เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ พร้อมกับประโยคทักทายที่แฝงความน้อยใจของคนขับ


    “คุยกับพี่ช่วยยิ้มแบบเมื่อกี้บ้างนะ”


    “อะไรของพี่เนี่ย”


    “ก็...เปล่า”


    แม้ปากจะตอบแบบนั้นแต่เจ้าของมุขตลกวันนี้กลับเงียบผิดปกติ แทฮยองรับมือความอึดอัดแบบนี้ไม่ค่อยถูก เหมือนกับว่าคิมซอกจินน้อยใจที่เขาคุยโทรศัพท์กับแฟน เขาพยายามคิดว่าซอกจินคงมองเขาเหมือนที่น้ายุนกิมอง แม้ในใจจะรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำมันเกินคำว่าเอ็นดูไปมาก


    เสียงเคาะนิ้วดังขึ้นเป็นจังหวะเมื่อรถติดไฟแดง คนตัวผอมแอบเหลือบมองด้านข้างของคนขับ คิ้วเข้มขมวดอยู่ตลอดเวลาเหมือนคนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ กำลังคิดเรื่องของเขาอยู่หรือเปล่านะ?


    “มีอะไรหรือเปล่า?”


    “เปล่าครับ!” เผลอสะดุ้งตอบเสียงดังเมื่ออยู่ดีๆ ก็หันหน้ามาสบตากันซะงั้น แทฮยองผินหน้าไปมองถนนเหมือนเดิม รู้ว่าอีกฝ่ายยังจ้องตัวเองอยู่


    “พี่ขอโทษแล้วกัน...”


    “เรื่องอะไรครับ?” เพราะคำขอโทษที่ถูกบอกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเรียกให้แทฮยองต้องหันไปสู้หน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง


    “ก็เรื่องที่พี่งี่เง่ากับนายเมื่อกี้ไง พี่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์จะไปพูดแบบนั้นแต่มันก็...เผลอพูดออกไปแล้ว” น้ำเสียงจริงจังที่นานๆ ทีจะได้ยินจากปากคนตรงหน้า ดวงตาที่แทฮยองไม่เคยรู้ว่ามันจะสามารถสะกดใจคนมองได้จ้องเขาเขม็ง บุคลิกขี้เล่นของคิมซอกจินเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไร”


    “ถึงนายจะพูดแบบนั้นก็เถอะ หลายครั้งพี่ก็เผลอคิดว่าตัวเองพอจะมีโอกาสบ้าง แต่พอเห็นนายคุยกับแฟนวันนี้พี่ถึงได้รู้ตัว...” เสียงสูดหายใจดังขึ้นพร้อมกับท้ายประโยคที่แผ่วเบาจนน่าใจหาย “ว่าโอกาสของพี่หมดไปตั้งแต่ที่นายบอกว่ามีแฟนแล้ว”


    ปริ้น!!!


    เสียงบีบแตรดังลั่นจนทั้งสองคนสะดุ้ง ซอกจินรีบเหยียบออกไปพร้อมกับใจแทฮยองที่เต้นโครมคราม เขาคิดผิดมาตลอดที่ไม่เคยปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างจริงจังเพราะคิดว่าสักวันเจ้านายของเขาคงจะเจอคนที่เหมาะสมกับตัวเอง


    เขาปล่อยให้อีกฝ่ายเทความรู้สึกมาให้อย่างคนเห็นแก่ตัว ทั้งที่หน้าตาฐานะอย่างคิมซอกจินจะหาคนที่เพอร์เฟคยิ่งกว่าเขาเป็นสิบเท่าก็ย่อมได้



    “ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันแล้วล่ะครับ”




    **




    “มึงว่าดาวมอเราปีนี้ใครจะได้วะ?”


    แดเนียลเปิดปากถามเพื่อนทั้งสองในขณะที่กำลังไถหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ เสียงซู่ซ่าของเนื้อที่โดนไฟเรียกน้ำย่อยในท้องได้ดี ดวงตาที่เวลายิ้มเป็นเสี้ยวพระจันทร์กำลังอ่านกรุ๊ปไลน์ระหว่างกำลังรอเนื้อสุก ประเด็นความสวยของเด็กผู้หญิงในมหาลัยเรียกความสนใจได้ไม่น้อย


    “ไม่รู้ว่ะ ยังไม่เห็นใครสวยสักคน” จองกุกว่าพลางหยิบโซจูมารินแก้วในเพื่อนๆ โดยมีควานลินที่นั่งอยู่ด้านข้างหาวเป็นพักๆ


    “จีซูไง เด็กนิเทศที่มึงทักเขาเมื่อเย็นอ่ะ”


    “อ่า...ก็ได้อยู่มั้ง กูว่าเพื่อนเขาอีกคนที่ชื่อนัมจูก็โอเคนะแต่ชอบทำหน้าเหมือนอยากฆ่ากูอ่ะ” จองกุกทำหน้าแหยง


    “นี่มึงรู้จักยันเพื่อนเขานี่ไม่ธรรมดาแล้วนะเนี่ย มึงไม่จีบจริงเหรอ? กูว่าเขาก็สวยดีนะเว้ย ได้ควงอวดพวกผู้ชายในมอคงจะเจ๋งน่าดู”


    “เรื่องเหี้ยๆ นี่เสี้ยมเพื่อนจังไอ้ควาย ไอ้กุกมันมีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ?” ควานลินหันมองคนที่กำลังพยักหน้างึกงักถึงได้หันไปพูดกับคนขี้ม่ออีกรอบ “เห็นไหมล่ะ”


    “แต่แฟนมันอยู่โซลนี่หว่า ไม่รู้หรอก”


    “ยังอีก”


    “เออๆ นี่ก็ดุกูเป็นหมาเลย ไผ่ไม่พอแดกไง๊?” ใช้ตะเกียบชี้หน้าถามก่อนจะโดนอีกฝ่ายปาด้วยผักกาด “ไอ้นี่ แม่กูบอกโบราณเขาไม่ให้เล่นของกินมันไม่ดี”


    “ไม่รู้แม่กูไม่ใช่คนเกาหลี”


    “เลิกตีกันได้แล้วพวกมึง เนื้อจะไหม้แล้วไอ้เชี้ยหรั่งดองกูบอกให้มึงดูไว้ไง” จองกุกปรามเพื่อนที่ดูท่าจะเถียงกันไม่เลิก เอื้อมมือไปตบหัวคนที่เอาแต่พูดมากจนเนื้อเกือบไหม้


    เขาไม่สนใจเรื่องที่มันพูดอยู่แล้ว ใครจะสวยจะน่ารักจากไหนก็เทียบแทฮยองไม่ได้หรอก สามปีที่ผ่านมาเป็นข้อพิสูจน์ว่าไม่มีใครจะรักจองกุกได้เท่าที่แทฮยองรักอีกแล้ว




    ผ่านไปเกือบสี่ชั่วโมงปาร์ตี้เนื้อย่างถึงได้มีอันเลิกรา เด็กหนุ่มทั้งสามมึนกันอยู่ไม่น้อยเพราะอวดเก่งแข่งกันกระดกโซจูกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ไอ้ควานลินทักเรื่องหารเงินกันนี่แหละ จองกุกได้แต่น้ำตาตกใน เขาไม่น่าหลวมตัวตามคำท้าไอ้ฝรั่งขี้นกนั่นเลย เกือบไม่มีเงินจ่ายค่ารถกลับบ้านแล้วไหมล่ะ


    “กลับบ้านดีๆ นะพวกมึง” ควานลินที่ดื่มน้อยกว่าเพื่อนส่ายหัวให้กับสภาพของเพื่อนตัวเอง จองกุกมันก็ดูท่าจะยืนไหวอยู่แต่ไอ้แป๊ะยิ้มนี่สิ


    “เชี้ย...อึก...ม๊ากูด่าแน่เลยว่ะ”


    “สม เป็นตัวตั้งตัวตีดีนัก ขอให้โดนฟาดตูดแหก” จองกุกทำท่าส่ายก้นล้อเลียนจนโดนคนเมาไล่เตะจนล้มคะมำจนแขนแหก “ไอ้เชี้ยหรั่งดอง!!!


    “จ้า ขอโทษจ้า”


    “เป็นแผลเลยมึง” จองกุกยกศอกดูแผลที่มีเลือดซิบของตัวเอง ซู้ดปากเมื่อเอานิ้วลองจิ้มๆ ดู แสบเอาเรื่องว่ะ!


    “เออๆ มึงรีบกลับไปทำแผลที่บ้านเลยไอ้กุก ส่วนมึงไอ้แป๊ะเดี๋ยวกูนั่งแท็กซี่ไปส่งบ้าน” ควานลินพยุงคนเมาที่ทำตาปริบๆ ก่อนจะลากเดินออกมาโบกแท็กซี่ให้กลับด้วยกัน


    จองกุกมองเพื่อนที่นั่งรถออกไปแล้วถึงได้เดินลากเท้าไปรอรถที่ป้าย เงินในกระเป๋ามีไม่พอนั่งรถไฟด้วยซ้ำ สูดลมหายใจเอาอากาศเย็นช่ำในยามค่ำคืนเข้าปอด ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นฆ่าเวลา ตอนนี้สามทุ่มกว่ามีคนยืนรอรถอยู่แค่สองสามคน


    เขากดเปิดแชทยูคยอมพร้อมส่งไปว่าคืนนี้คงไม่ได้เล่นเกมด้วยเพราะดื่มมา มันตอบกลับมาแทบจะทันที เป็นคำด่าที่เจอความห่วงจนต้องหัวเราะออกมา จองกุกรู้สึกดีที่แม้เขาจะอยู่ไกลแต่ยังสามารถติดต่อทุกคนได้เหมือนเดิม


    เด็กหนุ่มกดเข้าไปในแชทของแฟนตัวเอง ก่อนจะพิมพ์ว่ากำลังจะกลับบ้านแต่ความซวยมีอยู่จริงเมื่อหน้าจอมันดับไปดื้อๆ อยากด่าตัวเองที่ไม่รู้จักเซฟแบตไว้เพราะตอนรอเนื้อเขาดันเล่นเกมจนแบตลดฮวบ


    “จองกุกนี่”


    เสียงเล็กที่เรียกชื่อตัวเองดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดกับโทรศัพท์ตัวเองหันไปมอง เป็นเด็กสาวที่เขาเพิ่งทักไปเมื่อเย็นกำลังเดินลงรถมา


    “อ้าว จีซู”


    “อือ นายมาทำอะไรแถวนี้เหรอ?”


    “มากินเนื้อย่างอ่ะ แล้วเธอมาทำอะไรแถวนี้ตอนกลางคืนเนี่ย” จองกุกถามคนที่เข้ามาหาเขาด้วยความเป็นห่วง ผู้หญิงตัวเล็กๆ เดินคนเดียวอันตรายจะตาย


    “ก็บ้านเราอยู่เลยร้านเนื้อย่างไปนิดเดียวเอง” เธอชี้ไปบ้านที่อยู่ถัดไปจากร้านเนื้อย่างที่เขาเพิ่งไปกินมาสี่ห้าหลัง


    “อ๋อ ดีเลยดิแบบนี้ได้เดินมากินใกล้ๆ”


    “นานๆ ทีน่ะกินทุกวันอ้วนพอดี” เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างผ่อนคลาย จองกุกคิดว่าเธอดูเป็นกันเองกับเขามากกว่าตอนที่อยู่หน้าเพื่อนเมื่อเย็นเสียอีก “จองกุกกำลังจะกลับบ้านเหรอ?”


    “อ่าใช่ พวกเพื่อนๆ กลับกันไปก่อนแล้วอ่ะ”


    “อ๋อ...แขนนายเหมือนเลือดออกเลย” หญิงสาวเดินมาแตะแขนจองกุกเมื่อเห็นเลือดซึมออกมาจากบาดแผลอีกฝ่าย “ทำยังไงให้เจ็บตัวได้เนี่ย มาเดี๋ยวเราทำแผลให้นะ เรามีพลาสเตอร์พอดี”


    “ห้ะ? เอ่อ...ขอบคุณ” บอกกับคนที่หยิบแผ่นพาสเตอร์สีหวานแหววออกมา ก็เหมาะกับผู้หญิงแบบจีซูอยู่หรอก แต่กับคนที่มีกล้ามแขนแบบเขามันคงดูตลก


    จองกุกเหม่อมองเสี้ยวหน้าที่ดูจะตั้งใจทำแผลให้เขา เขารู้สึกแปลกใจกับกลิ่นน้ำหอมที่เหมือนกลิ่นของร้านขนมเค้ก ไหนจะสัมผัสแผ่วเบาบนนิ้วที่พอแตะโดนแล้วเหมือนมีกระแสไฟแล่นไปทั่วร่าง ชั่ววูบที่ความรู้สึกบางอย่างมันเกิดขึ้นภายในอก



    เป็นความอ่อนหวานของเพศหญิง...ที่จองกุกไม่เคยได้สัมผัส






    TBC.


    ขอสัมผัสได้มั้ยจ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ

    อีกคนกำลังทำลายอีกคนกำลังสร้าง //จือปาก มองเล็บ


    ปล.ใครเม้นถูกใจจะแบ่งคุงแดนให้นะจ๊ะ ส่วนควานลินขอเก็บเข้ากรุ

    ปล.2 ใช่ค่ะ ดิฉันเมนควานลิน






    คังแดเนียล

    (หรั่งดอง,ฝรั่งปลอม,แป๊ะยิ้ม)



    ไลควานลิน

    (สลอต,แพนด้า)








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×