คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 10 | เด็กมันไม่เข้าใจ (100%)
-10-
“จองกุก!”
แทฮยองหอบฮักยืนอยู่หน้าประตูบ้าน
เขากระชากมันออกแล้วกวาดสายตาไปทั่วบ้าน แล้วพบว่ามันว่างเปล่า แม้กระทั่งตาตี่ๆ
ของน้าชายยังไม่โผล่ให้เห็น กระทั่งเสียงน้ำในห้องครัวเรียกให้เดินไปหาอย่างช้าๆ
“จองกุก!”
ไม่...
ไม่ใช่จองกุก
“เห็นน้าแกเป็นลูกไก่หรือไง? เรียกกุ๊กๆ
อยู่ได้” เป็นเจ๊กตาขีดยืนเท้าเอวหันมาขมวดคิ้วใส่เขา
แทฮยองไม่ได้สนใจคำพูดไร้สาระนั่น
เหลือบมองถ้วยที่อยู่ในอ่างล้างจานมันดูเยอะกว่าที่คนเดียวสมควรจะใช้
แสดงว่าที่ยูคยอมบอกนั้นเป็นเรื่องจริง
“จองกุกมาที่บ้านใช่ไหมครับ
ตอนนี้เขาอยู่ไหน?”
“กลับบ้านมาคำแรกก็เรียกหาแฟน
นี่น้ายืนอยู่ตรงหน้าแกยังจะถามถึงไอ้เด็กฟันจอบนั่นอีกเหรอ!”
“น้ายุนกิครับ” แทฮยองเอ่ยอย่างร้อนใจ
“มันเพิ่งวิ่งแจ้นออกไปเมื่อกี้ดูท่าจะไม่อยากเจอแกด้วยซ้ำ” ยุนกิหันกลับไปสนใจถ้วยชามในอ่างล้างจานอีกครั้ง
ถุงมือยางสีชมพูดูเข้ากันดีกับผิวขาวจัดของคนเป็นน้า
ในขณะที่ปากก็ขยันพ่นคำพูดยาวเป็นพรืด “นี่ถามจริงเถอะ
เลี้ยงกันภาษาอะไรเด็กนั่นถึงทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง
ฉันใช้มันต้มรามยอนก็ทำไม่เป็นแล้วดูซิใครเป็นคนล้างจาน ก็ฉัน— อ้าว
นี่มันปล่อยให้กูคุยคนเดียวเรอะ!”
คนตัวขาวซีดได้แต่ส่ายหัวเมื่อหลานตัวดีวิ่งพรวดออกไปไม่ได้ฟังที่ตัวเองพูดสักนิด หันกลับมาจัดการกับถ้วยชามตรงหน้าต่อในขณะที่นึกถึงสิ่งที่พูดกับเจ้าเด็กมีปัญหานั่น
‘ฉันรู้ว่านายอยากโตเป็นผู้ใหญ่นะแต่มันมีอีกหลายวิธีให้เลือกไม่ใช่เหรอ? แล้วสิ่งที่นายทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่คนที่มีวุฒิภาวะเขาทำกัน’
‘แต่เมื่อก่อนน้าก็หนีออกจากบ้านมาอยู่กับพี่แทฮยองไม่ใช่เหรอครับ?’
เออะ...
ดู ดูมันย้อน ไอ้หลานหัวเถิกมันขายน้าให้แฟนมันฟังเหรอ!
‘นั่นก็จริง แต่เพราะฉันเคยทำแบบนี้แล้วถึงได้รู้ไงว่ามันโง่เง่ามากแค่ไหน’
‘แต่ตอนนี้น้ายุนกิก็ได้ชื่อว่าจบจากเมืองนอก
สมัยนี้บริษัทใหญ่ๆ ก็ต้องการตัวคนมีความรู้แบบน้าไม่ใช่เหรอครับ? น้าสามารถหาเงินด้วยตัวเองได้แถมยังมีคนนับหน้าถือตา
แล้วแบบนี้มันจะดูโง่เง่ายังไงครับ?’
นัยน์ตาใสแจ๋วของเด็กตรงหน้าทำให้ยุนกิถอนหายใจ
เคาะนิ้วกับโต๊ะเป็นจังหวะ ถ้าไม่เห็นว่ามันดูจะอยากรู้จริงๆ
เขาจะคิดว่าไอ้เด็กนี่มันกวนตีนตาใส
คำพูดของจองกุกทำให้ยุนกิคิดว่าควรต้องคุยกับหลานชายตัวเองบ้างแล้ว
ไม่รู้ว่าสอนกันยังไงเจ้าเด็กตากลมนี่ถึงได้รู้จักเถียงคำไม่ตกฟากขนาดนี้
แต่สิ่งที่เด็กมันพูดมาก็มีส่วนถูก
เขาในวัยเด็กนั้นจะว่าเป็นพวกหัวรั้นเหมือนจองกุกก็คงได้
พ่อแม่เขาเป็นเจ้าของสวนผักผลไม้ในแทกูที่ส่งออกทั้งในและต่างประเทศ
แน่ล่ะว่าท่านทั้งสองต่างก็หวังให้ตัวเขารับหน้าที่ดูแลกิจการนี้ต่อจากท่าน
เนื่องจากพี่สาวเขาหรือแม่เจ้าแทฮยองที่อายุห่างกันพอสมควรแต่งงานออกเรือนไปกับลูกชายบริษัทส่งออก
จะเรียกว่าเรือล่มในหนองก็คงไม่ผิด
ทว่าเขาในวัยนั้นฝักใฝ่กับการออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่มากกว่าจะตั้งใจเรียนให้จบ พ่อแม่เขาเป็นพวกระเบียบจัด
ซึ่งแทฮยองเป็นพวกเชื้อไม่ทิ้งแถวดูได้จากการที่บ่นน้ามันปากเปียกปากแฉะนี่ไง
เขาคิดว่าการไปเรียนต่อเมืองนอกจะเป็นการตัดปัญหาทั้งหมด
ยุนกิใช้ชีวิตสนุกสุดเหวี่ยงที่เมืองนอก เขาได้เที่ยวเล่นและเรียนไปพร้อมๆ
กันแถมไกลหูไกลตาจากพ่อกับแม่
โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับพวกท่าน เขากลับมาเกาหลีอีกครั้งในตอนที่มางานศพพ่อแม่ตัวเอง
ท่านทั้งสองเกิดอุบัติเหตุตอนที่ออกไปดูผลผลิตของผลไม้ในวันที่ฝนตกหนัก
นั่นทำให้เขารีบเรียนให้จบเพื่อหวังกลับมาดูแลกิจการ
แต่ก็สายเกินไป...
แม่ของแทฮยองที่ดูแลกิจการอยู่ตอนนี้แทบจะตัดญาติขาดมิตรกับเขา
ทำให้ตัวเขาเองไม่กล้าสู้หน้าพี่สาว ตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับโดนตัดหางปล่อยวัด
ยังดีที่วัดที่ว่าคือบ้านเช่าเจ้าหลานหัวเกินเก้าแสนของเขาเอง
‘มันก็จริงที่ตอนนี้ฉันสามารถหาเงินด้วยตัวเองได้
แต่มันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อคนที่หวังจะให้เห็นว่าฉันทำได้อย่างที่พูดไม่อยู่แล้ว
ฉันประสบความสำเร็จเรื่องการศึกษารวมถึงหน้าที่การงานในอนาคต แต่ถ้ามองในเรื่องของความกตัญญูฉันจัดว่าลูกเนรคุณเลยว่ะ’
เจ้าของน้ำเสียงเนือยสบตาคนที่กำลังตั้งใจฟัง
เขาเห็นว่าจองกุกเลิกตั้งคำถามย้อนผู้ใหญ่เลยเอ่ยต่ออีกว่า ‘ฉันเลือกที่จะหันหลังให้กับคำเตือนคำสอนของพ่อแม่
แล้วดูสิ...นอกจากแทฮยองแล้วตอนนี้ฉันไม่เหลือใครเลยจองกุก
และสาเหตุมันมาจากความโง่เง่าของตัวฉันเอง’
ยุนกิเชื่อว่าจองกุกจะเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังพูดถึง
ในตอนนี้น้องมันอาจจะยังทำตัวดื้อแพ่งใส่แทฮยองเพราะอคติกับคำว่าเด็ก
แต่ไม่มีใครเป็นเด็กไปตลอดชีวิตนี่ เดี๋ยวพอมันโตขึ้นก็คงคิดอยากย้อนเวลามาเขกกะโหลกตัวเองในตอนนี้แน่ๆ
การบังคับไม่ใช่ทางออกและการตามใจก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แทฮยองขาดความเข้าใจในส่วนนี้ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผลลัพธ์จากการเลี้ยงดูโดยแทฮยองทำให้จองกุกกลายเป็นพวกขาดความมั่นใจในตัวเอง ในขณะที่ดูเป็นพวกมีความมั่นใจสูง แต่เขาเห็นแววตาสับสนจากเด็กน้อยตรงหน้า
ดังนั้นยุนกิจะคอยดูผลลัพธ์จากคำพูดของตัวเอง
**
แทฮยองคิดว่าตัวเองเคยวิ่งเร็วสุดชีวิตก็ตอนแข่งกีฬาสีตอนมัธยม
แต่ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองวิ่งเร็วกว่าตอนนั้นเป็นสิบเท่า คนตัวผอมเร่งฝีเท้าไปตามริมฟุตปาธ
ลมเย็นๆ บาดผิวเล่นเอาปากสั่นไม่น้อย
เขาวิ่งมาจนถึงป้ายรถบัสใช้มือกุมหัวใจตัวเองหอบแฮ่กด้วยหัวใจเต้นถี่รัว
กวาดสายตาไปรอบๆ ก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตที่ชื่อจอนจองกุกเลยสักนิด
เขามาช้าเกินไป...
คนตัวผอมเดินลากเท้าไปนั่งพักเหนื่อยตรงเก้าอี้ หลุบตามองมือที่บีบกันแน่นของตัวเอง ประโยคที่น้ายุนกิบอกว่าน้องคงไม่อยากเจอหน้าเมื่อสักครู่บีบหัวใจจนเจ็บ แค่รอยร้าวเล็กๆ ในวันนั้นทำให้มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ หรือเป็นเพราะเรื่องในร้านคิมซอกจินทำให้รอยร้าวที่สะสมมานานเกิดแตกหักเอาเสียดื้อๆ
มันเกิดขึ้นแบบไม่มีสัญญาณเตือน
อยู่ๆ
ไอ้เด็กที่คอยเอาแต่เดินตามตูดเขาต้อยๆ ตลอดสามปีเกิดอยากออกไปใช้ชีวิตคนเดียว
ไอ้คนที่เขาแทบป้อนข้าวป้อนน้ำยิ่งกว่าลูกตัวเองดันหายออกไปจากชีวิต
แต่จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก เขาสัมผัสได้ว่าเจ้าเด็กหัวรั้นนั้นยังคงป้วนเปี้ยนรอบๆ
ตัว แค่ไม่โผล่หน้ามาให้เห็น
จะว่าหลบหน้า? เขาก็ไม่เขาใจอยู่ดีว่าน้องมันจะหลบหน้าเขาไปเพื่ออะไร อันที่จริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทะเลาะกันเสียหน่อย เขาตีมันเลือดตกยางออกก็ยังเห็นยืนยิ้มแฉ่งรับแข้งเขาไม่สะทกสะท้าน คนอย่างจองกุกมันกัดฟันยางสู้จนขาดใจด้วยซ้ำ
แต่พอคนผิวแทนนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราทะเลาะกันเพราะคนอื่น
จึงไม่ลังเลใจเลยที่จะกดโทรออกไปหาเด็กที่ชื่อคิมยูคยอมอีกครั้ง
(สวัสดีครับพี่แทฮยอง)
“จองกุกกลับบ้านนายไปแล้ว พี่มาไม่ทัน”
(อ่า..แย่จังเลยนะครับ
แต่พี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะผมจะลากมันไปเรียนด้วยให้ได้)
“ขอบใจนะยูคยอม
แล้วก็เรื่องเงินเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่โอนคืนให้แล้วก็มีเกินไปด้วย
พี่ขอร้องว่าอย่าบอกจองกุกเรื่องนี้นะ ทำเป็นว่าให้ยืมเงินนายต่อไปนั่นแหละ”
(พี่ดีกับมันขนาดนี้ผมไม่เข้าใจจองกุกเลย
ที่จริงมันก็ดูอยากกลับไปหาพี่นะครับแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมันถึงยังดื้อออกมาลำบากข้างนอกแบบนี้
แค่เรื่องที่พี่บอกให้ขอโทษเจ้านายทำไมต้องอคติขนาดนี้ด้วย)
“พี่เองก็มีส่วนที่ทำให้จองกุกเสียใจ
เด็กนั่นตามเกาะพี่แจตั้งแต่มาอยู่ในโซลใหม่ๆ สามปีที่ผ่านมาก็มีแค่พี่ที่คอยดูแล
พอเห็นพี่เข้าข้างคนอื่นมากกว่าก็คงเสียใจน่ะ”
(คงมีแค่พี่คนเดียวแหละครับที่เข้าใจมัน
มันยังไม่เข้าใจตัวเองเลย)
“งั้นนายก็ช่วยเข้าใจจองกุกด้วยอีกคนนะ
ถ้าดื้อมากก็จัดการซัดกะโหลกได้เลย” คำพูดของแทฮยองทำให้ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนในสาย
เจ้าตัวแอบอมยิ้มตามเมื่ออีกฝ่ายก็รับปากว่าจะซัดแน่ๆ
เขากดวางสายก่อนจะพรูลมหายใจออกมาเมื่อรู้สึกว่าโล่งกว่าเดิม
ดวงตาเรียวเหม่อมองไปยังพื้นถนนที่โล่งเพราะดึกมากแล้ว
ทั้งที่ตอนกลางวันออกจะมีรถจอดเรียงกันแน่นขนัดด้วยเพราะสัญญาณไฟจราจรที่แดงนานบรม
อากาศ โดยรอบชื้นและเย็นจัดทำให้เวลาพ่นลมหายใจแรงๆ มีไอสีขาวจางพวยพุ่งออกมา
แทฮยองเอนหลังพิงกับป้ายโฆษณาด้านหลัง
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมากดเปิดที่คลังภาพ
รูปภาพกว่าห้าพันรูปดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะตัวเขาเองเป็นคนรักการเซลฟี่และเจ้าเด็กแสบที่ชอบหยิบไปถ่ายโดยไม่ขออนุญาต
นิ้วมือเลื่อนเร็วๆ
เพื่อย้อนไปดูรูปเก่าๆ เขาเห็นการเติบโตของเด็กคนหนึ่งด้วยตาตัวเองมาตลอดสามปีกว่าและบันทึกภาพเหล่านั้นเอาไว้
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่จองกุกมาเดินเมียงดงครั้งแรก
เจ้านั่นสั่งไอศกรีมทูโทนแท่งยาวมาแต่กัดไปได้คำเดียวมันก็หล่นแผละใส่รองเท้าสีขาวที่เขาเป็นคนซื้อให้
ดังนั้นตอนที่เขาเห็นภาพเด็กน้อยน้ำตาคลอในมือถือโคนไอศกรีมเปล่าก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
เป็นเด็กที่ซุ่มซ่ามเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
ส่วนภาพถัดๆ
มาก็จะเป็นรูปหน้าตาแปลกประหลาดของตัวเองที่โดนบังคับให้ทำเสียส่วนใหญ่
แถมจองกุกดูจะชอบใจมากถึงเอาไปตั้งเป็นวอลเปเปอร์มือถือตัวเอง(จนถึงตอนนี้ก็ยังตั้งอยู่)
แทฮยองสะดุดตากับรูปแปลกๆ ที่ไม่เคยได้ย้อนกลับมาดู
เขาเห็นภาพตัวเองกำลังเหม่อมองไปไหนซักที่และจองกุกคงถ่ายเก็บเอาไว้อยู่สองสามภาพ
เขาดูวันที่ก็เห็นว่ามันสองปีที่แล้วและเขาจำไม่ได้ด้วยว่าทำไมถึงได้ทำหน้าหม่นหมองแบบนั้น
แทฮยองเลื่อนดูรูปภาพทีละรูป
มียิ้มมีหัวเราะหรือขมวดคิ้วเมื่อเจอบางรูปที่ไม่คุ้นตา แต่ที่แน่ๆ
คือเด็กน้อยของเขานั้นโตขึ้นมาก
จากเด็กชายตัวขาวบางแก้มกลมเต่งกลับมีกล้ามเนื้อและสูงจนเทียบเท่าเขา
ใบหน้าที่เคยมองว่าน่ารักกลับค่อยๆ เห็นสันกรามคมเฉียบ
รวมไปถึงแววตาใสซื่อที่เปลี่ยนไปเป็นเจ้าเล่ห์มากขึ้น
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจอนจองกุกเป็นผู้ชายที่หล่อเกินเด็กสิบแปด
ตาถึงจริงๆ เลยนะคิมแทฮยองเนี่ย
ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ความแสบและกะล่อนก็ทำให้คนผิวแทนคิ้วกระตุก
ถ้าจองกุกเชื่อฟังเขามากกว่านี้หน่อย หรือรู้จักอ้อนเขามากกว่านี้
ความสัมพันธ์เราสองคนก็อาจจะแบบ...แบบว่าพัฒนามากกว่านี้ไปอีกขั้น
หมายถึงทำแบบที่คนรักกันเขาทำกันนั่นแหละ แต่นอกจากกอดหอมจูบนิดหน่อย
เขาสองคนก็แทบไม่ได้สัมผัสอะไรกันเท่าไหร่เลย
แต่พอนึกถึงตอนที่เขาสองคนทำอะไรอย่างว่าจริงๆ
แทฮยองกลับนึกอยากให้จองกุกย้อนกลับไปเป็นเจ้าเด็กตัวบางแก้มป่องอีกครั้ง
เพราะจอนจองกุกกับใบหน้าหล่อๆ แบบนี้มันเป็นอันตรายต่อเหมืองทองแทฮยองเหลือเกิน
แล้วทำไมต้องมานั่งคิดเรื่องลามกอยู่ริมถนนด้วยเนี่ย!
**
เหมือนว่าทุกอย่างกำลังแย่ลงเรื่อยๆ
ในความคิดของจองกุก แฟนเขาไม่ติดต่อมาอีกเลยหลังจากที่ยูคยอมบอกเมื่อสัปดาห์ก่อน
นี่ก็ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้วแต่แทฮยองยังคงไม่มีวี่แววจะติดต่อมาอีก
มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ!
ภาพที่แทฮยองหัวเราะต่อกระซิกกับไอ้คุณซอกเล็บหมายังติดตาอยู่เลย
แล้วถ้าสองคนนั้นเกิดสปาร์คกันตอนที่เขาไม่อยู่ล่ะ
มันต้องเป่าหูให้แทฮยองบอกเลิกเขาแน่ๆ ทั้งรูปหล่อ(กัดฟันพูด)แม่รวยเรียนจบสูง
แถมจบจากนอกซะด้วย
แล้วเด็กที่แค่มัธยมปลายยังจะจบแหล่ไม่จบแหล่อย่างเขาจะเอาอะไรไปสู้?
เจ็บใจเว้ยยยยยยยยยยยย
ยูคยอมมองเพื่อนรักตัวเองทุบโต๊ะเรียนดังปั่กๆ
ปากก็พล่ามอะไรขมุบขมิบฟังไม่ได้ภาษาไปด้วยสายตาเอือมระอา
เรื่องที่เขาคุยกับพี่แทฮยองถูกเก็บเป็นความลับ
เขาไม่ได้บอกอะไรกับจองกุกและเจ้าเพื่อนจอมขี้เกียจดูจะไม่ได้เอะใจอะไร
“เลิกเรียนแล้วมึงจะไปไหนต่อหรือเปล่า?” ถามเพื่อนในขณะที่มือกำลังเก็บของลงกระเป๋า
ยูคยอมมองคนที่กำลังนั่งเท้าคางทำท่าคิดไม่ตกทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังท่องบทสวด “เป็นบ้าไปแล้วเหรอ? ถ้ามึงยังคุยคนเดียวแบบนี้กูจะโทรตามเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบ้ามาจับนะ”
“มึงนี่...” คนถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้าจิปากแต่ก็ยอมเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะเดินตามยูคยอมออกมาจากห้องเรียน
เขาเห็นยูคยอมเดินไปคุยอะไรซักอย่างกับหัวหน้าห้องตัวผอมเก้งก้าง
จนเมื่อมันเดินกลับมาถึงได้เอ่ยปากถาม “มึงคุยอะไรกับหัวหน้าวะ?”
“กูไปถามมันว่า’จารย์คิมแกจะให้มึงสอบซ่อมเมื่อไหร่
มันบอกอีกสามอาทิตย์นู้นช่วงนี้แกไม่ค่อยว่าง”
“เออกูลืมไปเลยว่ะ” จองกุกพยักหน้าเข้าใจระหว่างเดินลงบันไดเขาเหลือบไปมองหน้ายูคยอมที่เดินอยู่ข้างกันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
“...ขอบใจนะมึง”
“ไม่ต้องทำซึ้งหรอก ถ้าอยากขอบใจจริงๆ
กูว่ามึงกลับบ้านไปหาพี่แทฮยองดีกว่า”
คำพูดของยูคยอมทำให้จองกุกชะงักเท้า
เด็กหนุ่มยืนนิ่งบนขั้นบันไดในขณะที่ยูคยอมเดินลงไปสุดขั้น
จนมันเงยหน้ามาเลิกคิ้วสงสัยเขาถึงได้พ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา
“นี่มึงไล่กูใช่ไหม?”
“แล้วแต่จะคิดเถอะ”
“ไอ้ยูค!” จองกุกเดินลงไปกระชากไหล่เพื่อนตัวโตกว่า
เขาจ้องหน้าคนที่กำลังตีหน้ามึนใส่ นอกจากยูคยอมแล้วเท่ากับว่าเขาไม่มีที่ไป “มึงเห็นกูเป็นเพื่อนมึงเปล่าวะ? ตอนนี้กูรบกวนมึงก็จริงแต่เดี๋ยวกูขอเงินแม่คืนให้ไง”
“มึงก็คิดได้แค่นี้แหละจองกุก
มึงบอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กแล้วคนที่คิดแต่จะแบมือขอเงินแม่แก้ปัญหาคือคนที่โตแล้วเหรอวะ?”
“ตอนนี้ยังไม่ปิดเทอมกูไปสมัครงานไม่ได้
เดี๋ยวพอกูทำงานแล้วจะคืนให้ก็ได้ มึงรอได้ไหมล่ะ?”
“กูจะพูดในฐานะเพื่อนสนิทมึงนะ
กลับไปหาพี่แทฮยองเถอะมันไม่เกี่ยวว่ามึงเด็กหรือผู้ใหญ่
ไอ้แค่ออกมาอยู่นอกบ้านไม่ได้หมายความว่ามึงโตขึ้นจะเว้ย
คนที่โตคือคนที่ดูแลตัวเองได้แบบที่พี่แทฮยองทำ
แต่มึงมาขออาศัยบ้านกูอยู่ยืมเงินกูกินข้าวเล่นเกมไปวันๆ มันจะมีประโยชน์อะไรวะ?”
ประโยคยืดยาวจากเพื่อนสนิทไม่ได้ทำให้จองกุกเข้าใจ
กลับกันเด็กตัวขาวคิดว่าเพื่อนตัวเองไม่อยากให้ยืมเงินเสียมากกว่า
คิดได้แบบนั้นฝ่ามือจึงพุ่งไปผลักไหล่เพื่อนจนเซ ตะโกนเสียงดังจนนักเรียนคนอื่นหันมามอง
“ที่แท้ก็หวงเงิน
ถ้ามึงไม่อยากให้ยืมก็บอกกันดีๆ สิวะ ไม่ต้องเอาเรื่องให้กูกลับบ้านมาอ้าง”
“ไปกันใหญ่แล้ว
กูพูดเพราะหวังดีกับมึงหรอก กลับไปอยู่กับพี่แทฮยองเขาจะได้ช่วยติววิชา’จารย์คิม
มึงจะได้สอบผ่านแล้วจบไปพร้อมกับกูไงจองกุก”
“หยุดพูด!” คนเลือดขึ้นหน้ากระชากคอเสื้อเพื่อนรักตัวเอง
เสียงวี้ดว้ายของพวกผู้หญิงทำให้กำคอเสื้อแน่นจนได้ยินเสียงลมหายใจถี่กระชั้นของยูคยอม
“มึงหัดห่วงอนาคตตัวเองบ้างเถอะ
ไม่รักคนอื่นก็หัดรักตัวเองบ้าง”
“กูบอกให้หยุดพูดไง!” จองกุกกำหมัดแน่นเงื้อใส่เพื่อนตัวสูงจนมันหลับตาแน่น
เสียงกรีดร้องของพวกผู้หญิงดูเหมือนจะดังขึ้นเป็นเท่าตัวคราวนี้พวกผู้ชายก็หลุดเสียงทุ้มร้องออกมาด้วย
“เอาเลย! อยากต่อยกูก็ตามใจ
แต่มึงรู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วงมึงกันหมด!
พี่แทฮยองโทรมาถามกูทุกวันว่ามึงกินอยู่ยังไง กับข้าวแบบไหนที่มึงกินได้ไม่ได้
เงินที่มึงยืมก็ของพี่แทฮยองทั้งนั้น” คำพูดของยูคยอมทำให้หมัดที่กำแน่นค่อยๆ
คลายออกจนมันตกไปอยู่ข้างตัว ส่วนมืออีกข้างก็ผละออกมาผลักอกยูคยอมเบาๆ
“อย่ามาโกหกกูให้ยาก
ครั้งนี้กูไม่เชื่อมึงหรอกนะ”
“กูพูดความจริง
จะดูข้อความที่พี่เขาส่งมาก็ได้
มึงจำได้ไหมที่กูเคยบอกว่านอกจากพี่แทฮยองก็ไม่มีใครมาตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวมึงแบบพี่เขาอีกแล้ว
กูยังยืนยันคำนั้นนะ เรื่องที่มึงไปกระชากคอเสื้อเจ้านายพี่เขาเหมือนกัน
มึงคิดว่าตัวเองไม่มีส่วนผิดเลยเหรอวะ? อย่างนี้พ่อกูพูดไม่เข้าหูมึงก็จะกระชากคอเสื้อพ่อกูใช่ไหมวะ?”
ดูเหมือนว่าจองกุกจะเถียงยูคยอมไม่ได้เลยซักคำ
ความคิดที่ว่าตัวเองไม่มีส่วนผิดถูกคำพูดเพียงไม่กี่คำของเพื่อนรักกลืนไปหมดสิ้น
“มึงคิดดูให้ดีนะจองกุกว่าสิ่งที่มึงทำอยู่ตอนนี้มันดีแล้วใช่ไหม
กูเชื่อว่าพี่แทฮยองไม่ใช่คนใจร้าย
พี่เขารักมึงมาก...ไม่งั้นคงไม่โทรมาร้องไห้ทุกครั้งที่พูดเรื่องมึงหรอก”
คำพูดสุดท้ายของยูคยอมดึงเส้นทิฐิของจองกุกขาดผึง
(80%)
”ไม่สบายหรือเปล่าแทแท ทำไมหน้าดูซีดๆ”
คำถามจากเจ้านายเรียกให้แทฮยองยกมือมาลูบหน้าตัวเองเบาๆ
ไอร้อนที่แผ่ออกมาก็ทำให้เขาแอบหวั่นใจเหมือนกันว่าตัวเองจะไม่สบายเข้าจริงๆ
“เมื่อวานคงตากน้ำค้างนานไปหน่อยน่ะครับ
แต่ไม่เป็นไรมาก” ตอบปัดๆ ไปเมื่อเห็นว่าซอกจินยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเดินตามประกบตัวเองแจ
เขาพยายามไม่สนใจแล้วนะแต่การที่เขาขยับซ้ายอีกคนก็ก้าวตามขยับขวาก็ยังตามมาอีก
แบบนี้มันน่ารำคาญโว้ยยย
"พี่!"
“ครับ?”
ยัง ยังไม่สำนึก
“ผมไม่ได้เป็นอะไรเลย
แล้วมาเดินตามแบบนี้มันน่ารำคาญนะ”
“รำคาญเหรอ?”
“มาก”
“โอเคๆ” แทฮยองจ้องคนที่ทำมือยอมแพ้เดินถอยออกไป
เขาส่ายหัวให้กับคนที่ถอยห่างไปแค่สองก้าว
พอจะหันกลับมาสนใจกับตู้เค้กก็เกิดหน้ามืดวูบนึงจนต้องใช้มือยันกับเคาน์เตอร์เอาไว้
แต่มือเจ้ากรรมดันอ่อนแรงจนเอนล้มกระแทกกับพื้นซะได้
“เฮ้ยแทฮยอง!” เสียงพี่โฮซอกดังลั่นตามมาด้วยเสียงแก้วแตก
เดาว่าพี่มันตกใจจนทำแก้วหลุดมือ แต่อีกคนที่ไม่ได้ส่งเสียงอะไรนี่สิ
เข้าถึงตัวเขาก่อนใครเพื่อนแถมยังทำหน้าดุใส่อีก
“คือว่าผม...”
“พี่ว่าเราเป็นอะไรแล้วล่ะแบบนี้
ทีนี้จะหยุดดื้อได้หรือยัง?”
แทฮยองพยักหน้าช้าๆ
แอบหงอยไปนิดนึงเพราะปกติซอกจินเคยทำเสียงเข้มใส่ที่ไหน
เดาว่าไอ้อาการหน้ามืดนี่คือผลพวงจากการที่นั่งอยู่ป้ายรถบัสเสียดึกดื่น
ผลั่ก!
อยู่ๆ
แรงกะชากมหาศาลดึงคนป่วยไปจนตัวปลิว
แทฮยองจับหัวไว้เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกลากให้ออกไปข้างนอกร้าน
พอเงยหน้ามาก็พบกับดวงตากลมโตที่จ้องเขาเขม็ง ไหนจะแรงบีบที่ไหล่ทั้งสองข้างอีก
จอนจองกุกไอ้เด็กบ้า!
คิดจะโผล่มาก็มาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“นี่!” เขาพยายามดันตัวเองออก
พยายามยืนนิ่งๆ เพราะกลัวว่าจะหน้ามืดไปอีก “เป็นบ้าอะไรมึงเนี่ย
แล้วคิดยังไงถึงโผล่หัวมาได้”
“พี่ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง
ผมเห็นนะว่าพี่กอดกับไอ้คุณซอกจินมันน่ะ”
“โอ้ยนี่มึงเป็นพระเอกหนังหรือไง
มาเห็นตอนเขาแตะเนื้อต้องตัวกันแล้วเข้าใจผิดเนี่ย” แทฮยองมองใบหน้าของเด็กตัวโตด้วยความคิดถึง
เห็นว่าใส่ชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนถึงได้โล่งใจที่อีกฝ่ายไปเรียนหนังสือแล้ว
“ตอนผมไม่อยู่มันจีบพี่สบายเลยใช่ไหมล่ะ” จองกุกเหล่ตามองคนไหล่กว้างที่ยืนมองพวกเขาจากในร้าน
“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วจะกลับมาทำไม?”
“พี่!”
“นี่มันเวลางาน เรื่องของเราค่อยกลับไปคุยที่บ้าน” แทฮยองเอ่ยตัดบทคนดื้อดึง ไอ้ท่ากอดอกเชิดหน้าสำหรับคนที่เห็นมาตลอดสามปีกว่าก็รู้แล้วว่าจองกุกคงไม่ฟังง่ายๆ
“อีกแล้วนะ ทำไมพี่ต้องเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่าผมด้วยอ่ะ”
“จองกุก...” เอ่ยชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบ แทฮยองไม่รู้จะจัดการกับเด็กเจ้าปัญหาตรงหน้ายังไงดี เขาเหลือบตามองเจ้านายที่ยืนกอดอกดูเชิงอยู่ในร้าน ข้างๆ กันเป็นพี่โฮซอกที่ยืนถือเศษแก้วมองมาทางนี้ “ทำไมมึงกลายเป็นเด็กเข้าใจยากแบบนี้วะ?”
คนที่โดนน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายสาดใส่หน้าเม้มปากแน่น
เขารู้ว่าตอนนี้ตัวเองทำตัวมีปัญหามากแค่ไหน ไม่ต่างอะไรกับ ‘ภาระ’ อย่างที่ทุกคนเคยบอก
แต่ถึงอย่างนั้นก็เลือกที่จะทำตัวรั้นแบบนี้ต่อไป
จะโทษฮอร์โมนวัยรุ่นที่พลุ่งพล่านก็ได้ถ้านั่นทำให้แทฮยองสนใจเขามากกว่างานหรืออะไรอื่นๆ
หรือสาเหตุที่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้เพราะจองกุกกำลังเรียกร้องความสนใจจากแทฮยองกันแน่?
“ก็มันจริงไหมล่ะ? พี่เห็นผมเป็นแฟนพี่หรือเปล่า
ทำไมต้องเลือกผมเป็นอย่างสุดท้ายทุกที”
“จองกุก...กูเลือกมึงเป็นคนแรกที่กูรักนอกจากพ่อแม่ กูดูแลมึงเท่าที่กูจะทำได้ แล้วมึงเคยถามตัวเองบ้างไหมว่าสำหรับมึง กูเคยเป็นตัวเลือกแรกหรือเปล่า?” แววตาของแทฮยองเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างแท้จริง
คนถูกถามกลับกลืนก้อนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ถ้าเขาตอบว่าไม่ นั่นคือเขาโกหก
เพราะตลอดสามปีที่ผ่านมาเขาเลือก ‘เกม’
ภาพของตัวเองที่กดตัดสายหรือแม้แต่ปิดเครื่องหนีเวลาโดนโทรตามนั้นทำให้จองกุกยังยืนนิ่งไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย
สถานการณ์ตอนนี้แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เขาแพ้ให้แทฮยองทุกครั้งที่เรามีปากเสียงกัน
ไม่ว่าจองกุกจะขุดคำพูดร้อยแปดมาสู้
สุดท้ายแทฮยองมักเลือกพูดความจริงตอกกลับมามากกว่า
“ตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ
เพราะกูไม่เคยเป็นคนแรกที่มึงนึกถึงเลยไง”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“ช่างเถอะ แล้วที่อยู่ๆ
ก็โผล่มานี่คือยังไง?”
“ผมแค่...อยากมาขอโทษพี่ แค่พี่!” จองกุกรีบเอ่ยย้ำเมื่อเห็นว่าแทฮยองเหลือบมองไปในร้าน
เขาแค่อยากขอโทษแทฮยองไม่ใช่หมอนั่น
“คนที่มึงควรขอโทษคนแรกคือคุณซอกจินไม่ใช่กู”
“แต่ผม--”
“จองกุกถ้ามึงยังเป็นเด็กที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลยและเถียงทุกคำที่กูบอกแบบนี้งั้นเราไม่มีเรื่องต้องคุยกัน
ถ้ามึงคิดจะอยู่ด้วยตัวเองอันดับแรกที่ต้องจำคือคำว่ารับผิดชอบ
มึงกลับไปทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกและกูจะกลับไปทำงาน” แทฮยองพูดด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
เขาดูแลจองกุกมานานเกินกว่าที่จะโอ๋
ถ้าน้องมันยังเป็นเด็กผู้ชายคนเดิมที่เดินตามเขาต้อยๆ
เหมือนวันแรกที่เข้ามาในโซลก็จะไม่มีวันนี้ วันที่เขาเอ่ยปากไล่ให้อีกคนไป
“พี่...”
“ตั้งใจเรียนเทอมนี้ให้จบอย่างน้อยก็คิดซะว่าทำเพื่อตัวเอง
กูรู้ว่ามึงโตแล้วจองกุก
มึงกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองและกูก็จะทำหน้าที่ของกูเหมือนกัน” เหมือนมีก้อนสะอึกมาจ่ออยู่ที่คอ
แทฮยองสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับกระพริบตาถี่เพื่อที่จะเอ่ยอีกคำออกมา
“กูยอมแพ้แล้วจองกุก
จบเทอมนี้พ่อแม่มึงจะมารับมึงกลับปูซาน”
TBC.
ความคิดเห็น